ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าชายสายเถื่อน!(กึ่งBL)

    ลำดับตอนที่ #3 : เผชิญหน้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.76K
      164
      18 ม.ค. 65

    เผชิญหน้า

     

     

    วันรุ่งขึ้น วัฒนาและพลพลได้เดินทางไปที่สำนักงานK.U.N.เพื่อทำธุระ  เมื่อเสร็จเรียบร้อยทั้งคู่ก็มาอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งโดยตกลงกันว่าจะหาอะไรกินก่อนกลับ

    “นายจะกินอะไรเหรอวัต” พลพลหันมาถามคนข้างๆ เด็กหนุ่มยืนคิดสักพักจึงตอบ

    “กินอาหารจีน”

    “โอเค งั้นไปร้านอาหารญี่ปุ่น” ว่าจบก็ลากแขนคนตัวเล็กกว่า5เซนติเมตรเดินตรงไปยังโซนอาหารญี่ปุ่นทันทีโดยไม่มองสีหน้าสตั้นของคนโดนลากซักนิด

    ‘แล้วจะถามทำเพื่อ?' วัฒนาส่ายหัวเบาๆ แต่ก็ยอมเดินไปตามแรงที่อีกฝ่ายลากไป

    เมื่อมาถึงทั้งสองก็สั่งของที่ตัวเองตนเองอยากกินทันที วัฒนาที่ไม่ได้ออกจากบ้านมาเป็นปีย่อมยังไม่ชินเท่าไหร่แต่ก็ได้ชายหนุ่มอีกคนคอยบอกเล่าความเป็นไปของเมืองนี้ให้เด็กหนุ่มได้รู้ตลอดเวลาที่สงสัย

    นั่งรออาหารได้ไม่นานสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อดูดีๆ ก็พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง พลพลสังเกตเห็นคนตรงหน้าเงียบผิดปกติจึงหันไปมองบ้าง เขาตกใจนิดๆ ไม่คิดว่าจะเจอคนสองคนที่ไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่

    “อาหารมาแล้วค่ะ” เสียงของพนักงานสาวดึงสติของบุรุษทั้งสอง  วัฒนาและพลพลล่ะจากภาพตรงหน้าก่อนจะมาสนใจอาหาร

    “คุณคะ ดาว่าเรานั่งโต๊ะนี้ดีกว่า มาน้องวินมานั่งข้างแม่มา”

    สองหนุ่มสันหลังเย็นวาบ พลพลชะงักตะเกียบเอาไว้ส่วนวัฒนาแม้จะยังกินเหมือนปกติแต่รังสีทะมึนกระจายออกรอบๆ ตัวจนพลพลสัมผัสได้ ‘งานเข้าแล้วไง’ ชายหนุ่มเหงื่อตกเมื่อเผลอไปสบตากับชายหนุ่มโต๊ะข้างๆ ที่มองมายังเขาโดยตรง อยากจะพากันลุกออกไปจากร้านนี้เหลือเกินแต่ทำไม่ได้เมื่อสั่งของกินมาแล้ว คิดได้ดังนั้นเขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกินต่อไป

    ฝั่งดาหลาที่ตอนแรกกะจะเดินขึ้นไปโซนวีไอพีแต่สายตาเธอก็สังเกตุเห็นเด็กหนุ่มตัวแสบนั่งอยู่ในร้านเธอจึงอ้อนให้สามีเธอพาไปทันที

    “คุณคะ ดาอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ดาว่าเราไปนั่งโต๊ะนั้นดีไหมคะ"

    ‘ให้มันได้อย่างนี้สิ!!!’ สองหนุ่มต่างวัยทำได้แค่สบถในใจ

         


     

    ณ ที่แห่งหนึ่งของกาลเวลา

    เสียงรองเท้านับสิบคู่เดินไปมาบ่งบอกว่าคนพวกนี้รีบเร่งเพียงใด ชายชราและลูกมืออีก2คนมองร่างหญิงสาวที่กรีดร้องอย่างทรมาณจากพิษร้าย น้ำตาของหญิงสาวหลั่งรินเมื่อนึกถึงอีกหนึ่งชีวิตในร่างกายของนาง

