ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #25 : ตอนที่25 It's gonna be ok 

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.98K
      63
      28 ก.พ. 59


    Dahlia 25


    ผมไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ไม่ได้ตื่นตามเวลาปกติของวันทำงานแต่ต้องสะดุ้งหลุดจากความฝันเพราะแรงกดทับพอรำคาญที่หน้าท้อง 
    เจ้าขาว แมวไทยหน้าบ้านๆร้องเหมียวๆกางเล็บย่ำพุงเปลือยให้ผมเจ็บๆคันๆ คงอยากออกจากไปข้างนอกเพราะพอลืมตาขึ้น ภายในห้องนอนที่ถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ไม่เห็นเจ้านายมันอีกคนแล้ว



    “พี่ชายเอ็งไปไหนขาว?”


    เมี้ยว...

    แมวน้อยกระโดดลงบนพื้นไปร้องหน้าประตู ผมพยุงตัวเองขึ้นจากเตียง เหลือบไปเห็นโนตแผ่นเล็กๆเขียนว่าลงไปดูโรงงาน ซึ่งหมายถึงส่วนต่อขยายของบ้านที่ถูกกั้นชัดเจนไปด้านหลัง ข้างกันนั้นมียาแก้อักเสบที่ถูกแกะฟอยด์ไปแล้วสองเม็ดกับพาราและหลอดครีมยาทาที่มีร่องรอยบู้บี้ เร่งให้เลือดสูบฉีดจนหน้าร้อนผ่าว เหตุการณ์เมื่อคืนยังผ่านมาสดๆร้อนๆ รับรู้ได้จากอาการเจ็บแสบด้านหลังและปวดจุกท้องน้อยจนตัวงอ ยังไม่รวมกับไข้ต่ำๆตลอดทั้งคืนยันช่วงสายของวัน  ทั้งที่ตอนแรกเป็นฝ่ายรุกเร้าพี่เอิร์ธแท้ๆ แต่กลับโอนอ่อนตามอีกฝ่ายง่ายดายเมื่อถึงเวลาอย่างว่า คิดแล้วอายชะมัด

    ผมแง้มประตูให้เจ้าขาววิ่งนำไปด้านนอก ส่วนตัวเองก็เดินไล่หลังช้าๆ เทอาหารแมวใส่ถาดกับเติมน้ำแล้วทรุดตัวลงบนโซฟาหน้าทีวี แม่พี่เอิร์ธไปวัดตั้งแต่เช้ากว่าจะกลับก็บ่าย ผมเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆจนเสียงประตูบ้านดังเลยหันไปมองชายหนุ่มในเสื้อคอวีสีเทา สวมกางเกงสั้นสี่ส่วนท่าทีประหลาดใจที่เห็นผมพาตัวเองลงมานั่งแผละชั้นล่างทั้งที่เมื่อวานยังต้องเป็นฝ่าย ถูกอุ้ม ขึ้นไปนอนชั้นสองอย่างหมดท่า ก่อนเดินยิ้มหวานมาหา ใช้หลังมืออังหน้าผากเบาๆให้ผมเบี่ยงตัวหนี



     “เป็นยังไงบ้าง ลงมาทำไม”


    “ไอ้ขาวกวน”


    “อ้าว พี่ลืมปล่อยมันออกมาจากห้องเมื่อเช้าเหรอ แล้วนี่ ปวดท้องอยู่หรือเปล่า? ยังมีไข้นะ  ครบสี่ชั่วโมงแล้วทานข้าวไหมจะได้ทานยาอีกรอบ”

    ผมไม่ได้ตอบ มองแต่สีหน้าเป็นกังวลนิดๆของหมอยาที่ไล่มือแตะบนหน้าท้องเบาๆ กระทั่งพี่เอิร์ธเงยหน้าขึ้นเห็นผมจ้องอยู่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน ขยับตัวมาจูบบนริมฝีปาก 



    “เมื่อคืนกันต์น่ารักมากเลย”


