ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi) (จบแล้วจร้า)

    ลำดับตอนที่ #13 : ค่ำคืนที่ 11 : เด็กน้อยที่ถูกทิ้ง...100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 958
      10
      14 ก.ค. 58



    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ”


    เสียงสบถดังอย่างไม่พอใจในขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษที่กำลังเดินทางไปยังอาราบัส ตามรับสั่งขององค์ราชาแห่งอนาคาน


    มิกิเดินวนไปบนมาอยู่ด้านในด้วยความหงุดหงิด แม้จะเผลอตวาดเสียงถามพวกทหารที่จับตัวเขามาราวกับนักโทษ แต่ก็ไม่มีใครปริปากบอกอะไรเขาเลยสักคน การกระทำแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยราวกับเขาเป็นหมูหมาที่พร้อมจะทิ้งขว้างนั้นชวนให้น่าโมโหยิ่ง  รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยสักอย่าง นึกอยากจะมาก็ให้มานึกอยากจะให้ไปก็ไป


    คำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัวจนสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นที่อนาคานกันแน่ ถึงเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา และเขาก็ไม่อยากจะรับรู้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันสักหน่อยว่า ไอคนที่ยิ่งธนูมาเพื่อหวังที่จะฆ่าเขานั้นต้องการอะไร! ในเมื่อบาซิกค์ดึงเขาเข้ามาในเรื่องบ้าๆนี้ได้ หากจะบอกความจริงคงไม่มีอะไรน่าตกใจไปกว่านี้อีกแล้ว


    มิกินั่งลงบนฟูกเบาะของขบวนรถไฟพลางพยายามผ่อนลมหายใจสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้มากที่สุด แม้จะเป็นเรื่องดีที่เขาออกมาจากอนาคานได้สำเร็จดั่งใจ แต่ทำไมตรงกลางอกนี้กลับไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด มีแต่ความน่าโมโหหงุดหงิดคล้ายคนจะเป็นบ้าเสียให้ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน จนปวดหัวไปหมด มือยกขึ้นนวดตลึงอยู่ที่ขมับ


    คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเองหรือไงกัน!


    ก่นด่าอยู่ในใจ  เอาเถอะ! ในเมื่อบาซิกค์ต้องการทำแบบนี้ เขาก็ยินดีจะสนองให้โดยจากไปให้พ้นๆจากทวีปทะเลทรายนรกนี่สักที


    ไม่มีเหตุผลจะต้องสนใจ..


    ไม่มีเหตุผลจะต้องรับรู้..


    หยุดคิด..แล้วกลับบ้านสะมิกิ


    เขาควรคิดแบบนั้นสินะ..


    แผ่นหลังบางแนบพิงลงบนผนังเบาะ กายบางเอนลงพลางถอนหายใจยาวราวกับเบื่อชีวิตนี้เต็มทน ดวงตาสีอ่อนมองออกไปด้านนอกผ่านกระจกบานใหญ่ รอบด้านมีเพียงทะเลทรายสีมืดครึ้มที่ยังคงลายล้อมอยู่ทุกทิศ พระจันทร์ยังคงเด่นสง่ากลางผืนฟ้า ทว่ากลับไร้ซึ้งดวงดาราสะดับข้างกาย ทั้งๆที่ภาพตรงหน้านั้นงดงามแสนวิจิตร แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามัน..


    โดดเดี่ยวนัก..


    นายกำลังคิดอะไรอยู่ บาซิกค์ใจที่เหม่อลอยพร่ำไปตามคิด อยากรู้ให้หายแคลนใจในทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ทว่าคำถามนี้ คงไม่มีวันได้รับคำตอบอีกแล้ว.. ก่อนความมืดมิดจะเข้าปกคลุมพร้อมกับดวงทั้งสองที่ปิดลง..

     

    เมื่อสัมผัสไออุ่นจากแสงอรุณที่สาดส่อง และรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ที่หยุดลง พอฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าขบวนรถไฟมาถึงยังอาราบัสแล้ว ทว่าไม่ทันได้พูดพร่ำสิ่งใด ตัวเขาก็ถูกพวกทหารโยนลงจากขบวนรถไฟอย่างรวดเร็วเสมือนอยากจะให้เขาไปสะให้พ้นๆ เด็กหนุ่มหันไปจะตัดพ้อต่อว่า แต่ไม่ทันไรขบวนรถไฟนั้นก็ปิดลงทันควันก่อนวิ่งกลับไปทันที ทำให้มิกิได้แต่ยืนอ้าปากค้าง ให้คำพูดมันกระจุกอยู่ที่ลำคอไม่ได้ระบายออกมา


    นี่มันจะมากไปแล้ว!


     เขาอยากตะโกนด่าเสียงดัง แต่ก็ทำได้เพียงเก็บงำไว้อยู่ในใจ ความรู้สึกที่คล้ายกับโดนตัดหางปล่อยวัดนี้ทำให้เขารู้ว่าไม่เคยมีค่าใดๆกับคนนั้นเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโห แต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นก็คือ การโยนเข้าทิ้งในสภาพที่มีเพียงแต่เสื้อผ้ากับลมหายใจต่างหาก!


    ไม่ใช่ว่าอยากหนี แต่จะเอาเงินที่ไหนกลับประเทศ!


    มิกิถอนหายใจอีกครั้ง เขาคงต้องอายุสั้นลงแน่ๆเพราะเรื่องบ้าๆพวกนี้ มือเรียวยกขึ้นเกาศรีษะจนเส้นผมสีอ่อนยุ่งเหยิง พยายามตั้งสิตใจนับหนึ่งสามในใจว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่พอเหลือบมอบสภาพตัวเอง ก็มีเพียงแค่ชุดโธปสีขาวค่อมเท้าบางๆ ผ้าคลุมเกล็ดงู และปลอกคอทองคำลายอสรพิษที่ถอดไม่ได้!


    บ้าเอ้ย!.. ” สุดท้ายก็ทนไม่ไหวสบถกับตัวเองอย่างหัวเสีย จนคนรอบข้างในชานขลาหันมามองเป็นทางเดียว แต่เด็กหนุ่มกลับไม่สนใจ สนใจแค่เพียงเขาจะทำอะไรได้บ้างตอนจากนี้ต่างหาก!


    นี่บาซิกค์คิดจะใช้วิธีนี้แกล้งเขาหรือไงถึงได้ทำแบบนี้ เขาอยากได้อิสระก็จริงแต่อย่างน้อยถ้าจะให้จากกันโดยดีก็น่าจะมีของสมนาคุณให้เขาเสียบ้าง ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด สุดท้ายจึงได้แต่เดินย้ำเท้าตึงตังเตร็ดเตร่เข้าไปในเมืองอาราบัสหวังไปไปตายเอาดาบหน้าว่าพอจะหาลู่ทางกลับบ้านเกิดได้หรือไม่


     ตอนนี้..เขาเหนื่อย..กระหายน้ำ และอยากได้ที่พัก 


    ทว่า..ไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียว แม้ท่ามกลางทะเลทรายปัจจัยเรื่องเงินจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะน้ำคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ตอนนี้ถ้าอยู่ในเมืองแห่งการค้าแล้ว ถ้าไม่ใช้เงินแลกที่พัก แล้วจะให้ไปใช้อะไร!


