ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่10 คนที่บังเอิญเดินผ่านมา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.12K
      86
      28 ก.พ. 59



    Dahlia 10



    เสียงเม็ดฝนหล่นเปาะแปะจากริมระเบียงทะลุผ่านกระจกใส เม็ดฝนที่ใหญ่รุนแรงตามแรงลมที่พัดเข้าหาตัวตึกส่งผลให้ทั้งบานกระจกเปียกปอนแม้จะมีกันสาดยื่นจากเหนือสุดของตัวอาคารแล้วก็ตาม

    ผมติดแหง็กอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า ถนนข้างนอกน้ำคงท่วมขังไปแล้วตามธรรมชาติของกรุงเทพ ชะเง้อมองจากจุดที่ยืนอยู่จะเห็นเส้นสีแดงๆของไฟท้ายรถซึ่งต่อกันยาวเรียงแน่นิ่ง เบ๊นซ์ บีเอ็มคงไม่อาจสู้มอเตอร์ไซค์เวลานี้ เพราะต่อให้รถหรูแค่ไหนแต่ถ้าฝนตกเป็นห่าลงขนาดนี้มันก็ไม่สามารถขยับได้พอๆกัน ยกเว้นแต่มันจะมีปีกอะนะ แต่ขืนบินได้จริงคงเวียนหัวกันวุ่นกว่าเก่า รถคนเมืองดัดจริตมีเฉลี่ยตกคนละคันกันแล้ว ไม่รู้รวยกันมาจากไหนนักหนาสิพับผ่า ถนนแทบสร้างกันไม่ทันใช้



    "ไปดูหนังอีกเรื่องรอไหม?"


    หนุ่มแว่นซึ่งท้าวแขนอยู่บริเวณรั้วตรงชั้นลอยถามทั้งที่ทอดสายตาไปยังท้องถนนสายหลักด้วยกัน ถ้ามันไม่มากับผมผมก็คงไม่สนใจ แต่เพราะมันมากับผม เพิ่งออกจากโรงหนังด้วยกันเมื่อสิบนาทีก่อน เลยหันไปมองเสี้ยวหน้าเชิงถามว่า  ว่าไงนะ จะดูอะไรอี๊กกก??



    "ออกไปตอนนี้ก็ติดฝน หรือไปหาอะไรกินกันไหม?"


    "สักพักดีกว่า  ของเก่ายังไม่ย่อยเลย"


    ผมพูด เอามือลูบพุงไปด้วย ก่อนเข้าโรงก็ซัดชาบูชิกันจนอิ่มแปร้ พี่เอิร์ธยิ้มโชว์ลักยิ้มที่แก้มซ้ายแล้วเอามือมายีหัวผมด้วยความหมั่นเขี้ยว



    "พุงยื่น น่าเกลียด"


    "อะไรวะ ตอนอยู่ห้องยังบอกว่าหุ่นดีอยู่เลย"


    "ก็นั่นมันก่อนกิน ออกกำลังกายบ้างรึเปล่า"


    "นานๆที ขี้เกียจ"


    "เดี๋ยวจะลากเข้าฟิตเนส"


    พี่เอิร์ธยักคิ้วกวนๆ ดูท่าแล้วคงเป็นสมาชิกฟิตเนสซักที่ ไม่เคยเห็นหุ่นมันจริงๆแต่แค่ภายนอกก็นับว่าเฟิร์มใช้ได้ แผ่นอกกว้าง ไหล่ผาย หุ่นทรงวีเชฟเหมือนพระเอกการ์ตูนตาหวานของญี่ปุ่น ผมไม่ตอบอะไร มีเพื่อนเข้าก็เข้านะ ฟิตเนสอะ อยากมีชิกแพคกะเขาบ้าง ยิ่งนึกถึงหุ่นไอ้มินยิ่งอิจฉากึ่งๆสมเพชตัวเอง ภาพผิวขาวๆกับกล้ามแน่นๆนี่ใครก็อยากกอดครับ ดูตัวเองดิ๊ ถึงไม่อ้วนไม่ผอมแต่หุ่นไม่น่ารักเลย ขอเหอะ อยากได้ครึ่งของไอ้สองคนนี้จริงๆ มีขายสำเร็จรูปแบบไม่ต้องลงแรงไหมวะ เท่าไหร่เท่ากัน ว่ามา เหอะๆ 



    “แล้วอยากทำอะไร?”


