คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ค่ำคืนที่ 1 : ทะเลทราย..100%
แหมะ..
แหมะ..
เสียงหยดน้ำไหลหยดลงจากเพดานชื้นฉ่ำ หยาดน้ำเย็นๆค่อยๆอาบรดเรือนร่างอันเปลือยเปล่าเผยผิวพรรณขาวละเอียดไร้ซึ่งการปกปิดใดๆเว้นแต่ช่วงล่าง แผ่นอกบางไหวกระพรืมขึ้นลงแผ่วเบาเป็นข้อบ่งบอกว่าร่างนี้ยังมีชีวิต แต่กลับดูอ่อนแรงเสียจนไม่รู้ว่าจะสิ้นลมเมื่อไร
หนาว..
หนาวเหลือเกิน..
กระทั่ง..น้ำหยดสุดท้าย เรียกดวงตาที่ปิดมานานให้ค่อยๆลืมขึ้นเชื่องช้า กลิ่นสาบของสัตว์เลื้อยคลานโชยฟุ้งเข้าจมูกโด่งสันทุกครั้งที่หายใจ และเมื่อนั้น..ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างก็ค่อยๆปรากฏชัดขึ้นในหัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอได้สติกลับคืนมาดวงตาสีอ่อนดุจแสงมรกตก็เบิกโต แต่ทันทีที่ขยับร่างกาย เขากลับได้ยินเสียงโซ่ตรวนที่ดังขึ้นข้างหู เมื่อมองขึ้นตามไปจึงเห็นท่อนแขนของตัวเองทั้งสองข้างถูกมัดตรึงไว้กับผนังชื้นด้วยโซ่เหล็กสีดำ ส่วนข้อเท้าก็ล่ามไว้เช่นเดียวกัน ทว่า..ยิ่งดิ้นมากเท่าไร เขาก็รู้สึกเจ็บมากขึ้น แต่จะให้ทนอยู่ในสภาพนี้ เขาก็รับตัวเองไม่ได้เช่นกัน ร่างบางจึงฝื้นความเจ็บปวดของตัวเอง หวังลมๆแล้งๆว่าโซ่เหล่านี้จะหลุดไปด้วยความพยายามของเขา ทั้งที่ความจริงมันเป็นได้แค่ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
เลือดสีเข้มไหลย้อนลงมาจากข้อมือทั้งสองข้าง แต่ทำไมมันถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ตอนนี้..เขาเข้าใจแล้วว่า เวลามนุษย์สิ้นหวังจนหมดหนทางนั้นเป็นยังไง ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจในชะตาชิวิตของตัวเอง เมื่อไรชีวิตเขาจะก้าวผ่านจุดเลวร้ายบ้าๆนี่ไปได้สักที ทำไมเขาต้องเกิดมาพบเจออะไรแบบนี้ทุกครั้งด้วย..
เมื่อไรมันจะจบสักที..
“ ตื่นแล้วเหรอมิกิ ” เสียงทุ้มนุ่มที่ไม่อยากได้ยินเรียกดวงตาสีอ่อนให้หรี่มอง
“ อย่ามาเรียกชื่อฉัน ไองูวิปริต! ” น้ำลายถูกถมใส่ลงพื้น บุรุษร่างสูงสง่าในชุดคลุม ยืนเหยียดยิ้มเย็นราวกับไม่ได้สนใจการกระทำก้าวร้าวของอีกฝ่าย ดวงตาสีอำพันดุจสัตว์ร้ายจับจ้องไปยังร่างที่ยังคงดื้อดึงเหมือนเหยื่อตัวน้อยที่น่าสนใจ และนั่นเป็นนัยน์ตาที่เขาหวาดกลัวที่สุด
ดวงตา..ดวงตาของอสรพิษ!
“ เด็กดื้อ...ต้องลงโทษ ” ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากเสียงเย็นเยือกเอ่ยข้างใบหู ฉับพลันดวงตาคู่สวยก็ได้แต่เบิกโตจนน้ำตาคลอ เมื่อสัมผัสจากบางสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียนไหลแทรกเข้ามาในร่างกาย และมันทำให้เขาหวาดผวาไปจนถึงขั่วหัวใจ
ไม่เอา..ฮึก..ไม่เอาแบบนี้
เกลียด..
เกลียดที่สุด!
