ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Crimson vampire (part1) ภาค สงครามอสูรชิงพิภพทมิฬ

    ลำดับตอนที่ #2 : Blade 1: กาลเวลา และ ชะตากรรม ( 100% แล้วจ้า )ป

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 64
      0
      9 ม.ค. 58

    Blade 1 กาลเวลา และ ชะตากรรม

                   ....มนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการและสติปัญญาอันเฉียบแหลม สร้างความเจริญ ดำรงตนให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง  แม้ว่าจะไร้ซึ่งเวทมนต์...

                 ... มนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน กับธรรมชาติและรักสงบ...

                 ...มนุษย์ที่เคยเป็นเพียงกลุ่มสิ่งมีชีวิตเล็กๆบนแผ่นดินนี้ และอยู่ภายใต้อาณัติของเรา...

                  ....ไฉน...มนุษย์ที่แต่ก่อนเป็นเช่นนั้นถึงทำเรื่องเลวร้ายไม่ว่าจะเป็นการทำลายธรรมชาติ คร่าสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อให้ตนดำรงอยู่ได้ ใช้สติปัญญาของตนในทางที่เสื่อมโทรม...

                  ...อา...ข้าอยากกลับไป.กลับไปในยุคสมัยที่มนุษย์ยังไม่ถือกำเนิดขึ้น.และธรรมชาติยังอยู่พร้อมสมบูรณ์...

                  ...ยุคสมัยที่ผองเราชาวปีศาจ จ้าวแห่งรัตติกาลยังครอง ผืนพิภพ!!!...

     

    ประเทศไทย ค.ศ. 2007   เวลา  6.30 น.

    ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยควันและมลพิษ อาคารบ้านเรือนตั้งอยู่อย่างไม่ค่อยเป็นระบบระเบียบเท่าไรนัก แต่จะเรียกว่าอาคารบ้านเรือนนั้นก็ไม่ถือว่าถูกซะทีเดียว เพราะมันเป็นตึกสูงระฟ้าหลายสิบชั้นที่ตั้งตระหง่านในเมืองนับร้อยแสงอาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้ารำไร บ่งบอกว่าเวลาของวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น แม้จะเป็นเช้าตรู่ แต่ถนนหนทางก็เต็มไปด้วยยานพาหนะใหญ่เล็กรูปทรงแปลกตากันไป เนื่องเพราะวันใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นนั้นมันจะมาพร้อมกับภาระของแต่ละคนที่มีในวันนั้นๆ  ยิ่งเป็นยุคสมัยนี้ที่เงินทองและเวลาเป็นเรื่องสำคัญล่ะก็ไม่ต้องพูดถึงเลย...

    โดยเฉพาะถ้าเป็นสถานที่ ที่เรียกว่ากรุงเทพฯ ไม่ว่าเด็กตลอดจนผู้สูงอายุที่ยังมีแรงทำมาหากิน ก็มีภาระทั้งนั้นผู้ใหญ่มีหน้าที่ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว...ส่วนเด็กก็มีหน้าที่เช่นกัน...หน้าที่นั้นก็คือ...เรียน!!!            


    หนูไปก่อนนะค่ะ  เสียงใสดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างบางในชุดขาวกระโปรงดำเปิดประตูรถสีเงิน และก้าวลงมาจากรถยนต์คันนั้น เธอเป็นหญิงสาวร่างบางที่มีความสูงไม่มากนักแต่ก็ไม่ได้เตี้ยเกินสถาบันเด็กหญิงวัยสิบห้าอย่างที่เธอควรจะเป็น นวลหน้าใสสะอาดดูดีน่ารักแต่ไม่ได้สวยเลิศเลอปานนางฟ้า เรือนผมสีดำขลับเป็นมันงามถูกรวบไว้ด้วยริบบิ้นสีดำเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย ดวงตากลมโตสีนิลภายใต้กรอบแว่นส่องประกายร่าเริง


    อิ๋ง อย่าลืมโทรศัพท์มาบอกแม่ด้วยนะว่าจะเลิกกี่โมงวันนี้   เสียงที่มีความอารีย์นั้นดังขึ้นจากภายในรถ ซึ่งหญิงวัยกลางคนหน้าตาสวยสมวัยนั่งอยู่ที่ตำแหน่งคนขับพร้อมส่งรอยยิ้มมาให้กับเด็กสาวที่กำลังจะปิดประตูรถ


    ค่า จะไม่ลืมแน่นอน แล้วเจอกันตอนเลิกเรียนนะค่ะ   เด็กสาวที่ถูกเรียกว่า อิ๋ง รับคำผู้เป็นแม่อย่างร่าเริงแล้วหันไปทักทายหญิงสาวที่นั่งยิ้มให้เธออยู่ด้านหลังของรถ


    แล้วเจอกันนะพี่ ซึ่งผู้เป็นพี่นั้นก็โบกมือตอบทันที


    จ้า แล้วเจอกันยัยน้องสุดแสบ

    แล้วมือเรียวก็ปิดประตูรถจนสนิท พร้อมกับหันหลังเดินตรงเข้าไปในสถานที่ซึ่งเป็นจุดหมายของเธอทันที วินาทีเดียวกับที่รถยนต์คันนั้นได้เคลื่อนตัวออกไป เบื้องหน้าเด็กสาวป้ายทีมีตัวอักษรสีทองจารึกบนแผ่นหินอ่อนสีน้ำตาล เป็นความว่า



    โรงเรียนนานาชาติ

    Society International School 

    S.I.S

     

    โรงเรียนนานาชาติระดับม.ปลาย อันดับหนึ่งของประเทศไทย ที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการจะเข้าเรียน ตัวอาคารสร้างสรรค์อย่างวิจิตร ถูกเนรมิตให้เป็นดังเช่นปราสาทในสมัยนิยาย วิหารของเทพเจ้ากรีกโบราณ หรือกระทั่งศิลปกรรมแบบโกธิคยังมีให้เห็น บอกได้เลยว่าพวกคนมีระดับ และชาติตระกูลต้องเข้ามาเรียนทั้งนั้น


                       โรงเรียนนี้จะแบ่งนักเรียนออกเป็นหลายสายตามทวีปที่มาของนักเรียนและฐานะ ซึ่งพวกเด็กนักเรียนต่างชาติที่เข้ามาศึกษาในที่แห่งนี้ก็เป็นพวกผู้ดีมีตังค์ทั้งนั้น แถมนโยบายของโรงเรียนยังรับเด็กต่างชาติเข้ามาเป็น 80% ของนักเรียนทั้งโรงเรียน และที่เหลืออีก 20 % ก็เป็นเด็กไทยน่ะแหละ แต่กรณีเด็กไทย เขาไม่ได้รับแบบธรรมดา แม้จะมีเงินหรือฐานะมากแค่ไหน ก็ต้องสอบเข้า ถ้าสอบไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้า จึงทำให้ส่วนใหญ่นักเรียนไทยที่เข้าได้มีแต่พวกฐานะปานกลางเท่านั้น ช่างเป็นนโยบายอันไม่ยุติธรรมเสียเลย


                  จำนวนนักเรียนสอบเข้าเป็นหมื่นคน กลับเอาแค่ 400 คนต่อปี!! และเวลาทำอะไรก็ต้องเป็นระเบียบ มีเครื่องแบบให้ ผิดกับพวกนักเรียนต่างชาติที่จะใส่อะไรมาเรียนก็ได้ตามสบาย ยิ่งกว่านั้นอาคารเรียนของพวกเด็กไทยในนี้นั้นไม่มีความโออ่าอลังการอย่างที่พวกเด็กต่างชาติเขามีกัน ก็แค่ตึกปูนเล็กๆขนาด 2 ชั้น ที่มีความแข็งแรงพอสมควรและตั้งอยู่หลังโรงเรียนซึ่งห่างไกลจากประตูหน้ามามากโข แต่น่าแปลกอย่างหนึ่งที่พวกเด็กต่างชาตินั้นไม่ค่อยดูถูกพวกเด็กไทย ตรงข้ามกลับชื่นชมและอยากสนิทสนมด้วย ในฐานะที่เป็นกลุ่มเด็กสร้างชื่อเสียงแก่โรงเรียนในด้านวิชาการ

     

    เฮ้อ...ถึงซะที ร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากผ่านการเดินทรหดพร้อมแบกกระเป๋าใบยักษ์ตรงด้านหลังเป็นระยะทางกว่ากิโลจากประตูหน้ามาถึงอาคารเรียนของตน เรียวขางามก้าวเข้าไปในตัวตึก ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าห้องที่มีป้ายเล็กๆเขียนด้านบนว่า 712  เสียงคุยกันในห้องและแสงไฟบ่งบอกว่าตอนนี้มีคนมาถึงก่อนเธอแล้ว


    เฮ้ยแกพูดจริงพูดเล่นอ่ะ? ” เสียงใสที่ออกแหลมเล็กนิดๆดังขึ้น ทำให้เจ้าคนที่อยู่นอกห้องรู้เลยว่าเป็นเสียงใคร


    จริง!! ฝีมือระดับนี้มีหรือจะมั่วนิ่ม อีกเสียงที่คาดว่าต้องตอบกลับเมื่ออีกฝ่ายพูดก็ดังขึ้นทำให้รู้เลยว่าต้องมีอะไรอีกแน่ๆ

     

    ไอ้พวกชอบหาเรื่องใส่ตัวเอง!!

     

    คิดดังนั้นสาวเจ้าก็เข้าไปในห้องเรียนของตนทันที

    แล้วก็เป็นไปตามคาด...กลุ่มคน 4 คน นั่งจับกลุ่มกับนบนโต๊ะริมหน้าต่างโดยที่สองคนซึ่งส่งเสียงให้ได้ยินเมื่อสักครู่กำลังคุยอย่างออกรสออกชาติ คนหนึ่งนั่งมองสองคนที่พูดกันแบบไม่สนอะไรด้วยความหน่าย ในขณะที่อีกคนกำลังตั้งใจอ่านหนังสือ หากสังเกตดูดีๆก็จะรู้ว่านั่นหาใช่หนังสือเรียนดังที่คิดไว้ แต่เป็นหนังสือที่หญิงสาวผู้นับถือลัทธิสีม่วงทุกคนชื่นชอบ นั่นก็คือ...นิยาย Boys Love!