    “เลิกพูดเถอะน่า” แค่นี้ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว 

    มันไม่ใช่เผลอไผลไปแค่รอบเดียว แต่เมื่อคืนหลังจากถูกรุกล้ำบนโซฟาในครั้งแรกแล้ว ยังถูกอุ้มไปทำในห้องน้ำต่ออีกรอบ โชคดีที่ผมกับพี่เอิร์ธพกถุงยางติดกระเป๋ากันแค่คนละอัน พอหมดเครื่องป้องกันเลยหมดรอบให้อีกฝ่ายเอาเปรียบ รู้อย่างนี้ไม่พกเสียก็ดี เผื่อจะถูกทำแค่รอบเดียวแล้วไม่ต้องมานั่งหมดสภาพแบบตอนนี้ คอยดูเถอะ อย่าให้ถึงทีผมบ้างแล้วกัน 



    “เออ นี่ ตอนบ่ายถ้าดีขึ้นแล้วไปตรวจเลือดกันไหม?”

    คนพูดใช้นิ้วชี้เกลี่ยแก้มเกลี่ยปากผมไม่หยุด เจ้าของตาตี่ใต้เลนส์แว่นมองทั่วใบหน้าไม่ละสายตา  แววตาหวานหยดเหมือนคนพี้ยาทำเอาผมใจสั่น ยิ่งประโยคสมทบที่ตามหลังดังขึ้นแผ่ว ยิ่งทำให้หน้าผมร้อนผ่าว



    “นอกจากสบายใจกันทั้งคู่ วันหลังฉุกละหุกจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องถุงยางไง” 




    ---------------------


    สุดท้ายผมกับพี่เอิร์ธออกมาโรงพยาบาลกันในช่วงค่ำแทนที่จะเป็นบ่ายตามที่ตกลงเพราะอาการปวดท้องและมีไข้ของผมเพิ่งมาทุเลาเอาตอนเย็น เสร็จธุระชายหนุ่มก็พาผมมาเดินเล่นย่านโรงเรียนมัธยมที่เราจบกันมา ประตูโรงเรียนไม่ได้ปิด พี่เอิร์ธเลยชวนผมเดินเข้าไปในตึกสถาปัตยกรรมโบราณ โรงเรียนผมเป็นโรงเรียนชายล้วนเก่าแก่ มีการปรับปรุงเพียงทาสีและซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดจึงไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไรนัก ผมมองอาคารเรียนชั้น ม.5 กับอาคารชั้น ม.6 แล้วกระชับมือที่จับอีกฝ่ายแน่น ภาพความทรงจำเก่าๆลอยฟุ้งขึ้นมา   ผมรู้ในนาทีนั้นว่าส่วนที่ขาดหายของตัวเองกำลังถูกเติมเต็มเพราะใคร

    แสงไฟริมทางเดินเป็นไฟนีออนแต่ยังคงมืดอยู่ดีในเวลานี้ เมื่อก่อนผมกลัวผีที่โรงเรียนมาก ถ้าให้อยู่ทำงานดึกๆจะไม่ยอมอยู่เลย จนช่วงกีฬาสี ม.5 สิ้นสุดลง ผมกลับรักเวลาเย็นย่ำที่นักเรียนบางคนเตะบอล บางคนวิ่งเล่น พวกไอ้ใหญ่จะเป็นอีกแก๊งที่อยู่กันดึกหลังห้องน้ำ สูบบุหรี่บ้าง มั่วเซ็กส์บ้าง ขณะที่ผมมักใช้เวลาตอนนั้นอยู่กับพี่เอิร์ธ ให้อีกฝ่ายสอนการบ้านหรือถ้าไม่มีอะไรจริงๆก็คุยเรื่องสรรพเพเหระจนสมควรแก่เวลา พี่เอิร์ธจะเอ่ยปากก่อนว่าต้องกลับแล้ว แต่ยังไม่วายรอส่งผมขึ้นรถเมล์แล้วกำชับว่าต้องส่งเพจเจอร์มาบอกเมื่อถึงบ้านแล้วทุกครั้ง