    ตอนนี้เป้าหมายแรกก็คือ การหาเงินมาใช้ และตอนนี้สิ่งที่พอจะขายก็มีเพียงแค่ผ้าคลุมเกล็ดงูมันเลื่อม ถึงมันจะเป็นสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะช่วยกลบกลิ่นดอกเพเซียที่อยู่ในร่างกายของเขาไม่ให้แผ่ออกมาได้ แต่เขาไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆ เพราะไอของที่ดูมีราคาที่สุดกลับถอดไม่ได้นี่สิ


    มิกิเดินเข้าไปในเมืองอาราบัส เมืองเล็กๆทว่ากลับมีชีวิตชีวาด้วยการค้าขายทุกประเภท โดยเฉพาะเรื่องทาสมนุษย์ที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนว่าโลกใบนี้ยังคงมีอยู่


    ตลอดสองฝั่งข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งร้านขายผ้า ร้านขายเครื่องประดับ และร้านขายของแห้งจำพวกเครื่องเทศ และถั่วอบแห้ง ถึงสิ้นค้าในทวีปแห่งทะเลทรายนี้จะดูเหมือนๆกันไปหมดและไม่ค่อยมีสิ่งใดน่าสนใจน่าดึงดูดเท่ากับประเทศที่เจริญแล้ว แต่เมื่อเอาอาราบัสไปเทียบกับอนาคาน อนาคานกลับดูเหมือนชนบทชนกลุ่มน้อยไปในทันที น่าแปลกที่อนาคานน่าจะมีของมีค่ามากมายเพราะดูจากภายในพระราชวังที่โอ่อ่าและเต็มไปข้าวของงดงามแล้ว แต่ภายในเมืองกลับไม่มีสิ่งใดเลยสักอย่าง ถึงจะบอกว่าผู้คนภายในเมืองนั้นคือมนุษย์งูกันทั้งหมดจึงไม่จำเป็นจำสนใจกับเรื่องสินค้าก็ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไร เพราะตลอดเวลาที่อยู่นั้น มีเพียงครั้งเดียวที่เห็นคนมีหัวเป็นงู แต่นั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่าเพราะมันก็มืดมากแล้วเขาก็เห็นไม่ชัดเท่าไร แต่สิ่งที่เขาแน่ใจก็คืน คนในอนาคานสามารถควบคุมอสรพิษได้ และนับถือพวกมันเสมือนเป็นเทพเจ้า


    แต่นั้นก็เป็นเพียงความคิดของเขาเพียงฝ่ายเดียว..และไม่เคยได้รับคำอธิบายใดจากใครในอนาคาน


    ทำไมมันน่าหงุดหงิดแบบนี้นะ..!?


    อีกครั้งที่เรื่องของอนาคานฉุกคิดขึ้นมาในหัวจนน่าโมโหตัวเองจนลืมสังเกตรอบด้าน เวลานี้ มีผู้คนมากมายที่แต่งกายเช่นเดียวกับชาวอาหรับที่มีผ้าโพกศรีษะต่างจับจ้องมาทางทางเขาแทบทุกคนที่เขาเดินผ่าน


    มีอะไรติดหน้าเขางั้นหรือ


    มือเรียวยกขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของตัวเอง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ


    หรือว่าชุดเขาจะแปลกกว่าคนอื่น...แต่มองดูแล้วก็ไม่ใช่ ถ้างั้นสิ่งใดล่ะ


    " เอ๊ะ! " เขาสะดุ้งตัวทันทีเมื่อมีชายชราแต่งตัวดั่งเช่นชาวอาหรับมาหยุดอยู่ตรงหน้า สายตานั่นกำลังสะท้อนภาพบางสิ่งที่อยู่บริเวณลำคอ


    " พ่อหนุ่ม ปลอกคอนี่..ทองคำงั้นหรือ" ชายชราเงยหน้าขึ้นมาถาม ทำท่าจะเอื้อมมือมาจับที่ลำคอของเขา


    " ปะ..เปล่าครับไม่ใช่ ขะ..ขอโทษครับ " เด็กหนุ่มต่างชาติปัดมือนั้นออกอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณ ก่อนรีบเดินเบี่ยงตัวหนีไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรซะขึ้นชื่อว่าเมืองแห่งการค้าคงไว้ใจอะไรไม่ได้ ยิ่งเป็นการใส่ของมีค่าเอาไว้กับตัว ก็ยิ่งเหมือนการล่อเสือให้มาขย้ำ โดยเฉพาะทองดำซึ่งเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด แต่จะให้เขาทำยังไงได้ ในไไอปลอกแสนซวยนี่มนถอดไม่ได้!


    มิกิรีบเดินหนีออกมาจนเหนื่อยหอบ เพราะปลอกคอเจ้าปัญหานี่ทำให้เขาต้องคอยกำชับปลอกคอเสื้ออยู่ตลอดเวลา ตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำอย่างเร่งด่วนก็คือการหาที่พักแล้วหาอะไรมาปิดปลอกคอบ้าๆนี่ ก่อนสายตาของเขาจะไปสะดุดอยู่ที่ร้านๆหนึ่งซึ่งอยู่ข้างๆตนปาล์มสูงใหญ่ ดูแล้วน่าจะเป็นร้านขายของเก่า ซึ่งดูแล้วที่นี่อาจจะทำให้เขาขายผ้าเกล็ดงูทิ้งได้


    มิกิเดินเข้าไปในร้าน แล้วรีบหยิบผ้าเกล็ดงูมาพ่อค้าประเมินราคา แต่พอพ่อค้ามาตรวจดูสภาพของผ้าชิ้นนี้ก็ถึงกับตาลุกวาว และถามกับเขาว่าไปได้มาจากที่ใด พอพูดชื่อนครเมืองนาคินขึ้นมา พ่อค้านั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สายตาเจ้าเล่ห์นั้นไม่รู้ว่ารู้จักหรือไม่รู้จักชื่อเมืองแห่งนี้กันแน่แต่ ก่อนจะบอกราคาออกไปอยู่ที่ 2 พันลูซ มิกิกระพริบตาปริบๆแม้ไม่รู้ว่าราคาของผ้าคลุมนี้เท่าไรแต่ก็รู้ว่าคงไม่ใช่ราคาที่แท้จริงของผ้าผืนนี้แน่ จึงแกล้งขู่ไปว่ารู้จักกับคนในราชวังของอนาคาน อย่างสนิดสนม หากอยากได้ผ้านี้เขาจะไปขอมาให้ ทีแรกพ่อค้าไม่เชื่อ แต่พอโ๙ว์หลักฐานเป็นปลอกคอทอง(ที่ถอดไม่ได้)อยู่ที่ลำคอ และมันก็ได้ผลเกินคาด การต่อรองจบอยู่ที่ 5 พันลูซ แถมด้วยแผนที่ของเมืองอาราบัสและทะเลทรายฮาซานมาอีกฟรีๆจนเด็กหนุ่มแอบแอบแปลกใจเล้กน้อย เพราะใครจะรู้ล่ะว่าถึงอนาคานจะเป็นเมืองปิด แต่พอยังมีอิทธิพลต่อเมืองรอบด้านรวมทั้งความต้องการในผลิตภัณฑ์ของเมือง แต่ก่อนที่จะหาที่พัก เขาต้องหาร้านที่สามารถกำจัดปัญหาใหญ่โตบนคอเข้าเสียก่อนจะได้ไม่เป็นเป้าสายตา


          หลังจากแวะร้านผ้าเพื่อซื้อผ้าพันคอมาปกปิด แม้จะร้อนเหงื่อท่วม ในที่สุด มิกิก็ได้ที่พักชั่วคราวเป็นห้องเล็กๆในโรงแรมซ่อมซอในราคาไม่ถึง 1 พันลูซต่อคืน ในห้องนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากเตียงนอนแข็งๆ โต๊ะเก้าอี้เก่าๆใกล้พังหนึ่งชุด และบานหน้าต่างที่ไม่มีตะแกงกั้น ทว่าสภาพเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่าการมีเตียงนุ่มๆหรือมีข้าราชบริวารมาดูเหมือนตอนที่อยู่ในวังอนาคานเสียอีก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหายแปลกๆ


                มิกิล้มตัวลงนอนลงบนเตียง ดวงตาสีเขียวอ่อนเงยมองดูเพดานที่มีรอยแตกร้าวสมสภาพโรงแรมเก่าๆ จากนี้เขาจะทำอย่างไรต่อไปกับอิสระที่ได้ครอบครองดี ในหัวมันว่างเปล่าไปหมด แต่เขาจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้เช่นกัน เงินหนึ่งห้าพันลูซไม่สามารถประทังชีวิตได้ตลอดไป เขาจำเป็นจะต้องหาทางติดต่อศูนย์วิจัย เพื่อให้ที่นั่นส่งคนมารับเขากลับไปที่ญี่ปุ่น แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ ความคิดเขาก็ชะงักงันในทันที ภาพในอดีตย้อนกลับมาจนดวงตาเบิกกว้าง ความเจ็บใจกับการหักหลังทรยศของเพื่อนร่วมงานทำให้เขากัดฟันแน่นด้วยความเครียดแค้น


                คำถามหนึ่งก็คือ..จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้หากศาสตร์จารย์ค็อดเลอร์และพวกชั่วช้านั้นยังรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่..เขาจะติดต่อที่นั่นไม่ได้ แต่จะมีทางไหนบางล่ะที่เขาจะได้กลับไปแล้วลากไอพวกสารเลวนั้นเข้าคุกให้สมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับเขาและศาสตราจารย์โลเกีย


                 คิดไม่ออกเลย..