    แต่ผู้มาใหม่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่าย แต่กลับสนใจสองคนผู้กำลังคุยอย่างเมามันต่างหาก มือเรียววางกระเป๋าเป้ลงตรงที่นั่งประจำซึ่งไม่ห่างไปจากกลุ่ม 4 คนเท่าไหร่นัก


    บอกแล้วไง...ว่าคราวนี้เรื่องที่หามาได้เป็นเรื่องที่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดจริงๆ ผู้พูดนั้นก็คือคนเดิมกับที่ได้ยินเสียงในตอนแรก เป็นเด็กสาวที่มีรูปร่างค่อนข้างอวบอั๋นแต่สมส่วนได้รูป ใบหน้าของเธอนั้นขาวสวยน่ารักดวงตากลมโตหวานฉายความดื้อรั้นนิดๆ เรือนผมดำขลับถูกรวบตึงไว้ด้วยโบว์สีดำ ในมือเรียวของเธอมีภาพถ่ายสองสามใบที่เตรียมจะให้อีกฝ่ายดู


    ชมพู่เอ๋ย...เมื่อไหร่แกจะเลิกบ้าเรื่องลึกลับซะที คู่กรณีพูดอย่างละเหี่ยใจในการกระทำของเพื่อนสาว เธอเป็นเด็กสาวที่มีหน้าตาน่ารักไปทางแถบคนเหนือ ผมสีดำขลับถูกมัดไว้ด้วยโบว์สีดำเช่นกัน แต่มีผมหน้าม้ามาปรกด้านหน้าพองามทำให้ ดูน่ารักราวกับตุ๊กตาญี่ปุ่น


    ขวัญ แกก็อย่าไปว่าแต่ชมพู่เลย...ตัวแกเองน่ะเอาเข้าจริงก็เออออห่อหมกไปกับเขาด้วย   ผู้นั่งดูอยู่นานเอ่ยปากขึ้นบ้าง ดวงตากลมสีโตสีดำบัดนี้มองเพื่อนรักทั้งคู่อย่างเหนื่อยหน่าย ผมสีดำสั้นหยิกเป็นลอนรวบไว้เป็นหางม้าด้วยโบว์สีดำ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปพูดกับอีกคนซึ่งกำลังอ่านนิยายเกย์แบบไม่สนใคร


    ฟ้าแกก็อย่าเอาแต่อ่านนิยายเกย์จะได้มั้ย พูดอะไรบ้างซิ เพียงเท่านั้นผู้ที่อ่านนิยายเกย์ก็เงยหน้าขึ้นจากการอ่านอันแสนสงบด้วยหน้าตาที่ตนคิดจะทำให้บ้องแบ้วสุดขีด ดวงตาสีนิลสวยมีประกายทะเล้นแต่แฝงความฉลาดอย่างเอาเรื่อง ผมสีดำสลวยถูกรวบไว้ด้วยโบว์สีดำเช่นกัน ดูจากบุคลิกในแววตาเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมใครนอกจากกลุ่มเพื่อนสนิทและครอบครัว


    โธ่กัญ อ่ะ...ตอนนี้มันกำลังได้อารมณ์อยู่เชียว คำพูดสองแง่สามง่ามทำเอาผู้ถูกถามหน้าแดงซ่าน ทว่าไม่ใช่ด้วยความเขินอายแต่เป็นความโมโหที่พุ่งขึ้นสูงลิบ


    อ๊ะ อ๊ะ รึว่าจะอยากอ่านนิยายเกย์แบบเรา เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าจริงๆแล้ว ผีดิบเด็กเก็บตั๋วเองก็ชอบเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ราวกับฟางเส้นสุดท้ายขาดออกจากกัน ดีกรีความโกรธสูงขึ้นแบบห้ามไม่อยู่โดยเฉพาะเมื่อคำๆนั้นหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า


    ฟ้า!!แกตาย!! ”   เพียงเท่านั้นแหละก็เกิดการวิ่งไล่จับกันอุตลุดก็เกิดทั่วห้อง ฟ้ายังคงวิ่งหนีการไล่ล่าของกัญด้วยความเร็วของนักกรีฑาที่ไม่มีตกหล่น แต่จะให้วิ่งตลอดรอดฝั่งก็คงเป็นไปไม่ได้ ต้องหาตัวช่วย!!

     

    เหลียวซ้ายแลขวา ไม่มีอะไรพอจะกันได้เลย...

     

    ขณะที่คิดอยู่ร่างของผีดิบเด็กเก็บตั๋วก็ประชิดเข้ามาเรื่อยๆด้วยสปีดนรก แล้วตอนนั้นที่เรดาร์ของฟ้าทำงานดีเยี่ยม สังเกตเห็นร่างๆหนึ่งของผู้มาใหม่ที่กำลังจัดของใต้ลิ้นชักตนเอง

                 อิ๋งเงยหน้าขึ้นหลังจากจัดของเรียบร้อย แต่หารู้ไม่ว่าภัยพิบัติกำลังบังเกิดขึ้นกับตัวเธอ...ดวงตาสีดำใต้กรอบแว่น

    เบิกกว้างเมื่อเห็นร่างของฟ้ากำลังพุ่งมาหาเธอผู้เปรียบประดุจแม่พระมาโปรดด้วยความเร็วสูง

    ฟ้าหันไปหลบหลังอิ๋งแล้วใช้เธอเป็นโล่กำบังจากเจ้าคนที่มีฉายาว่าผีดิบเด็กเก็บตั๋ว ซึ่งสาวเจ้าผู้เป็นโล่นั้นก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่เพียงเหงื่อแตกพลั่กเมื่อสายตาของกัญจ้องมาอย่างคมกริบ

     

    มันโกรธจริงๆ!!

     

    เธอไม่ค่อยอยากอยู่ในสถาณการณ์แบบนี้เท่าไหร่นัก ก็เพราะเวลาที่คนตรงหน้าโกรธน่ะน่ากลัวขนาดไหน


    เอาน่า ใจเย็นๆค่อยๆพูดกันดีๆก็ได้ ลองเสี่ยงถามดูยังไงมันก็เพื่อนกัน คงไม่โมโหจนเกินไป


    เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแก อิ๋ง...ถอยไป กัญพูดเสียงเรียบพร้อมส่งสายตาแหลมคมมา พาเอาผู้เป็นโล่นั้นหนาวสั่นเป็นเจ้าเข้า ดู

    มัน...กูไม่ใช่คนหาเรื่องนะทำไมมองแบบนี้...


    แง~ อิ๋งช่วยเค้าด้วยผีกัญจะฆ่าหนู น้ำเสียงออดอ้อนดังมาจากคนที่ทำสีหน้าตรงข้ามกับน้ำเสียงโดยสิ้นเชิงและกำลังดึงเอาคนที่เป็นโล่ให้มาซวยไปพร้อมๆกัน...ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ...

    ผู้อยู่ตรงกลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเริ่มพูดอีกครั้ง


    ใจเย็นน่า กัญ แกก็สงบสติอารมณ์ได้แล้ว น้ำเสียงและแววตาที่จริงจังผ่านกรอบแว่นนั้นทำให้กัญเริ่มใจเย็นลงบ้างแล้ว หากไม่ติดว่าไอ้คนที่อยู่ข้างหลังเธอมันยังแลบลิ้นเหลือกตายั่วจนอีกฝ่ายชักจะเปลี่ยนใจ

    อิ๋งหันขวับมาจ้องฟ้าเขม็ง พร้อมกับเปรยเสียงเข้ม


    ส่วนแก ไอ้ฟ้า แกหยุดหาเรื่องกัญได้แล้วอย่าให้ฉันต้องปวดหัวแต่เช้า ทำเอาคนที่ถูกเปรยนั้นหงอยไปทันที ดวงหน้าหวานของฟ้าเริ่มทำหน้าเหมือนลูกหมาที่ถูกทิ้งหวังจะให้อีกฝ่ายใจอ่อน แต่ว่าคนที่ถูกอ้อนกลับมองด้วยหางตาแล้วเดินไปหาอีกสองคนที่กำลังคุยกันไม่เลิก  ฟ้าที่โดนเช่นนั้นกลับรู้สึกหดหู่ถึงที่สุด ในขณะที่กัญกำลังยิ้มเยาะอย่างมีชัย เป็นเหตุไม่พ้นว่าต้องเกิดรัศมีแปล๊บปลาบปะทะกันเบื้องหลังของร่างบางที่จากไปเมื่อครู่

     

    แล้ว ศึกครั้งที่สองก็เริ่มขึ้น!!

