คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 0 l จากบ้านมาแดนไกล
CHAPTER 0
จากบ้านมาแดนไกล
บู้ม!!!
“เสร็จสักที” ชายวัยทองร่างหนาอายุราวๆ
สามสิบปีปลายๆ ถอนหายใจให้กับภารกิจที่พึ่งจะลุล่วงไป
มันคือการระเบิดภูเขาหินแร่ขนาดมหึมาเพื่อถลุงเอาแร่เกรดดีนำไปหลอมเป็นอาวุธต่อ
บัดนี้ภูเขาแร่ขนาดมหึมาแหว่งไปครึ่งหนึ่งเผยแร่สีเทาสะท้อนแสงเป็นก้อนๆ
จำนวนมากที่อัดแน่นอยู่ภายในชั้นดินหินของภูเขา
“เก่งมากตัวเล็ก” ชายวัยทองเอามือลูบขนนกกระจอกเทศขนาดสูงกว่าสองพร้อมกับโยนปลาสดให้เพื่อเป็นการตบรางวัลที่ทำงานสำเร็จ
หลังจากที่ยืนดูเจ้านกประหลาดกินปลาดิบเสร็จเข้าก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“กลับมาพักผ่อนเถอะ เจ้าคงจะเหนื่อยมากแล้ว”
ว่าจบร่างของมันก็แตกสลายกลายเป็นละอองเวทมนตร์และหายวับไปในอากาศ
“พ่อ... ข้ามีเรื่องออะไรจะบอก” เด็กหนุ่มที่กำลังขยี้ผมสีอบเชยด้วยความงุนงงเอ่ยขึ้น
เขากวาดสายตาไปมาบนซองจดหมายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“เซราฟีนเจ้าไม่เห็นรึไงว่าพ่อกำลังยุ่ง” ชายวัยกลางคนคิ้วขมวด
ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเด็กหนุ่มผู้เป็นลูกแต่กลับให้ความสนใจแค่เพียงกระดาษแผนงานในมือ
“เซราฟ!!” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำเสียงแข็งก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะยอมหันมาคุยด้วยแต่โดยดี
“มีอะไรล่ะ เซราฟีน” ผู้เป็นคนยังดึงดันที่จะเรียกชื่อที่เขาไม่อยากจะได้ยินที่สุด
“ปัดโธ่เว้ยย ท่านพ่อ เซราฟไง
นี่ท่านอยากให้ข้าอาละวาดรึไงห๊ะ!!!” เด็กหนุ่มทำท่าโวยวายก่อนที่จะโดนฝ่ามือหนาเขกที่หน้าผากสวยหนึ่งที
“โอ๊ยย— ข้าเจ็บนะ”
“ปั๊ดกับใคร เดี๋ยวพ่อก็จับนั่งยาง”
“มีอะไรก็รีบสาธยายมา
ข้าไม่มีเวลากับเรื่องไร้สาระนะเฟ้ย มีงานอีกแปดสิบแปดอย่างรอข้าอยู่นะ”
“คือ.. จดหมายจากเอราทอสส่งมาหาข้าเมื่อเช้า”
ผู้เป็นพ่อตาเบิกกว้าง
เอกสารงานในมือแทบล่วงลงสู่พื้นดินที่เต็มไปด้วยเศษหินที่แตกกระจาย
เขาส่ายหน้ารัวๆ อย่างไม่เชื่อสายตาก่อนที่จะโผล่เข้ากอดลูกชายสุดที่รัก
“ไปเป็นภารโรงเหรอลูกชายข้า เก่งที่สุด”
“บะ... บ้าน่ะ ท่านพ่อ
จดหมายยืนยันการเข้าเรียนน่ะสิ ชื่อข้าถูกจับฉลากได้ในปีนี้”
“ข้าไม่ต้องทนโดนป้าข้างบ้านครหาแล้ว
ลูกชายข้าไม่ต้องมาเป็นช่างตีเหล็กต๊อกต๋อยแล้ว” ผู้เป็นพ่อทำหน้าเหงเกเหมือนจะร้องไห้ก่อนที่จะโดนร่างโปร่งผละออก ความมุ่งมั่นเอ่อล้นออกมาผ่านนัยน์ตาสีเหลืองอำพัน “ข้าภูมิใจในศักดิ์ศรีการเป็นช่างตีเหล็กแห่งเอนเดลเลียน
ชื่อนี้มีเกราะและอาวุธที่ดีที่สุดในสามโลก
ข้าสัญญาว่าข้าจะกลับมาดูแลกิจการต่อจากท่านพ่อ”
“ข้าอยากให้เจ้าไปทำงานในวังหลวง เป็นคนใหญ่คนโต
สักครั้งข้าอยากไปพิธีสวมเกราะของเจ้า” ผู้เป็นพ่อก้มหน้าเหมือนจะร้องไห้
ใบหูของเขาแดงก่ำจนสังเกตได้
“ข้าจะเป็นช่างตีเหล็กที่โด่งดังไปทั่วโลก
ตระกูลของเราจะดังเปรี้ยงปร้างและข้าก็จะกลับมาพร้อมกับใบสำเร็จการศึกษา
ข้าจะไม่ซ้ำชั้นเหมือนตอนสิบขวบ ข้าจะ...” ผู้เป็นพ่อกอดลูกชายพร้อมกับร้องไห้เสียงดัง
“ขะ ข้า คงคิดถึงเจ้ามากแน่ๆ”
“ข้าก็เช่นกัน... ท่านพ่อ”
“ว่าแต่เจ้าบอกแม่หรือยัง?”