    “เข้าร้านหนังสือกัน”


    พูดจบผมก็เดินนำ ห้างสรรพสินค้านี้ผมเดินตั้งแต่เข้าทำงานที่นี่ใหม่ๆ หลับตาก็รู้ว่าอะไรอยู่ไหน พี่เอิร์ธได้แต่เร่งฝีเท้ามาอยู่เทียบกับผม จนใกล้พอที่จะคว้าทันมันก็ยื่นมือมาจับผม มิหนำซ้ำยังลอยหน้าลอยตาเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายเขาจะจับมือกันอีก พอโดนสายตาตำหนิก็พูดยิ้มๆโยนความผิดมาให้



    “กันต์เดินเร็ว พี่ตามไม่ทัน”


    ดีหน่อยที่พอผมชะลอฝีเท้าลงมันก็ยอมปล่อยมือ เดินยิ้มตามผมเข้าร้านหนังสือชื่อดังแล้วปลีกตัวไปเดินอยู่ตรงเชลท์หนังสืออาหารและสุขภาพ ส่วนผมเดินวนอยู่บริเวณหนังสือจิตวิทยา ชอบอ่านหนังสือแนวโลกสวยครับ ประวัติมันมีอยู่คือช่วงจบ ม.หกเป็นชีวิตที่พีคของผมมาก เสียเด็กสุดๆ ตอนนั้นทะเลาะกับที่บ้านเรื่องบุหรี่ไปค้างกับไอ้ใหญ่เป็นเดือนๆด้วยซ้ำ โชคดีที่เอ็นท์ติดเลยมีหน้ากลับไปหาพ่อแม่ พอดีกับที่ใหญ่ถูกส่งตัวไปอังกฤษ ชีวิตผมก็เริ่มกลับเข้ารูปเข้ารอยนิดๆ ยิ่งมาเจอนายยงยุทธเสนอหนังสือมองโลกในแง่บวกมาให้ช่วงเข้าปีหนึ่งและบอกว่า โลกมันไม่ได้มีด้านมืดที่มึงเห็นอย่างเดียวนะ อะไรๆหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ผมมีจุดหักของชีวิตหลายรอบครับ ถึงได้บอกพี่เอิร์ธไปว่าผมอะไม่ใช่คนๆเดียวกับเมื่อตอนอยู่ ม.ห้าหรอก อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่นายชนกันต์หน้าซื่อตาใสแน่ๆ


    สุดท้าย ผมก็ออกจากร้านหนังสือพร้อมหนังสืออีกหนึ่งเล่ม เคยเล็งไว้นานแล้วเพิ่งมีโอกาสได้ซื้อ มาสังเกตทีหลังนี่เองว่าพี่เอิร์ธก็ถือถุงหนังสือติดมือออกมาด้วย พอถามว่าหนังสืออะไรมันก็ยิ้มแฉ่งบอกเป็นพวกเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ผมล่ะงงเป็นไก่ตาแตก



    “เอาไปทำไมวะ?” 


    “จะฝึกทำกับข้าว กันต์ต้องซื้อกินทุกมื้อพี่ว่าเบื่อแย่ วันไหนอยู่ด้วยกันไว้ทำกับข้าวกินกันเองที่ห้องดีกว่า”


    “เฮ้ย นี่กะจะมาห้องกันต์ทุกอาทิตย์เลยเหรอ?”