    “น้องหญิงเจ้าต้องไม่เป็นไร” ชายหนุ่มร่างสูงพูดปลอบหญิงคนรักที่นอนหายใจรวยรินโดยมีหมอหลวงคอยเร่งรักษาอยู่

    “ท่านพี่ หม่อมฉันไม่เป็นไร แต่หม่อมฉันเป็นห่วงลูก…” ร่างบางหายใจขัด ความเจ็บปวดเริ่มเข้ามาทิ่มแทงอีกครั้งมือบางบีบมือหนาแน่น ร่างสูงเห็นอาการนั้นยิ่งร้อนใจ ห่วงทั้งลูกห่วงทั้งคนรักจนใจแทบขาด

    “หมอหลวง มีวิธีใดที่จะช่วยนางและลูกของเราได้บ้าง” ราชาหนุ่มถามหมอหลวงเสียงเข้ม

    “ทูลฝ่าบาท อาการของพระมเหสีตอนนี้ไม่มีทางที่จะรักษาได้แล้วพะยะค่ะ  ส่วนพระโอรสนั้นกระหม่อมพอจะมีวิธียื้อชีวิตได้พะยะค่ะ” หมอหลวงชรากล่าวออกมาทำให้ร่างสูงหันมามองด้วยความไม่เข้าใจ

    “ท่านพี่  ให้หมอหลวงจัดการเถอะเพคะ หม่อมฉันรู้ตัวดีว่าพลังชีวิตของหม่อมฉันมีไม่มากแล้ว” เสียงอ่อนแรงพร้อมสายตาอ้อนวอนของหญิงสาวจ้องลึกลงไปในสายตาคนรัก แม้ในใจยังหวั่นกลัว ว่าวิธีที่จะยื้อชีวิตลูกน้อยที่เติบโตอยู่ในท้องของนางได้อย่างไรกัน เมื่อลูกของนางนั้น…

    “แต่ลูกในครรภ์เจ้าเพิ่งจะห้าเดือนเองนะ” ชายหนุ่มแย้ง ลูกของพวกเขาเพิ่งจะห้าเดือนเท่านั้น

    “ได้โปรดท่านพี่ เพื่อหม่อมฉัน  เพื่อ’ลูกของเรา’” ลูกของเรา คำๆ นี้ตอกย้ำเข้าไปในจิตใจของชายหนุ่ม กำแพงหินผาทลายลงไปในพริบตา น้ำตาของมหาราชหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย เจ็บใจที่ไม่สามารถช่วยนางเป็นที่รักได้ เสียใจที่ต้องจากกันตลอดการ ความเศร้าโศกที่สื่อออกมาจากน้ำตาแม้จะไร้เสียงแต่เหล่าบริวารในที่นั้นยังรู้สึกถึงความเสียใจจากการสูญเสียครั้งนี้  

    ร่างแกร่งยืดตัวขึ้นตรง มองหญิงสาวที่ส่งสายตาเป็นกำลังใจมาให้ก่อนเสียงทรงอำนาจเอ่ยออกมา

    “วิธีใดที่จะยื้อชีวิตลูกของเราได้”

    หมอหลวงตัวสั่น ก้มหน้ารีบตอบ “วิธีนี้อยู่ในบันทึกต้องห้ามพะย่ะค่ะ หากแต่ต้องใช้ลูกแก้วแห่งชีวิตเป็นสิ่งยื้อร้างกายและชีพจรให้คงอยู่ก่อนเปลี่ยนถ่ายใส่ร่างภาชนะ โดยผู้ที่ต้องเป็นร่างภาชนะต้องกลืนลูกแก้วแห่งชีวิตเข้าไปก่อนเพื่อให้ร่างกายสร้างครรภ์ทิพย์ขึ้นมาพะย่ะค่ะ” 

    “หมอหลวง  จงทำวิธีที่จะทำให้ลูกของข้าและสุวรรณวารีให้มีชีวิตอยู่!” กษัตริย์หนุ่มตัดสินใจทำตามคำขอของคู่ชีวิต แม้จะต้องตายเขาต้องปกป้องลูกแทนนางจากความโสมมในราชสำนักนี้และโลกภายนอกให้จงได้ หากแต่หมอหลวงกลับเหงื่อตก “ทูลฝ่าบาท ลูกแก้วแห่งชีวิตในโลกนี้มีเพียงเจ็ดลูกเท่านั้นพะย่ะค่ะ และมันได้หายสาบสูญไปกับสงครามเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนแล้ว”

    “หมายความว่ายังไง ถ้าอย่างนั้น…..”