“ข้าบอกแล้ว--- อ่อ
แม่ฝากข้าโปรโมตร้านข้าวต้มของเราด้วย”
“ดีแล้ว ทำให้มันได้...
อย่าให้ข้าเลี้ยงเสียข้าวสุก ให้ร้านเราดังในหมู่นักเรียนให้ได้
ข้าจะได้ขยายกิจการ ว่ะฮ่าๆๆ แล้วก็นะ อย่าลืมเอาสูตรข้าวต้มไปทำให้เพื่อนกินล่ะ
ถ้าติดใจก็บอกให้แวะมา”
“ท่านพ่อก็... ข้าลาล่ะ
ดูแลตัวเองด้วยอย่าหักโหมนะ”
“ไหนรถมะ---“พูดยังไม่ทันจบ รถม้าที่เต็มไปด้วยสัมภาระค่อนข้างเยอะก็เคลื่อนตัวมาจอดเช้าๆ เซราฟกระโดดขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับจัดแจงของใช้ส่วนตัว
“อิกไนต์ล่ะ?”
ผู้เป็นพ่อชะเง้อคอถาม
“มันหลับน่ะ”
“นี่เจ้าจะไม่ให้ข้าบอกลามันหน่อยเหรอ”
“มันต้องใช้เวลาเดินทางนานข้าต้องรีบไป...
เดี๋ยวข้าจะไปไม่ทันเปิดเรียนนะท่านพ่อ
มันคงคิดถึงท่านเหมือนกับที่ข้าต้องคิดถึงท่าน ลาก่อนท่านพ่อข้าจะรีบกลับมา”
เสียงกร้านๆ ของเขายังคงดังออกมาจากรถม้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไป ผู้เป็นพ่อได้แต่ยืนมองรถม้าคันนั้นวิ่งไปจนสุดสายตา
“ข้ายังรู้สึกเหมือนเมื่อวานเจ้าตัวเล็กเท่าแร่หินเหล็กกล้าอยู่เลย
มันเร็วเหลือเกิน... เร็วเกินกว่าจะเข้าใจ
มันคงถึงเวลาที่เซราฟีนน้อยของข้าจะออกจากเตาหลอมเก่าๆ คร่ำเครือๆ แล้วสินะ”
รอยยิ้มที่ดูมีความสุขที่สุดผุดขึ้นมาบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นจากการตรากตรำทำงานหนัก
“ทุกคนภูมิใจในตัวเจ้านะเซราฟรวมถึงพี่สาวเจ้าด้วย...