สายลมร้อนระอุโชยพัดฝุ่นผงสีทองให้หมุนเกลียวไปในอากาศ ท้องฟ้าสดใสเปิดโล่งให้ดวงอาทิตย์ทอดแสงลงมายังผืนทรายที่แผ่ขยายไปจนสุดลูกหูลูกตา สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือสัตว์ที่สามารถใช้ชีวิตผ่านใต้พื้นผิวที่คล้ายกับเตาอบนี้ได้มองดูแล้วช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง จนไมน่าเชื่อว่าบนโลกมนุษย์ของเราจะมีสิ่งที่น่าค้นหาและสถานที่แปลกประหลาดเหล่านี้อยู่อีกมากมาย แต่หากสิ่งที่น่าสนใจจริงๆคือนั่นคือการ'ปรับสภาพ'ของทุกสรรพสิ่ง และไม่น่าเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุดจะเป็น ‘สัตว์เลื้อยคลาน’
ที่นี่คือ ‘ทะเลทรายฮาซาน’ เป็นทะเลทรายในแทบภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นทะเลทรายที่อยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศ ซีเรียและอิรัก แต่หากมองไล่ตามเส้นศูนย์สูตรบนแผนที่จะพบว่าทะเลทรายฮาซานนั้นเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายซีเรีย
สิ่งมีชีวิตที่นี่ ก็เหมือนกับสิ่งมีชิวิตในผืนทรายทั่วๆไป มีทั้งสัตว์จำพวกนก หนู และงูทะเลทราย หรือต้นตะบองเพชรที่ผุดขึ้นเป็นหย่อมๆ และไม้พุ่มแห้งๆที่เสมือนตายแล้วแต่พอได้น้ำมันก็จะกลับคืนชีพขึ้นมาใหม่ แต่ถ้ามีเพียงแค่นั้น ทีมคณะนักชีววิทยากับทีมนักวิทยาศาสตร์การแพทย์คงไม่ลงมือเดินทางมาไกลให้ทะเลทรายแผดเผาเล่นแน่
ภายในโดมสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนถูกสร้างเป็นห้องทดลองชั่วคราวกลางโอเอซิส นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยกำลังยุ่งวุ่นวายให้กับการเป็นลูกมือในการทดลองของนักชีววิทยาซึ่งเหลืออยู่เพียงสองคนที่ยังคงประจำการอยู่ที่นี่
‘คิโนมุระ มิกิ’ เด็กหนุ่มลูกครึ่งยุโรปและแดนอาทิตย์อุทัย ผู้มีรอยยิ้มหวานละไมเสมือนน้ำผึ้งเดือนห้า แต่หากบุคคลิกที่แสดงออกมาอย่างโผงผางชนิดขวานผ่าซาก ช่างดูขัดกับใบหน้าเรียวสวยเหมือนเด็กอายุ 18ของเจ้าตัวเสียจนน่าเสียดาย ซึ่งทำเอาคนที่อยากจะลิ้มลองรสชาติของเขานั้นหมดอารมณ์ไปตามๆกัน แต่ด้วยความที่มิกิเป็นคนฉลาด ตรงไปตรงมา และกล้าคิดกล้าทำ ทำให้เขาก้าวกระโดดมาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ‘โลเกีย’ ทางสายชีววิทยาตั้งแต่อายุยังน้อย
แต่ถึงเขาจะชอบศึกษาค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลก แต่กลับมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่เขาไม่อยากเข้าใกล้ ซึ่งนั้นคือ 'งู' ทั้งที่คิดว่าการทำงานสายนี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะเลี่ยง แต่ด้วยความใจกล้าบ้าบิ่นและคิดว่าไม่นานเวลาจะพาให้เขาชินไปเอง ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะความกลัวแต่ก่อนที่เคยมีร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็ยังเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์เท่าเดิม เพียงแต่..
อาจไม่แสดงออกมากเหมือนแต่ก่อน..