                เฮ้อ..เสียงถอนหายใจดังขึ้นในห้องที่เงียบเฉียบ กายบางบิดตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัวของคนที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน กระทั่งสายตาเหลือบเห็นม้วนกระดาษแผนที่ที่เขาได้มาจากร้านขายของเก่า จึงเดินไปหยิบมาขึ้น พอกางออกก็พบแผนที่รอบๆเมืองอาราบัสที่ลายล้อมไปด้วยดินแดนแห่งทะเลทราย 


                 มิกิพยายามหรี่ตามองแผนที่อย่างครุนคิด ที่จริงแล้ว เขาดูแผนที่ไม่เป็นเท่าไร แต่ก็พอจะมองลู่ทางออกมาอยู่บ้างว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วสถานที่จากมาอยู่ทางทิศใด ซึ่งมันเป็นเหมือนการจินตนาการภาพในหัวและคาดเดา แต่น่าแปลกที่มันกลับได้ผลจนน่าใจหาย


                มิกิมองแผนที่ไปเรื่อยๆ ทีแรกเขาจะลองเดาทิศทางของเมืองอนาคานว่าตั้งอยู่ที่ใด แต่ตอนที่เขาถูกนำตัวมาจนขึ้นรถไฟกลับถูกปิดตาจนมองไม่เห็นอะไร รู้สึกตัวอีกก็อยู่บนรถไฟเสียแล้ว นั่นทำให้เขาต้องล้มเลิกความตั้งไปโดยปริยาย แต่แล้วความคิดหนึ่งกลับแล่นเข้ามาหัว ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่น่าจะเป็นประโยชน์นอกจากการตอกย้ำจิตใจของตัวเองเล่น


                จากตรงนี้คืออาราบัส..แต่ถ้าไล่ขึ้นทางเหนือออกไปจะพบโอเอซิส แล้วที่นั้นก็เป็น..


                นิ้วมือเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงรูปแอ่งน้ำบนแผนที่ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นโอเอซิสที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองมากนัก


    ศูนย์วิจัยอยู่นี่สินะ..เด็กหนุ่มกล่าวเรียบๆกับตัวเอง ก่อนจะพับแผ่นที่แล้ววางไว้ที่โต๊ะตามเดิม บางทีหนทางที่จะทำให้เขากลับประเทศบ้านเกิดได้อาจจะอยู่ที่นี่ก็ได้..




     

    สองวันผ่านพ้นไปโดยไร้ซึ่งเงาของเด็กหนุ่มต่างชาติ บาซิกค์ ฮอร์น ซัลคาฟา ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นอกจากมีรับสั่งด้วยใบหน้าตายด้านว่า อีกสองอาทิตย์ตกฟาก ฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะถูกดำเนินไปตามกฏตามช่วงอายุ 210 ปีของเทพนาคิน นั่นคือ ฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายที่เขาจะต้องเลือกราชีนีคู่บัลลังค์ เพื่อให้กำเนิดโอรสเทพนาคินองค์ใหม่ จากนั้นองค์ราชาก็เก็บตัวอยู่ในห้องจำศีลตลอดเวลาเพื่อชำระล้างจิตใจและความรู้สึกทุกอย่างที่คงมีให้ว่างเปล่า โดยทิ้งการปกครองเบื้องบนไว้ให้องค์ชายบาฮาลเป็นการชั่วคราว


    นั่นเป็นสิ่งที่องค์ชายบาฮาลควรกระทำตามอย่างไม่มีข้อแม้และไม่ควรคิดสงสัย ทว่า..ความรู้สึกแปลกบางอย่างกลับบอกเขาว่า ในแววตาของพี่ชายตัวเองนั้นมีแต่ความเศร้าสร้อยโดดเดี่ยว ถึงแม้ภายนอกที่แสดงออกมาจะเยือกเย็นยามที่สบสายตานั่นเหมือนเช่นเคย แต่ลึกๆเข้าไปกลับไม่ใช่ ระหว่างที่โดนกักขังจากโทษทัณฑ์เขาก็พอรู้เรื่อวราวอยู่บ้างจากซาอิด แต่เพราะเขาไม่เห็นกับตาจึงไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ถึงจะคิดว่าการปล่อยตัวมิกิไปนั้นทางเลือกที่ถูกต้อง ซึ่งอนาคานควรได้รับ แต่ทำไมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เข้าจึงเรียกซาอิดเข้าเพื่อสอบถามให้ชัดเจน


    ความเจ็บปวดในดวงตาสีอำพันคู่นั้นคือสิ่งใด..


    ข้าไม่เคยเห็นสายพระเนตรขององค์ราชาเป็นเช่นนี้มาก่อนน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาใจเอ่ยขึ้นในห้องทรงงานของราชาแห่งอนาคาน เรียกหัวหน้าราชบริวารเพียงหนึ่งเดียวที่เข้าเฝ้าเป็นเพื่อนคู่คิดหันมาสบ ใบหน้าที่เคยประดับรอยยิ้มเหมือนเช่นเคยกลับเปลี่ยนเม้มริมฝีปากลงเสียแน่น คล้ายกับกำลังลำบากจะที่บอกบางอย่างในสิ่งที่ถาม แต่ก็เลือกที่จะออกความเห็นออกไป


    องค์ราชา ทรงทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดเพื่ออนาคานแล้วพ่ะย่ะค่ะ


    สิ่งที่ถูกต้อง? บาฮาลเลิกคิ้วถามในคำตอบที่ต่อให้ฟังอีกครั้งก็ยังไม่เข้าใจ 


    ซาอิดเบือนหน้าหนีไปทางอื่นคล้ายไม่อยากสบสายตา อาการเช่นนี้องค์ชายแห่งอนาคานจึงแน่ใจได้เลยว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนจะผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เค้นคำถามที่สามารถกรีดหัวใจคนฟังเป็นริ้วๆได้


    แล้วถ้าหากสิ่งที่ถูกนั้นคือการส่งเจ้าไปตายที่ซาคาเดียร์เหมือนพี่ชายเจ้าล่ะซาอิด

                ฟังความบาดหัวใจจบ ซาอิดหันกลับมาสบกับเจ้าของคำถามด้วยแววตาที่แข็งกระด้าง ริมฝีปากเผยอขึ้นคิดต่อว่าไปตามแรงยั่วโทสะ แต่ก็มีสติเพียงพอไม่พลั้งปากออกไป


    หากนั่นคือสิ่งที่สมควรกระหม่อมเองก็มิอาจขัดรับสั่ง พยายามปรับน้ำเสียงให้สงบนิ่งมากที่สุด แต่บาฮาลกลับคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี


    เจ้ามันโง่เง่า ซาอิด คำตอบของคำถามนี้ ข้าอยากรู้จริงว่าจะมีใครบ้างที่ไม่รักชีวิตตัวเองเช่นเจ้าบ้าง

    บาฮาลส่งสายตาทอดมอง หัวหน้าราชบริวารที่ยื่นตัวแข็งปั่นหน้าไม่ถูกกับคำตอบที่ได้รับ สังเกตเห็นมือเรียวที่กำแน่น ซาอิดรู้สึกกำลังถูกดวงตาสีกรมเข้มนั้นเล่นงานอย่างหนัก จะหายใจแต่ละครั้งก็รู้สึกอึดอัด เหมือนกำลังถูกล้วงลึกเข้าไปในจิตใจ สายตาคู่นั้นช่างเหมือนกับองค์ราชาบาซิกค์ไม่มีผิด