ลาก่อนลูกรัก” ในขณะที่เขากำลังซาบซึ้งกับการบอกลาลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
คนงานคนหนึ่งก็พรวดเข้ามาขัดภวังค์ของชายร่างหนา
“นะ...นายท่านครับ
แผนงานการถลุงแร่หินจะเริ่มดำเนินงานต่อตอนไหนครับ”
“ข้าไม่มีอารมณ์หรอกเฟ้ยยย!! ไปไหนก็ไปนะ ก่อนที่พ่อจะจับย่างเอาเนื้อให้เจ้าตัวเล็กแทะเล่น
ข้าไม่ทงไม่ทำมันแล้ว หยุดงานสองวัน แล้วก็!! ภูเขาแร่ที่เหลือเหรอ
สลักชื่อลูกชายข้าไว้เลย วะฮ่าๆๆ”
“จะให้สลักว่าอะไรดีครับ”
“เซราฟีนน้อย” ว่าจบชายวัยทองก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีสุข
ภายใต้คฤหาสน์สีขาวสะอาดตาที่ถูกตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมชั้นสูง
โคมไฟระโยงรยางค์และพรมกำมะหยี่สีเลือดนกทอดยาวไปถึงห้องโถงขนาดใหญ่
ที่นี่คือ คฤหาสน์ขุนนางหลวง
มันคือสถานที่สำหรับเหล่าลูกผู้รากมากดี เต็มไปด้วยลูกขุนนาง
ลูกนักปราชญ์ จนกระทั่งลูกพ่อค้ามหาเศรษฐี
และเกรซก็เป็นหนึ่งในนั้น
เรือนผมสีม่วงยาวสลวย นัยน์ตาสีเข้มกว่าผมฉายความเป็นมิตรออกมา
ใบหน้าสะสวยราวกับนางฟ้าตัวน้อย ริมฝีปากเล็กคอยส่งยิ้มให้กับเพื่อนในห้องน้ำชา
ไม่ต้องแปลกใจเธอเป็นเด็กสาวที่ฮอตที่สุดในคฤหาสน์ขุนนางหลวง
“คุณหนู มีจดหมายส่งมาค่ะ” สาวใช้สะกิดเด็กสาวที่กำลังร่วมวงเสวนาด้านการบริหารกรมคลัง
“ได้จ๊ะ ---นี่เดี๋ยวข้ามานะ
ข้าขอไปทำธุระสักครู่” ว่าจบร่างบางก็เคลื่อนตัวออกมาอย่างอ่อนน้อมสื่อถึงการอบรมบ่มนิสัยที่เรียกได้เต็มปาก
ว่าเธอคือลูกผู้ดีทั้งภายนอกและภายใน
“จดหมายจากเอราทอสน่ะค่ะ คุณหนู” สาวใช้ยื่นซองจดหมายที่มีรูปลักษณ์ภายนอกสุดคลาสสิคแต่มันเต็มไปด้วยความพยายามมากมายของเกรซ
ทำได้แล้วสินะ....
เกรซยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะสำรวมอาการดีใจเอาไว้ “รีบส่งข่าวไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่”
“ส่วนเรื่องการเดินทางข้าฝากเจ้าด้วยนะเฟรย์”
สาวใช้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะปิดประตู
“ไหนข้าขอดูคะแนนสิ..” เธอค่อยๆ
แกะซองจดหมายออกปรากฏชื่อของเธออยู่ลำดับที่สามจากผู้สมัครเหยียบหมื่น
“ทำสำเร็จแล้วสินะ จิล”
สิ้นเสียงร่างของสัตว์หน้าขนชนิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
มันมีลักษณะเหมือนแกะธรรมดาทั่วไปทุกประการแต่เพียงมีปีกเล็กๆ
งอกออกมาจากหลังอ้วนท้วมสมบรูณ์นั่น
‘ข้าบอกแล้วคุณหนูของข้าเก่งที่สุด’
“อยู่กับข้าสองคนไม่ต้องโทรจิตก็ได้มั้ง”
‘ฝึกพลังคุณหนูของข้าให้แกร่งกล้าไงขอรับ’
“เลิกเรียกข้าแบบคนอื่นสักทีจิล
เจ้าเป็นเพื่อนรักข้านะ เจ้าต้องเรียกข้าว่าเกรซถึงจะเหมาะ” เด็กสาวมู่หน้าเล็กน้อย
‘อย่าโกรธไปเลยคุณหนู
ข้ารู้ตัวเองดีว่าข้าอยู่ในสถานะอะไร แต่ข้าก็ติดเรียกแบบนี้ไปซะแล้ว’
“ตามใจเจ้าแล้วกัน” เด็กสาวทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนหนานุ่มก่อนที่จะปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล
“เจ้าว่าข้าจะเจอกับเรื่องดีๆ มั้ยนะ”
“ตัวท่านเป็นคนกำหนดโชคชะตานะขอรับ คุณหนู”
“แต่ข้า... ก็กลัวนะ
กลัวที่จะเจอเรื่องราวที่เลวร้าย...”
“มันจะไม่เลวร้าย ข้ารู้ ข้าเชื่อแบบนั้น”
“ถ้าเจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็สบายใจ... งั้น
ข้าขอนอนสักงีบก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า”
“แล้ววงสนทนาด้านงานบริหาร?---“
ยังไม่ทันที่จิลจะพูดจบเด็กสาวก็ชิงตัดหน้าขึ้นมาก่อน “ขออู้วันหนึ่งนะ” เธอขยิบตาก่อนจะหัวเราะชอบใจ
“ประจำเลยนะครับคุณหนู”
เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเทาดำหม่น
มองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
นัยน์ตาสีแดงดุจโลหิตแสดงความไม่เข้าใจระคนสงสัยว่าทำไมเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันถึงรอดจากการโจมตีของกระทิงทมิฬ
ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคืออสูรในคำทำนายแห่งแสง...
