ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #18 : ตอนที่18 อาจารย์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.77K
      67
      28 ก.พ. 59


    Dahlia 18



    ลมเย็นปะทะหน้าในช่วงเที่ยงวันของหน้าร้อน วันนี้อากาศดีกว่าทุกทีเพราะเมื่อคืนดึกๆฝนหลงฤดูกระหน่ำลงมาทำให้อุณหภูมิโลกลดลงกว่าปกติ ผมไม่ได้กินข้าวที่แคนทีนบริษัทเหมือนทุกวันเพราะเพื่อนสนิทขี้เหงามานั่งรอตั้งแต่11โมงกว่าแล้วลากผมมาร้านตามสั่งใกล้ๆบริษัทที่ลมสามารถโกรกผ่านได้สบายๆแทน



    “....แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ? มันปล่อยให้มึงหลับเป็นหมูนอนบนเขียงแล้วไม่ฟันโฉะเนี่ยนะ? โง่หรือโง่วะไอ้พี่เอิร์ธน่ะ”


    เสียงทุ้มต่ำของไอ้ใหญ่ดังกลั้วหัวเราะหลังจากผมจำใจเล่าเรื่องคืนที่ไปบ้านรุ่นพี่ฟัง ผมสะบัดตามองมันขวาง “ก็ไม่มีอะไร นอนเฉยๆ”



    “ทีหลังมึงขึ้นคร่อมเลย เริ่มก่อนได้เปรียบ เชื่อกู เผื่อจะได้จิ้มมัน”


    “ไอ้เหี้ย สมองเนี่ยนะ”


    “อย่ามาแอ๊บใส่กูไอ้กี้ หนังหน้าอย่างมึงนี่มาใสๆไม่ทันนะ จะบอกว่าคบกันแบบไม่คิดถึงเรื่องเซ็กส์เหรอ? เหอะ ไม่มีทาง”


    “มันยังไม่ถึงเวลาโว้ย”


    “โอ๊ย ทำเป็นไม่เคยเสียตัว” ใหญ่ทำเสียงสูง ผมถลึงตาใส่มันให้เงียบอีกรอบ คราวนี้มันหัวเราะขำ


    “เคยเสียตัวให้ผู้หญิง แต่ไม่เคยเสียตูดให้ผู้ชาย กูพูดชัดปะ?”


    เพื่อนรักกลั้นหัวเราะน้ำตาเล็ด ดูดโค้กไปทีเดียวรวดครึ่งแก้ว “ทีหลังจะไปนอนอ่อยใครก็มาปรึกษากูก่อน นี่ถ้าไม่หลุดพูดเรื่องแม่พี่เอิร์ธขึ้นมามึงก็กะจะไม่เล่าให้กูฟังเลยใช่ไหมไอ้แรด”


    “อ่อยพ่อง! มันฉุกละหุก มันบังเอิญ อีกอย่างก็ไม่มีอะไรสักหน่อย จะให้พูดกี่รอบเนี่ย”


    ผมยกนิ้วกลางสรรเสริญมันย้ำคำเยินยอ ใหญ่ขำก๊าก สาบานเลยว่าผมไม่เคยเกิดมาแล้วเจอใครอารมณ์ดีเท่ามันมาก่อน ผมเพื่อนเจ็บมันก็ขำ เพื่อนจะเสียตัวมันก็ขำ เพื่อนด่ามันยังขำเลย ผมนั่งฟังมันหัวเราะไปอีกพักใหญ่ ภาพตรงหน้าเป็นท้องถนนที่มีรถวิ่งกันขวักไขว่ ไอชื้นจากพื้นถนนกระเซ็นขึ้นในอากาศทำให้ผมเหนียวๆชื้นๆตัวบอกไม่ถูก กระทั่งจู่ๆเสียงโทรศัพท์เครื่องที่วางคู่จานเปล่าของกระเพราไก่ไข่ดาวดังแทรกตัวขึ้น และเบอร์โทรเข้าเป็นเบอร์ที่ต้องใช้โรมมิ่งจากต่างประเทศ ผมก็กดรับหัวคิ้วขมวด ใหญ่ปรายตามองแล้วยกแก้วขึ้นเคี้ยวน้ำแข็งกร้วม ไขว่ห้างดูวิวท้องถนนเมืองไทยที่รักของมันเหมือนไม่ใส่ใจทั้งที่เห็นรูปโชว์หราว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา



    “มิน...?”