     

     

    เฮ้ยพวกแกสองคนกำลังทำอะไรอยู่น่ะ สาวเจ้าร้องถามเพื่อนสาวอีกสองตัวซึ่งกำลังนั่งคุยอย่างคร่ำเครียด ขวัญหันมามองเธอด้วยสีหน้ามุ่ยๆยังไม่คลายจากความหงุดหงิดต่อคู่กรณีที่ตนพูดด้วย


    ก็ไอ้ชมพู่น่ะสิอิ๋ง...มันไปหาเรื่องอีกแล้ว


    ก็บอกแล้ว...ว่ามันมีหลักฐานยืนยันแน่ชัด...ไม่เชื่อก็ดูนี่ดิ สาวร่างอวบร้องท้วงทันทีพร้อมกับยื่นภาพที่ตนถือไว้ให้เพื่อนทั้งสองดู


    รูปถ่ายขนาดเล็กปกติ เป็นภาพของกระจกบานหนึ่งที่มีรูปสลักวิจิตรงดงามด้วยทองคำล้อมรอบเป็นรูปอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายงู แต่ที่สะดุดตาก็เห็นจะเป็นรูปสลักค้างคาวตรงขอบกระจกด้านบนซึ่งอยู่กึ่งกลาง มีเพียงแต่ตรงนั้นที่ถูกทำด้วยหินสีดำ และที่เด่นชัดที่สุดก็คือดวงตาของมันเป็นสีแดงที่ดูท่าจะทำมาจากอัญมณีราคาแพง


    ก็แล้วไง...กระจกเก่าๆบานหนึ่งที่ดูมีราคา...จะบอกว่ามันคือหลักฐานเหรอ สาวผมหน้าม้าผละจากการมองรูปตรงหน้าเงยขึ้นมาพร้อมกับพูดอย่างเบื่อๆ


    อ้าว!! แล้วจะให้ฉันหาอะไรมาเป็นหลักฐานกันล่ะ แม่คู๊ณ!!  ชมพู่เริ่มร้องอย่างไม่พอใจ ก็จะไม่ให้ไม่พอใจได้ไงกันล่ะ พูดเป็นฉากๆ แถมเอารูปมาประกอบเป็นเรื่องเป็นราว แทนที่คนฟังมันจะมีปฏิกริยาอะไรบ้าง แต่กลับเป็นอาการเบื่อโลกแบบสุดขีด 

    ตอนนั้นเองที่มีคนสองคนก้าวเข้ามาในห้องอีกเรียกให้สามคนกับสองตัวซึ่งกำลังกัดกันหลังห้องต้องหันไปมอง

    คนแรกที่เดินนำมานั้นเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งแต่ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าเจ้าหล่อนมักจะเอาปกคอเสื้อให้ตั้งแบบผู้ชายล่ะก็รับรองหนุ่มๆติดตรึม ผมสีดำสั้นเป็นทรงสวยถูกรวบด้วยโบว์สีดำ ดวงตาสีเดียวกันกับเรือนผมนั้นออกจะดุนิดๆบ่งบอกว่าเป็นสาวห้าวพอควร


    ส่วนคนที่สองนั้นต่างกันย่างลิบลับ แม้เธอจะสวย แต่ก็สวยหวานน่ารักเหมาะแก่ความเป็นหญิงมากกว่า ดวงตาสีดำมีความอ่อนโยนเสมอ เส้นผมสีดำที่สไลด์ก็ถูกรวบด้วยโบว์สีดำอย่างเรียบร้อย เรื่อนร่างบอบบางน่าทะนุถนอมเป็นที่ต้องตาต้องใจของหนุ่มๆทั้งในสายไทยและพวกชาวต่างชาติ( ทั้งที่ความเป็นจริงมันก็เป็นทั้งกลุ่มนั่นแหละ )


    โบตั๋น แพรว พวกแกมาแล้วเหรอ  ขวัญร้องทักพร้อมกับยกมือขึ้นแทนคำว่าสวัสดี ซึ่งสาวมาดแมนนั้นก็ยกมือขึ้นรับส่วนสาวหน้าหวานข้างๆก็ยิ้มส่งให้


    เออดิ...และที่ฉันมาเนี่ยก็มาตามพวกแกทุกคน สาวแมนนามโบตั๋น หรือที่ทุกๆคนเรียกว่า ป๋านั้น เอ่ยขึ้นด้วยทีท่าเซ็งๆ ก่อนที่เหล่าคนฟังจะพากันงงถ้วนหน้า


    ลืมแล้วเหรอ...วันนี้ทุกระดับชั้นมีประชุมที่หอประชุมใหญ่พร้อมกันเรื่องงานวัฒนธรรมยังไงล่ะ สาวหน้าหวานนามแพรวเอ่ยแถลงไขเมื่อเห็นเพื่อนๆต่างทำสีหน้างงงวย สิ้นคำกล่าวบังเกิดความเงียบไปอึดใจ

     

    ผ่านไป 30 วิฯ...

     

    แล้วทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ว่ะ ไอ้ป๋า!!! ” เป็นอิ๋งที่ร้องขึ้นคนแรก หลังจากนั้นสาวๆทั้งหลายในห้องก็รีบเก็บข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง แล้วรีบกระวีกระวาดวิ่งออกมาจากห้อง ทั้ง 7 วิ่งด้วยสปีดนรกไม่สนอะไรทั้งสิ้นดูได้จากสภาพของไอ้ฟ้ากับไอ้กัญที่เป็นนักวิ่งกรีฑาด้วยกันทั้งคู่ มันยังกล้าวิ่งกระโดดข้ามผ่านรถถังขยะที่ตั้งขวางหน้าพวกมันได้เลย แต่ตอนนี้ไม่มีใครมัวทึ่งกับการกระทำของพวกมัน มีแต่โอดครวญในใจกับความเฟอะฟะของตนที่ลืมสิ่งที่ต้องทำในวันนี้เสียสิ้น

     

    มิน่า...ตั้งแต่เช้าถึงไม่ได้เห็นใครเดินเพ่นพ่านและเข้าห้องเลยสักคนเดียว!!!

     

    ภายในหอประชุมอันกว้างใหญ่และโอ่อ่าบรรจุนักเรียนได้กว่าหกพันคน เก้าอี้เบาะสีแดงสุดหรูทุกตัวเต็มไปด้วยนักเรียนต่างชาติ มากหน้าหลายตานั่งเรียงรายกันอยู่ วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากมายนอกจากที่ผู้อำนวยการจะเรียกประชุมเพื่ออภิปรายเรื่องงานวัฒนธรรมให้นักเรียนได้ทราบกันถ้วนหน้า แต่นักเรียนแต่ละคนก็ไม่ได้มาตั้งอกตั้งใจฟังเสียเท่าไหร่หรอก ส่วนมากก็มาอาศัยแอร์เย็นๆหลับนอนโดยเฉพาะเมื่อผู้อำนวยการมาพูดล่ะก็ ยานอนหลับขนานดีเลยล่ะ


    หวังว่าทุกคนคงเข้าใจที่ครูพูดแล้วนะ ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่บนเวทีกล่าวขึ้นด้วยภาษาอังกฤษที่ใช้เป็นภาษากลาง ณ ที่นี้ พร้อมกับกวาดสายตาไปมองเหล่านักเรียนโดยรอบ


    ถ้าเช่นนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปเรียนกันได้แล้ว

    สิ้นคำประกาศเด็กทุกคนก็เริ่มพากันทยอยออกจากหอประชุม ทางเข้าที่เบียดกันแน่นแม้จะใหญ่แค่ไหนก็ตามถ้าเด็กนับพันพร้อมใจกันออกล่ะก็รับไม่ไหวเหมือนกัน

            
                  ที่ต่อไปก็คือ โรงอาหารสุดหรู ที่ต้องหนาแน่นด้วยประชากรนักเรียนอีกครั้งเนื่องจากว่าเวลาที่ปล่อยเป็นเวลาพักเที่ยงของเหล่านักเรียนพอดิบพอดี ทั้งที่ปกติต้องทยอยปล่อยเป็นระดับ แต่วันนี้กลับปล่อยพร้อมกันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้


    รอดตายแล้ว อิ๋งพูดขึ้นพลางถอนหายใจ เพราะเมื่อกี๊ตัวเธอต้องไปเบียดกับกองทัพมนุษย์นับร้อยเพียงเพื่อจะซื้อข้าวมากินประทังชีวิตที่ตนคิดว่าแสนรันทด


    รู้งี้ห่อข้าวมากินเองคงดีกว่าล่ะมั้งเนี่ย


    เด็กสาวคิดในใจก่อนจะยกถาดอาหารของตนตรงไปยังม้าหินอ่อนด้านนอกโรงอาหารที่เพื่อนของเธอทั้งหกมานั่งจับกลุ่มจองโต๊ะหลังซื้ออาหารกันก่อนแล้ว


    โว๊ย!! ถ้าแกไม่หยุดพล่ามนะชมพู่ฉันจะเอาซาลาเปาที่มีหน้าตาเหมือนแกนี่ยัดเข้าปากซะเลย เสียงแหลมปรี๊ดดังออกมาจนคนที่อยู่ไกลออกไปเป็นระยะ 50 เมตรยังได้ยิน แถมคนฟังยังเดาสถาณการณ์ได้อย่างไม่ยากเย็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

    หลังจากที่ขวัญได้ระเบิดอารมณ์ทั้งหมดที่อัดอั้นมาตั้งแต่เมื่อเช้าที่ต้องอดทนฟังเจ้าคนตรงหน้าซึ่งบัดนี้กำลังพูดกับฟ้าและแพรวที่มีท่าทีสนในเรื่องที่ตนมาเล่า พร้อมขอดูรูปถ่ายที่แม่คุณยืนยันนักหนาว่าเป็นหลักฐานชิ้นเยี่ยม


           ชมพู่ไม่ได้สนใจฟังคำโวยวายเลยสักนิดแต่เจ้าหล่อนกำลังสนการเม๊าท์แตกแบบไม่มีเบรกมากกว่า และนั่นก็คือชนวนชั้นเยี่ยมซึ่งทำให้ไดนาไมต์นับสิบในสมองขวัญพร้อมใจกันระเบิดบึ้ม!!

    แต่ก่อนที่ขวัญผู้แสนดีซึ่งได้เข้าโหมดนางมารจะเข้าถึงตัวเหยื่ออันโอชะ เฮียป๋าก็เข้ามาดึงตัวไว้ทันการพร้อมกับพยายามบอกอีกฝ่ายว่า

    เย็นไว้โยมเย็นไว้

    แต่แม่คุณแกก็ยิ่งดิ้นแรง แล้วศึกเล็กๆอีกศึกก็เริ่มขึ้น!! 