“คนท่าทางไม่เอาไหนแบบนั้นน่ะเหรอ.... ที่เจ้าพวกอสูรชั้นสูงว่าจ้างข้ามา” เด็กหนุ่มกระโดดลงจากกิ่งไม้สูงแต่กลับไม่มีเสียงกระทบของใบไม้แม้แต่นิดเดียว
เขากำลังย่องเข้าไปที่เป้าหมายช้าๆ
ทันใดนั้นก็เห็นเด็กสาวที่กำลังเขย่าร่างของเด็กหนุ่มที่หมดสติ
ดูเหมือนเธอกำลังจะร้องไห้พร้อมกับขอความช่วยเหลือ
วินาทีนั้น.. มีอะไรบางอย่างทำให้เขาหยุดนิ่งไป
จะเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าอะไร? เขาไม่เข้าใจแต่เขาไม่สามารถทำภารกิจในครั้งนี้ได้...
สัญชาตญาณของเขาบอกแบบนั้น
ความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ...
‘เจ้าไม่เคยลังเล เนครอส’ ปรากฏร่างอสูรคล้ายมนุษย์แต่สูงใหญ่กว่าสองเท่า
“ข้าทำไม่ได้...วูฟ” เนครอสเอ่ยพร้อมกับหันหลังให้กับเป้าหมาย
“เจ้าไม่เคยเป็นแบบนี้ ดูอ่อนแอ
ถ้าเจ้าไม่ทำข้าจะ----“
“หยุดเดี๋ยวนี้! วูฟ
ข้าคือนายของเจ้า” เด็กหนุ่มจ้องร่างดำเขม็ง
“....” มันไม่พูดอะไรพร้อมกับหายไปในความมืด
เด็กหนุ่มเดินหันหลังลับไปแม้ในใจอยากจะถามเด็กหญิงคนนั้นให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยว่า สรุปแล้วหล่อนคือใครแต่ก็ทำได้แค่เพียงเก็บความสงสัยนั้นไว้
“แล้วเราจะได้พบกันอีก....”
“คุณหนูเลโอ คุณหนูเลโอ!” เสียงของกลุ่มแม่บ้านดังไปทั่วบริเวณสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้พันธุ์หายากแปลกตา
มันเยอะพอที่จะเป็นที่ซ่อนให้กับ เลโอน่า มอร์ริแกน
วินเทอร์ลินน์ ลูกสาวตระกูลขุนนางชั้นสูง
เธอไม่เหมือนลูกผู้รากมากดีส่วนใหญ่ที่ต้องทำเรื่องอะไรน่าเบื่อๆ
เช่น เรียนมารยาทผู้ดี เรียนวิชาการบริหารไพร่ผลและจิปาถะมากมาย...
ที่สนุกที่สุดก็คงจะเป็นวิชาฟันดาบ
และนี่ก็เป็นกิจกรรมสนุกๆ
อีกอย่างที่ได้ทำในคฤหาสน์อันใหญ่โตนี้
‘การทำให้คนอื่นหัวหมุนนี่เหรอ
ใช่ไม่ได้เลยนะเลโอ’ เสียงปริศนาดังขึ้นในหัวของเธอ
“เงียบไปเลยน่า เฮเวล”
‘ก็เจ้าน่ะ
เล่นทำให้คนอื่นเขาหัวเสียอยู่เรื่อยเด็กนิสัยไม่ดี’
“บอกให้เงียบไงเล่า ไม่งั้นเจ้าอดกินเนื้อกวาง”
หล่อนยกยิ้มอย่างผู้ชนะ
‘ชิ... ข้าหากินเองก็ได้’
“แน่นะ?”
‘ยอมก็ได้------‘ ว่าจบเสียงปริศนาก็หายไป
“เจอคุณหนูแล้ว!!” เสียงของสาวรับใช้ด้านล่างหลังเธอดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ
ของเลโอ พลันสิ้นเสียงกลุ่มแม่บ้านก็วิ่งกรูเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“นายท่านมีรับสั่งให้ไปหาเดี๋ยวนี้ค่ะ” หัวหน้าแม่บ้านที่ดูมีอายุและมีระเบียบที่สุดเอ่ยเสียงดุ
“แหะๆ... ค่า ค่า แม่นม”
“ไปเดี๋ยวนี้ค่ะคุณหนู”
เด็กสาวหน้าบูดพร้อมกับเดินตามกลุ่มแม่บ้านไปด้วยความจำยอม
ประตูอันโอ่อ่าถูกเปิดออกเผยห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยของใช้และเครื่องเรือนสวยงามราคาแพง
เด็กสาวเดินไปจนสุดทางพร้อมกับเข้าไปยังห้องที่เธอไม่อยากจะเปิดมันมากที่สุด
“เลโอ... มาแล้วรึ?” เสียงแหบพร่ากดต่ำทำเอาขนหลังท้ายทอยลุกซู่
“คะ..ค่ะ ท่านปู่” เด็กสาวตัวหดเล็กลงสิบเท่าเมื่อยืนต่อหน้าชายชราร่างเล็กที่กำลังจดจ่อกับเอกสารกองโตตรงหน้า
“รู้มั้ยปู่เรียกเจ้ามาเพราะอะไร?”