    “ไม่ต้องกังวลหรอกท่านพี่ แค่ก! ลูกแก้วที่ว่ามานั้นน้องมีอยู่ อึก น้องขอฝากลูกของเราไว้ที่ท่านด้วย” พระนางสุวรรณมาลีกล่าวจบก่อนจะสำรอกลูกแก้วสีมรกตขนาดเท่านิ้วโป้งเด็กออกมาวางไว้ให้สามี มือขาวซีดลูบเบาๆ ที่ท้องกลมที่มีอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นเดียวกับนาง นัยน์ตาสวยมองผู้เป็นสวามีครั้งสุดท้าย ก่อนสติของนางจะค่อยๆ จมลึกลงไปช้าๆ แต่ก็ยังรับรู้ว่ามีมือหนึ่งยื่นมากอบกุมมือของนางเอาไว้ ราวกับจะบอกว่าสัมผัสนี้จะอยู่กับนางจนกว่าเส้นชีวิตจะหายไป…ตลอดกาล

    “หมอหลวง ท่านจงนำลูกของข้า มาไว้ในตัวข้าเถอะ” กษัตริย์ครุฑราชกล่าวเสร็จก็กลืนลูกแก้วมรกตลงไปทันที

    “แต่ว่า…”

    “ไม่มีแต่ ทำตามคำสั่งข้า เดี๋ยวนี้…” มหาราชหนุ่มสั่งอย่างเด็ดเดี่ยว หมอหลวงชรากลับมองท่าทางนั้นเหมือนเด็กเอาแต่ใจและร้อนรน 

    “เร็วๆสิ ลูกข้าต้องการความช่วยเหลือนะ”

    “ฝะ ฝ่าบาท…”

       หมอหลวงอยากจะท้วงขาดใจ การเอาเด็กทารกออกมานอกครรภ์ก่อนกำหนดมาใส่ไว้ในใส่สิ่งอื่นนอกจากมารดานับว่ายากแล้ว แต่นี่ให้เอามาใส่ในตัวบุรุษที่ร้อยวันพันปีก็มิเคยจะมี และถึงจะไปเปิดตำราการแพทย์หาถึงการเอาเด็กมาใส่ในกายบุรุษแทนสตรีแบบนี้ต่อให้หาจนพลิกแผ่นดินก็ไม่เจอแน่นอน ฝ่าบาท ท่านคิดจะทำสิ่งใดกัน!!!   


     

    กลับมาที่ปัจจุบัน

    วัตนานั่งหน้าหงิกพยายามไม่สนใจโต๊ะข้างๆ ที่มีบรรยากาศหวานชื่น ดวงตาคมมองการกระทำของหญิงสาวที่ป้อนชูชิพอดีคำให้เด็กชายตัวน้อยโดยมีผู้ป็นพ่อคอยเช็ดปากให้เมื่อเห็นว่าเลอะ บรรยากาศอันอบอุ่นของครอบครัวที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมี

    “เหม่ออะไรของนาย ถ้าไม่รีบกินฉันกินหมดไม่รู้ด้วยนะ” เสียงทุ้มกวนๆ ดังขัดความคิดของเขาให้หันไปมองเจ้าของเสียงที่ตอนนี้ก้มหน้าก้มตากินไม่สนโลกภายนอกและเหมือนชายหนุ่มจะรู้ตัวจึงเงยหน้าขึ้นมามอง มือก็คีบไข่หวานที่ถูกปรุงจนน่ากินมาจ่อปากเขา ส่งสายตาประมาณว่า ‘กินสิฉันอุตส่าห์ป้อนถึงปากเลยนะ’