     

    อิ๋งที่มาถึงโต๊ะแล้วก็นั่งประจำที่มือเรียวหยิบช้อนซ้อมขึ้นมาลงมือกับมื้อเที่ยงอันโอชะ  พร้อมกับสายตา และ ประสาทหูที่บังเอิญรับรู้การสนทนาของสามสาวตรงหน้าตน


    ห้องบนยอดหอคอยในอาคารเรียนของพวกเด็กยุโรปตะวันออกนั่นน่ะเหรอ ฟ้าถามขึ้นพร้อมกับจิ้มไส้กรอกใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ  ชมพู่พยักหน้า


    อืม ปราสาททรานซิลวาเนีย นั่นแหละปราสาทนั้นความจริงเป็นปราสาทที่ควรจะมีแต่ในประเทศโรมาเนีย แต่ก็นะ ผู้อำนวยการโรงเรียนเราท่านเป็นพวกชอบทำอะไรให้มันสมจริง ท่านก็เลยจัดพวกสถาปนิกชื่อดังจากทั่วโลกไปสำรวจปราสาทของจริงในแคว้นทรานซิลวาเนียเพื่อออกแบบอาคารเรียนอันสมจริงขึ้นมา แถมยังเลือกเอาต้นแบบเป็นปราสาทที่ใหญ่โตที่สุด สวยที่สุดและลึกลับที่สุดอีกด้วย


    และก็เป็นปราสาทของเคานท์แดร็กคูล่า จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ของผองแวมไพร์ผู้เป็นจ้าวรัตติกาล กัญกล่าวเสริมขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำหวานในแก้วเสร็จ แม้เธอจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเด็นที่สนใจเรื่องลึกลับแบบไอ้สามตัวนั่นแต่เรื่องนี้ก็ฟังฆ่าเวลาได้ดีเหมือนกัน


    แล้วมันเกี่ยวกับไอ้กระจกนี่ยังไงอ่ะ แพรวถามขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย


    นั่นล่ะประเด็น ชมพู่ดีดนิ้วอย่างถูกใจ ในขณะที่คนรอบข้างทั้งหกเริ่มให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้น แม้แต่ขวัญ( สงบแล้ว ) ก็ยังต้องฟังเงียบๆแม้ว่าจะทำหน้ามุ่ยแบบไม่อยากยอมรับว่าตนก็สนใจเรื่องนี้เหมือนกัน


     รู้ใช่มะว่าอาคารเรียนของโรงเรียนนี้เกือบทุกหลัง( เว้นแต่อาคารเรียนของเด็กไทย )จะมีต้นแบบมาจากสถานที่สำคัญๆของแต่ละทวีปรวมทั้งแต่ละภูมิภาคมารวมกัน  ทุกคนพยักหน้า


    ฉะนั้นมันก็ไม่น่าจะแปลกอะไรหากว่าจะคิดเอาโบราณวัตถุอันทรงค่าที่เขาเปิดประมูลกันนั้นมาประดับไว้ซักชิ้นสองชิ้น   ทันทีที่กล่าวจบดวงตาทุกคู่เบิกกว้างจ้องมองเจ้าเพื่อนตัวดีตรงหน้าพลันสมองก็มีความคิดหนึ่งแล่นผ่าน


    แกคงไม่บอกนะว่ากระจกนี้มันก็เหมือนกัน สาวที่เงียบมานั้นเริ่มเอ่ยขึ้นอย่างหวาดๆ อิ๋งหยิบรูปกระจกขึ้นมาแล้วแกว่งไปมาราวกับถาม


    ใช่และนี่เป็นข่าวจากวงในนะว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนมีเด็กนักเรียนสองคนที่อยู่ทำงานจนดึก ลืมของเอาไว้ก็เลยขึ้นไปหากัน...ค้นหมดทุกห้องก็ไม่มี ก็เหลือเพียงแต่ห้องบนยอดหอคอยที่นั่นที่เดียวสองคนนั้นจึงจำใจต้องเดินขึ้นไปรุ่งเช้าพนักงานทำความสะอาดมาเห็นทั้งคู่อยู่ในสภาพตัวสั่นแน่นิ่งกับพื้นพอถามอะไรก็พูดออกมาไม่เป็นภาษา ราวกับคนสติแตกที่ไปเห็นอะไรอันน่าสยดสยองเข้าให้ แม่สาวคลั่งเรื่องลึกลับเล่าขึ้นขณะที่บรรยากาศรอบตัวเจ้าหล่อนยิ่งมืดมัว ทำเอาหลายๆคนเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก


    ตามที่สืบมาจากพวกรุ่นพี่เขาก็บอกว่าในห้องนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากกระจกบานนี้ พูดเสร็จเจ้าหล่อนก็หยิบรูปกระจกใบนั้นในมุมต่างๆมาแผ่กระจายกลางวงสนทนา ราวกับอะไรดลใจมือเรียวทุกคู่พร้อมใจกันหยิบรูปเหล่านั้นขึ้นมาดู


    แล้วแกก็เลยอยากพิสูจน์ โบตั๋นถามขึ้นพลางเลิกคิ้วแต่สายตาของคุณเธอก็ยังไม่ได้ละจากรูปในมือ แทนคำตอบกลับผู้ถูกถามกลับยิ้มหน้าบานราวกับกระด้งเป็นการตอบรับ


    จะบอกว่าไอ้กระจกบานนี้เป็นของอาถรรพ์ที่เคยอยู่กับเคานท์แดร็กคูล่ามาก่อนอย่างงั้นเหรอ ขวัญถามเจ้าคนนั่งเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม


    ปิ๊งป่อง! ถูกต้องคร๊าบ กระจกบานนี้เป็นกระจกสุดรักสุดหวงของท่านเคานท์เชียวนะ ว่ากันว่าเพราะเป็นของดูต่างหน้าของราชินีภรรยาที่รักของเขาไงล่ะ   แม่สาวอวบอั๋นที่ได้อวดภูมิความรู้ของตนไปหมาดๆนั้นยิ้มยิงฟันจนเห็นฟันขาวสะอาด( ตรงไหน? ) เรียงตัวจากปากของเจ้าหล่อน


    เฮอะ เชื่อได้แค่ไหนกันเชียวอาจเป็นแค่เรื่องลือกันก็ได้ สาวผมหยิกนามกัญกล่าวเสริมพร้อมกับที่มือเรียววางรูปไว้ดังเดิมแล้ว ทำเอาคนที่คลั่งเรื่องลึกลับต้องหันมาหน้ามุ่ยใส่ทันที


    แต่เรื่องนี้ก็น่าสนใจเหมือนกันนะ คำพูดของสาวข้างกายหยุดบรรยากาศมืดมนระหว่างชมพู่และกัญได้ทันท่วงทีก่อนที่จะลามปาม สาวร่างอวบหันมาหาแพรวผู้เอ่ยปากว่าสนใจด้วยรอยยิ้มที่ตนเองคิดว่าสุดสวย ในขณะที่อีกห้าคนที่เหลือเห็นว่ามันช่าง

    สุดสยอง
    !!


    อิ๋งมองภาพของเพื่อนสาวคลั่งเรื่องลึกลับด้วยอาการเซ็งๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองรูปในมือของตนเช่นเดิม


    ก็แค่กระจกธรรมดา


    เธอคิด ดวงตาใต้กรอบแว่นติดจะออกอาการเฉยชา แต่ก็จ้องมองดวงตาสีแดงของเจ้าค้างคาวที่ทำมาจากอัญมณีอันเป็นจุดเด่นของกระจกด้วยความแปลกใจเล็กๆ


    พลัน

    ดวงตาสีแดงของค้างคาวในรูปนั้นกลับส่องแสงสีแดงวาวโรจน์ ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองมาราวกับมีชีวิต สิ่งที่มันจ้องอยู่นั้นไม่ได้คิดไปเอง มันจ้องตรงมายังเธอที่ถือรูป ดวงตากลมโตใต้กรอบแว่นเบิกกว้างอย่างตะลึงในวินาทีถัดมาก็รู้สึกเหมือนกำลังดำดิ่งสู่ความมืดมิด

            
                 ภาพโดยรอบนั้นว่างเปล่ามีแต่สีดำของความมืดอันอนธกาลและสายลมแสนหนาวเหน็บที่พัดผ่านพริบตานั้นภาพสีดำก็ถูกแทนที่ด้วยภาพบางสิ่ง
    รอบตัวเต็มไปด้วยหมอกโลหิตหนาทึบ พื้นดินแห้งกรังไร้ความชุ่มชื้น สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั้นแจ่มชัดยิ่ง เนินเขาของซากศพพวกอมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วน ศาสตราวุธและชุดเกราะเกลื่อนกลาดอีกทั้งกลิ่นคาวเลือดที่โชยมากับสายลมเย็นยะเยือกนั้นทำให้อยากอาเจียน


                      พยายามอย่างยิ่งที่จะก้าวขาออกวิ่ง และหนีไปให้ไกลแต่ก็เหมือนช่วงล่างของร่างกายจะไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว สติที่มีอยู่ทั้งหมดกำลังแตกกระเจิง น้ำตาก็พานจะไหลริน ทว่าสายตาที่กวาดไปโดยรอบนั้นก็ไปสะดุดกลับเงาสีดำกลุ่มหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังหมอกไกลออกไปไม่มากนัก เงาพวกนั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ความชัดเจนก็ยิ่งทวีขึ้นพร้อมความตระหนกในใจ  ภาพเบื้องหน้าบุรุษทั้งสิบอยู่ในชุดเกราะองอาจน่าเกรงขามประทับบนหลังอาชาไนยสีดำ ที่มีปีกค้างคาวทมึฬงอกออกมา ดวงตาสีแดงส่องประกายกร้าวถึงความดุร้าย เขี้ยวสีขาวยาวสองซี่พ้นปากของพวกมันชวนให้พรั่นพรึง แต่ก็ยังมิอาจเทียบได้กับผู้ขี่มัน บุรุษหนุ่มเหล่านั้นมีโลหิตสีดำเปรอะเปื้อนตามชุดเกราะและใบหน้าคมเข้มซึ่งส่อแววอำมหิต ดวงตาทุกคู่เป็นสีแดงฉาน

    แววตานี้มิใช่ของมนุษย์!!