    “ก็กันต์ให้โอกาสพี่แล้วนี่ ทำไม? เปลี่ยนใจไม่ทันแล้วนะ”


    “ไม่ได้พูดแบบนั้น...แต่ลำบากปะพี่เอิร์ธ”


    “ไม่ สบายมาก ต่อไปเราอยู่กินด้วยกันก็ต้องมีคนทำกับข้าวอยู่แล้วไง ถ้ากันต์ไม่ชอบเข้าครัวเดี๋ยวพี่จัดการเอง กันต์ดูแลเรื่องบนเตียงให้พี่ตอบแทนก็พอ”


    ไปกันใหญ่ ผมสะบัดหางตามองคนเพ้อเจ้อที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ดูจากลักษณะภายนอกพี่เอิร์ธเป็นสเปเชียลกายส์มากครับ หมอยา สูง ขาว แว่น ตี๋ ขับแคมรี่ ราศีจับ ลองมาสัมผัสตัวตนจริงๆแบบผมสิ แม่งเหี้ยอะ โฆษณาหลอกลวงผู้บริโภคสุดๆ ภาพของผู้ชายทะเล้นนิดๆ ทะลึ่งหน่อยๆ ชอบฉวยโอกาสนี่ผิดกับภาพพจน์ที่ใครๆเห็นว่าเป็นหนุ่มเนี้ยบจริงๆ นอมอลกายส์ที่ผมคิดว่าข้อดีของมันคือมีความเป็นผู้นำนั่นแหละครับ พี่เอิร์ธห่างจากผมปีเดียวนะ แต่อาจเป็นเพราะสังคมการเลี้ยงดูที่ต่างกันด้วยมั้งผมถึงรู้สึกว่าตัวเองต้องอยู่ในโอวาทมันในระดับนึงทั้งๆที่พี่เอิร์ธไม่เคยดุอะไรผมสักครั้ง เอาจริงๆแค่ปรามผมก็ไข่หดแล้ว



    “เอิร์ธ!”


    เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นเมื่อผมกับเจ้าของชื่อเดินมาถึงบันไดเลื่อนให้เราหันหาต้นเสียง ผู้ชายวัยสามสิบต้นๆในเชิร์ตแขนยาวสีครีมกางเกงแสลคสีน้ำตาลเข้มหน้าตี๋ตาชั้นครึ่ง กับผิวขาวจัดยืนยิ้มโลกมืดกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาจับแขนคนที่เรียก พี่เอิร์ธเลิกคิ้วนิดๆก่อนโปรยยิ้มให้ชายร่างโปร่งบางๆพลางทักเสียงนุ่ม



    “ไม่คิดว่าจะเจอพี่นิคที่นี่นะเนี่ย”


    “เดี๋ยวๆ นี่มันถิ่นผมไม่ใช่เหรอ ผมต่างหากที่ต้องบอกว่าไม่คิดจะเจอเอิร์ธที่นี่ มาแถวนี้ไม่โทรเรียกบ้างจะได้นัดกินข้าวกัน ไม่เจอนานดูภูมิฐานกว่าเก่าเยอะเลยนะ”


    “ฮะๆ จะบอกว่าผมแก่ก็ว่ามา ไม่โกรธหรอก ยังสอนอยู่ที่เดิมเหรอครับ”


    “ใช่ แล้วเอิร์ธทำอยู่ที่โรงบาลหรือออกมาดูโรงงานอย่างเดียวแล้ว?”


    “ก็ทำควบๆกันครับ ยังไหวอยู่ก็ถือว่าช่วยๆกันไป พี่นิคสบายดีนะ  ดูสดใสกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอเยอะเลย สงสัยคนเลี้ยงดี”


    “ไม่ต้องมาทำแซว แล้วนี่......”


    คนที่ถูกเรียกว่าพี่นิคปรายตามองผมนิดๆเชิงถามต่อว่า’ใคร’ พี่เอิร์ธยิ้มกว้าง ยังให้คนมาใหม่เกาะแขนไม่ปล่อย ระรื่นเชียวนะมึง เดี๋ยวจะโดน



    “กันต์ รุ่นน้องที่โรงเรียนผม”


    “อ้อ.....”