    “ฉันกินเองได้น่า นายกินของนายไป"

     

     

    “เฮ้อ…อิ่มๆ น้องครับเก็บเงินด้วยครับ” หลังจากผ่านเวลาการกินอย่างอึดอัดตลอดเวลาในที่สุดพวกเขาก็กวาดอาหารสำหรับหกคนทานจนเรียบพนักงานที่มาเก็บเงินถึงกับทำหน้าเหวอ วัฒนาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยุดเมื่อสบสายตากับหญิงสาวที่มองมาพอดี

    พลนายมีที่ไหนจะไปไหม ฉันกะว่าจะเดินย่อยอาหารก่อนกลับ”  เด็กหนุ่มถามอีกคนที่ทำท่าจะลุกออกไป

    “ก็ไม่นะ ฉันกะว่าจะไปเข้าข้องน้ำสักหน่อย นายเดินเล่นแถวนี้ก่อนก็ได้” พลพลว่าก่อนจะสบตาอีกฝ่ายอย่างเข้าใจความหมายของคำถาม

    “หรือว่านายอยากไปเดินเล่น‘นานๆ’หน่อย” วัฒนายกยิ้มเมื่อมองสายตาแพรวพราวของชายหนุ่ม

    “เกลียดคนรู้ทันแบบนายจริงๆ” เมื่อตกลงกันได้แล้วสองหนุ่มก็แยกย้ายกันไปตามความต้องการ พลพลเดินเข้าไปในห้องน้ำส่วนวัฒนาเลือกนั่งอยู่กับที่ แล้วหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบฟังเพลงเบาๆ สักพักชายหนุ่มร่างสูงข้างๆโต๊ะเขาก็ลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำกับเด็กชาย เหลือแต่หญิงสาวสวยนั่งอยู่

    ดาหลาที่รอจังหวะนี้อยู่แล้วจึงเอ่ยออกมาโดยในหัวก็มีแผนการต่างๆ เต็มไปหมด

    “ไม่คิดจะทัก'แม่'ตัวเองหน่อยเหรอ” เสียงหวานของผู้เป็นแม่ทักเรียบๆ

    “หึ วันนี้จำผมได้ด้วยเหรอครับ ทั้งที่เมื่อวานยังด่าผมอยู่เลย อ้อ! ไม่คิดจะออกไปคุยข้างนอกเหรอครับ…แม่”

     

     

    ทางด้านพลพล

    โครกกกกกก

    ร่างสูงสมส่วนของชายหนุ่มถอนหายใจอยู่หน้าอ่างล้างหน้าหลังจากปลดปล่อยของเสียให้ร่างกายโล่ง ในสมองก็คิดถึงเด็กหนุ่มอีกคนที่บอกว่าจะไปเดินเล่น เดินเล่นในความหมายของพวกเขานั้นต่างออกไปจากคนทั่วไปนัก เขาหวังแค่ว่าวัฒนาจะไม่ทำอะไรเกินกำลังตัวเองก็พอ ในฐานะผู้ปกครองอย่างเขานั้นทำได้แค่ดูแลไม่ให้อีกคนออกนอกลู่นอกทางก็เท่านั้นแหละ เอิ่ม..เว้นเรื่องต่อยตีไว้เรื่องหนึ่งละกัน(เด็กดีไม่ควรทำตามนะคะ)

    แกร็ก!

    “สวัสดี” เสียงล็อกประตูห้องน้ำทำให้พลพลสะดุ้งออกจากความคิดแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเจ้าของเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้ อุตส่าห์พยายามไม่มองไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจแล้วแท้ๆ ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อเมื่อสายตาของอีกคนจ้องมาที่เขา ก่อนริมฝีปากบางของพลพลเปล่งเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเบาๆจนแทบจะไม่ได้ยิน

    “พี่พายัพ ”

     

     

     

    พายัพคือใครกันนะ แล้วพลพลเกี่ยวข้องกันยังไงกับผู้ชายคนนี้

    ต้องติดตาม!//หลบเกิบ

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×