“...มะ ไม่รู้ค่ะ” เด็กสาวจอมแก่นส่ายหน้า
“มีจดหมายมาจากเอราทอส” เมื่อชายชราพูดจบเด็กสาวตาเบิกกว้างก่อนที่ความดีใจจะปะทุออกมาทางสีหน้าแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ยิ้มก็เถอะ
“เจ้าแอบไปสอบมางั้นรึ?” เด็กสาวเก็บความดีใจไว้พร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ
“เจ้าก็รู้ว่าตระกูลเราไม่เคยมีใครไปเรียนที่นั่น
นักปราชญ์ที่สอนเกี่ยวกับวิชาศิลาเวทมนตร์มือฉมังก็มีมากมายในวังหลวง”
“ขะ... ข้ารู้ค่ะท่านปู่” เด็กสาวก้มหน้าสำนึกผิดแต่หารู้ไม่ในใจของเธอแทบจะระเบิดความดีใจออกมา
“เจ้ารู้แต่เจ้าก็ยังดื้อดึงที่จะไปสอบที่นั้น
แม้ว่าชื่อเจ้าจะเป็นลำดับที่สองก็ตาม แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเจ้าเก่งหรอกนะ
แค่เพราะนามสกุลที่ค้ำคอเจ้าไว้เท่านั้นเอง” คำพูดนี้ทำให้เด็กสาวคิ้วกระตุกเล็กน้อย
แม้จะทราบข้อเท็จจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงนี้ได้
แต่ไม่ได้หมายความว่าหล่อนไม่ได้พยายาม การเสียสละเวลาอันมีค่าในห้องเรียน
มารยาทผู้ดี การบริหาร การเจรจา
และอีกมากมายเพื่ออ่านหนังสือสอบเข้าคือสิ่งที่เธอพยายามมาตลอด ถึงไม่มีการสอบเจ้าตัวก็ไม่เข้าอยู่ดีก็ตามเถอะ ....แต่นั่นก็น่าจะเรียกว่าความพยายามแล้วนี่
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย เสียงสะอื้นดังขึ้นพร้อมกับน้ำใสใสที่ไหลออกมาจากนัยน์ตาสีอาเทมิสคู่สวย
“เจ้าคิดว่าแผนตีหน้าเศร้ามันจะใช่ได้ผลกับข้ารึไง”
“ไม่หรอกค่ะท่านปู่”
ชายชราถอนหายใจพร้อมกับจ้องเด็กสาวเขม็ง “เหมือนกันไม่มีผิด...”
ว่าจบชายชราก็ยื่นจี้ห้อยคอสีเงินสลักลายปีกนก
“เก็บไว้แล้วถ้าเจ้าเรียนแล้วผลการเรียนแย่ล่ะก็...
คงรู้สินะ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้าไปกอดชายชราจนเขาเริ่มหายใจไม่ออก
“พะ.. พอแล้ว ข้าหายใจไม่ออก”
“รักท่านปู่ที่สู๊ดดดดดดด”
‘เฮ้อ... เจ้านี่ก็ใจอ่อนตลอดนะคาร์ล’ เสียงของเฮเวลดังขึ้นด้วยความระอาใจ
“จดหมายมาส่งครับ...” เสียงยานๆ
เหมือนเทปเสียดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงหนาต้องลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเพื่อเปิดประตูไปรับซองกระดาษสีขาวแปลกตาที่เรียกว่า ‘จดหมาย’
มันอาจจะแปลกๆ ไปสักหน่อยสำหรับเขา ‘ทาวาริล หรือ วัล’ เด็กหนุ่มบ้านป่าที่อยู่ห่างไกลความเจริญแทบจะเรียกได้ว่าไกลปืนเที่ยงโดยแท้จริง
ระบบไฟฟ้าหรือการคมนาคมขั้นสูงก็ยังเข้าไปไม่ถึง
นัยน์ตาสีอำพันส่องประกายราวกับเด็กตัวเล็กๆ
ที่พึ่งค้นพบโลกใหม่ ใช่!... มันเป็นครั้งแรกที่เขารู้จักกับมัน ‘จดหมาย’ เขารีบแกะซองจดหมายอย่างไม่รอช้า
นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างพร้อมกับตะโกนขึ้นมาสุดเสียง
“ข้าอ่านไม่ออก!”