    “...พี่เอิร์ธ”

    ผมเรียกอีกฝ่ายแต่ไม่พูด เสียงในใจสะท้อนคำบางคำซ้ำไปซ้ำมา พี่เอิร์ธยิ้มโชว์ลักยิ้มที่แก้ม ยกมือขึ้นยีหัวผมเบาๆ แต่กลับตอบสิ่งที่อยู่ในใจผมด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ



    “พี่ก็รักกันต์เหมือนกันต์”

    ..เหมือนกันต์  ที่รักพี่..


    ผมยืนยิ้ม น้ำตาปริ่ม
    มันเป็นเรื่องตลกที่เราได้มาเจอกัน เป็นเรื่องตลกร้ายที่เราต้องจากกัน และตลกร้ายที่สุดที่ได้กลับมาเจอและคบกันอีกครั้ง 
    พี่เอิร์ธเกลี่ยน้ำตาที่กลิ้งลงบนแก้มผมแบบไม่รู้ตัว ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้ มองมือที่จับกันไว้แน่นแล้วสัญญากับตัวเองว่านอกจากที่พี่เอิร์ธบอกจะไม่ปล่อยผมไปแล้ว ตัวผมเองก็จะไม่ปล่อยมือนี้ไปเช่นกัน ผมขยับตัวเข้าหาพี่เอิร์ธก่อนซุกตัวลงบนแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย พี่เอิร์ธหัวเราะเสียงต่ำ กระชับอ้อมแขนให้ผมจมลงไปกับความอบอุ่นที่แผ่กระจายรอบตัว



    “พี่....”


    “.....พี่กันต์...”

    เสียงเรียกคุ้นหูดังตัดประโยคของพี่เอิร์ธที่เอ่ยแค่วลีสั้นๆ ผมเอี้ยวตัวไปตามต้นเสียงก่อนรีบผละออกจากแขนใหญ่ที่โอบกอดรุ่นพี่ไว้ เจ้าของใบหน้าที่ละม้ายกันจัดยืนอยู่ข้างนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผม รอยยิ้มสวยของน้องสาวไม่ปรากฏบนหน้าเมื่อเราเจอกันเหมือนทุกที แววตาใสไหวระริก มองหน้าผมสลับกับพี่เอิร์ธไปมา



    “พี่กันต์.....เป็นเกย์?”


    “กานต์....พี่.....”


    “อ้น.. พากานต์ไปส่งที่บ้านหน่อย” ชนากานต์หันไปพูดกับเด็กผู้ชายวัยเดียวกัน ผมไม่รู้มาก่อนว่ากานต์มีแฟนอยู่ที่โรงเรียนนี้ แต่มือที่จับข้อศอกอีกฝ่ายเขย่าไหวไปมาทำให้ผมรู้ว่าน้องกำลังเสียขวัญ ยัยกานต์เริ่มร้องไห้ เขย่าแขนผู้ชายที่ชื่ออ้นซ้ำๆ “พากานต์กลับบ้าน อ้น...”


    “กานต์...กานต์! ใจเย็นๆ"


    "..................."


    ".................กลับบ้านกับพี่”





    บรรยากาศในบ้านหลังเล็กๆใจกลางเมืองยังคงปกติ ผมบังคับกานต์กลับมากับผมโดยพี่เอิร์ธคอยเป็นสารถีในเวลาถัดมาจนได้ แม่คดข้าวให้ผมกับกานต์เท่าที่เคยกิน แต่ตอนนี้เรากลับทานกันได้แค่คนละคำสองคำ กานต์ไม่มองหน้าผมเลย แต่ก็ไม่ได้พูดเรื่องวันนี้ให้พ่อแม่ฟัง น้องเหมือนจะตกใจมากกว่ารังเกียจซึ่งผมก็ตอบไม่ได้ว่าถ้าคนอื่นๆในบ้านรู้เรื่องนี้จะเป็นเหมือนกานต์หรือเปล่า  
    พ่อแม่พูดคุยเรื่องเด็กนักเรียนที่สอน กระทั่งเวลาผ่านไปได้พักใหญ่ๆ กานต์ก็บอกคนอื่นๆว่าอิ่มแล้ว จะรีบไปทำการบ้าน เหลือผมให้ช่วยแม่เก็บจานกับพ่อที่ดูเทปรายการฟุตบอลของเมื่อวานอยู่หน้าทีวี