“ โอ๊ะ! ไองูบ้านี่ตกใจหมด ” เสียงร้องดังขึ้นทันทีจากร่างของเด็กหนุ่มในชุดคลุมพลาสติกป้องกันตัว ระหว่างที่เขาเดินเข้าไปเด็ดบางสิ่งในห้องกักเก็บการทดลองลงตะกร้า สิ่งมีชีวิตมีเกล็ดมันวาวไร้ซึ่งแขนขาสีเข้มก็เลื้อยขึ้นมาตามมือ ทำให้เขาต้องรีบสะปัดออกด้วยตวามตกใจ
“ เธอนี่ ไม่ถูกกับงูตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆด้วยสินะ.. ” น้ำเสียงเรียบๆฟังดูใจดีเอ่ยจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มหันกลับไป เห็นร่างผอมสูงในชุดกาวน์สีขาวเก่าๆกำลังยืนกอดอกพิงประตูมองมาที่เขา
ชายกลางวัยเฉียดเลขหกคนนี้คือ ศาสตราจารย์โลเกีย ผู้เป็นเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขา ทั้งหัวหน้าที่เขาเคารพ และพ่อที่ห่วงใยเสียยิ่งกว่าพ่อแท้ๆ เพราะตั้งแต่มิกิอายุได้ 20 ปีแม่ของเขาก็เสียชีวิตลง ส่วนพ่อแท้ๆก็ทอดทิ้งไปแต่งงานใหม่ ถึงเขาจะรู้สึกเหมือนเด็กน้อยถูกทิ้งไว้กลางทาง แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กๆที่ขอเงินครอบครัวกินไปตลอดชีวิต ช่วงนั้นเขาพยายามหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียน โดยการพยายามสอบทุนให้ได้ แต่ก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเพราะดันตกสัมภาษณ์ แต่ระหว่างที่เขาไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหนดี ศาสตราจารย์โลเกียผู้เป็นหนึ่งในกรรมการที่คัดเลือก ก็ยื่นมือเข้ามาเสนอให้เขาร่วมทีมวิจัยด้วย ซึ่งเหตุผลนั้น เขาเองก็ยังไม่ทราบมาจนถึงปัจจุบัน มิกิทำงานให้ศาสตราจารย์โลเกียตั้งแต่เขายังไม่จบมหาวิทยาลัย ไล่ตั้งแต่ตำแหน่งลูกมือเล็กๆ จนมาถึงตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัว จนถึงทุกวันนี้ความอบอุ่นที่ได้รับก็กลายเป็นความสนิทสนมชิดเชื้อที่รู้ใจทุกอย่างยิ่งกว่าพ่อตัวเองจริงๆ
“ รีบออกมาได้แล้ว ในนี้มันร้อน.. ”
พูดจบศาสตราจารย์ก็เดินออกไป มิกิหลุดคลี่ยิ้มบางๆออกมาให้กับแผ่นหลังนั่น ก่อนจะก้มลงหยิบตะกร้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีส้มแดงขึ้นมาแล้วออกจากห้องกักเก็บ
“ อ่า..นี่มันดอกเพเซียชุดสุดท้ายแล้วสินะ ถ้าการทดลองนี่ล้มเหลว สงสัยได้รออีก 3 ปีแน่กว่าจะได้กลับมาที่นี่ใหม่ เฮ้อ..ให้ตายสิรัฐบาลจะเอาของดีราคาถูก มันจะมีที่ไหนบนโลกไหม.. ” เสียงบ่นพึมพร่ำอย่างเช่นเคยดังขึ้นข้างๆ ขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างก็กำลังส่องลงไปในกล้องจุลทัศน์ไปด้วย บนไฟจากกล้องที่ส่องเป็นกระจกเลนส์ใสทับกัน ด้านในบรรจุของเหลวสีเขียวใส แต่หากมองจากกล้องจะเห็นเม็ดเซลล์เล็กๆกลมๆสีดำกำลังวิ่งกระเจิดกระเจิงไปมาเหมือนมดรังแตก
อย่างที่กล่าวเอาไว้ ทะเลทรายฮาซานเป็นทะเลทรายที่มีลักษณะภูมิประเทศเหมือนกับทะเลทรายทั่วไปในแทบเอเชียตะวันออก หากแต่สิ่งที่น่าค้นคว้า และทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจนั้นคือพืชที่มีดอกสีส้มแดง ซึ่งเรียกว่า ‘ต้นเพเซีย’ ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลไม้พุ่มล้มลุก
หลังจากการสกัดค้นคว้ามากว่า4 ปี ศาสตราจารย์โลเกียค้นพบว่า ดอกไม้ชนิดนี้ มีคุณสมบัติในการกระตุ้นเซลล์ประสาทที่ตายไปแล้วให้กลับมาทำงานได้ใหม่อีกครั้ง ฟังดูแล้วอาจเหมือนเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ราวกับว่าพวกเขาจะสามารถชุบชีวิตคนตายให้กลับมามีชีวิตได้ แต่ธรรมชาติก็ยังคงเป็นวงจรธรรมชาติที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น มีผู้ล่าก็ต้องมีผู้ถูกล่า นี่คือเรื่องจริงที่มนุษย์เราควรยอมรับ ธรรมชาติจึงมอบอำนาจให้ดอกเพเซียเป็นเสมือนยาที่สร้างความหวังมากกว่าการชุบชีวิต ซึ่งยานี้จะสามารถช่วยคนที่ป่วยเป็นโรค ‘เจ้าหญิงนิทรา’ ได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีทางรักษา
หากแต่ดอกไม้นี้ยังมีความพิเศษเฉพาะของตัวอีกหนึ่งอย่าง นั้นคือมันเป็นดอกไม้ที่ปล่อยกลิ่นฟีโรโมนที่ดึงดูดพวกงูให้มาผสมพันธุ์กัน พูดง่ายๆก็คือมันเปรียบเสมือนไวอากร้ากระตุ้นต่อมรักของพวกงูได้อย่างดิบดี จึงไม่แปลกเลยถ้ามีดอกไม้ชนิดอยู่ที่ไหนก็จะพบงูไม่ต่ำกว่า 10 ตัวขดตัวกันเป็นก้อนอยู่ใต้พุ่มไม้นั่น หรือต่อให้นำดอกเพเซียมาแล้วพวกงูก็ยังตามกลิ่นนี้มาอีกอยู่ดี และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขายังพบงูตัวเล็กตัวน้อยอยู่ในห้องกักเก็บอยู่ดี ห้องทดลองนี้จึงมีงูจำนวนไม่น้อยถูกขังเอาไว้ในตู้เหล็กมากมาย ก่อนรอวันไปปล่อย
“ ศาสตราจารย์..ผมว่าบ่นไปก็เท่านั้น สู้เอาสารสกัดที่เหลือมาทดสอบสมุติฐานของผมดีกว่า ” พูดจบอย่างไม่คิดอะไรพลางค่อยๆถอดชุดคลุมพลาสติกออกอย่างทุลักทุเล ศาสตราจารย์โลเกียละสายตาออกจากกล้อง ก่อนจะเบนมองมายังเป้าหมาย ที่(แสร้ง)เหมือนกำลังวุ่นวายกับการถอดเสื้อ
“ ให้ตายสิ เธอนี่มันขวานผ่าซากจริงๆ เมื่อไรจะทำตัวน่ารักๆเหมือนหน้าบ้างหื้ม! มิกิ ” โลเกียถอนหายใจ มิกิคลี่ยิ้มเรียบแต่ไม่ว่าเปล่า หยิบเอกสารประกอบการยื่นให้หัวหน้าให้ไปอ่านปิดปากด้วย
“ ผมไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย อ้อนมากไปเดี๋ยวหัวหน้าผมหัวใจวายจะทำไง ผมคงโคลนนิ่งใหม่เหมือนแกะดอลลี่ไม่ได้แน่ ”
“ หึ เธอก็อยู่กับพวกทีมวิจัยของศาสตราจารย์ค็อตเลอร์ไง” กล่าวจบก็ก้มลงอ่านผลการวิจัย แต่มิกิกลับเบ้ปากออก
“ เฮอะ ทีมกระโหลกกะลา ให้ผมทำคนเดียวยังดีกว่า ” ขาดคำก็ถอดเสื้อคลุมจนเสร็จ ก่อนจะแขว้นพาดเอาไว้กับเก้าอี้ข้างๆ แถมด้วยการยักคิ้วกวนๆให้กับหัวหน้าหนึ่งที และยื่นขนมปังสังขยาสภาพยับเยิ่นมาให้ ศาสตราจารย์โลเกียกระพริบตาถี่ ก่อนจะถอนหายใจ
“ เฮ้อ..ข้าวเช้าตอน 4โ มงเย็นเนี่ยนะ ”
การทดลองยังคงดำเนินต่อไป ตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบ 12 ช.ม แล้วที่ทีมชีววิทยายังไม่ยอมหยุดพัก ขณะที่ทีมวิทยาศาสตร์การแพทย์ต่างพากันเข้าห้องพักเป็นที่เรียบร้อย จนบ้างครั้งเขาเองก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้างานวิจัยออกมาสำเร็จแล้ว คนพวกนี้ก็จะได้รับชื่อเสียงพ้วงกับพวกเขาไปด้วย ทั้งที่เวลาการทำงานและการทุ่มเทนั้นต่างกันริบรับ แต่จะว่าไปเพราะเขาไม่ใช่ยอดมนุษย์นี่นะ..จึงไม่สามารถแยกร่างออกมาและทำทุกอย่างด้วยตัวเองเหมือนอย่างในภาพยนตร์ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นงานชิ้นนี้คงไม่ใช้เวลานานขนาดนี้ แต่ถ้าให้พูดตามหลักความจริงก็คือ ถึงเขาจะชอบงานนี้มาก แต่ถามว่าทุ่มเททั้งหมดไหม? คำตอบนั้นคือไม่..บางครั้งความเหนื่อย ความท้อแท้บวกสภาพที่เป็นอยู่ มันก็ทำให้อยากจะล้มเลิกงานนี้ไป และเกิดคำถามพ้วงท้ายอีกว่าเขามาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร
แต่..ทุกครั้งที่ความคิดแบบนี่แล่นเข้ามา พอลองมองกลับไปที่คนข้างกาย ซึ่งเขาใช้เวลาแทบทั้งชีวิตศึกษาค้นคว้าเรื่องพวกนี้ คำตอบที่ได้..ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เป็นเพื่อเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ศาสตราจารย์โลเกียเป็นคนดี ที่ไม่ควรต้องมาทนเสียงตัดพ้อครหาว่างานของเขามันยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรและไม่มีวันเป็นจริงได้ แต่เขาควรได้รับการยกย่องเสียด้วยซ้ำซึ่งเขาเองก็จะเป็นคนช่วยผู้มีพระคุณลบคำกล่าวหาเหล่านั้นให้เจ้าพวกนั้นหน้าหงายกันไป
แต่ตอนนี้เขาอยากได้เตียงนุ่มๆ กับผ้าห่มอุ่นสักผืนจัง..