    พี่นิคลากเสียงยาว ยิ้มให้ผมและมองด้วยแววตาที่ไม่อาจตีความหมาย พี่เอิร์ธเลยหันไปแนะนำอีกคนให้ผมรู้จักอย่างเป็นทางการบ้าง



    “นี่พี่นิค เพื่อนเก่าพี่”


    “เพื่อนเก่าอะไร แฟนเก่าแต่เพื่อนใหม่ต่างหาก เออนี่ ผมจบเอกแล้วนะ วันรับปริญญาเชิญด้วยสิ กลางวันไม่สะดวกก็มางานกลางคืนได้ คุณพ่อจัดงานเลี้ยงอยากให้มากันเยอะๆ เชิญทั้งสองคนเลย”


    “ไว้พี่นิคโทรเตือนผมอีกทีแล้วกัน ยังใช้เบอร์เดิม”


    “แต่ใจเปลี่ยน?”


    “ใจก็เหมือนเดิม” พี่เอิร์ธพูดยิ้มๆ อีกฝ่ายหัวเราะร่วนแล้วตีต้นแขนหมอยาเบาๆ “งั้นเดี๋ยวผมโทรหา ยินดีที่ได้รู้จักนะกันต์ ฝากดูแลเอิร์ธด้วย”


    ประโยคหลังรุ่นพี่ตัวขาวหันมาบอกกับผมก่อนเดินไป พอเหลือแค่เราสองคนก็เหลือแค่ความเงียบที่เข้าปกคลุมเหมือนเมฆหมองที่ยังครึ้มฝนด้านนอก มีแต่คำถาม คำถามเต็มไปหมดในหัวแค่ไม่รู้จะเรียบเรียงมันออกมายังไง ผมควรรู้สึกแบบไหนเวลาที่คนอื่นมีสิทธิ์ใช้คำว่าแฟนเก่ากับพี่เอิร์ธ ขณะที่ผมเป็นแค่รุ่นน้อง.. ทั้งๆที่ ผมมาก่อนใครแท้ๆ



    “พี่นิคเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยตรงข้ามออฟฟิศกันต์ พี่คบกับเขาตอนอยู่ปีสาม ตอนนั้นพี่นิคเรียนโทอยู่ที่เดียวกัน เป็นคนน่ารักนะ เหมือนจะคุยเก่งแต่จริงๆเรียบร้อยมากเลย กับคนไม่สนิทจะหยิ่งๆด้วยซ้ำ เหมือนกันต์ตอน ม.5ไม่ผิด”


    “ไม่เห็นเหมือน” 


    “ใช่.. ไม่เห็นเหมือน ถ้าเหมือนพี่ก็คงไม่เลิก”


    ผมเงยหน้าขึ้นมอง คนที่จ้องมาอยู่แล้วยังส่งยิ้มอ่อนมาให้เหมือนเดิม ดวงตาใต้กรอบแว่นรื้นไปด้วยความหมายมากมายที่ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี ไม่อยากตีความมันไปเอง



    “หึงเหรอ?”


    “เปล่า....”


    “แล้วเป็นอะไร?”


    สัมผัสสากจากปลายนิ้วเกิดขึ้นบนผิวหน้า พี่เอิร์ธลูบแก้มผมไปมาเบาๆ  “ไม่ชอบให้กันต์ทำหน้าแบบนี้เลย พี่ไม่สบายใจ”


    “ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ พี่เอิร์ธอย่าคิดมากดิ”


    “พี่คิดเพราะเป็นเรื่องของกันต์หรอกนะ....”


    หมอยาพูดเสียงนุ่ม ผมดึงมือที่คอยไล้อยู่ข้างแก้มออกมาจับ ทำหน้าเหมือนหงุดหงิดทั้งๆที่เขินจะตายห่า อะไรวะ เมื่อกี้ยังอารมณ์เสียอยู่เลยกู บ้าไปแล้วแน่ๆ


    “ฮื่อ... รู้แล้ว...”