    ความสับสนเกิดขึ้นเมื่อแม่ล้างจานเสร็จแล้วมานั่งใกล้ๆพ่อ เหลือโซฟาว่างหนึ่งตัว และสุดท้าย ผมก็ตัดสินใจว่าจะพูดเรื่องผมกับพี่เอิร์ธให้ทางบ้านรับรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งมันคงดีกว่าให้พ่อกับแม่มาบังเอิญเห็นผมกับหมอยาในภาพที่ผู้ชายสองคนไม่ควรจะประพฤติด้วยกันเหมือนที่กานต์เจอแน่ๆ กระนั้น ความหวั่นใจก็ทำให้ผมรู้สึกเย็นวาบทั้งมือแม้เม็ดเหงื่อจะชื้นซึมทั่วใบหน้า


     “ไปทำอะไรผิดมาหรือไง ดูทำท่าทำทางเข้า?” พ่อถามทีเล่นทีจริงเมื่อเห็นปฏิกิริยา ผมพยักหน้า ปลายเล็บเริ่มจิกเข้าหาฝ่ามือจนเจ็บ


     “พ่อครับ แม่ครับ......แฟนใหม่กันต์...."




    "....เป็นผู้ชาย”



    เกิดความเงียบชั่วขณะเมื่อประโยคนั้นจบลง ผมจิกมือแรงขึ้น หัวใจเต้นระทึกเหมือนเล่นรถไฟเหาะ แต่ไม่นานเกินอึดใจ เสียงของชายวัยกลางคนก็ถามซ้ำสั่นเครือว่า   “....แกพูดอะไร?”


    “กันต์เป็นเกย์... ”  


    ผลัวะ!!


    “พ่ออย่า!!"

    นั่นเป็นเสียงของยัยกานต์ที่ตะโกนมาจากบันไดหลังจากผมถูกซัดจนหน้าหงาย น้องสาววิ่งมารวบแขนพ่อไว้กับแม่ “พ่อใจเย็นๆสิ!”


    “ไม่รักดี! มึงต่อยกูมา ต่อยแบบลูกผู้ชายเขาทำกัน มึงต่อยกูแล้วกูจะคิดเสียว่าเรื่องเมื่อกี๊มึงไม่ได้พูด”


    “พ่อ!! ฟังลูกพูดก่อน”


    “กูไม่ฟัง! ถ้ามึงเป็นเกย์ มึงไม่ใช่ลูกกู! กูไม่เคยสอนลูกให้เป็น....”


    “พ่อ!!”

    แม่กับน้องกอดพ่อเอาไว้แน่น เสียงผู้ใหญ่เถียงกันดังสลับไปมา ผมถอยห่างจากเดิมเมื่อพ่อเหวี่ยงขาจะเตะ เสียงเล็กของกานต์ตะโกนไล่แทรกความโกลาหลที่เกิดขึ้นชั่วพริบตา 


    “กันต์กลับไปก่อน! เค้ากับแม่จะจับพ่อไม่ไหวแล้ว” 

    ผมเงียบ ทำอะไรไม่ถูก กระทั่งน้องสาวตะโกนย้ำว่า “เร็วๆสิ!!” จึงเดินถอยหลังออกมาพร้อมหัวใจที่หมุนวน


    นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมถูกพ่อทำร้ายและไล่ตามหลังว่าไม่ต้องกลับมาให้เห็น หลังจากครั้งแรกที่ถูกอีกฝ่ายจับได้เรื่องบุหรี่ คำด่าทอมากมายพรั่งพรูจากเจ้าของแววตาผิดหวัง ครอบครัวเจ็บปวด ผมก็เจ็บปวด เราไม่มีความสุขทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่ผมก็ทิ้งพี่เอิร์ธไม่ได้ ทิ้งครอบครัวก็ไม่ได้ ทุกคนย่อมต้องการความรัก และทั้งพี่เอิร์ธกับครอบครัว ก็ล้วนแต่เป็นความรักของผมเช่นเดียวกัน


    ผมเดินเม้มปากเปิดประตูรั้วออกมา พี่เอิร์ธยืนรออยู่ข้างนอกตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ชายหนุ่มกระชากตัวผมเข้าไปกอดทันทีที่พ้นเขตบ้าน ผมกระชับแขนรัดรอบตัวชายหนุ่มราวกับให้เป็นหลักสุดท้ายของชีวิต ไม่ได้ร้องไห้ แต่รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก มีก้อนแข็งๆจุกอยู่ในลำคอ แน่นไปถึงอก พี่เอิร์ธกระซิบแผ่วเบาชิดหูอย่างคนเคยผ่านเหตุการณ์คล้ายๆกันนี้มา 



    “ไม่เป็นไรกันต์ ให้เวลาท่านหน่อย ใจเย็นๆนะ”

    ผมพยักหน้าพลางกลั้นสะอื้น ในนาทีนั้นผมไม่แน่ใจว่าตัวเองกับพี่เอิร์ธ 


    ...ใครกำลังกอดใครแน่นกว่ากัน



    ++++++++++++++

    ภายในบ้านพักขนาดกลางที่ด้านหน้าเปิดเป็นร้านขายยา ด้านหลังเป็นโรงงานผมกำลังนั่งจับเข่าฝืนยิ้มให้กับแม่พี่เอิร์ธที่พยายามพูดปลอบใจพักใหญ่นับตั้งแต่ที่เรากลับมากันตอนดึกๆ กระทั่งถึงเวลาอันสมควร แม่พี่เอิร์ธก็ตบบ่าปุยิ้มใจดีให้ผมก่อนปลีกตัวเข้าห้องนอน เหลือผมกับพี่เอิร์ธแค่สองคนที่ยังคงนั่งจับเจ่าอยู่ในห้องรับแขกเงียบๆ โทรทัศน์หรือวิทยุปิดหมด เราไม่มองหน้ากัน แต่จับมือกันเอาไว้ราวกับบอกว่า วันที่ไม่เห็นหนทาง อีกฝ่ายจะไม่ทิ้งกันไปไหน 

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแทรกความเงียบที่ดังกึกก้องระหว่างเรา ผมเหลือบไปมองเห็นว่าเป็นเบอร์ของพระเอกหนุ่มที่ห่างหายหน้าไปสักพักก็ปล่อยมันไว้ที่เดิม สายตัดไปรอบหนึ่งแล้วมันก็ดังขึ้นใหม่ ครั้งนี้เลยอดรับอย่างเสียไม่ได้



    “ว่าไงมิน”


    “เย็นศุกร์ไปแดกข้าวกัน”


     “ไม่ไปอะ....”

    ผมตอบเสียงเนือย ปลายสายจึงพาลเปลี่ยนน้ำเสียงที่ฟังดูกวนประสาทในทีแรกให้อ่อนลง “มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะ”


    “มีปัญหานิดหน่อย มึงไม่ได้มีธุระอะไรใช่ไหม แค่นี้ก่อนนะ”


    “เฮ้ย มีอะไรพูดกับกูได้นะเว้ย เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ? ทะเลาะกับไอ้พี่เอิร์ธหรือไง?”