    ถึงปากเจ้าจะพูดว่าไป แต่ข้าก็ยังคงได้ยินเสียงหัวใจที่ตื่นกลัวของเจ้าอยู่ดี


    เช่นนั้นพระองค์จึงอยากจะตรัสว่า องค์ราชามิควรเสด็จไปยังซาคาเดียร์หรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงจะพิสูจน์ความกล้าได้ ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าจนหลุดพ้นจากสายตาพันธนาการนั่น เสียงที่เริ่มขึ้นดังแสดงที่แรงอารมณ์ที่เริ่มเก็บกลั้นไวไม่อยู่ ทว่าคำถามที่ถามออกไปกลับทำให้องค์ชายบาฮาลต้องขมวดคิ้วเป็นปมแน่น 


    ต่อให้คิดเช่นนั้น อย่างไรพวกเราก็คงเปลี่ยนแปลงกฏของเทพนาคินไม่ได้! ”

    บาฮาลตวาดดัง ม่านประเพณีที่เคร่งครัดถูกยกขึ้นพูดจนคนฟังถึงกับสะอึก ความจริงที่เหล่านาคินทุกคนรู้ดีและให้การเคารพปฏิบัติกันมาช้านานนั้นไม่มีวนเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่พูด ซึ่งเป็นเสมือนโซ่เหล็กขนาดใหญ่ที่มัดตรวนพวกเขาไว้ด้วยกันอย่างไม่มีข้อแม้ ทว่า หากโซ่นั้นทำให้เกิดบาดแผลอย่างไม่ยุติทำก็ควรจะปลดทิ้งใช่หรือไม่


    แต่การคิดไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงพ่ะย่ะค่ะ การกระทำต่างหาก ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ซาอิดยังคงยืนกรานเสียงเดิม องค์ชายบาฮาลยืนขึ้นจากที่นั่งประทับทรงงาน ก่อนจะสาวเข้ามาใกล้หัวหน้าราชบริวารหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนสบลงไปยังนัยน์ตาสีครามดุจท้องฟ้าสดใส มือทรงอำนาจตบลงไปบนบ่าหนักๆ ราวกับจะตักเตือน


    การเปลี่ยนแปลง ข้าชอบคำนี้แต่ไม่ใช่กับอนาคาน ถ้อยคำนั้นเหมือนจะให้ความหวังแต่กลับตัดทอนเสียจนเสียกำลังใจทว่าซาอิดยังคงพูดต่อไป


    อนาคานหวาดกลัวต่อกฏของเทพนาคินเกินไป ซึ่งนั่นทำให้ที่นี่อ่อนแออย่างไร้เหตุผล หากท่านมิกิถูกมองว่าเป็นสิ่งเลวร้าย แล้วกฏของเทพนาคินล่ะพ่ะย่ะค่ะคือสิ่งใด


    ซาอิด!!สรุเสียงตวาดก้อง ไม่พอใจที่ร่างตรงหน้าพูดจาหมิ่นกฏเทพนาคิน ทว่าซาอิดยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่นลงทุกที


    หากเกิดขึ้นซึ่งฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย กฏของเทพนาคินก็ยังคงอยู่เช่นเดิม นั่นคือสิ่งที่พวกเราปรารถนาจริงๆหรือเป็นเพียงแค่ความเห็นแก่ตัวกันแน่ พวกเราควรจะคิดให้ดี ว่าบรรณนาการนาคินเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นการเล่นสนุกของซาคาเดียร์ 


    หยุดนะ! ”


    ทีแรก กระหม่อมมองว่า องค์ราชาทรงไม่ต้องการเช่นนั้น..แต่เพราะพวกเรายังต้องการได้รับการปกป้อง จึงเรียกร้องทุกอย่างจากเทพนาคิน ที่องค์ราชาบาซิกค์ทรงทำไม่เป็นแค่เพียงยื้อชีวิต แต่นั้นรวมไปถึงชาวนาคินทุกคนที่จะไม่ได้ถูกเป็นส่งไปเป็นเครื่องบรรณนาการที่ซาคาเดียร์อีก แต่พวกเรากลับโง่เขลาเกินและคิดว่ากฏคือทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่! 


    ซาอิด!”


    ขอบตามเริ่มร้อนผ่าวขึ้นทุกที


     ตอนนั้น ในความหมายที่แท้จริงกลับไม่มีใครเข้าใจ รวมทั้งกระหม่อมด้วย เรื่องทั้งหมดที่ทูลบอก กระหม่อมไม่ได้คิดคดทรยศอนาคานแต่อย่างใด แต่ไม่อยากให้ใครต้องเสียชีวิตอีกแล้ว พระองค์อาจจะมองเรื่องนี้มันเป็นไปได้ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลง แต่บรรณนาการนาคินก็เป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไปและไม่ยุติธรรมเลยสักนิด การที่ส่งพี่ชายของประหม่อมไปตายนั่นสมควรแล้วหรืออย่างไร ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างทั้งนั้น กฏบ้าบอเช่นนี้กระหม่อมมิอาจยอมรับได้เด็ดขาด แที่ทำได้ก็มีเพียงรักษาเทพนาคิน แต่พวกเรากำลังส่งพระองค์ไปสังเวย ถ้าตอนนี้ไม่ใช่พระองค์ที่พอจะช่วยองค์ราชาได้แล้วจะมีใครเป็นไปได้อีก..กระหม่อมไม่อยาก..กระหม่อมไม่..


    แหมะ..


    จู่ๆน้ำตาก็ไหลลงมาเป็นสายไม่หยุดหย่อนพร้อมกับสิ่งที่เก็บงำอยู่ในใจ สติที่พยายามควบคุมแตกกระเจิงออกเป็นเสี่ยงเช่นเศษแก้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้เสียงที่พร่ำระบายออกมาหยุดชะงักไปไม่ใช่น้ำตาของตัวเอง แต่เป็นมือทั้งอุ่นทั้งสองข้างที่ประคองใบหน้าของเขาให้เงยขึ้นมาสบดวงตาสีเข้มทรงอำนาจคู่นั้น วินาทีเหมือนกำอากาศายไปชั่วขณะ  เพียงแค่มองก็เหมือนกับกำลังสะกดทุกสิ่งให้กำดิ่งลึกลงไปในหลุมดำที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทว่ากลับสงบและเยือกเย็นจนไม่อยากจะถอดถอนตัวขึ้นมา ใบหน้าคมเข้มอยู่ใกล้ ปลายจมูกโด่งสันแนบชิดเพียงลมหายใจ ริมฝีปากอ่อนนุ่มเพียงแค่ขยับก็สัมผัสได้กลีบปากหนาสวยของคนตรงข้าม หัวใจมิอาจตอบได้ว่าเต้นเป็นจังหวะเดียวกันหรือไม่ แต่ตรงใต้แผ่นอกนี้กลับใกล้จะระเบิดออกเต็มที เมื่อสัมผัสใก้ลชิด


     องค์ชายบาฮาลขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เห็นใบหน้านั้นที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งๆที่เป็นคนที่เกลียดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และไม่ชอบขี้หน้า แต่พอเริ่มเห็นซาอิดเป็นเช่นนี้หัวใจมันก็กระตุกแปลกๆ จนต้องใช้มือทั้งสองประคองใบหน้านั้นขึ้นมาเพื่อให้ได้สติ กระทั้งคนตรงหน้านิ่งเงียบไปกับการกระทำ ทว่าถ้อยคำที่พร่ำออกมาทั้งหมดมันคล้ายว่าซาอิดกำลัง..