    บุรุษผู้อยู่หน้าสุดจับดาบเล่มยักษ์สีนิลที่เปื้อนเลือดดำขึ้นมาแล้วใช้ลิ้นเลียโลหิตนั้นอย่างสำราญใจ ร่างบางหัวใจกระตุกวูบภาพเบื้องหน้านั้นน่ากลัวแต่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ดวงตาสีแดงคู่นั้นราวกับดึงดูดให้เข้าไปใกล้ และแทบจะลืมหายใจเมื่อสังเกตว่าดวงตานั้นจ้องมองมายังเธอ พร้อมกับที่เจ้าของดวงตานั้นวาดรอยยิ้มหยันออกมา

     

    อิ๋งอิ๋งตอบสิวะ!! ” เสียงตะโกนที่ราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกลทำให้เปลือกตาบางนั้นเริ่มปรือขึ้นอย่างช้าๆ ภาพตรงหน้ามีแสงสว่างจ้าก่อนจะแจ่มชัดและแทนที่ด้วยใบหน้าที่คุ้นเคยของใครอีกหลายๆคน

    โบตั๋นซึ่งเป็นเจ้าของเสียงและอยู่ใกล้ที่สุดมีสีหน้าตื่นๆเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ร่างบางที่นอนอยู่พยายามลุกนั่งโดยมีฟ้าคอยประคองไว้อีกที


    แกเป็นอะไรหรือเปล่า จู่ๆก็ฟุบไป ขวัญที่ยังมีสีหน้าไม่สู้ดีถามเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง อิ๋งที่พยายามลำดับเหตุการณ์ก็เกิดอาการงงนิดๆนี่เรา สลบไปตั้งแต่เมื่อไหร่

    พร้อมกับดวงตาคู่สวยสาดส่องไปโดยรอบ เตียงหลายเตียงวางเรียงกันตลอดสองข้างทาง มีผ้าม่านสีเทากั้นไว้แต่ละช่วง แสงแดดสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างบานยักษ์ทำให้เห็นสภาพห้องโดยรวมซึ่ง เป็นสีขาวอมเทา ลวดลายวิจิตร และโคมไฟแก้วขนาดยักษ์ ทำให้ดูราวกับปราสาทในเทพนิยายก็ไม่ปาน


    ห้องพยาบาล...ของอาคารเรียนเด็กยุโรปเหนือวิหารวาลฮาร่า

    มาอยู่นี่ได้ยังไง...


    หรือว่านอนไม่พอ กัญเริ่มถามบ้างแม้เธอจะเป็นคนไม่ค่อยสนอะไรรอบข้างแต่ถ้าเป็นเรื่องของเพื่อนล่ะก็ไม่ปล่อยไว้เฉยๆแน่ ประเภทเพื่อนตายหายากอะไรเทือกนี้

    ผู้ถูกถามส่ายหน้าช้าๆแล้วยิ้มตอบให้กับเพื่อนๆเป็นการบอกว่าไม่ป็นไรแล้ว


    เอ่อ...แล้วทำไมฉันกับพวกแกถึงมาอยู่ที่วิหารวาลฮาร่าได้อ่ะ อิ๋งถามพร้อมกับมองไปรอบตัวอีกครั้ง จำได้ว่าพอมองรูปนั่นก็รู้สึกเหมือนกับวูบไปหมดและก็เห็นภาพอะไรบางอย่าง...ที่แสนน่ากลัว

    แถมพอตื่นขึ้นมา...ก็มาอยู่อาคารเรียนของเด็กต่างชาติซะงั้น


    อ๋อ...ก็พอแกฟุบไปนะพวกเราก็รีบลุกขึ้นมาหาแก แล้วก็ตะโกนขอความช่วยเหลือ...รู้หรือเปล่าตอนนั้นหน้าแกโคตรซีดเลย...ตัวก็เย็นชืดจนน่ากลัว ฟ้าตอบคนที่ตนกำลังประคองด้วยความหน่ายเหนื่อยปนเปกับความโล่งใจที่เพื่อนสาวไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว


    จากนั้นนะ...ก็มีนักเรียนต่างชาติเข้ามาอุ้มแก แล้วพามาที่นี่ ที่อยู่ใกล้โรงอาหารที่สุดไงล่ะ ชมพู่กล่าวเสร็จก็หัวเราะคิกๆ กับแพรวสองคนรวมทั้งคนอื่นๆด้วย แต่เมื่อเห็นเครื่องหมายคำถามจากหน้าอีกฝ่าย สาวหน้าหวานจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เพื่อแถลงไข


    ก็คนที่อุ้มแกมาที่นี่น่ะเป็นรุ่นพี่ ม.6 ผู้เป็นนักเรียนดีเด่นและไอดอลของโรงเรียนเรา...รุ่นพี่ ลูซิด เวลเซนเบิร์ก ยังไงล่ะจ๊ะ


    พอได้ฟังดังนั้น ร่างบางก็รู้สึกเยือกแข็งตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า หัวสมองเริ่มมึนงง อยากจะสลบไปอีกรอบ ให้ใครอุ้มไม่อุ้ม ดันไปถูกรุ่นพี่ไอดอลคนดังของโรงเรียนอุ้มเข้าเสียนี่...ไม่ดังได้ไงเล่า นักเรียนดีเด่นผู้อ่อนโยน ประธานนักเรียนทั้งโรงเรียน หัวหน้าอาคารเรียนของเด็กยุโรปทั้งหมด มีวิชาศิลปะการป้องกันตัวทุกชนิด  ถนัดการเล่นเปียโน ร้องเพลงก็เพราะ หัวหน้าวงดนตรี บอยแบนด์ที่ไปแข่งขันมาแล้วได้แชมป์โลก ทายาทของแก๊งค์มาเฟียใน

    อิตาลีที่โด่งดัง รูปหล่อพ่อรวย แถมให้ว่าฝ่ายแม่เป็นพวกเชื้อพระวงศ์ของทางอังกฤษ...โอย สารพัด ฯลฯ สรุปคือไอ้คนที่ชื่อลูซิดมันก็คือเพอร์เฟกต์แมนนั่นเอง


    ไอด้ง ไอดอลอะไรชั้นไม่สนอ่ะ...รู้แค่ว่าเขามีพระคุณช่วยฉันก็พอแล้ว  อิ๋งบอกพร้อมกับทำท่าหน่ายๆ...ก็คน เหมือนกันไม่ใช่เหรอ

     

    แอ๊ด~


    ไม่ทันขาดคำ บานประตูไม้ขนาดยักษ์ก็เปิดออกพร้อมกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งราวๆ10 – 12 คนเดินเข้ามา ชายร่างสูงรูปงามที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามแต่ละคน ในชุดสีดำยาวกรอมเท้า และรองเท้าบู๊ทรัดรูปถึงเข่าแนวโกธิค ที่ทั้งหมดจงใจว่าจะใส่เหมือนกัน ทั้งๆที่โรงเรียนก็อณุญาติให้ใส่ชุดไปรเวทได้แท้ๆ ผู้เดินนำกลุ่มมานั้นมีรูปร่างที่โดดเด่นที่สุด เรือนผมสีเงินโทนม่วงรวบต่ำไว้ ดวงตาสีแดงคู่คมส่องประกายอารีย์และความน่ายำเกรงในคราวเดียวกัน ผิวขาวเนียน ร่างกายสูงโปร่งไม่ใหญ่เทอะทะ ดูมีสง่าราศีของชนชั้นผู้ดี...บุคคลที่เพิ่งจะพูดถึงไปหมาดๆ


    ลูซิด เวลเซนเบิร์ก กับวง Dark Lucifer !!!

     

    อ๊ากก!!!อยากกัดลิ้นฆ่าตัวตาย


    ความคิดนี้แล่นผ่านทันทีที่รู้ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร พลางเข้าข้างตัวเองด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อกี๊ตนพูดออกไปเป็นภาษาไทย อีกฝ่ายที่เพิ่งมาถึงคงยังไม่ได้ยินหรอก ถึงได้ยินก็ฟังไม่ออกอยู่ดี...