    “เปล่า... แค่นี้ก่อนนะ”

    ผมตัดสาย ทิ้งโทรศัพท์ลงข้างตัวก่อนเอนตัวซบไหล่หนาของพี่เอิร์ธ เหนื่อย ท้อ เจ็บปวด และผิดหวัง ที่แม้แต่สัมผัสจากริมฝีปากของชายหนุ่มที่เกิดขึ้นบนเส้นผมเบาๆก็ไม่อาจทำให้อารมณ์สีเทาที่แผ่กระจายอยู่ในใจให้กระจ่างได้



    “มินชวนไปเที่ยวเหรอ?”


    “ชวนไปกินข้าวศุกร์นี้”


    “กันต์.....” พี่เอิร์ธกระซิบทั้งที่จมูกยังคลอเคลียอยู่บนศรีษะ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพี่เอิร์ธก่อนที่จะถูกจูบเอาใจอย่างอ่อนหวานที่ริมฝีปากเบาๆ “...พี่ไม่ได้ชอบให้กันต์ไปสนิทสนมกับภูมินทร์หรอกนะ แต่ปัญหาของเราตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเวลา  พี่ว่าช่วงนี้กันต์พยายามอย่าเครียดมากไปดีกว่า”


    “..............”


    “ไปเที่ยวกับเพื่อน ปรึกษาหลายๆคนก็ดีนะ เราจะได้มาช่วยกันคิดว่าจะแก้กันยังไงต่อไป พี่ไม่อยากให้กันต์มาจมกับเรื่องนี้มากเกินไป กันต์ก็รู้ว่าพี่....”


    “เป็นห่วง”

    ผมเติมคำที่มักต่อท้ายประโยคจากอีกฝ่ายแล้วกอดพี่เอิร์ธแน่น ถอนหายใจยาวเหยียดแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะรำคาญแม้แต่น้อย “พี่เอิร์ธผ่านตอนนั้นมาได้ยังไง... ไม่มีได้มีกันต์เหมือนที่กันต์มีพี่ตอนนี้...”


    วันที่พี่เอิร์ธสับสน วันที่พี่เอิร์ธต้องต่อสู้กับแม่ที่ไม่เข้าใจเพียงลำพัง 



    อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอกระชับแขนแน่นขึ้นกว่าเก่า “เพราะไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกไงกันต์... เดี๋ยวท่านก็เข้าใจ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”








    หลังเลิกงานวันศุกร์เป็นช่วงเวลาที่ผมอยากกลับไปนอนแผละหมดอาลัยตายอยากมากกว่าทุกวันในรอบสัปดาห์ ไม่ได้อยากถูกลากคอไปกินพิซซ่าในวันที่อากาศอบอ้าว แต่ห้าโมงครึ่งเป๊ะไอ้ขุนก็มาล็อคตัวผมปล้นกุญแจแคมรีของพี่เอิร์ธบอกไปรับเหยา แล้วโทรเรียกภูมินทร์ให้พาผมไปเจอกันที่ร้านหน้าตาเฉย 



     “เดี๋ยวกูแวะไปเอาของที่บริษัทแป๊บ มึงก็รอบนรถนี่แหละ ไม่นาน”

    คนขับรถหน้าตาดีจัดพูดแบบไม่ขอความเห็นหลังจากยัดผมเข้าแลมโบกินีเป็นผลสำเร็จ ผมปรายตามองเจ้าของรถยังไม่เปลี่ยนป้ายทะเบียนด้วยหางตา แล้วกอดอกเงียบ ไม่กี่นาทีจากนั้นรถหรูก็จอดอย่างนิ่งสงบหน้าอาคารขนาดใหญ่ มันลงจากรถแบบไม่ดับเครื่อง พอลับสายตาดาราหนุ่มแล้วผมถึงกดโทรออกหาเจ้าของบ้านที่พักอยู่ด้วยตอนนี้ทันที อดสงสัยไม่ได้ว่าการรวมตัวของไอ้ขุน เหยา และมิน มันน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรบางอย่าง



    “พี่เอิร์ธ กันต์ไปกินพิซซ่าเตาถ่านกับพวกไอ้ขุนนะ วันนี้กลับมืดหน่อย ต้องใช้รถหรือเปล่า?”