“ มิกิ! มาดูอะไรนี่เร็ว! ” เสียงเรียกอย่างตื่นเต้น ทำให้ดวงตาสีอ่อนที่กำลังเคลิ้มปิดสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มือเรียวยกขึ้นเกาศีรษะจนเส้นผมสีบลอนด์ทองนั้นยุ่งเหยิ่ง ใบหน้าหวานมุ่ยลงเล็กน้อยที่หัวหน้าของเขามาขัดจังหวะคนกำลังได้ที่ แต่สุดท้ายก็หยิบชุดคลุมกาวน์สีขาวมาสวมทับ แล้วเดินล้วงกระเป๋าทอดน่องเอื่อยๆ มาหาคนที่กวักมือเรียกหยิ๊กๆอยู่หน้ากล้องจุลทัศน์
มิกินิ่วหน้าลงด้วยความสงสัย ก่อนจะลองส่องลงไปในกล้องจุลทัศน์ที่อีกฝ่ายเชื้อเชิญ สิ่งที่เห็นก็เหมือนกับตัวอย่างงานทดลองแบบเคยๆ เพียงแต่มีสิ่งแปลกประหลาดเพิ่มเข้ามาในนี้ มันเป็นเซลล์ที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมพีระมิด ตรงกลางเป็นนิวเคลียสเล็กๆเหมือนเม็ดกระดุมสีแดง พอจ้องมองไปสักพัก เขาก็เห็นเซลล์สีดำของดอกเพเซียที่วิ่งเหมือนผึ้งแตกรังในวงนอก กลับค่อยๆถูกเซลล์สามเหลี่ยมดึงเข้าไปทีละอันๆจนเต็มเป็นระเบียบ ภาพที่เห็นคล้ายกับแคปซูลที่ห่อหุ้มเซลล์ของดอกเพเซียเอาไว้โดยไม่ทำลายตัวเซลล์ ซึ่งก็หมายความว่า หากตัวเซลล์สามเหลี่ยมแปลกตานี้สามารถใช้กับมนุษย์ได้ ก็จะทำให้สารสกัดนี้ถูกใช้ได้อย่างเป็นระบบและตรงจุด
ใบหน้าหวานค่อยๆเงยหน้าขึ้น รู้สึกทึ่งจนพูดอะไรไม่ออก แถมยังตกใจแทนการดีใจไปเสียสนิท
“ สะ..สำเร็จ..สำเร็จแล้ว ได้ยังไง ” มิกิยังคงจบต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเสียงเครื่องผลิตเซรุ่มก็ส่งเสียงดัง ศาสตราจารย์โลเกียค่อยๆเปิดมันออก ดวงตาคู่สวยหรี่ลงมองตาม ด้านในเป็นหลอดแก้วใสบรรจุของเหลวสีชมพูโปร่งแสงดูสวยงาม
นี่คงเป็น..เซรุ่มต้นแบบสินะ..
“ มิกิรีบไปตามทุกคนมาเร็ว ”
“ คะ..ครับ ” มิกิพยักหน้ารับอย่างงงๆ เกาหัวเหมือนคนสติยังกลับมาไม่ครบ และยังทำใจไม่ได้ที่จู่ๆงานชิ้นนี้นึกจะสำเร็จก็สำเร็จโดยที่ไม่มีเค้าโครงอะไรเลยสักนิด หลายคนบอกว่าเขาควรดีใจ แต่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยจนเขาลืมไปแล้วว่า เหตุการณ์แบบไหนควรจะดีใจกันแน่ ก่อนจะลากขาเดินดุ่มๆหาววอดๆออกไปจากห้อง แต่ระหว่างที่เดินไปตามทุกคน เขาก็สวนทางกับชายผู้หนึ่งที่มีตำแหน่งและอายุอานามพอๆกับศาสตราจารย์โลเกีย เพียงแต่เขาอยู่ในทีมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเป็นหัวหน้าททีม ‘ศาสตราจารย์ค็อตเลอร์’
มิกิโค้งให้ตามมารยาทแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรเพราะคิดว่า เขาคงเดินไปที่ห้องทดลองอยู่แล้ว แล้วศาสตราจารย์โลเกียขี้โม้คงต้องคุยจ้อให้ฟังแทนเขาแน่ เขาจึงเลือกเดินผ่านไปเงียบๆ แต่ทั้งหมดกลับผิดคาด..