    คนป่วยกำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าตื่นๆ พลางพยายามส่งยิ้มหวานมาให้ ขณะที่คนช่วยพยุงเมื่อตะกี๊หันกลับไปอ่านหนังสือ( เกย์ ) ของตนต่อแบบไม่สนใคร สองคนที่ส่งเสียงหัวเราะเป็นคู่แรก ก็ยิ่งยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง อีกสามคนที่เหลือก็ยังคงมองมาด้วยอาการที่เรียกว่า อ้าปากค้าง


    ผู้มาใหม่นามลูซิด และผองเพื่อนอมยิ้มน้อยๆกับภาพตรงหน้าก่อนที่เขาผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มจะเข้ามาหาเด็กสาวผู้ยังอยู่บนเตียงสีขาว และยิ้มให้กับเธออย่างสุภาพ


    ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ยครับ ลูซิดถามด้วยภาษาอังกฤษที่ตนคิดว่าอีกฝ่ายคงเข้าใจง่ายมากที่สุด น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เปล่งออกมาคงทำให้สาวหลายๆคนคงใจละลายได้ไม่ยาก แต่สำหรับอิ๋งผู้ซึ่งไม่ให้ความสนใจในเรื่องการคบ และพูดคุยกับเพื่อนต่างเพศ ในทำนองชู้สาว ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรมากนัก เด็กสาวจึงยึ้มแห้งๆให้( เนื่องจากมีคดีนินทาคนตรงหน้าอยู่ ) พร้อมกับตอบอีกฝ่าย


    ค่ะ...ขอบพระคุณรุ่นพี่มากนะค่ะที่ให้ความช่วยเหลือ ไม่อย่างงั้น ฉันก็คงแย่เหมือนกัน ลูซิดยิ้มรับคำขอบคุณ


    ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วล่ะครับ น้องอิ๋ง  หลังจบคำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายฉงนไปโดยพลัน คิ้วเรียวมุ่นขึ้นอย่างสงสัย...รู้ชื่อเราได้ไง  ลูซิดที่อ่านอัปกิริยาร่างตรงหน้าเขาจึงแถลงไขให้ฟังอีก


    พอดีพี่รู้มาจาก เพื่อนของน้องอีกทีน่ะ... ว่าพลางชี้ไปยังนังหญิงสาวตัวการผู้มีรูปร่างอวบอั๋น แต่บอบบางอย่างสตรีเพศ ซึ่งกำลังยิ้มหน้าบานยิ่งขึ้นไปอีก


    นังชมพู่...แกนะแก จำไว้เลย


    ดวงตาคู่สวยภายใต้กรอบแว่นมองเพื่อนผู้น่ารัก( พาตัวไปฆ่า ) ด้วยความขุ่นเคืองพร้อมกับคาดโทษอีกฝ่ายเอาไว้

    อย่าไปโกรธชมพู่เขาเลย...พี่เป็นคนถามเขาเองล่ะ คำพูดห้ามศึกทำให้เด็กสาวต้องหันมาคุยต่อพลางปั้นยิ้มไว้ให้ดูดีที่สุด แต่รอยยิ้มก็ต้องจางหายไปเมื่อเธอสังเกตเห็นแววตาของอีกฝ่ายไหววูบ ซึ่งมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ยิ้มอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง แต่ก็ยังคงความอ่อนโยนเอาไว้ ทว่าครั้งนี้มันผิดปกติและถ้าเธอไม่ได้หูฝาด เหมือนกับว่าได้ยินเสียงลูซิดพูดขึ้นแผ่วเบาราวกระซิบ


     ถามทุกอย่าง...ที่เกี่ยวกับตัวเธอ...ตั้งแต่ที่เธอเริ่มเข้าเรียนที่นี่แล้ว...


    ระ...รุ่นพี่ค่ะ...อิ๋งสะกิดเรียกอีกฝ่ายที่เงียบไปนานจนผิดสังเกต ลูซิดที่ตื่นจากภวังค์ ก็ยิ้มให้แบบเดิมอีกครั้ง ซึ่งไม่มีอะไรผิดสังเกตแล้ว


    เอาล่ะ...พวกพี่ก็คงต้องกลับได้แล้ว...จะถึงชั่วโมงเรียนแล้วด้วยซิ และน้องอิ๋ง ก็จะได้พักผ่อนด้วย ชายหนุ่มพูดขึ้นพลางเดินออกไปจากเตียงของเด็กสาว ไปสมทบกับคนอื่นๆที่รอเขาอยู่แล้วเดินออกจากประตูไป โดยไม่ลืมจะหันมาบอกลาก่อนที่จะปิดประตู


    แล้วเจอกันใหม่นะ เลดี้ผู้น่ารักทั้งหลาย


    บานประตูปิดลงสนิทแล้วหลังจากชายหนุ่มรูปงามได้เดินจากไป แต่งยังไม่วายพัดพาเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆตามทางเดินที่พวกตนผ่านไปอีก คิดๆดูแล้วเป็นคนดังนี่ก็น่าสงสารแฮะ ไปไหนก็ต้องทนมลภาวะทางเสียง เฮ้อ!!


    แต่ที่น่าสงสงสารยิ่งกว่าอาจจะเป็นตัวเธอเองก็ได้ เพราะบัดนี้ผองเพื่อนทั้งห้า ( ยกเว้นฟ้า ที่กำลังอ่านนิยายเกย์พร้อมกับกำกระดาษทิชชู่เปื้อนเลือดกำเดาไว้ในมือจนแน่น แบบไม่สนใจใคร ) พากันมามุงรอบตัวเธอพร้อมกับจ้องมองแบบจับพิรุธ


    เฮ้ยๆ...ทำไมพวกแกจ้องฉันอย่างงั้นล่ะวะ...ทำยังกะสอบสวนนักโทษ เจ้าคนบนเตียงพูดขึ้นพร้อมกับกระเถิบถอยหลังไปเล็กน้อย ดวงตากลมโตใต้กรอบแว่นมีแววงุนงนระคนหวาดระแวงเล็กๆ


    ขวัญยื่นหน้าเข้ามามองสำรวจร่างของเธอตั้งแต่หัว อยู่หลายครั้ง พร้อมกับที่โบตั๋นเข้าถอดแว่นออกจากเธอที่มีทีท่าขัดขืนเล็กน้อย แต่ก็โดนถอดออกไปจนได้


    ไอ้คนที่จ้องอยู่มันก็ยิ่งจ้องมากขึ้น แต่เป็นการพินิจหน้าธรรมดาเฉยๆ ทำเอาคนถูกมองรู้สึกแปลกๆ หนาวร้อนไปทั่วขนกาย ขณะเดียวกันกับที่คนจ้องวาดรอยยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา


    ดูๆไป...แกก็ไม่ได้ขี้เหร่นี่หว่า


    จริงว่ะ...แต่เสียอย่าง...ปากเปราะจนน่าจับไปขัด...กับนิสัยห่ามๆขี้โมโห...กินจุ...และก็ชอบนอนตอนกลางวันนี่แหละ ที่ไม่สมเป็นกุลสตรี กัญกล่าวเสริมพร้อมกับจับคางครุ่นคิด


    ดู!! ทำเป็นเก๊กมาดขรึม และมาวิจารณ์คนอื่น ยังกับมันเป็นกุลสตรีนักแหละ


    นึกไม่ถึง...ว่ามันจะขายออกก็วันนี้แหละ...แถมคนซื้อยังไม่ใช่คนธรรมดาอีกด้วย คราวนี้ป๋าโบเริ่มพูดบ้างพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย


    ซื้อๆ ขายๆ อะไรของมานวะ  พ่อกูบ่ได้ทำงานร้านของชำ หรือ แอ็ม... ขายสักหน่อยนี่


    มันต้องไปทำยาเสน่ห์ชัวร์เลยยยยยย!!! ” แพรวเสริมอย่างมั่นอกมั่นใจพลางทำท่าทางให้ดูเหมือนกับพิธีกรรายการสักรายการที่คล้ายๆว่า จะเคยเห็นที่ช่องไหนสักช่อง


    นี่พวกแกกำลังพูดอะไรกานห๊~!! กูงงเต๊กไปหมดแล้วและแล้วอิ๋งก็วีนแตกออกมาหลังจากที่เส้นประสาทของตนนั้นดัง ตุบ ตุบ ปึด ปึด  ตลอดที่ฟังเจ้าพวกนกขุนทองทั้งหลายที่ยังอมยิ้มอย่างเป็นผู้รู้มากกว่า ทำให้เธอไม่สบอารมณ์อย่างแรง


    หยุด หยุด...เรื่องซื้อๆ ขายๆ เอาไว้ทีหลัง มาเข้าประเด็นของพวกเราได้แล้ว เจ๊อวบประจำกลุ่มต้องห้ามก่อน เมื่อเห็นทีท่าของเพื่อนสาวบนเตียงกำลังลุกจากที่นอนไปด้วยบรรยากาศมืดมัวแบบฆ่าคนได้ทันที...


    สาวหน้ามน( กลม )นามชมพู่ถอนหายใจเมื่อเพื่อนผู้อยู่ในสถานะคนป่วยเริ่มอารมณ์เย็นลง ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน แม้แต่ฟ้าก็ต้องผละออกมาจากนิยาย( เกย์ ) สุดรักของเธอ พร้อมกับมือที่พยายามใช้ทิชชู่ปิดจมูกสุดความสามารถกันไม่ให้ของเหลวสีข้นไหลออกมา ( 555++ )


    นี่เป็นแผนผังของตัวปราสาททรานซิลวาเนียทั้งหมด อาเจ๊แก พูดพร้อมกับหยิบมวนกระดาษกลมๆสีขาวม้วนหนึ่งขึ้นมาคลี่บนโต๊ะ มันเป็นแผงผังการออกแบบของปราสาททรานซิลวาเนียที่ โรงเรียนนี้ได้ดัดแปลงจากของจริงในโรมาเนียให้เหมาะสมกับกับการเป็นอาคารเรียน  ยิ่งกว่านั้นแผนผังที่สำคัญขนาดนี้มันก็น่าจะเก็บไว้ในห้องทำงานของผู้อำนวยการซิ!!

    เพียงเท่านั้นสายตาทุกคู่ก็หันไปจ้องหน้าผู้นำมาด้วยสายตาหวาดระแวง พร้อมคิดเป็นอย่างเดียวกันด้วยความพร้อมเพรียง

     

    มันเอามาจากไหน !!?