    “หืม ไม่หรอก ตามสบายเลย ถ้าจะกินเหล้าก็ให้ใครสักคนมาส่งด้วยแล้วกัน อย่าขับเอง”


    “มินก็มาด้วยนะ”


    “อืม หรือถ้าจะให้พี่ไปรับก็โทรมาบอกแล้วกัน เดี๋ยวพี่เรียกแท็กซี่ไปหา ไม่นานมากหรอก”


    “พูดเหมือนรู้ว่ากันต์จะไปที่ไหน?”

    ปลายสายหัวเราะแต่ไม่ตอบ ผิดจากที่คิดที่ไหน ไอ้มินกับขุนเนี่ยไม่น่าจะเป็นพวกที่บังเอิญมาสนิทกันได้นอกเสียจากมีใครสักคนแนะนำมันให้มาเจอกัน ผมออกมายืนพิงนอกรถ ฉุนเฉียวกับตัวเองเมื่อปลายสายตัดไป พักใหญ่ๆไอ้มินก็เดินมา แต่สงสัญญาณว่าขอสูบบุหรี่ก่อน กระนั้นผมก็ยังก้าวฉับๆไปหามันไม่สนใจว่ามันต้องการเวลาส่วนตัว



    “พี่เอิร์ธบอกให้พวกมึงลากกูไปเที่ยวเหรอ?”


    “ก็มึงซึมๆมาทั้งอาทิตย์แล้วไม่ใช่หรือไง?”


    “แต่กูไม่ได้อยากไปไหน อยากกลับไปนอน”


    “ทุกคนเขาก็ห่วงมึงกันทั้งนั้น อย่ากั้นกำแพงหน่อยเลย มีอะไรก็พูดมา หรือมีผัวเลยมองไม่เห็นหัวเพื่อนกันแล้ว”

    ภูมินทร์พูดก่อนอัดควันบุหรี่เข้าปอด จากนั้นก็ปักก้นบุหรี่ที่เหลือลงบนกระถางทราย ผมเม้มปากแน่น เพราะรู้ว่าทุกคนห่วงเลยพยายามเก็บมันไว้ในใจคนเดียว แต่สุดท้ายพอเห็นแววตาจริงจังของภูมินทร์ก็ยอมผ่อนตาม เดินไล่เจ้าของรถหรูที่ยังคงหวังดีกับผมเหมือนที่เคยพูดกลับไปที่รถ ระหว่างทางมินเจอเพื่อนร่วมงานอีกคนที่ผมคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร   มันแวะคุยกันสักพัก โดยผมไม่ได้ใส่ใจจะฟัง แค่ได้ยินชื่อเจมส์โผล่มาแว่วๆก็รู้ว่าคงทำงานด้วยกันทั้งกับมินและเจมส์ คิดถึงไอ้เด็กนั่นที่ทำให้ผมอาจต้องทำตัวเป็นหมากันไม้จำเป็นแล้วอดทำหน้าเบ้ไม่ได้ กงกรรมกงเกวียนอะไรของกูก็ไม่รู้ถึงยังไม่หลุดบ่วง ปัญหาตัวเองร้อยพัน ไม่รู้ว่าจะต้องสาระแนเอาตัวเข้าไปช่วยแก้ปมคนอื่นอีกเมื่อไร สุดท้ายไอ้มินกับพี่หล่อคนนั้นก็แยกกันขึ้นรถ ผมมองทอดออกไปนอกกระจกแล้วมินก็เริ่มเล่าว่าต้องบินไปเปิดกล้องที่อิตาลีพรุ่งนี้ ละครเรื่องใหม่ยังคงมีเจมส์รับบทหลักๆด้วย จนแล้วจนรอดก็วกเข้าประเด็นตัวเอง คือให้ผมไปส่งมันที่สนามบินแสร้งแสดงตัวให้น้องมันตัดใจที สลัดผักเอ๊ย แล้วตอนแรกบอกว่าห่วงกูๆ ตอแหลไม่มีใครเกินล่ะไอ้เวรนี่