    “เจมส์จะเลิกกับกู....”


    “.......ใจเย็นๆ ค่อยๆพูดมึง”


    “มันชอบคนอื่น... มันชอบคนที่เขาไม่เคยทำให้แฟนตัวเองเสียใจ....”


    “....................................”


    “.....กูมันเหี้ยมากใช่ไหมกันต์.....”


    “....................................”


    “กูมันเหี้ยมากใช่ไหม?”





    ผมถอนหายใจรอบที่ล้านตั้งแต่เที่ยงจนถึงเลิกงาน หลายเรื่องประดังประเดอยู่ในหัว หนึ่งก็แน่ล่ะ คือโทรศัพท์สายตรงจากญี่ปุ่นที่ร้องไห้เป็นเผาเต่าทำเอาผมไม่สบายใจเอาเสียเลย ส่วนที่เห็นกันจะจะตรงหน้าก็สีหน้าไม่พอใจจากไอ้อ้วนที่เขม่นผมตั้งแต่มีผู้ชายที่มันไม่รู้จักอย่างใหญ่ปรากฏตัวมารับผมไปกินข้าวเมื่อเที่ยง พี่เอิร์ธส่งขุนศึกมาเป็นไม้กันหมา โดยมันทำหน้าที่ได้ดีเวอร์ๆจนควรได้รับใบประกาศเกียรติคุณดีเด่น เพราะจนถึงเวลาเลิกงานมันยังหันมาถามผมย้ำๆว่าไอ้ใหญ่เป็นอะไรกับผมกันแน่ถึงต้องพากันมารับ มิหนำซ้ำราวห้าโมงเศษใหญ่ยังโทรมาบอกอว่านั่งรออยู่คอฟฟี่ชอปใต้ออฟฟิศทั้งที่ตั้งใจจะกลับตั้งแต่บ่าย ผมน่ะเข้าใจว่าฝนมันกระหน่ำลงมาอีกรอบใหญ่เลยไม่ไปไหน แต่ขุนศึกดูไม่ปักใจว่าจะเป็นแบบนั้น ซึ่งอันที่จริง ก็ถูกของมัน เรื่องฝนไม่ใช่ทั้งหมดที่ใหญ่บอกว่าจะ รอกลับพร้อมผมวันนี้


    “กว่าฝนจะหยุดก็บ่ายสามแล้ว รออีกสองชั่วโมงกว่ากูก็เลิกงานมันเลยรอ มึงคิดเหี้ยอะไรเนี่ยไอ้ขุน โทรไปถามพีเอิร์ธก็ได้ พีเอิร์ธก็รู้จักใหญ่ กูเป็นเพื่อนมันตั้งแต่มัธยม”


    ผมทวนเหตุผลให้เพื่อนร่วมงานฟังเป็นรอบที่สาม เราอยู่ในลิฟท์ตัวเดียวกันกับพนักงานคนอื่นๆ แต่คู่กรณีกลับยู่หน้า “ไอ้เอิร์ธมันจะไปทันอะไรคนอย่างมึง เจ้าชู้อย่างล่ะ กะล่อนอย่างล่ะ”


    “กูเนี่ยนะ เลิกตั้งแต่ช่วงคบกับพี่เมแล้ว อย่าใส่ความกู”


    “กูไม่อยากให้เพื่อนกูเสียใจ กูเป็นเพื่อนไอ้เอิร์ธ มึงเข้าใจไหม? คนอย่างมึงน่ะต้องติดตามตลอดเวลา นี่ถ้ากูซื้อจีพีเอสมาแปะหลังมึงได้กูทำไปแล้ว”


    “ไอ้เวอร์เอ๊ยย แล้วนี่จะตามกูไปถึงไหน?”


    “กูอยากเห็นหน้าเพื่อนมึง”


    ผมถอนหายใจเพิ่มเป็นรอบที่ล้านหนึ่ง พยักหน้าให้มันตัดรำคาญ สุดท้ายก็พากันมาจนถึงร้านกาแฟเล็กๆใต้สำนักงานจนได้ ใหญ่นั่งเล่นไอแพดอยู่โต๊ะในสุด สังเกตได้ไม่ยากในเมื่อทั้งร้านเหลือแค่ชายหน้าตาดูมีสกุลรุนชาติแต่เสื้อผ้าดูสถุลถ่อยจนพนักงานแทบเบ้หน้าใส่แค่คนเดียว



    “เพื่อนกู นี่ขุน นี่ใหญ่”


    ใหญ่พยักหน้างงๆ ผมหันไปหาขุนศึกแล้วไล่อีกครั้ง “ทีนี้มึงจะกลับบ้านได้หรือยัง?”