    เจ้าคิดสิ่งใดกับองค์ราชาอยู่กันแน่ซาอิด..” มือหนาทั้งสองค่อยๆผละออก คำถามที่ไม่คาดคิด พร้อมกับน้ำเสียงเรียบสงบแต่แฝงไปด้วยความตัดพ้อจนคนถึงกับใจหาย ซาอิดมองการกระทำขององค์ชายนิ่ง ปากกำลังจะเอ่ยปากอธิบายทุกสิ่ง แต่องค์ชายบาฮาลกลับหันแผ่นให้แล้วกล่าวไล่อย่างเย็นชา


    ออกไปซะ ข้าเกลียดคนอย่างเจ้าที่สุดสิ้นรับสั่งไม่แม้แต่จะปรายตามอง หัวหน้าราชบริวารหนุ่มได้แต่โค้งจำใจรับคำสั่ง แต่ในใจกลับรู้สึกเจ็ยแปล็บขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ไฉนเรื่องทั้งหมดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน ก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากห้องทรงงาน พร้อมเสียงประตูที่ปิดลงพร้อมกับประโยคหนึ่งที่ยังคงดังก้องในหูขององค์ชายแห่งอนาคาน


    มีเพียงพระองค์ที่สามารถช่วยองค์ราชาได้..





    แสงอรุณสาดส่องเหนือนครแห่งการค้าอาราบัส ไอแดดร้อนแรงสมดั่งภูมิภาคที่เต็มไปด้วยทะเลทรายพูนสูง เพียงแค่สายลมพัดผ่านก็รู้สึกแสบเนื้อตัวไปหมด


     สองคืนเต็มๆในการตัดสินใจกับเงินที่เหลือไม่สามพันลูซ มิกิพยายามหาลู่ทางที่จะกลับไปยังสถานีวิจัย แต่จากการถามผู้คนด้วยภาษากลางของคนต่างชาติแล้ว ก็ได้คำตอบที่เหมือนกันว่า โอเอซิสแห่งนั้นไม่มีค่อยนิยมในการเดินทางของพวกพ่อค้าเพราะสุดปลายทางเป็นแค่ที่ราบสูงชันซึ่งมีหุบเหวลึกขวางกัน การที่เขาจะขอติดขบวนคาราวานไปลงยังโอเอซิสจึงแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่หากต้องการไปจริงๆ เขาต้องเช่าม้าหรืออูฐเป็นพาหนะไปเองเท่านั้น ซึ่งก็ใช้เวลาค่อนวันกว่าจะไปถึง


    ทว่า..ทางเลือกที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด กลับผลักดันให้เด็กหนุ่มต่างชาติตัดสินใจในที่สุด มิกิเลือกที่จะเช่าอูฐในราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ ก่อนจะขึ้นขี่อูฐที่เช่ามาด้วยท่าทีที่งกๆเงิ่นๆ แต่พอเริ่มจับจังหวะและเรียนรู้ได้ ก็คิดว่ามันไม่ได้แตกต่างจากการขี่ม้าเท่าไรนัก เพียงแต่ความรู้สึกที่ได้รับมันดูช้าเอื่อยๆเรื่อยๆเสียมากกว่า


    เขาเดินทางออกจากเมืองอาราบัสสู่ทะเลทรายเวิ้งว้างตั้งแต่เช้ากระทั่งตอนนี้..ตะวันส่องเหนือหัว เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่า การเดินทางเพียงลำพังโดยมีทะเลทรายล้อมรอบกับพระอาทิตย์ร้อนๆที่ส่องรนอยู่นี่ ไม่ต่างอะไรกับย่างเนื้อตัวเองเล่น


     อากาศที่ร้อนอบอ้าวดั่งเตาอบนี้ ทำให้รู้สึกแสบคันไปทั้งตัวคล้ายผิวหนังมันจะลอกไหม้ เหงื่อไคลไหลซึมอยู่ตลอดเวลาราวกับอาบ แม้ก่อนหน้า จะใช้ผ้าพันคอที่ซื้อมาจากในเมืองมาพันโพกศรีษะแล้วนำส่วนหนึ่งมาปกปิดใบหน้าจากแสงแดดและเกล็ดทราย แต่ดูท่า..ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก นอกจากจะอบให้มันรู้สึกร้อนกว่าเดิม


    เดินทางไมาได้สัก2ชั่วโฒงกว่า มือเรียวหยิบเอาแผนที่ที่เหน็บเอาไว้กับกระเป๋าสัมภาระที่ติดมากับอูฐเช่าขึ้นมาดู จากอาราบัสเดินขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ ก็จะพบโอเอซิสที่ตั้งของสถานีวิจัย มองดูในแผนที่นั้นง่ายแสนง่าย แต่พอมาอยู่ตรงนี้จริงๆ ทั้งหน้าหลังก็ล้อมรอบไปด้วยทะเลทรายไปเสียหมดจนจับทิศจับทางไม่ถูก 


    เสียงถอนหายใจดังขึ้นมายาวพรืดอีกครั้ง มืออีกข้างยกกระบองน้ำขึ้นดื่มให้สดชื่นแต่กลับไม่มีน้ำเลยสักหยด เพียงแค่นั้นก็รู้สึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมาดื่มน้ำมาตลอดทาง


    ให้มันได้แบบนี้สิ มิกิ

    บ่นกับตัวเองพึมพรำ ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่กลับมาที่นี่ สุดท้ายหงุดหงิดไปก็เท่านั้น เพราะหากเลืือกที่จะไม่เดินทางต่อก็คงอยู่เป็นศพไร้ญาติกลางทะเลทรายแน่ นึกแล้วคงอบอุ่นพิลึก(ด้วยไอแดด) ก่อนเขาจะพยายามมุ่งตรงต่อไป เพื่อหาโอเอซิสนั้นให้เจอ


    อีกชั่วโมงถัดมา ในขณะที่ความเหนื่อยกัดกินไปทั่วร่าง ก็ไม่รู้ว่าสวรรค์เป็นใจหรือโชคชะตาพาให้พานพบ เขาก็มาถึงยังโอเอซิสซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของสถานีวิจัยที่เขาเคยทำงานอยู่


    มิกิ รีบผูกอูฐเข้ากับต้นปาล์มสูงใหญ่ในบริเวณนั้น ก่อนจะรีบวักน้ำในทะเลสาบขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย  ในที่สุดน้ำเย็นๆจากในทะเลทราบก็ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นอีกครั้งราวกับได้ขึ้นสวรรค์


    เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น เด็กหนุ่มในชุดโธปสีขาวก็ยืนขึ้นเต็มความสูง นัยน์ตาสีเขียวอ่อนของเลือดต่างชาติหรี่มองสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่ค่อยหลงเหลือสภาพสถานีวิจัยเท่าไร โดยรอบเต็มไปด้วยเศษซากจากแรงระเบิดที่ทำเอาประตูรั่วเหล็กที่กั้นระหว่างสถานีบิดเบี้ยวจนดูไม่ออก มีคราบเขม่าสีดำจากเปลวไฟและแรงระเบิดยังคงหลงเหลืออยู่โดยรอบ อีกทั้งทางเข้าด้านหน้าที่เคยเป็นประตูขนาดใหญ่ก็หลงเหลือเพียงแค่โครงเหล็กคดงอ ไม่อาจเรียกได้ว่าประตูอีกต่อไป


    มิกิถอนหายใจกับภาพที่เห็น รู้สึกจิตใจเต้นไม่เป็นปกติเลยสักนิด อนุภาพการทำลายของระเบิดแม้จะไม่ถึงกับทำให้สถานีนี้แตกเป็นเสี่ยงเหมือนเปลือกไข่ที่ถูกกระเทาะ แต่ก็อดไม่ไดที่จะใจหายวาบเมื่อได้เห็นสภาพที่ตัวเองเคยเผชิญ หากศาสตราจารย์โลเกียไม่เป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้ เขาก็คง..