    แคมรี่สีขาวมุกเคลื่อนตัวมาจอดที่คอนโดในช่วงค่ำ พรุ่งนี้พี่เอิร์ธต้องทำงาน เดือนๆนึงเลือกวันหยุดได้สี่วันเพราะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน มันเลือกที่จะหยุดทุกวันเสาร์ ที่จริงก็ไม่เชิงเภสัชกรทั่วไปจะเลือกได้ตามนี้เป๊ะๆหรอกครับ แต่เจ้าของโรงพยาบาลน่ะรู้จักกับแม่พี่เอิร์ธ จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องของเส้นสาย อีกอย่างก็เพราะที่พี่เอิร์ธยังทำงานที่โรงพยาบาลตอนนี้เหมือนช่วยๆคนอื่นอยู่ทั้งที่ตั้งใจจะลาออกตั้งแต่ต้นปีมาดูร้านยาที่เปิดทิ้งไว้แล้ว ไหนจะโรงงานผลิตยาธุรกิจของแม่มันอีก กลายเป็นว่าเรื่องงานหลักซึ่งเป็นเภสัชกรที่โรงพยาบาลเนี่ยเป็นงานช่วยเท่านั้นทุกคนเลยเกรงใจมันเป็นพิเศษ

    ผมเช็คของที่เบาะหลังของรถและใต้ที่นั่งให้มั่นใจว่าไม่ได้ลืมอะไรแล้วก็บอกลาสารถี ทีแรกพี่เอิร์ธจะตามขึ้นไปส่งถึงห้องแต่ผมเบรคมันไว้ก่อน ขึ้นไปกว่าจะลงมาเดี๋ยวก็ดึกอีก วันนี้ขลุกกับผมทั้งวันแล้วแทนที่จะได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านมากๆ ฝนยังพรำอยู่ด้วย ขับรถกลางคืนมันค่อนข้างอันตรายนะ ตอนแรกรุ่นพี่ทำท่าจะเถียง พอผมอธิบายว่าทำไมถึงอยากให้กลับเลยก่อนจะเพลียมันก็ยิ้มแก้มปริบอกดีใจที่ผมเป็นห่วง เอ้อ.. มันก็ปกติปะวะ ไม่มีใครอยากให้คนอื่นตายโดยที่ตัวเองมีส่วนเกียวข้องหรอก ไอ้นี่ก็ท่าจะบ้า



    “เดินทางดีๆแล้วกันพี่เอิร์ธ ถึงแล้วก็ไลน์มาบอกกันต์ด้วย”


    พี่เอิร์ธหันมายิ้ม มือที่จับเกียร์อยู่เลื่อนมาจับผมไว้ จังหวะที่ตัวเองกำลังงอยู่ จู่ๆก็ถูกประทับริมฝีปากที่หน้าผากเบาๆ ตกใจครับ แต่คราวนี้ไม่ได้ผลักมันออกเหมือนครั้งก่อนที่ถูกขโมยหอมแก้ม ที่เหลือไว้ในความรู้สึกคือเสียงตึกตักตึกตักเหมือนมีคนมารัวกองอยู่ในอกด้านซ้าย



    “ขึ้นไปก็รีบอาบน้ำนอนนะ เดี๋ยวพี่ไลน์ทิ้งไว้ให้พอถึงบ้าน”


    ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น หลบตาไม่ยอมเงยขึ้นสบมัน จนหนุ่มแว่นหัวเราะในลำคอเสียงต่ำเลยเผลอตวัดหางตาขึ้นมอง พี่เอิร์ธจ้องผมอยู่แล้ว คราวนี้มันเลยประคองหน้าผมไว้ด้วยมือทั้งสองข้างโดยที่ตัวเองไม่ได้ปัดป้องอะไรเลย



    “กันต์โคตรน่ารักเลยว่ะ”


    “อะ...อะไร!”


    ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยลงละเมียดละไมบนปรางค์แก้มของผมที่มันร้อนฉ่าจนแทบไหม้ พี่เอิร์ธขยับตัวเข้าหาวางโฟกัสตาไว้ตรงกลีบปากที่ถูกเม้มจนเป็นเส้น กระทั่งปลายจมูกเราสัมผัสกันอีกครั้ง ผมก็เผลอหลับตาลงเพราะกลัวจ้องหน้ามันมากๆเข้าจะสติแตกแล้วยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสแตะลงมาช้าๆที่ริมฝีปากในนาทีต่อจากนั้น พี่เอิร์ธเพียงแต่บดคลึงมันลงมาด้วยความอ่อนโยน ถ่ายลมหายใจจากจมูกสันปะทะใบหน้า และเอียงคอเพื่อดูดดึงปากผมได้ถนัดโดยไม่มีแว่นเป็นอุปสรรคกั้น มันไม่ได้ส่งปลายลิ้นเข้ามาล่วงเกิน แต่เฝ้าจูบย้ำๆหลายรอบจนพอใจถึงได้ผละถอย ผมปรือตาเปิดอีกครั้งเมื่อลมหายใจร้อนที่รดรินอยู่ข้างแก้มผละออกไปแล้ว คราวนี้กลับเป็นพี่เอิร์ธเองที่เอามือแตะปากเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่งของกระจกรถ สิ่งที่เหลือให้ผมเห็นนอกจากเรือนผมสีน้ำตาลเข้มก็เป็นหูที่แซมออกมาด้านข้าง มันแดงจัดเสียจนผมต้องเผยยิ้มออกมาแล้วหลุบตาลงบ้าง



    “กันต์....  โกรธหรือเปล่า?”


    คนถามเอ่ยเสียงสั่น ผมเงียบไปชั่วอึดใจ ไม่ได้โกรธแต่เขินระคนตกใจมากกว่า ไม่คิดว่าจู่ๆจะถูกจูบแบบไม่ได้ตั้งตัว พี่เอิร์ธมีท่าทีกะลิ้มกะเหลี่ยก็จริงแต่ไม่เคยเห็นมันจะดูจริงจังอะไรเหมือนเมื่อกี๊สักครั้ง ยิ่งปกติกับสาวๆผมเป็นคนบุกตลอดด้วย เจอจู่โจมเข้าให้ก็เงิบครับ มือไม้เกะกะไปหมด


    “ขอโทษ... แต่พี่อยากจูบกันต์จริงๆ....”


    “กันต์... กันต์......”


    ผมชะงักคำอยู่ที่คอหอย จะบอกว่าไม่โกรธก็ใช่ที่ เดี๋ยวจะพาลหาว่าผมอ่อยเข้าให้ พี่เอิร์ธถอนหายใจรินแต่ยังไม่ยอมสบตา มันยิ้มอ่อนก่อนไล่ผมลงจากรถ



    “ขึ้นห้องได้แล้ว ไว้ค่อยคุยกัน”


    ผมพยักหน้า เดินออกจากตัวห้องผู้โดยสารแคมรี่ด้วยท่าทีเงียบงัน ภาพของพี่เอิร์ธที่เคยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ภาพเวลาที่เปลี่ยนวิชาเรียนแล้วบังเอิญสวนกันลอยขึ้นเด่นชัด พี่เอิร์ธเวลายักคิ้ว เวลายิ้ม ตลอดไปจนถึงสีหน้าที่จริงจังเมื่อหกปีก่อนรวนกลับเข้ามาตีในหัวซ้อนๆกันเต็มไปหมด ทุกครั้งที่เราสบตากัน ผมเคยอยากจูบพี่เอิร์ธสักครั้ง ไม่ได้จูบด้วยพลังขับเคลื่อนทางเพศ แต่เป็นจูบเพราะแรงพิศวาสในใจ


    จูบ... เหมือนที่พี่เอิร์ธจูบผมเมื่อกี๊


    พอปิดประตูคอนโดลง ผมก็เผลอหลับตาแล้วแตะมือไปที่ริมฝีปากเบาๆ จูบเหมือนจูบของเด็กแรกรุ่น



    จูบที่กระชากทุกความรู้สึกของผมให้กลับคืนมา



    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×