ร่างหนาเดินกลับมาที่โต๊ะอาหารก่อนที่จะวางซองจดหมายลงพร้อมกับหันไปถามผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัย
“แม่ อ่านให้ข้าฟังหน่อยสิ”
หญิงสาววัยประมาณสาบสิบกลางๆ
ขมวดคิ้วกับซองจดหมายก่อนจะหยิบขึ้นมาอ่านช้าๆ สายตาของเธอกวาดไปมาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นนัยน์ตาของเธอก็เบิกกว้างพร้อมกับอาการดีใจระดับได้ทองสักสิบรถม้ามาจอดหน้าบ้าน หล่อนกรีดร้องจนผู้เป็นสามีตะโกนมาจากหลังบ้าน “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“เปล่า---
รอเจ้ารดน้ำเสร็จก่อนค่อยมาฟังก็แล้วกัน”
ท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าทำเอาทาวาริลฉงน เขาเอียงคอพร้อมกับยู่ปากเล็กน้อย “มันคืออะไรเหรอ แม่” หญิงสาวตรงหน้ายังไม่เลิกดีใจ
“เจ้ารู้มั้ยว่าเจ้าโชคดีแค่ไหนลูกรัก
ชื่อเจ้าถูกจับฉลากเข้าเรียนได้ในปีนี้
ก็หมายความว่าเจ้าเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่มีสิทธิ์เข้าไปเรียนใน
เอราทอสแบบไม่ต้องสอบยังไงล่ะ!!!!”
เด็กหนุ่มเดินทอดน่องไปตามตีนเขา เขาอยากให้เรื่องที่ได้ยินเป็นเพียงแค่ฝันไป...
ไกลที่สุดที่เขาเคยออกไปจากหมู่บ้าน ก็มีเพียงร้านค้าแทบชานเมืองเท่านั้น
แต่ครั้งนี้เขาจะได้ไปเรียนในโรงเรียนที่ห่างไกลจากบ้าน
อดเป็นห่วงทุกคนไม่ได้...
“เจ้าดูกังวลนะวัล” สิ่งมีชีวิตที่เกาะอยู่บนหัวเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“ถึงแม่กับพ่อจะดีใจแค่ไหน ข้าก็ไม่อยากไปอยู่ดี” เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้มหน้ามองตัวเองในริมแม่น้ำ
มันสะท้อนใบหน้าคมสันที่เคยสดใสร่าเริงมากกว่านี้
“ขะ.. ข้าคงทำไม่ได้หรอกท่านลุงวาลเทีย”
สิ่งมีชีวิตคล้ายเต่าแต่มีลักษณะทางกายภาพเป็นกิ่งไม้แห้งๆ ค่อยๆ
ไต่ลงมาจากเรือนผมสีครีมส้มอ่อนก่อนจะเดินไปมองริมน้ำเช่นกัน
“ชีวิตคนเราก็เปรียบเสมือนสายน้ำ ต้องเดินทางพัดพาตัวเองไปในทุกๆ ที่
แม้จะยากลำบากแม้จะมีหินมากมายขว้างกั้นแค่ไหน น้ำก็สามารถแทรกตัวผ่านมันไปได้เสมอ
ทุกปัญหาย่อมมีทางออก ข้าเชื่อว่านี่คือก้าวแรกที่ถ้าเจ้าทำมันสำเร็จ
เจ้าจะก้าวข้ามตัวเองไปอีกขั้น”
เด็กหนุ่มเงียบฟังก่อนจะถอนหายใจ “ข้าไม่ชอบความวุ่นวาย
ข้าไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง ข้ารักผืนป่าของข้า ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งพวกกองทัพมืดมันบุกมาที่ป่าของเรา หมู่บ้านของพวกเรา ใครจะปกป้องกันล่ะ?”
เจ้าเต่าน้อยผงกหัวเป็นเชิงตอบรับก่อนจะว่าต่อ “อย่าเอาโลกทั้งโลกมาแบกไว้เลยเจ้าหนู
ในวันข้างหน้าต้องมีคนที่มาทำหน้าที่ของเจ้าเป็นแน่
ในวันที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าสำเร็จกลับมาตอนนั้นก็ยังไม่สาย”
“....ทุกอย่างมันจะดีใช่มั้ยท่านลุง” เด็กหนุ่มชันเขาขึ้นเล็กน้อย
“ปกติเจ้าหนูของข้าเป็นคนมองโลกในแง่บวกและเจ้าก็ยังชอบการเดินทางอีกนี่ เจ้าคงจะอยากไปเจออะไรที่มันน่าสนุกกว่านี้จริงมั้ย? ข้าไม่สบายใจที่เห็นเจ้ากังวลแบบนี้”
“มันเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตข้าเลย”
“นั่นสินะ... แต่ข้าเชื่อว่ามีงานยากรอเจ้าอยู่อีกมากมาย
รีบไปเตรียมข้าวของสัมภาระเถอะ... มันจะไม่ทันการเอา” เด็กหนุ่มลุกขึ้นพร้อมกับมองไปยังแสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า
“เป็นไงเป็นกัน” เด็กหนุ่มเอ่ย “แต่ตอนนี้ข้าคงต้องหาอะไรกินก่อนล่ะ” ทันใดนั้นเสียงครูดครากประหลาดๆ ก็ดังออกมาจากท้องของวาทาริล เสียงหัวเราะชอบใจของวาลเทียดังขึ้นตามมาติดๆ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินทางจากไป...