    “พวกมึงจะไปไหนกันต่อ?”


    “ไปเล่นเกมส์ที่คอนโดกู พี่เอิร์ธออกเวรแล้วจะตามมา มึงเอาเวลาไปเฝ้าเมียเถอะไอ้ขุน เชี่ย เลิกทำหน้าแบบนี้ใส่เพื่อนกูได้แล้ว อยากโดนต่อยฟรีหรือไง?”


    “เฮ้ยๆ ใจเย็น ว่าแต่ไม่มีอะไรกันแน่นะ?” ไอ้อ้วนถามกระซิบแต่ใหญ่ยังได้ยิน รายนั้นถามโพล่งมากลางเสียงเพลงคลอเบาๆของร้าน “นี่ก็ผัวมึงอีกคนเหรอไอ้กันต์ ร้ายเหี้ยๆเลยว่ะ ฮ่าๆๆๆ”


    ผมยกมือขึ้นกุมขมับ ขุนศึกทำหน้าเหรอหราสะบัดหน้าเป็นพัลวัน “ไม่ๆ กูไม่นิยมถั่วดำ”


    “พอเลยพวกมึง ได้ทีแล้วรุมกูนะ ไสหัวกลับบ้านไปเลยไอ้อ้วน ส่วนไอ้เหี้ยใหญ่ จะเรียกแทกซี่กลับเองใช่ไหมมากวนตีนกูเนี่ย”


    “ใช้คำพูดยังกับคนมีรถ” มันแขวะผมอีกรอบ ชักจะโมโหจริงๆแล้วว่ะ จะกวนตีนไปไหน เดี๋ยวกูไม่พาขึ้นรถเมล์ฟรีเลยแม่ง แต่สุดท้ายก็ต้องพามันขึ้นรถเมล์พัดลมกลับคอนโดอยู่ดีครับ ถึงจะบอกว่าเพราะติดฝนเลยไม่กลับบ้านแต่ผมก็รู้ว่าลึกๆแล้วมีอะไรมากกว่านั้น ไอ้ใหญ่ไม่ใช่คนที่จะอดทนรออะไรนานๆถ้ามันไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญจริงๆ และจากหน้าตอนที่ผมลงมา ก็พอเดาออกว่าครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน



    “มีอะไรก็พูดมา”


    พอถอดรองเท้าเข้าที่ ผมก็กอดอกถามแขกทันที ใหญ่เดินเข้าครัวก่อน หยิบขนมก๊อบแก๊บในตะกร้าหลังตู้เย็นมาแกะแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟากลางห้อง วันนี้ตอนโทรมาบอกว่ารออยู่ข้างล่างใหญ่บอกจะอยู่กับผมจนกินข้าวเย็น ขณะที่พี่เอิร์ธก็บอกว่าจะมาหาเหมือนกัน ผมเลยทิ้งข้อความบอกเภสัชกรหนุ่มไว้ว่าเย็นนี้ให้ซื้อกับข้าวมาสำหรับสามคนเผื่อใหญ่ด้วย โดยพี่เอิร์ธตอบกลับมาแค่คำว่าครับ สั้นๆ



    “กูก็ว่าจะไม่พูดแล้วนะ แต่คงเหลือเวลาไม่นานกูจะกลับอังกฤษ ขืนเป็นแบบนี้ต่อมีหวังคาราคาซังกันอีกนาน”


    เพื่อนสนิทอารัมภบท มันยื่นถุงขนมมาให้แต่ผมไม่กิน นั่งลงข้างๆใหญ่แล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบแทน จะว่าไปก็ไม่ได้ดูดมานาน จำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วเหมือนกัน



    “คนที่โทรหามึงวันนี้คือไอ้ห้องข้างๆใช่ไหม?”


    “อืม”


    “มันทะเลาะกับเมียคนที่ต่อยมึงเหรอ?”