“ ศาสตารจารย์โลเกีย.. ” เสียงเรียกทำให้คนที่ถูกขานชื่อละสายออกจากเครื่องผลิตเซรุ่ม
“ศาสตารจารย์ค็อตเลอร์ งานทดลองสำเร็จแล้ว ผมสั่งให้มิกิไปตามทุกคนแล้วครับ ”โลเกียหันมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ค็อตเลอร์ยิ้มกลับก่อนจะยกวัตถุสีดำขึ้นมาจากเสื้อกาวน์ของตัวเอง
“ งั้นเหรอ ขอบคุณมากครับ.. ”
ปัง!
เสียงก้องกังวาลที่ได้ยิน ทำเอาขาเรียวที่กำลังเดินทอดน่องเอื่อยๆไปยังห้องพักหยุดชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโต ในท้องก็โหวงๆไปหมด รู้สึกใจคอไม่ดีจนต้องรีบหันหลังกลับมามองทางเดินที่เพิ่งผ่านมาซึ่งเสียงนั้นดังมาจากห้องของศาสตราจารย์โลเกีย ไม่รอช้าก็รีบกลับไปทันที
ทว่า..พอรีบวิ่งกลับมา สภาพที่เห็นก็ทำเอาเขาแทบล้มทั้งยืน ห้องทดลองถูกรื้อกระจัดกระจายจนเอกสารปลิวว่อน เครื่องผลิตเซรุ่มก็เปิดอ้าค้างเอาไว้แต่หลอดทดลองกลับไม่มีอยู่ในนั้นแม้แต่หลอดเดียว หากแต่สิ่งที่เรียกสติของเขากลับเป็น..
กลิ่นคาวเลือด!
“ศาสตราจารย์!!”
พอหันมาด้านข้าง ก็พบผู้เป็นหัวหน้านั่งจมกองเลือดพิงโตะอยู่กับพื้น เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดบัดนี้ถูกย้อมไปด้วยของเหลวสีแดงสดที่ไหลจากรอยกระสุนปืนที่ช่องท้อง แม้จะยังไม่ถึงชีวิตในทันที แต่ลมหายใจที่รวยรินก็บ่งบอกว่าร่างนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน
“ ไอบ้าพวกนั่น!! ” สบถเสียงดังด้วยความเจ็บใจ แต่ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงประตูเหล็กของห้องทดลองปิดดังปัง
“ เปิดประตูสิ! เปิดประตู!! ไอพวกสารเลว!! ” ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ทั้งที่ใช้คีย์การ์ดเหมือนอย่างเคยเพื่อเปิดประตูแต่กลับไม่มีการตอบสนองจากระบบ มือเรียวระดมทุบตีบานประตู ทั้งผลัก ทั้งกระแทกแต่ไม่มีท่าทีว่ามันจะเปิดออกเลยสักนิด สิ่งที่เขาเห็นผ่านบานกระจกกลมๆมีเพียงใบหน้าของหัวหน้าทีมของนักวิทยศาสตร์การแพทย์ที่แสยะยิ้มมองมาอย่างสมเพช ก่อนจะโบกมือลาให้ราวกับเขาเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารและหันหลังจากไปในที่สุด ก่อนสัญญาณเตือนภัยจะดังลั่นจนแสบแก้วหู ซึ่งเป็นการบอกว่าระบบทุกอย่างกำลังจะล่ม และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นข้อสรุปได้อย่างดีว่าเจ้าคนสารเลวพวกนั้นคงไม่มีทางขังเขาไว้เพียงอย่างเดียวแน่
จบแล้ว..ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงแรงไปรวมทั้งชีวิตของเขากำลังจะจบลงอย่างไม่เป็นท่า..
ทำไม..ชีวิตเขาต้องแบบนี้อยู่เรื่อยไป ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย..
ทั้งที่ทุกอย่างกำลังเสร็จสิ้นแท้ๆ
“ บ้าที่สุดเลย!! ”
มือทุบลงบานประตูอย่างสุดแรงจนสะเทือน แต่ก็ไม่มีแววว่าประตูจะผละออก ใบหน้าที่ร้อนผ่าวด้วยความโกรธ แต่กลับมีน้ำตาไหลหยดลงมาเป็นสายราวกับมันกำลังระบายความคับแค้นที่อยู่ในใจ แต่ไม่ว่าเท่าไรมันก็ไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้น ในเมื่อเขากำลังจะตายในอีกไม่กี่นาทีนี้
มิกิ..