    ร้านพิซซ่าเตาถ่านที่เป็นจุดนัดพบอยู่ย่านถนนข้าวสาร ผมกับสามทหารเสือสั่งอาหารมากมายมากินจนอิ่มแปล้ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้เล่าอะไรให้พวกมันฟัง ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่ไม่รู้ว่าพูดไปแล้วจะได้อะไร ไอ้ขุนพยายามเซ้าซี้ ขณะที่เหยาห้ามปราม คนที่นั่งมองหน้าผมนิ่งๆเป็นภูมินทร์ กระทั่งเช็คบิลเสร็จพวกมันก็ลงมติโดยไม่ถามผมว่าจะไปดื่มกันต่อร้านนั่งชิลแถวนี้โดยไอ้ต้นที่เพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดจะตามมาด้วยอีกคน


    ผมสั่งเบียร์มาดื่มเหมือนคนอื่น นั่งจิบไปฟังเพลงไป มินก็เริ่มถามว่าผมเป็นอะไร มันได้ยินจากพี่เอิร์ธว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจแต่ไม่คิดว่าจะเงียบได้ขนาดนี้ เราสั่งเบียร์มาเรื่อยๆ เวลาก็เริ่มล่วงเลยไปนานขึ้น กระทั่งสติที่มีเริ่มเลือนราง ผมถึงยอมพ่นเรื่องในใจออกมาให้คนอื่นฟัง จำไม่ได้ว่าพูดไปมากน้อยแค่ไหน รู้แค่ว่าได้พูด ร้องไห้ แล้วก็พูดต่อ เหยาพยายามบอกผมว่าเดี่ยวก็ดีขึ้น ส่วนมินก็เล่าเรื่องที่ตอนพี่เมรู้ว่ามันเป็นเกย์ในช่วงแรกๆให้ฟัง ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง รู้แค่ว่า สุดท้ายมินมันก็ผ่านมาได้เหมือนพี่เอิร์ธ เหมือนเพื่อนมันคนอื่นๆ เหมือนรุ่นพี่รุ่นน้อง เหมือนหลายๆคน

    ผมจับมือมินไว้ ถามมันว่าจะผ่านไปใช่ไหม...ความรู้สึกแบบนี้ ความกังวล อึดอัดใจ ทางมืดๆที่เราสามารถจับใครสักคนไว้ได้แต่มองไม่เห็นทางให้เดิน ผมไม่รู้ว่าพ่อจะให้อภัยผมไหม ผมไม่รู้ว่าเราจะมีบ้านหลังเดิมที่อบอุ่นอีกหรือเปล่า แต่มินกับคนอื่นๆรับปากกับผมว่า เดี๋ยวมันจะผ่านไป


    ผมรู้สึกตัวอีกทีตอนถูกดึงให้ออกจากแขนภูมินทร์ที่กอดอยู่ พี่เอิร์ธมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ทำหน้าถมึงทึงใส่คนข้างๆ ผมเปลี่ยนจากกอดมินมากอดพี่เอิร์ธแน่น ตอนนี้ไม่มีใครชวนคุยต่อ ในโต๊ะเราเต็มไปด้วยความเงียบและการสื่อสารผ่านสายตา ทว่าก็ยังคงมีเสียงหนึ่งที่กระซิบมาว่าร้องออกมาให้หมด.. ความอึดอัดที่ทนเก็บไว้มาทั้งอาทิตย์ ให้ผมร้องไห้ออกมา...


    และผม    ก็ร้องออกมาจนหมด ตามที่ทุกคนอนุญาตจริงๆ




    tbc
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×