    “ประมาณนั้น เห็นว่าจะเลิกกัน ที่จริง มันเพิ่งตกลงคบกันในฐานะแฟนแค่ไม่กี่วันก่อนไปญี่ปุ่นด้วยซ้ำ แต่เหมือนคั่วๆกันก่อนหน้านี้มาพักใหญ่แล้ว”


    “มึงรู้?”


    “....รู้”


    “แต่ก็ไปยุ่งกับมัน?”


    ผมอัดบุหรี่เข้าเต็มปอด ใหญ่ถอนหายใจยาวยืดแทน “ทำไมวะ?”


    “มันเป็นน้องพี่เม”


    “นั่นควรจะเป็นคนที่มึงยิ่งไม่ควรยุ่งเลยปะวะ?”


    “ก็ใช่... แต่ไม่รู้ว่ะ กูก็รู้สึกดีกับมันนะ กูเป็นห่วงมัน อธิบายไม่ถูก มันเป็นคนที่แสดงอารมณ์ออกมาชัดเจนเหมือนเด็กๆ กูอยู่ด้วยแล้วจะสบายใจ ไม่ต้องมาระแวดระวังว่ามันคิดอะไร ไม่พอใจมันก็แสดงออกมาว่าไม่พอใจ กูอารมณ์ไม่ดีมันก็อ้อนก็ทำดีด้วย....แต่พอมันร้องไห้แบบวันนี้ กูก็ไม่สบายใจเลยว่ะ”


    “แล้วพี่เอิร์ธล่ะ?” มันถามเหมือนผมจะสามารถตอบได้ง่ายๆ 
    ทันทีที่สิ้นคำถามเกี่ยวกับรุ่นพี่ที่เคยทำผมเจ็บช้ำจนแทบเสียผู้เสียคนมาแล้วผมก็นิ่งไปพักใหญ่ ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อพี่เอิร์ธก็ไม่ได้ดูแตกต่างกันนักคือไม่ว่าจะใคร ผมก็อยากให้อยู่ด้วยกัน อยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ


    “เขาเป็นคนที่ทำให้ใจกูเต้นแรงได้ตลอดเวลา...”


    ใหญ่ดึงบุหรี่ออกจากปากผมมาสูบแทน เคาะขี้เถ้าลงบนแก้วกาแฟที่ตั้งทิ้งไว้หลายวันก่อน หรี่ตามองผมนิ่ง “ไอ้ขี้เหงา”


    “กูไม่ได้น่าสงสารแบบนั้น....”


    “แบบนั้นแหละ ไอ้ห่า... กูบอกอะไรให้เอาบุญนะ คนเราอาจรู้สึกดีได้กับคนเป็นร้อย แต่สุดท้ายที่มึงรักและรู้สึกเสียไปไม่ได้จริงๆจะมีแค่คนเดียว แค่เผอิญความไม่สมดุลย์ของโลกคืออะไรรู้ไหมกันต์ บางทีคนที่เรารักก็ตอบสนองความต้องการเราได้ไม่ทั้งหมด นั่นแหละเป็นที่มาของการปรับตัวเข้าหากัน มึงจะมาทำตัวขี้เหงา เลือกไว้คนกั๊กไว้คนแบบนี้ตลอดไปไม่ได้นะเว่ย สุดท้ายมึงเองนั่นแหละจะไม่เหลือใคร....”


    “...........................”


    “รู้สึกดีกับรักมันต่างกัน มึงใช้คำว่ารู้สึกดีกับทั้งสองคนไม่ได้ เหมือนกัน มึงใช้คำว่ารักกับคนสองคนพร้อมกันไม่ได้ มึงแคร์ใครมากกว่า มึงเสียใครไปไม่ได้มากกว่า คนนั้นแหละที่สำคัญกับมึง... รักษาคนนั้นไว้ แล้วไม่ต้องไปแคร์ใครอีกแล้ว”


    ผมหลับตา ภาพของตัวเองกับผู้ชายสองคนวิ่งซ้อนทับขึ้นมาในหัว พักเดียวก็ลืมตาขึ้นสบตากับใหญ่




    “มึงว่ากูรักใครวะ?”