    เลิกคิดมากสักทีมิกิ..เพราะแบบนี้เธอถึงได้ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเหมือนคนอื่นเขาสักที


    จู่ๆประโยคนี้ ก็ผุดก้องขึ้นในหู ซึ่งเป็นประโยคที่ศาสตราจารย์โลเกียชอบบ่นว่าเขาเป็นประจำเวลาที่เขาค้านสมมุติฐานของงานวิจัยของเจ้าตัวด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่อยู่ก่ำกึ่งระหว่างความห่วงใยกับเสียดสี น่าแปลกถึงจะไม่ชอบใจนักแต่มันกลับทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้ง ก่อนจะลงด้วยเสียงทะเลาะกันระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กเช่นนั้นเรื่อยมา ทว่า..วันนี้ มันกลับทำให้ริมขอบตาของเขาร้อนผ่าวขึ้น ราวกับถูกกระตุ้นความรู้สึกส่วนลึกที่หายไปนานในจิตใจ


    ตาแก่เอ้ย..ตายไปแล้วยังจะสร้างเรื่องให้ผมเดือดร้อนอีก..มือยกขึ้นมาปิดดวงตาที่ร้อนผ่าวไปหมด กลั้นน้ำใสๆไม่ให้รินไหลออกมา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นเช่นเก่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งร้องไห้ แต่เขาต้องหาหนทางกลับประเทศ และทวนคืนทุกอย่างจากพวกคนชั่วช้าที่ทำกับเขา ว่าแล้วก็สาวเท้าเดินย่ำเข้าไปสถานีวิจัยในทันที


    พอมาถึงหน้าที่เคยเป็นประตูทางเข้าที่บัดนี้เหลือแต่โครงเหล็กบิดเบี้ยวจนดูไม่ออก มิกิเดินเข้าไป แต่และย่างก้าวมีเสียงดังกร๊อบแกร๊บ ด้วยเศษกระจกกระจัดกระจายเกลือนกลาดเต็มพื้น ด้านซ้ายมือที่ควรจะเป็นบันไดขึ้นไปยังชั้นสอง กลับถูกแรงระเบิดทำให้เพดานด้านบนหล่นมาทับจนแทบจะปิดทางเดินไปหมด พอหันมาตรงทางเดินก็พบสายไฟห้อยระย้าลงมาราวกับเถาวัลย์เต็มไปหมด รวมทั้งมีฝุ่นควันตลบอบอวลและกลิ่นเขม่าขี้เถ้ายังคงหลงเหลือจนหายใจได้ติดขัด  เขาจึงใช้ผ้าคลุมศรีษะขึ้นมาปิดจมูกเพื่อช่วยกรองอากาศ


    ยิ่งเดินเข้ามาลึกขึ้น ใบหน้าหวานก็นิ่วลงเรื่อยๆ เพราะแสงสว่างจากด้านนอกไม่อาจเข้าถึงทำให้มืดลองจนแทบเห็นอะไรได้ไม่ชัด เขาจำได้ว่าบริเวณด้านข้างกำแพงก่อนถึงบันไดฝั่งตรงข้ามที่จะขึ้นไปยังชั้นสองของสถานีอีกด้าน จะมีตู้ถังดับเพลิงที่ติดไว้กับผนัง ซึ่งมีของจำพวก ถังดับเพลิง ขวาน และอุปกรณ์ฉุกเฉินอยู่ด้านใน หนึ่งในนั้นคือไฟฉายเล็กๆที่เอาไว้ใช้ยามไฟดับ


    โชคดีที่แรงระเบิดนั้นทำให้ตู้ของถังดับเพลิงปิดเบี้ยวจนกระจกกั้นแตกละเอียด ทำให้เขาสามารถล้วงมือเข้าหาสิ่งของที่อยู่ด้านในได้อย่างไม่ยากเย็น แต่สัมผัสจากบางสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ในมุมลึกของตู้ทำให้เขาถึงกับสะดุ้ง


    โอ้ย!! ” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าบริเวณปลายนิ้วมือของตัวเองมีรอยฟันซี่เล็กๆกดลงไปจนเป็นรอยถลอก แต่แผลก็ไม่ลึกมาจนเลือดไหลซึม เขาเบิ่งตามองสิ่งที่รอบทำร้ายที่อยู่ด้านในให้ชัดๆ  ก่อนจะพบว่าเป็นหนูตัวน้อยที่แอบมาซ่อนตัวหลบภัยอยู่ในนี้


    ไอหนูบ้านี่! ”

    มิกิขบกรามแน่นด้าวยความหงุดหงิด ก่อนจะแก้เผ็ดด้วยการใช้มือตบลงที่โครงตู้เหล็กให้เกิดเสียงดังโครมคราม แกล้งเจ้าหนูให้ตกใจวิ่งเตลิดออกไปจากตู้


    เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตเจ้าปัญหาหายลับไป เขาจึงใช้มือล้วงเข้าไปด้านในอีกครั้ง ก่อนจะพบกล่องอุปกรณ์เล็กๆที่อยู่ด้านในสุด เขาหยิบมาออก ก่อนจะเปิดฝาออกข้างในมีทั้ง เชือก กรรไกร ฆ้อน ตลับเมตร และไฟฉาย


    เขายกไฟฉายขึ้น..ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปขนาดนี้ รวมทั้งเจ้ากล่องอุปกรณ์ก็เพิ่งผ่านสมรภูมิระเบิดมา เขาก็ไม่แน่ใจว่าของที่อยู่ด้านในมันจะยังคงมีสภาพสมบูรณ์หรือเปล่า ว่าแล้วก็ลงมือบิดซ้ายทีขวาทีตบที่ฝ่ามืออยู่สักพัก แสงไฟก็เริ่มติดๆดับๆ ก่อนจะสว่างค้างอยู่แบบนั้นให้ชื่นใจ ทีนี่เขาก็ไปสำรวจด้านบนได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว..

     



    หนูตัวน้อยวิ่งออกมาด้วยความตื่นกลัว แสงอาทิตย์ที่ส่องเหนือท้องฟ้า ทำให้เห็นเส้นขนเล็กๆสีน้ำตาลไหม้ หางที่ยาวเท่าขนาดลำตัวกับน้ำหนักที่เบานั้นทำให้มันเคลื่อนที่ได้ว่องไว ทว่า..หนูก็ยังคงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในวงจรของผู้ถูกล่า สัญชาตทำให้มันต้องรีบกลับรังหรือทีซ่อนตัวโดยเร็ว แต่ทันทีที่สัตว์สี่เท้าเหยียบย้ำลงบนพื้นทรายร้อนระอุ ก็เหมือนกับสัญญาณหัวใจขาดหายไปในฉับพลัน!


    ฟ่อ!


    คมเขี้ยวฝังลงไปยังลำคอของเหยื่อที่ไม่ทันระวัง นักฆ่าที่แฝงเร้นกายอยู่ในพื้นทรายแนบเนียนปรากฏกายอันใหญ่โตจากพื้นทราย อสรพิษสีเหลืองทรายเต็มไปด้วยเกล็ดหยาบกระด้างฉีดพิษเข้ายังเจ้าหนูตัวน้อยที่น่าสงสาร เสียงร้องของสัตว์ตัวจิ๋วดังขึ้นเหมือนเจ็บปวดแต่เพียงไม่นานก็แน่นิ่งไปไปในบัดดัล งูพิษค่อยๆกลืนหนูตัวน้อยลงในท้อง ช่างเป็นภาพที่แสนโหดร้ายยิ่งนัก ก่อนเท้าข้างหนึ่งของใครบางคนจะเหยียบย้ำลงไปข้างๆอสรพิษผู้หาร ดวงตามิได้สนใจการล่าเหยื่ออันสมบูรณ์แบบของเจ้างูเลยสักนิด จมูกโด่งสันสูดดมกลิ่นอายบางอย่างที่ลอยโชยมาตามสายลม รอยยิ้มหนึ่งผุดขึ้นบนใบหน้าใต้ผ้าคลุมแต่เยือกเย็นเสียจนน่าหวาดกลัว

     





                พอเดินขึ้นมาถึงห้องที่ตัวเองเคยวิจัยเกี่ยวกับเซรุ่มของดอกเพเซีย ประตูด้านหน้าที่เขาเคยโดนขังเอาไว้ก็ถูกแรงระเบิดจนเปิดโล่งจนเป็นรูโบ๋