จินน์!
จินน์!
ฟื้นสิ!
เด็กสาวพยายามเขย่าร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่หมดสติไป
ดูเหมือนเขาจะใช้พลังเกินขีดจำกัดของตน ตามร่างกายของเขาเกิดบาดแผลมากมาย เนื้อตัวสะบักสะบอม
“ขะ.. ข้าไม่เป็นไร”
“จะ... เจ้าสบายดีใช่มั้ย” จินน์ถามแม้ดวงตาของเขาเริ่มพร่ามัว
“ขะ.. ข้าต้องทำยังไง” วิเวียนน่าเอ่ย
“ทิ้งข้าไว้แล้วรีบหนีไปซะ...
ไม่เช่นนั้นพวกนั้นต้องตามร่องรอยของเราเจอแน่นอน จะ... เจ้าก็ใช้พลังมานา*
ไปเยอะเหมือนกันนี่ เก่งนี่ครั้งแรก” จินน์พูดไปในขณะที่เลือดยังคงไหลออกมาจากปากแผลไม่หยุด
“ช่างมันเถอะ... แต่ตอนนี้ข้าต้องหาวิธีช่วยเจ้าก่อน” ว่าจบวิเวียนก็พยุงร่างของจินน์ไว้พร้อมกับค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ
อย่างไร้จุดหมาย
ผ่านมาสักพักก็ยังไม่เจอผู้คนเนื่องด้วยป่าแห่งนี้เป็นเขตุห่างไกลความเจริญ
จึงไม่มีแม้แต่บ้านช่องเรือนเคียงใดใด
เด็กสาวพยายามหอบร่างที่หมดสภาพของจินน์ตรงไปเรื่อยๆ
โดยที่ลืมไปว่าตนเองก็ได้รับผลข้างเคียงจากการที่จินน์ใช้พลังเวทมนตร์ด้วยเช่นกัน
“ขะ.. ข้าไม่ไหวแล้วนะ” เด็กสาวเอ่ยขึ้นก่อนที่การมองเห็นของเธอก็เริ่มเลือนราง
“ขะ.. ข้าได้กลิ่นน้ำ อีกนิดนะเจ้ามนุษย์เดินไปอีก” วิเวียนน่าได้ยินเช่นนั้นก็กัดฟันสู้แบกร่างของเด็กหน่มต่อไปจนกระทั่งข้าเธอหมดแรงร่างของเธอและจินน์ลมพับลง
“นะ.. นี่เราจะตายตรงนี้เหรอ” วิเวียนเอ่ยขึ้นในขณะที่สติเริ่มหลุดลอย
“มะ... ไม่ เรารอดแล้วเจ้ามนุษย์ เรารอดแล้ว” จินน์พยายามดันตัวเองไปข้างหน้าเพราะอีกไม่ถึงสิบก้าวก็ถึงแม่น้ำแล้ว
แต่มันคงนานเกินกว่าที่วิเวียนจะรอได้
สิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นคือหน้าของเด็กหนุ่มที่พยายามเขย่าร่างของเธอ...
ตกเย็นของวันนั้น...
ร่างบางสะลึมสะลือ เล็กน้อยก่อนที่จะลืมตาขึ้นพบกับเตียงเก่าๆ ที่คุ้นเคย
ห้องที่คุ้นเคย และบ้าน.. ที่คุ้นเคย เธอหยิกแขนตัวเองให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝัน
รอดแล้ว... แต่ว่าจินน์ไปไหน
เด็กสาวเดินลงมาข้างล่างก่อนที่จะพบร่างของหญิงสาววัยกลางคนที่ดูจะเป็นห่วงเธอกว่าใคร
เมื่อหญิงสาวเห็นวิเวียนน่าถึงกลับปล่อยโฮออกมาพร้อมกับวิ่งเข้ามาสวมกอดเธอทันที
“มะ... แม่ ขะ... ข้าสบายดี ไม่เป็นไร” วิเวียนพยายามดันผู้เป็นแม่ออกเพราะหายใจไม่ออก
“แม่นึกว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปซะอีก”
“ข้าปลอดภัย ว่าแต่ผู้ชายคนที่มากับข้าล่ะ?” วิเวียนน่ามองไปรอบๆ
“เขาไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านน่ะ
เห็นว่าจะไปขึ้นทะเบียนเป็นอสูรและเจ้าจะกลายเป็นผู้ใช้มนตร์อสูร” ผู้เป็นแม่เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “ในหมู่บ้านของเรายังไม่เคยมีใครเป็นผู้ใช้มนตร์อสูรเลยนะ...