    “หมดกัน...”  นั่นเป็นเสียงสุดท้ายของไอ้ใหญ่ก่อนมันจะหัวเราะร่วนอีกครั้งแล้วตบหัวผมดังโผละ 


    “กูเสนออะไรอย่างไหม? มึงชวนพี่เอิร์ธมาอยู่ด้วยกันที่คอนโดเถอะว่ะ”


    “มึงจะบ้าเหรอ พี่เอิร์ธทำงาน จะมาอยู่กับกูได้ไง ไม่ใช่ใกล้ๆนะ”


    “แต่ที่ทำให้มึงกลัวพี่เอิร์ธอยู่ตอนนี้เพราะมึงกลัวว่ามันจะทิ้งมึงไปอีกไม่ใช่เหรอวะ? มึงรู้สึกไม่มั่นคงทุกครั้งที่มึงไม่เห็นพี่เอิร์ธไม่ใช่เหรอ ทำเป็นเก่งทำเป็นไม่มีอะไรไปเถอะ กูน่ะอาจารย์มึงนะ ทำไมจะไม่รู้ แผลตอนนั้นก็ใช่ว่าจะเล็กๆ ตามึงยังเคลือบแคลงทุกครั้งที่พูดถึงพี่เอิร์ธด้วยซ้ำ....”


    “นั่นมันก็ผ่านมาแล้ว กูไม่ได้คิดเรื่องนั้นแล้ว กูไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น”


    “กูรู้ มึงเป็นคนมีเหตุผล....” ไอ้ใหญ่อัดมวนบุหรี่เข้าไปจนปลายเป็นสีส้มแดงสว่างจ้า พ่นลมหายใจออกมาให้ควันเป็นรูปโดนัทฉุย “แต่ความเชื่อใจถ้ามันเคยถูกทำลายไปแล้ว จากนั้นมันต้องสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่แค่กลับมาขอโทษแล้วจบ มันเป็นเรื่องของความรู้สึก กูว่าพี่เอิร์ธต้องเหนื่อยมากกว่านี้ แล้วที่จริงมึงเองก็รอดูอยู่ว่าพี่เอิร์ธจะทำได้ถึงไหนไม่ใช่เหรอ?”


    “..........”


    “ส่วนไอ้ข้างห้อง ที่มึงรั้งๆไว้ เพราะมึงกลัวว่าสุดท้ายพี่เอิร์ธทำให้มึงผิดหวังอีกทีนี้จะเป็นแมวถูกตัดหนวดเดินไม่เป็นมากกว่ามั้ง ปล่อยไปเถอะว่ะ”


    “กูปล่อยมันไปตอนนี้ไม่ได้ มึงเข้าใจไหม มินมันทะเลาะกับแฟนอยู่...”


    “ห่วงน่ะห่วงได้นะกันต์.. แต่มึงลองใช้สมองน้อยๆของตัวเองไตร่ตรองดูซิ การที่มึงเอาตัวเองเข้าไปปลอบโยน พัวพันเนี่ย ทำให้อะไรมันดีขึ้นบ้าง นี่มึงก็อายุเท่ากูนะ อย่าให้ต้องสอนมากได้ไหมไอ้โง่” 


    ผมถอนหายใจโดยปราศจากควันบุหรี่ออกจากปอด เลื้อยตัวเองลงบนโซฟานิ่มหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูเบอร์โทรเข้าช่วงบ่ายแล้วพับลงเก็บ นึกถึงเสียงสั่นเครือ นึกถึงความผิดหวังที่ดังก้องมาจากคนละประเทศ ผมไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมายังไง มินพูดแค่นั้นแล้วก็ร้องไห้ ผมตอบไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกแบบไหน ที่แน่ๆคือไม่ได้ยินดีที่ภูมินทร์จะเป็นอิสระเลย เช่นกัน ปลายสายก็ไม่ได้ต้องการมาพูดเพื่อก้อร่อก้อติกผมหรือแสดงตัวว่ากำลังจะโสดสนิท ในทางกลับกัน ผมรับฟังมันเหมือนพี่ชายที่เป็นห่วงน้อง ผมอยากอยู่กับมันในเวลานี้ กอดมันไว้ หรือทำอะไรก็ตามที่ทำให้ภูมินทร์สบายใจบ้าง แต่จริงอย่างที่ใหญ่บอก ผมไมได้มีประโยชน์ขนาดนั้น มิหนำซ้ำ ตัวเองยังเป็นคนทำให้มันกับเจมส์มีปัญหากันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยซ้ำ ความจริงถึงผมจะคันๆ หน่วงๆในใจเวลาที่เห็นมินกับเจมส์อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่เก็บเอามาฟูมฟายอะไร ตรงกันข้าม พอรู้ว่าเจมส์กับมินมีปัญหากันต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม



    วันที่กูมีเรื่องกับพี่เอิร์ธแล้วมึงบอกให้กูกลับไปก่อน วันนั้นแหละที่กูขอเจมส์เป็นแฟน’


    ‘อ้าว มึงไม่ได้เป็นแฟนกันอยู่แล้วเหรอ?’