    แต่เพียงก้าวแรกที่เข้าไปด้านใน สายลมวูบหนึ่งก็พัดผ่านใบหน้าจนรู้สึกเย็นวาบจนขนลุกตั้ง เขาสะบัดใบหน้าแรงๆตั้งสติ ก่อนจะส่องไฟฉายเข้าไป 


    ท่ามกลางความมืดมิดภาพที่สะท้อนสู่สายตา ไม่อาจเรียกได้ว่าห้องทดลองอีกต่อไป ข้าวของทุกอย่างระเนระนาดไปคนละทิศคนละทางไปหมดคล้ายกับโดนถล่มจนย่อยยับ บนพื้นเต็มไปล่องรอยของระเบิดที่มอดไหม้แผลเผา มีฝุ่นผงสีดำล่องลอยไปทั่ว


    สภาพเช่นนี้ทำให้คนที่มาควานหาความหวังถึงกับขาแข้งอ่อนไปหมด แต่ทั้งหมดมิอาจเจ็บเท่ากับภาพความทรงจำที่ผุดขึ้นมาในหัวนี้


    ในห้องวิจัยที่แสนน่าเบื่อที่ไม่มีค่าแก่การจดจำ แต่กลับเต็มไปด้วยภาพของตัวเขาและชายวัยกลางคนที่เขาเทิลทูลเป็นพ่อคนที่สองที่เขาจะไม่มีทอดทิ้ง..


    เสียงหัวเราะ..


    มือที่ลูบศรีษะ


    รอยยิ้มนั่น..


    ทั้งหมดเป็นบาดที่แสนปวดร้าวจนแถบจะไม่แรงรั้งยืน ราวกับหัวใจนี้มันกำลังบีบรัดตัวจนทรมานแม้กระทั่งหายใจ ทั้งที่รู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามานั่งนึกเรื่องอดีตอีกแล้ว แต่กลับทำไม่ได้เลยสักนิด


    เข้มแข็งสิมิกิ..


    อย่าร้องไห้สิมิกิ..


    คำพูดเหล่านั้นเขามักได้ยินเสมอเวลาท้อแท้ แต่มัน..ไม่มีอีกแล้ว


    “ คุณมันใจร้ายศาสตราจารย์..ฮึก.  ” พยายามกลั่นเสียงสะอื้นและหยดน้ำตาไม่รินไหล สองมือยกขึ้นมาปิดดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ แผ่นหลังเอนผิงลงไปกับขอบประตูทางเข้า ร่างกายค่อยไหลทรุดลง


    เขาร้องไห้..ร้องเสียจนราวกับชีวิตกำลังสิ้นไป ...


    เพราะหลังจากวันที่เขาหนีรอดออกมา ชีวิตของเขาก็สับสนวุ่นวายไปหมด จนความจริงอีกด้านที่เกิดขึ้นลืมเลือนออกไปจากหัวสมอง ทว่า..เวลาที่กลับฟื้นคืนมามันแทบให้เขาทนไม่ไหว อยากระบายความเสียใจนี้ ออกไปจากหัวของเขาสักที


    " ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย.. " มือเรียวทุบลงไปกับพื้น เศษของฝุ่นผงทำให้รู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือแต่ก็ไม่เท่ากับจิตใจที่บอบช้ำ


    ' คนขวานผ่าซากอย่างนายยอมแพ้เป็นที่ไหน ลุกขึ้นมาสิมิกิ ท้อแท้ตอนนี้มันยังเร็วไปร้อยปี'

    ประโยคของศาสตรจารย์ผุดขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง มือนั้นที่ยื่นมาให้เขาจับราวกับคอยเป็นไม้ที่คอยพยุงให้ลุกขึ้นสู้ต่อไป

    ใช่สิ..ยอมแพ้ตอนนี้มันยังเร็วไป


    ในที่สุดกก็พยายามตั้งสติให้ได้ มือยกขึ้นมาปาดน้ำตาของตัวเอง มิกิพยุงตัวลุกขึ้นอีกครั้ง สูดหายใจเข้าลึกและผ่อนออกมายาวๆ ก่อนจะหันหน้าเดินเข้าไปสำรวจห้องที่อยู่ด้านในอย่างระเอียดอีกครั้ง ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีอะไรเหลือเลย


    เขามองหาทุกสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ กระทั่งส่องไฟฉายไปเห็นตู้เหล็กสีเทาตู้หนึ่งที่ถูกทำเป็นช่องติดกับตัวกำแพง จึงขมวดคิ้วเป็นปมแน่น และใช้ไฟฉายส่องตู้นั้นอย่างไม่วางตา 


    หากจำไม่ผิด ช่องบนกำแพงที่สร้างขึ้นก่อนจะมีตู้เหล็กนี้ถูกออกแบบมาผิด ศาสตราจารย์โลเกียจึงบอกให้ทำเป็นตู้เก็บของเล็กๆ หรือไว้เก็บพวกเอกสารพวกผลวิจัยที่ยังรอการตรวจสมมุติฐานของเขากับศาสตราจารย์ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้ และเอกสารที่เอาทดสอบนั้นเป็นต้นฉบับบของทางศูนย์วิจัยทั้งหมด แต่การจะเปิดมันได้ก็ต้องใช้กุญแจ.. ทว่า..สภาพแบบนี้คงหากุญไม่เจอแน่ จะทำยังไงล่ะ?


    ขวานนั่น! ” ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวทันที ก่อนจะชั้นบนเขาจำได้ว่าที่ตู้ถังดับเพลิงมีขวานเหล็กสีแดงอยู่ด้านในด้วย หากใช้สิ่งนี้อาจจะพอเปิดเอาของที่อยู่ด้านในออกมาได้


    มิกิรีบลงไปหยิบขวานไม้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขึ้นมาด้านบนและรีบใช้ขวานสับลงไปที่ตู้ที่ช่องกำแพงทันที ในที่สุดก็สามารถทะลุถึงด้านในได้สำเร็จมือบางรีบคว้าสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา มาเป็นซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดA3 พอเปิดดูด้านในก็พบเอกสารสีขาวที่ยังคงอยู่ในสภาพทีสมบูรณ์ 


    เขาหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับงานวิจัยที่พิสูจน์สมมุติฐานแบบไม่เป็นทางการ หากแบบฟอร์มที่ใช้สรุปนั้นเป็นของศูนย์วิจัยโดยตรง ซึ่งด้านหลังระบุรายละเอียดต่างๆเอาไว้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังมีใบประวัติการทำงานของทุกคนนี่ที่แอบถ่ายเอกสารเก็บเอาไว้ และนี่น่าจะเป็นสิ่งที่เขาน่าจะใช้ได้!


    มือเรียวไล่เปิดทีละแผ่น พลิกหน้าพลิกหลัง หาเบอร์โทรศัพท์บุคคลอื่นที่สามารถติดต่อได้นอกจากทีมนักวิทยาศาตร์ทางการแพทย์ที่หักหลัง แต่ไม่ทันจะได้ดูจนครบ เสียงย้ำฝีเท้าลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษแก้วก็ทำให้เขาหยุดชะงัก ก่อนจะรีบส่องไฟฉายไปต้นตอของเสียงที่อยู่หน้าประตู!


    ใครน่ะ! ” ร่างบางส่งเสียงถามทันที มืออีกข้างกอดซองเอกสารไว้แน่น ไฟฉายถูกส่องไปยังบุคคลที่มาเยือน แต่กลับพบเพียงแค่ร่างสูงบางในชุดคลุมสีดำ และใบหน้าที่ก้มลงต่ำจนผ้าคลุมปรกใบหน้าลงมาจนมองเห็นได้ไม่ชัด ก่อนเสียงสูดลมหายใจของบุรุษปริศนาตรงหน้าจะทำให้เขาถึงกับตัวแข็งทื่อ รู้สึกขยะแขยงกับการกระทำเช่นนี้


    “ ตัวเจ้าหอมจัง...และก็หอม..กลิ่นของบ้านเกิด.. ” คำพูดที่ฟังแล้วไม่เข้าใใจเท่าไรพรำขึ้น ทว่า..ไม่เท่ากัยรอยยิ้มเย็นเยียบคลี่ออกจนน่าขนลุก มิกิเบิกตากว้างตกใจหัวใจแทบหยุดเต้น เห็นฟันที่เรียงสวยของคนตรงหน้าค่อยๆงอกออกมาเป็นเขี้ยวยาวคมกริบราวกับในหนังสยองขวัญ แต่ไม่เท่ากับเสี้ยววินาทีที่เห็นใบหน้ากำลังกลายเป็นเกล็ด!