     

    ดูจากแผงผังและข้อมูลเท่าที่รู้...จะมีการผลัดเปลี่ยนเวรยามอยู่ครั้งละ 2 ชั่วโมง และการจะเปลี่ยนทุกครั้งกว่าที่ยามคนชุดใหม่จะมาทำงานที่หน้าอาคารก็ใช้เวลาอย่างมาก 20 นาที ชมพู่พูดอธิบายในขณะที่คนอื่นเริ่มพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจ


    เราจะอาศัยจังหวะนั้น วิ่งเข้าไปในอาณาเขตอาคารเรียนโดยปีนข้ามรั้วนั้นไป ผ่านไปทางสวนหย่อมข้างๆที่จะมีไม้พุ่มรกสูงๆพอสำหรับซ่อนตัว เข้าตัวอาคารเรียนทางบันไดหินอ่อนเก่าๆที่อยู่ด้านหลัง เป็นตัวเชื่อมกับห้องศิลปะ...มาถึงตรงนี้คงต้องรีบหน่อย เพราะ ยามที่จะเดินมาตรวจทุกครึ่งชั่วโมง เพราะบันไดนี้ไม่ได้ใช้มานาน เลยมีตะไคร้น้ำเกาะเต็มไปหมดจึงลื่นมากๆ บวกกับระยะทางและความชัน ก็ถ่วงเวลาพวกเราไปได้เยอะเชียวล่ะ เมื่อเข้าไปแล้วก็ให้ตรงไปทางซ้ายมือ สุดทางเดินฝั่งขวามือก็จะเป็นประตูห้องเก็บของนั่น 


    ที่พูดเรื่องนี้อย่าบอกนะว่า... อิ๋งพูดด้วยหน้าตาที่ซีดลงเล็กน้อย นิ้วสั่นๆชี้คนตรงหน้าที่ยิ้มยิงฟันด้วยความไม่อยากเชื่อว่ามันจะกล้าทำ


    ใช่แล้ว!! ชมพู่แห่งชมรมหนังสือพิมพ์คนนี้  เป็นตายร้ายดีอย่างไร คืนนี้ฉันก็ต้องบุกปราสาทนั่นให้ได้!! ”

     

    แย่...แย่ที่สุด!!


    เป็นคำๆเดียวที่กำลังดังก้องอยู่ในใจของอิ๋งในขณะนี้...เด็กสาวกำลังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะใช้สองมือ สอง เท้าของตนนั้นให้แปรสภาพแบบตุ๊กแก ในการเกาะพื้นผิวให้ดีที่สุด โดยที่ต้องจับราว และสองตีนก็ยึดกับพื้นที่เต็มไปด้วยตะไคร้น้ำของบันไดหินอ่อนแห่งปราสาททรานซิลวาเนีย!!


    ใช่...ตอนนี้เธอกับอีกหกตัวปัญหาที่อยู่ในสภาพกิ้งก่ากลายร่าง กำลังอยู่ในอาคารเรียนนี้แล้ว ที่เห็นว่าตัดบทมาถึงนี่หากคิดว่ามันง่ายเกินไปจนน่าเบื่อ เราถึงไม่อยากให้คุณรับรู้...ขอบอกเลยว่า คิดผิดมหันต์!!


    มันเป็นอะไรที่น่าอับปรีย์ น่าทุเรศ น่าละอาย ฯลฯ ยิ่งกว่าสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้เสียอีก หากจะโทษ ก็ต้องโทษแม่สาวต้นคิดของเรา ที่นอกจากมาสายที่สุดแล้วดันสมองปลาทองลืมเอาแผนผังมา แถมบอกว่าตัวเองจำได้แม่น จึงนำทางไป


    รอบแรก...พาไปเจอโรงเก็บขยะที่อยู่ข้างๆ


    รอบสอง...พาไปตกหลุมโคลนขนาดใหญ่


    รอบสาม...ไปเจอบ่อจระเข้ที่ผู้อำนวยการเลี้ยงไว้ในโรงเรียน ซึ่งจะปล่อยออกมาจากบ่อในตอนกลางคืนให้ล้อมอาคารเรียนทุกหลังโดยรอบกันผู้บุกรุกที่ไม่ใช่นักเรียน หรือ คนงาน จะเข้ามายามวิกาล เพราะทุกคนจะรู้เส้นทางดีอยู่แล้ว เว้นแต่คนสมองปลาทองแบบไอ้ชมพู่!!


    แน่นอนกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ แต่ละคนก็อยู่ในสภาพอันจัดได้ว่าโทรมสุดๆ ชุดนักเรียนที่ยังไม่เปลี่ยนนั้นเปื้อนไปด้วยโคลน กับ กลิ่นเหม็นของขยะ ผมเผ้าหลุดรุ่ยไม่เป็นระเบียบ  คิดแล้วน่าอนาถจริงๆ


    ในที่สุดทั้งเจ็ดก็ขึ้นมาถึงปราสาททรานซิลวาเนียจนได้ หอบกันอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปิดประตูเข้าไป...

    ภายในนั้นตกแต่งด้วยหินปูนสีดำสนิทอมเทา เช่นเดียวกับตัวปราสาทด้านนอกที่ใหญ่มโหฬารยิ่งกว่าวิหารวาลฮาร่า แถมน่ากลัวกว่าด้วย รูปภาพเขียนสีน้ำมันกรอบทอง แจกัน ของมีค่าต่างๆถูกประดับไว้อย่างดี ลงตัว ดูมีระดับ

    หินอ่อนลากยาวไปเรื่อยๆสองข้างทางเหมือนไร้ซึ่งเขตแดนบรรจบ แล้วทั้งหมดก็เดินไปทางซ้ายมือตรงไปเรื่อยๆตามทางเดินที่ทอดยาวนั้น...


    เฮ้ย!! แกไม่หลงแน่แล้วนะไอ้ซาลาเปา ขวัญถามขึ้นอย่างอารมณ์เสียเพราะไอ้เจ้าเพื่อนบ้าแสนแสบนั้นเล่นเอาเธออ่วมอรทัยกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาจนไม่อยากบบรยาย


    ไอ้คนนี่ถูกเรียกว่าซาลาเปามองด้วยหางตาแบบไม่พอใจในสรรพนามของตน แต่ชมพู่ก็ตอบกลับไป

    เออๆ ไม่หลงแล้วกูจำทางได้แล้วน่า


    เห็นแกพูดแบบนี้เป็นรอบที่ล้านแล้วนะโว้ย


    คราวนี้ถ้าหลง ให้ตัดหัวเสียบประจานเลยเอ้า!! ” แล้วทั้งคู่ก็ทะเลาะกันตลอดทาง สร้างมลถาวะทางเสียงให้กับคนอื่นอีกหลายคนซึ่งกำลังเดือดพล่านด้วยความรำคาญ...ประการฉะนี้แล

     

    บานประตูไม้โอ๊กสีเข้มสลักลวดลายที่สวยงามและน่าพรั่นพรึง

    มันเป็นรูปของอสุรกายสามตนกำลังต่อสู้ห้ำหั่นกัน หนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่เรียกว่า มังกร มีปีกกล้าที่แข็งแกร่ง ตัวที่สองเป็นสิ่งที่คล้าหับหมาป่าแต่ทว่ามีสองขาเช่นมนุษย์ถูกขนามนามว่า แวร์วูลฟ์  ตัวสุดท้ายโครงหน้ารูปค้างคาว ปีกกล้าทมึฬทรงอำนาจแผ่ไปทั่วกลางหลัง โบยบินอยู่เหนือสัตว์อสูรสองตนโดยที่ข้างหลังนั้นเป็นดวงจันทราส่องประกายสีแดง ผู้เป็นเจ้าแห่งรัตติกาลมานานนับพัน นับหมื่นปี...แวมไพร์


    ทำไมประตูมันหลอนได้ใจอย่างงี้วะ กัญพูดขึ้นพร้อมกับเอามือไล่ไปตามลวดลายเหล่านั้นอย่างบรรจง น่าแปลกทั้งๆที่มันน่าจะเก่าคร่ำครึพอๆกับอายุโรงเรียน แต่ทำไมมันดูสะอาด และใหม่ไม่มีคราบปนเปื้อนแม้น้อยนิด


    อิ๋งเริ่มเข้าไปมองดูบ้างเพราะอดแปลกใจในความเหลือเชื่อข้อนี้ไม่ได้

     

    …The blood drips, crimson rain…
    After the demons brought their pain…
    The war between demon and vampire…
    One remark lit this fire…

     

    เสียงเพลงบางอย่างไหลผ่านเข้าสู่สมองของเธอ มันเป็นเสียงร้องเพลงที่ทั้งเศร้า หดหู่ แต่ก็มีท่วงทำนองที่สม่ำเสมอเป็นจังหวะไพเราะน่าฟัง บอกไม่ได้ว่าเสียงนั้นเป็นชายหรือหญิง


    ความไพเราะนั้นทำให้เธอรู้สึกอยู่ในภวังค์แห่งห้วงฝัน...ความรู้สึกประหลาด ราวกับคุ้นเคยนี้สะกดเธอไว้มิอาจผละจากมันไปได้


    อิ๋ง...อิ๋ง... เสียงเรียกของคนๆหนึ่งได้ปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์แห่งฝันนั้น เมื่อสติกลับคืนก็พบว่าอนนี้ฟ้ากำลังจ้องเธอด้วยความสงสัย ระคนห่วง


    อะ อะไรเหรอ


    ทำไมพักนี้แกเหม่อบ่อยจังวะ ฟ้าถาม ดวงตายังไม่คลายกังวล

    จะว่าไป...เหมือนรู้สึกได้ยินอะไรบางอย่าง ที่ทำรู้สึกดี แต่ก็รู้สึกเศร้าหมองด้วย


    นี่...เมื่อกี๊แกได้ยินเสียงอะไรบ้างป่ะ อิ๋งถามขึ้น ฟ้าเพียงแต่ยักไหล่ก่อนจะเดินไปสมทบกับพวกชมพู่ที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไป


    สงสัย...คิดมากไปเอง...


    คิดดังนั้นก็ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วเดินตามไปสมทบกับทุกคนทันที

     

     แอ๊ด~

     

    บานประตูค่อยๆถูกผลักออกด้วยฝีมือของชมพู่...แล้วภาพของห้องนั้นก็ประจักษ์สู่สายตา เป็นห้องขนาดเล็กมีหน้าต่างเพียงบานเดียวอย่าง ที่หอคอยปราสาทควรจะเป็น แต่ว่าไม่ค่อยสกปรกอย่างที่คิด แม้จะมีไรฝุ่นบ้าง แต่ยากไย่แมงมุมกลับไม่ค่อยมี...