“ มิกิ.. ” เสียงเรียกแผ่วเบานั้นทำให้เขาฟื้นคืนสติ ร่างบางรีบวิ่งไปนั่งลงข้างๆคนที่หายใจรวยริน ศาสตราจารย์ผู้เป็นเสมือนพ่อแท้ๆพยายามฝืนยิ้มให้ ทั้งๆที่ใบหน้านั่นซีดเซียวใกล้หมดแรงลงทุกที
“ รับยานี่ไว้ ” มือเปื้อนเลือดเอื้อมหยิบบางสิ่งมาขึ้นมาจากกระเป๋าเสือแล้ววางลงบนมือของอีกฝ่าย
“ นี่มัน.. ”ยาทดลองที่บรรจุใส่หลอดแก้วพร้อมฉีดอย่างดีถูกยื่นให้ ภายในมีของเหลวสีส้มแดงโปร่งใสดูแล้วช่างเหมือนกับสีของดอกเพเซีย
“ มันคือยาที่ฉันบังเอิญสกัดออกจากเมล็ดอ่อนของดอกเพเซีย ” พอได้ยินกระนั้นมิกิถึงกับขมวดคิ้วเป็นปมแน่น เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทุกอย่างมันหมายความว่ายังไง และเซรุ่มที่สกัดออกมาจะเครื่องสีชมพูอ่อนนั้นคืออะไร
“ ถ้าข้อสมมุติฐานของฉันไม่ผิดพลาด ยานี่มันจะปล่อยฟีโรโมนออกมาจากเมล็ดอ่อนที่สกัด ทำให้เธอปลอดภัยจากพวกงู ซึ่งคงอีกไม่น่าระบบรักษาความปลอดภัยคงจะล่ม และคงปล่อยพวกมันในนี้ออกมา ”
แม้จะอ่อนแรงเต็มที แต่ไม่วายอดที่จะเป็นห่วงเด็กหนุ่มผู้ช่วยคนนี้ไม่ได้อยู่ดี เพราะเขารู้ดีว่าถึงมิกิจะทำเป็นเข้มแข็งเหมือนเด็กหนุ่มหัวดื้อทั่วๆไป แต่สิ่งที่กลัวก็ยังคงเป็นสิ่งที่กลัว แล่ะนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทนเห็นได้หากคนที่เขาห่วงใยต้องจบชีวิตลงด้วยสิ่งที่ตัวเองกลัวที่สุด ทั้งที่มิกิเทิดทูนเขาเหมือนพ่อแท้ๆ แต่ที่เขาตอบแทนคงมีแต่ความทรงจำแย่ๆ ยิ่งคิดน้ำตาก็เหมือนจะไหลรินออกมา
“ ตะ..แต่มันมีหลอดเดียว แล้วศาสตราจารย์ล่ะครับ! ” พยายามทำเสียงให้เข้มแข็ง แต่รู้สึกหัวใจดวงนี้มันช่างเบาหวิวจนเย็นวาบไปทั้งใจจริงๆ เมื่อรู้ว่าชีวิตเขาจะต้องถูกทิ้งเป็นครั้งที่สอง ภาวนาไม่อยากให้คำตอบไม่เป็นอย่างที่เขาคิด
“ ฉัน..คงไม่ไหวแล้ว ” สิ้นเสียงก็กระอักก้อนเลือดสีแดงเข้มจนท่วมริมฝีปาก จนอ้อมแขนที่คอยประคองเปรอะเปื้อน แต่เขาก็จะไม่มีวันปล่อยอ้อมกอดนี้ไปจากคนคนนี้เด็ดขาด
“ อย่ามาพูดบ้าๆผมจะช่วยคุณออกไป ฮึก..ผมจะช่วยคุณ ” ห้ามเสียงไม่ให้สั่นไหว แต่หยาดน้ำตากลับไหลอาบลงมาเป็นสายอย่างไม่รู้จักจบสิ้น อ้อมแขนนุ่มโอบกอดจนแน่นไม่คลายลง เสียงสะอื้นร้ำไห้ออกมาทั้งที่พยายามฝื้นกั้น รู้สึกเหมือนจะขาดใจเสียตรงนี้ให้ได้
“ มิกิ.. ” สัมผัสหนึ่งแตะลงข้างแก้มขาวละเอียดแผ่วเบา รอยยิ้มอบอุ่นครั้งสุดท้ายมอบให้อย่างตราตรึง
“ เธอเหมือน ลูกชายของฉันจริงๆนะ ”
ตึก..
สิ้นเสียงพร้อมกับดวงใจที่หยุดเต้น มือที่เคยกอบกุมร่วงโรยสู่พื้น ภาพทุกอย่างขาวโพลนในหัวไปหมด อารมณ์ทุกสิ่งที่อย่างที่เคยกักเก็บไว้ไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป
“ ศาตราจารย์! ศาสตราจารย์!! ” โผดกอดร่างที่ไร้วิญญาณทั้งน้ำตานองหน้า ความแข็งแกร่ง ความเข้มแข้งที่เคยมีสูญสลายไปในพริบตาเมื่อคนที่รักสุดหัวใจทิ้งเขาไปอีกคน ขณะที่เสียงสัญญาณเตือนภัยกลับดังถี่ขึ้นเรื่อยๆเหมือนเวลาระเบิดที่ใกล้จะถึงจุดจบเต็มที
ตึง!