    เกล็ดของงู!


     “วิ่ง!!”

    ไม่รู้ว่าได้ยินเสียงของใครตะโกนบอก แต่เพียงแค่นั้นก็ปลุกสัญชาตญาณทั้งหมดที่อยู่ในตัวให้ตื่นได้ทันที สองขารีบวิ่งอย่างรวดเร็วผ่านประตูทางด้านหลังของห้องวิจัย ทว่า..พอออกมาด้านนอกก็แทบชะงักฝีเท้าไม่ทัน เมื่อพบโพรงหลุมขนาดใหญ่จากพื้นที่ถล่มลงไปยังด้านล่าง 


    ไม่มีเววลาในคิดมากนัก ร่างบางตัดสินใจกระโดดข้ามฝั่งออกไป แต่ดันกะจังหวะพลาดทำให้ล้มขลุกลงไปกับพื้นที่เต็มไปด้วยเศษฝุ่นผงจนบาดเข้ากับเนื้อตัวเจ็บไปหมด


    ทว่า..เสียงการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างที่ตามมาจากด้านหลัง ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างแล้วดึงสติกลับคืนมาโดยไว ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปยังบันไดอีกข้าง  คิดจะลงไปยังชั้นหนั่งเพื่อออกไปด้านนอก แต่กลืมไปว่าแรงระเบิดทำให้เพดานถล่มลงปิดทับทางออกของบันได เขาจึงจำเป็นเป็นต้องวิ่งสวนขึ้นไปด้านบนแทน


    สองเท้าพาร่างกายที่เหนื่อยหอบจากการวิ่งหนีบางสิ่งขึ้นมายังดาดฟ้าของสถานีวิจัย มิกิวิ่งมายังสุดขอบกั้นของตึกจนไร้ทางหนี ดวงตาคู่สวยมองลงไปยังพื้นด้านล่าง หากวัดระดับความสูงคงเทียบเท่ากับตึก 4 ชั้น ถึงจะตกลงไปหากไม่ตาย แต่ก็คงเลี้ยงไม่โต


    เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รู้สึกไร้หนทางจะหนีรอด เขาไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใครและต้องการอะไรจากตัวเขา แต่สัญชาตญาณกลับบ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงอันตรายและน่ากลัวของชายผู้นี้ อย่างไรหากประตูดาดฟ้าเปิดออก เขาคงเห็นรูปลักษณ์ของหมอนั่นซึ่งๆหน้า


                ตึง


                ตึง!


    เร็วเท่าความคิดประตูดาดฟ้าก็สั่นสะเทือน แรงผลักที่ดันมาจากจากด้านในราวกับสัตว์ที่บ้าคลั่งค่อยๆทำให้ประตูเหล็กโก่งโงอย่างง่ายดาย มิกิก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ดวงตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่บานประตู กระทั่งไม่มีที่เหลือพอจะให้เขาถอยได้อีกแล้ว เม็ดเหงื่อก็ผุดเกาะเต็มทั่วใบหน้า อีกไม่นานประตูนั่นคงพังลงแล้วคนที่อยู่ด้านในคงตามเขามาได้ เขาพยายามคิดหาหนทางรอด แต่พื้นที่โล่งๆที่ไม่มีสิ่งใดบดบังนั้นทำให้หัวสมองเขาขาวโลนไปหมด ราวกับที่แห่งนี้เป็นลานประหาร ลานประหารเพื่อเขา


    มิกิหยุด!! ”


    อ๊ะ!! ”


    วินาทีนานั้นทุกอย่างขาวโพลนไปหมด เมื่อขาข้างหนึ่งเผลอหย่นลงไปยังพื้นอากาศโปร่งๆจนเสียการทรงตัว ดวงตาสีเขียวนั้นเบิกกว้างตกใจ กายบางร่วงหล่นจากดาดฟ้าทันที !


    วืด!


    จบแล้วสินะ..


    ฟรืบ!

    เงาดำของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เคลื่อนผ่านสายตา ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่แทนที่จะได้รับความเจ็บปวดจากแรงกระแทกพื้น  แต่ตัวเขากลับรู้สึกเหมือนถูกโอบรัดกลางอากาศ เกล็ดสีดำมันเลื่อมพันธนาการอยู่รอบตัว ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกถึงการบีบรัด อึดอัดแต่อย่างใด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมดจนไม่รู้ว่าตัวเป็นอย่างไร สุดท้าย..ทันทีที่ขาทั้งสองแตะพื้นอย่างนุ่มนวล เขาจึงได้มีโอกาสมองสิ่งนั้นให้ชัด ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อพบว่าสิ่งที่ช่วยเหลือเป็นอสรพิษสีดำขนาดใหญ่เท่าช้างขดตัวอยู่รอบกาย แต่เพียงเห็นดวงตาสีน้ำเข้มดุจห้วงทะเลลึกในมหาสมุทรนั้นแล้วมันทำให้เขานึกถึงใครบางคนขึ้นมา..


    นายคือ..


    ท่านมิกิ.. ” เสียงหนึ่งเรียกให้เขาหันไปหา ก่อนอสรพิษจะคลายตัวออก เผยเห็นร่างสูงโปร่งของหัวหน้าราชบริวารแห่งอนาคานกำลังเผยยิ้มมาให้ ทว่าไม่ทันได้ถามอะไร เสียงหัวเราะเบาๆจากทางดาดฟ้าด้านบน ก็ทำให้ทุกคนต้องรีบหันไปมอง หากคนที่ตกใจมากที่สุดกลับเป็น..


     ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ ซาอิด..

    สายลมโชยพัด ผ้าคลุมศรีษะถูกถลกออก เส้นผมสีทองยาวสลวยพริ้วไหวไปตามแรงลม เรือนร่างสูงบางสมส่วน เข้ากับใบหน้างดงามราวกับรูปหล่อทองคำกำลังคลี่ยิ้มหวานละไมน่าหลงใหล แต่สิ่งที่แปลกใจก็คือ ดวงตาสีครามดุจท้องฟ้าสว่างไสวนั้นยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนกับใครบางคนจนน่าใจหาย แต่ถ้าเขาฟังไม่ผิดบุรุษผู้นี้เรียกชื่อของ..


    ซาอิด..


    ท่านพี่...ราซิส


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ทักทายกันสักนิด

                  สวัสดีคร่าา เฮนโหล่วว ทุกๆคนนะคะ ไรท์ดี้มาต่อ Part 2 ให้แย๊ว นะ ฮืออ ช่วงนี้ เป็นไปได้อาจจะได้อ่านกันถี่ขึ้นค่ะ เพราะเดธไลน์เริ่มใกล้กระชั้นชิดแล้ว (เริ่มเครียดและปาดเหงื่อ) แต่ละตอนช่างฉูบกินวิญญาณไรท์ดี้มากเหลือเกิน รู้สึกถึงอะไรหลายๆอย่าง แต่ก็ยังไงขอให้ติดตามกันต่อไปนะคะ ดี้ก็จะพยายามแต่งให้ดีที่สุด แต่ถ้าเรื่องนี้ มีจุดไหนที่ผิดพลาด หรืออยากแน่ะนำกัน ก็คุยกับดี้ได้เลยนะคะ ขอบคุณทุกคนมากค่ะ

                อ่า ราซิสโผล่มาแล้ว จะเป็นยังไงต่อ ตอนหน้า ดุเดือดค่ะ! ไปซ้อม หายูทูปดูงูกัดกันแพร๊บ 5555+

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×