    มันสะอาด..สะอาดเกินไป จนน่าแปลก


    แล้วกระจกนั่น อยู่ไหนล่ะ แพรวพูดพร้อมกับมองไปรอบๆเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

     

    มันแปลก...แปลกเกินไป

    ที่แบบนี้ไม่น่าสะอาดขนาดนี้นี่นา


    คราวนี้ขวัญเป็นฝ่ายคิดบ้าง มันไม่แปลกหรอกที่จะคิดเพราะสภาพห้องมันดูดีดูดีเกินไปกว่าจะเป็นห้องเก็บของ

    ห้องเก็บของที่ไหนมันจะวางของไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนวางไว้ตั้งโชว์บ้างล่ะ

     

    เฮ้!! เจอกระจกแล้วโว้ยทุกคน เสียงชมพูดังขึ้น เรียกให้ทุกคนไปรวมตัวกัน

    ชมพู่กับโบตั๋นกำลังยืนอยู่ ในมือถือผ้าสีขาวเอาไว้ ผ้าสีขาวที่ใช้คลุมกระจกบานนี้


    กระจกขนาดใหญ่สำหรับตั้งพื้น ล้อมรอบด้วยกรอบทองสลักสวดลายแปลกตา ที่ดูแล้วคล้ายกับรูปร่างของปีศาจจำนวนมาก เหนือขึ้นไป กรอบด้านบนนั้นมีรูปค้างคาวตัวหนึ่งเกาะอยู่ ทำด้วยหินสีดำ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีแดงส่องประกายดั่งเลือดไม่ผิดแน่ กระจกอาถรรพ์บานนั้น!!


    นี่เหรอวะกระจกอาถรรพ์ที่แกพูดถึง ขวัญถามไอ้ชมพู่ซึ่งกำลังยิ้มภาคภูมิใจ ราวกับว่ามันเพิ่งได้รับรางวัลระดับโลกมาประมาณนั้น


    ชัวร์!! แบบนี้ไม่มั่วนิ่มหรอก แพรวพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นมันสายตาก็สาดส่องไปทั่ว


    กระจกธรรมดาเองนี่ไม่เห็นมีอะไรเลย กัญพูดขึ้นอย่างเซ็งๆ พร้อมกับที่มองดูกระจกบานนั้นรอบทิศทั้งหน้าและหลัง

    อิ๋งเริ่มมองบ้าง มันดูธรรมดาจริงๆนั่นแหละ แต่ที่เด็กสาวติดใจก็คงเป็นดวงตาของค้างคาวคู่นั้นนะแหละ

    ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนถูกมันดึงดูดเข้าไปเรื่อยๆ


    พวกเรามาดูนี่ดิ มันเขียนอะไรเอาไว้ด้วย ฟ้าร้องขึ้นหลังจากที่เธอพบบางสิ่งที่หัวมุมกระจกด้านล่าง มันเป็นอักขระอักษรความยาวประมาณ 3-4 บรรทัด ที่คล้ายคลึงกับภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ


    อักษรอียิปต์!!! ” ไอ้ชมพู่พดด้วยความมั่นใจอย่างล้นเหลือ


    บ้านมึงดิอักษรลาตินตะหาก ขวัญเอ่ยพร้อมผลักชมพู่ออกไป


    ไม่เว้ย!! ต้อง อักษร สเปน โบตั๋นต่อให้


    อักษรกรีกตังหาก!! ” กัญเถียงต่อ


    สรุปแล้ว!! พวกมันจะให้เป็นอักษรของทุกชาติเลยไหมวะเนี่ยถ้าเพิ่มฝรั่งเศสและเยอรมัน ก็ครบเซ็ต!!


    อิ๋งไม่สนใจมัวแต่มองประโยคนั้นอย่างสงสัย


    เกาหัวแกรก แกรก ก่อนจะเงยหน้าไปมองยังค้างคาวตัวนั้นอีกครั้งดวงตาสีแดงของมันสะท้อนเข้ากับดวงตาของเธอส่องประกายแดงฉาน และเจิดจ้า


    ความรู้สึกปั่นป่วนมึนงงเริ่มครอบคลุมอีกครา มีอะไรบางอย่างประโยคบางอย่างเข้าสู่สมองก่อนที่ทุกอย่างตรงหน้าจะตกลง สู่ความมืดมิดอีกครั้ง


    ก็บอกว่าเป็นอักษรลาติน!!”


    ไม่!!อักษร อียิปต์ตังหาก

     

    นี่คืออักษรเฮเซลเลีย  


    คำพูดของอิ๋งที่พูดออกมาทำให้การถกเถียงภาษานั้นหยุดโดยพลัน  ทุกคนจ้องมองเธอเป็นตาเดียวด้วยความแปลกใจ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเพื่อน

    เด็กสาวยืนขึ้น เดินไปเบื้องหน้ากระจกแต่ว่าดวงตาของเธอนั้นเลื่อนลอย แลดูว่างเปล่า

    เหมือนไม่ใช่อิ๋งคนเดิมไม่ใช่เพื่อนคนเดิมที่พวกเธอรู้จัก!!

     

    “…ยามจันทราเลือด กระจ่างเบิกฟ้ากว้าง

    ทั่วเวหา นภากาศต่างโหยหวน

    มวลมนุษย์และปีศาจต่างคร่ำครวญ

    สรวงสวรรค์เทวะสลายในพริบตา… ”

     

    เรียวปากบางเอื้อนเอ่ยท่วงทำนองพร้อมกับที่มือบางประทับกับบานกระจก


    พลัน!! สิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น

    เมฆสีดำทมึฬเคลื่อนตัวหายไป เผยให้เห็นแสงจันทร์นวลกระจ่างยามค่ำคืน ทอแสงลงมา ผ่านบานหน้าต่างเพียงบานเดียวของหอคอยแห่งนี้ แสงของมันค่อยๆหรี่รวมกันเป็นจุดเดียวจนกลายเป็นช่องวงกลมบนบานกระจก

     

    วาบ~

     

    แสงสว่างนั้นส่องประกายเจิดจ้า ทว่ามันเป็นแสงที่ออกมาจากกระจกบานนั้น!!

    ทุกคนที่อยู่เบื้องหลังต้องยกมือขึ้นอังแสงนั้นไว้ และเมื่อแสงนั้นเริ่มอ่อนลง ดวงตาทุกคู่จึงมองไปยังเบื้องหน้า

    หลังกระจกบานนั้น เป็นช่องทางสีขาวสว่างซึ่งหมุนตัวคล้ายมิติที่บิดเบี้ยวอยู่ตลอดเวลา

    แต่แล้วดวงตาทุกคู่กลับเบิกกว้างมากขึ้นเมื่อร่างของ อิ๋งนั้นกำลังค่อยๆถูกดูดเข้าไปในกระจกเรื่อยๆ!!


    อิ๋ง!!! ” ทุกคนร้องขึ้นพร้อมกัน โบตั๋นที่มีความว่องไวที่สุดรีบไปคว้าเอวของเธอเอาไว้ แต่ว่าแรงดึงดูดอันมหาศาลนั้นมันก็มากเกินกว่าที่เด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวจะต้านได้


    โบตั๋น!! เกาะเอาไว้ กัญร้องเมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองกำลังถูกดูดเข้าไปอยู่รอมร่อ มือเรียวคว้าคอเสื้อของเพื่อนสาวเอาไว้ แต่กลายเป็นว่าตัวเองจะหลุดตามไปด้วย

    คนอื่นๆที่เหลือรีบเข้าไปจับเอาไว้เช่นกัน ทว่าราวกับช่องทางนั้นมีชีวิต มันเพิ่มแรงดูดมหาศาลมากขึ้น มากขึ้น และ มากขึ้น เรื่อยๆ!!


    ไม่ไม่ไหวแล้ว ฟ้าที่อยู่เป็นต้นขบวนและกำลังยันเท้าไว้กับกระจกนั้นเริ่มมีสีหน้าบิดเบี้ยว แรงกระชากเหมือนกับจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ!! มีเพียงแต่สายผ้าม่านที่เธอได้พวกไว้กับต้นเสาของห้องที่ยังพอช่วยทุ่นแรงเธอได้

     

    ปึ้ด~!! ฉึ่ก!!!!

     

    สิ่งที่เป็นเครื่องยื้อชีวิตสิ่งสุดท้ายนั้นพังทลาย สายผ้าม่านขาดลง แรงของฟ้าเพียงคนเดียวไม่อาจต้านแรงพายุหมุนปีศาจนั้นได้ แรงดูดเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนในที่สุด การทรงตัวของฟ้าก็พังลง!!

     

    กรี๊ด~!!

    ร่างทั้งเจ็ดถูกกระฉากลงไปยังวังวนพายุหมุนไม่รู้จบ แต่ก็ยังคงจับมือกันไว้แน่นที่สุด

    เสียงกรีดร้องดังก้องกังวาน พร้อมกับที่ร่างทุกร่างจะกลืนหายลงไปยังพายุปีศาจอย่างมิอาจหวนคืนได้อีก

    เมื่อทุกอย่างจบลง แสงสว่างก็เลือนหายไป ราวกับไร้ซึ่งเหตุการณ์ที่ผ่านมา

    ในห้องที่มืดมิดมีเพียงดวงตาสีแดงฉานคู่นั้นจากรูปปั้นค้างคาว ส่องประกายยินดีในเงามืดโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้

     

    ณ ที่นี้ฟันเฟืองแห่งโชคชะตาได้เริ่มแล้ว

     

    …………………………………..

    ในที่สุดก็จบไปตอนนึง ขอโทษที่มาอัพช้าค่ะ พักนี้ช้าหน่อยเพราะติดสอบน่ะ อีกสองสามวันจะมาอัพอีกนะ เป็นกำลังใจให้ด้วยน้า ^0^ !!

      ฝาก เพลง Milky Way ของ BOA ด้วยละกัน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×