เจ้าคนแรก” ผู้เป็นแม่เปลี่ยนเป็นคนละคนกับตอนแรก
วิเวียนน่าทำหน้าเหงเกก่อนที่จะสังเกตไปที่เสื้อผ้าของตน “บ้านเรามีผ้าสวยๆ แบบนี้ด้วยเหรอแม่” เธอหมุนรอบตัวครั้งหนึ่งก่อนที่จะชื่นชมผ้าไหมชั้นดี
“มันคือของกำนันจากผู้ใหญ่บ้านน่ะ
เขาคงดีใจที่หมู่บ้านเรามีผู้ใช้มนตร์อสูรสักที” ผู้เป็นแม่พูดติดตลก
“เจ้าชอบมั้ย?” วิเวียนน่าพยักหน้ารัวๆ
พร้อมกับหมุนมันอีกรอบ “ว่าแต่แม่เปลี่ยนชุดให้ข้าใช่มั้ย...
ข้าอายนะ ข้าอายุสิบเจ็ดแล้ว ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ” วิเวียนน่ายู่หน้าก่อนที่จะชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
“ไม่ใช่แม่หรอกจ๊ะ เด็กหนุ่มคนนั้นต่างหาก
เขาบอกว่าเขาอยากรู้ว่าลูกมีบาดแผลอะไรมั้ย” ไม่ทันจะพูดจบหน้าของวิเวียนน่าแดงก่ำจนเหมือนไข้ขึ้น
ผู้เป็นแม่เห็นท่าจะไม่ดีเลยถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไร
อย่าบอกนะว่าไข้ขึ้น ตัวร้อนรึเปล่า วิเวียน?”
ในขณะที่ผู้เป็นแม่พยายามถามเรื่องราวจากวิเวียนน่า
เสียงของเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยก็ดังมาแต่ไกล ใช่...
พวกคนในหมู่บ้านคงกำลังชื่นชมเขาอย่างสุดซึ้ง
วิเวียนน่าเก็บความโกรธไว้ก่อนที่ประตูไม้จะถูกเปิดออกพร้อมกับภาพของจินน์ที่ชูหน้าชูคอระรื่น
“ขอบคุณสำหรับอาหารนะทุกท่าน” ในขณะที่ปิดประตูและโบกมือลาคนในหมู่บ้านเสร็จ
ก็เห็นวิเวียนน่าที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่บนบันได
เธอมองมาที่จินน์ราวกับแค้นเคืองมาสามปีแปดปี
“เจ้าอสูรหื่นกามมมมมมม
วันนี้เจ้าจะต้องโดนข้าเผาสดแล้วรีดน้ำออกจากตัวเจ้าให้โหม๊ดดดด!!”
สิ่งที่จินน์สัมผัสได้ในตอนนี้คือลางมรณะที่ชัดเจนยิ่งกว่ากระทิงทมิฬเมื่อตอนบ่ายแก่
อ่อ.. ทำนายได้เองด้วยตัวเองไม่ต้องใช้พลังของแม่หมอที่ไหนเลยล่ะ
ยังไม่ทันจะตั้งตัวร่างของเด็กสาวซึ่งเต็นไปด้วยโทสะก็พุ่งชาร์ตเข้าหาจินน์จนร่างของเขากระแทกกับประตูอย่างแรงพอจะทำให้สติของอสูรหนุ่มล่องลอยไปไกลแสนไกล...
ศัพท์ในเรื่อง
มานา = พลังภายในในการสั่งการอสูร หรือให้อสูรใช้เวทมนตร์ ยิ่งผู้ใช้มนตร์อสูรมีพลังมานาที่สูงก็สามารถยืดขีดจำกัดของการใช้พลังเวทมนตร์ของอสูรออกไปอีก ศิลาเวทมนตร์ตั้งแต่ระดับต้นๆ สามารถฟื้นฟูพลังมานาได้ รวมถึงการนอนพักผ่อน
มุมคุยกัน...
สวัสดีครับ
จบไปแล้วนะบทเกริ่นนำอีกบท อาจจะยาวหน่อยแต่เป็นการปูเนื้อเรื่องให้รู้ถึง
ตัวหลักของเรานะงับบบ
: ) ชอบไม่ชอบยังไงเม้นต์บอกได้ คำผิดมีแน่ครับ ไมไ่ด้ทานเลยยยยย ง่วงมวกก
ยังไงก็เจอกันตอนต่อไปนะงับ
ความคิดเห็น