    ‘เปล่า... กูแคร์มันนะ แต่ไม่ได้ชอบมัน จนวันนั้น... ที่มันฟังเรื่องของกูยันเช้า....’


    ‘.............’


    ‘กูเลยจะลองจริงจังกับมันดู...’


    ‘.............’


     ‘แต่สุดท้ายกูก็ยังทำให้มันเสียใจ ไม่แปลกหรอก ถ้ามันจะเลือกใครคนที่เขาไม่เคยทำร้ายคนที่บอกว่ารักเหมือนกู....’


    ‘.............’


     ‘กูมันเหี้ยเอง...........’


    ‘.............’


     ‘กูมันเหี้ยเอง!’





    ผมยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก พร้อมกับเสียงออดที่ประตูคอนโดดัง คนที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นใครสวมแว่นกรอบดำอันเดิมยืนอยู่หน้าห้อง ในมือถือถุงกับข้าวมาด้วย ผมรับของจากพี่เอิร์ธเข้าครัว เห็นไอ้ใหญ่หันไปไหว้คนมาใหม่แล้วต่อสายเกมส์เพลย์ ผมกลับมาอีกทีมันก็นั่งเล่นเกมส์ต่อสู้กันทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องแล้ว



    “ใหญ่กลับวันไหน?”


    “อาทิตย์หน้าพี่ นี่เตี่ยยื้อๆมาหลายรอบแล้ว ทำไมเหรอ?”


    “เปล่าหรอก พอดีเพื่อนพี่จะจัดงานเลี้ยงเรียนจบเดือนหน้าน่ะ เขาให้มาชวนกันต์ไปด้วย พี่กลัวกันต์ไปแล้วจะเบื่อเลยว่าจะชวนเพื่อนกันต์ไปด้วย จะได้ไม่เหงา”


    “พี่นิคเหรอครับ?” ผมถาม พี่เอิร์ธพยักหน้า โย้ตัวไปตามเกมส์ที่เล่นด้วย “อยากชวนใครไปหรือเปล่า?”


    “แล้วแทนที่พี่จะให้กันต์ชวนใครไป ทำไมพี่ดูแลกันต์ไม่ได้ล่ะ?”


    ไอ้ใหญ่พูดขำๆ มันเองก็โยกตัวไปตามเกมส์ไม่ต่างกัน พักเดียวก็เอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงทีเล่นที่จริงที่ทำให้ทั้งผมทั้งพีเอิร์ธสะท้านนิ่งไปทั้งคู่ด้วยโทนนิ่งเรียบ สายตาชั้นเดียวของคนไทยเชื้อสายจีนดุจ้องไปยังหน้าจอที่ฉายภาพตัวอนิเมชั่นฝ่ายสีแดงกับสีน้ำเงินสู้กันอยู่ขณะที่ปากยกยิ้มหน่อยๆ



    “ผมจะฝากเพื่อนโง่ๆคนเดียวของผมไว้กับพี่นะ ดูแลมันไม่ดี ระวังจะโดนงาบไปแล้วกัน”


    ตัวการ์ตูนสีแดงกระโดดเตะอีกฝ่ายครั้งสุดท้าย พลังเลือดขีดสีแดงของพี่เอิร์ธหล่นฮวบ พักเดียวตัวอนิเมะของใหญ่ก็ชูมือขึ้นสูง มีคำว่า BLUE WIN ขึ้นหราเต็มหน้าจอ

    พี่เอิร์ธหันมาโปรยยิ้มบางให้ผม ดึงให้ลงมานั่งข้างๆกัน “ใครจะปล่อยให้คนอื่นงาบไป.....” พูดจบก็เอี้ยวตัวมาหอมแก้มผมต่อหน้าใหญ่ หัวใจผมเต้นแรงอีกครั้ง หน้าร้อนผ่าวลอบมองไปทางเพื่อนสนิทที่เบ้ปากหมั่นไส้ 


    “จะดูแลดีๆเลย ใหญ่ไม่ต้องห่วงหรอก”



    tbc
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×