ตึง!
ตุบ...
เสียงปลดปล่อยจากตู้ที่กักเก็บบางสิ่งไว้เปิดออก สิ่งที่หล่นลงมาจากตู้นั่นทำให้มิกิต้องค่อยๆลุกขึ้นให้ไปมองอย่างสั่นๆ ตอนนี้เขาพยายามมองลงที่พื้น แต่กลับไม่พบสิ่งใด ขาเรียวค่อยๆถอยหลังไปเชื่องช้า มือก็กุมเซรุ่มพร้อมฉีดที่ศาสตราจารย์โลเกียมอบให้ก่อนจะสิ้นใจไว้จนแน่น แต่แล้ว..เสียงคล้ายกับการสั่นกระดิ่งเล็กๆถี่ๆก็ดังขึ้นจากโต๊ะทางด้านขวามือไม่ใก้ลไม่ไกล ดวงตาสีอ่อนค่อยๆเหลือบมองเชื่องช้า ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อประพรม ภาวนาในใจอย่าให้เป็นสิ่งที่เขาคิด
ฟู่..
เขาเบิกตาโต เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตมีเกล็ดสีเหลืองทรายสลับดำ กำลังขดตัวเป็นวง ส่วนหัวของมันชูขึ้น แต่หย่นระยะถอยออกมาเหมือนกับสปริงที่เตรียมดีดตัว เรียวลิ้นยาวสองแฉกขยับเข้าออก ดวงตาอสรพิษสีอำพันรีเล็กจ้องมองเหยื่อตัวโตของมันอย่างกระหาย
มิกิพยายามขยับตัวช้าๆ ค่อยๆถอยออกมาห่างๆ แต่ไม่ว่าหันขยับไปทางไหนกลับได้ยินเสียงเสียงขู่ฟ่อไปทั่วทิศทาง ดวงตาคู่สวยมองเซรุ่มพร้อมฉีดที่อยู่ในมือนิ่ง ยังไงซะถ้าเขาไม่ทำอะไรซักอย่างเขาคงได้จบชีวิตลงจริงๆแน่ และเซรุ่มที่ศาสตราจารย์อุส่าห์คิดค้นมาก็คงไม่มีความหมายเพราะมันไม่สามารถช่วยชีวิตใครได้เลยแม้แต่ตัวเขาเอง
เขาตัดสินใจถลกแขนเสื้อของชุดกาวน์ด้านซ้ายจนถึงข้อศอก ก่อนจะใช้มือขวาฉีดเซรุ่มสีส้มแดงเข้าไปที่แขนของตัวเอง ความปวดเจ็บคล้ายกับการโดนมดรุมกัดหลายสิบตัวแล่นเข้ามาในเรือนร่างทันที ก่อนเขาจะโยนยานั้นทิ้งไปเมื่อฉีดจนสุด เวลานี้เขารู้สึกเนื้อตัวเขาร้อนลุ่มไปหมด ภาพทุกอย่างก็ดูเคลื่อนไหวเวียนและรวดเร็วจนเหมือนกำลังมองภาพทุกอย่างบนเครื่องเล่นแร็ปเตอร์ในสวนสนุก
ร่างบางสะบัดหัวแรงเพื่อให้สติทุกอย่างกลับคืนมา แต่พอภาพทุกอย่างเริ่มกลับสภาวะปกติอีกครั้งเขาก็เห็นเจ้างูพวกนั้นเลื้อยผ่านตัวเขาไปราวกับไม่สนใจ แต่พวกมันกับเริ่มให้ความสนใจกันเองโดยการเริ่มการเกี่ยวรัดกัน จาก 1 คู่ กลายเป็น สองสาม และสุดท้ายกลายเป็นกลุ่มก้อนดำจนดูน่าขนลุก มิกิพยายามหายใจเป็นจังหวะเพื่อระงับความกลัวออกไปจากหัว ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาก ก่อนที่ระบบทุกอย่างจะล่มจนเขาถูกขังไว้อยู่ที่นี่จริงๆ เขาพยายามมองหาหนทางไปรอบๆ แต่ก็มีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ไร้ทางออก กระทั่งเขาชำเลืองไปเห็นตะแกรงระบายอากาศของท่อที่อยู่ด้านบน ซึ่งนั่นอาจเป็นหนทางเดียวให้เขาออกไปจากที่นี่ได้
เขากวาดของทุกสิ่งลง แล้วยกเก้าขึ้นมาวางบนโต๊ะก่อนจะเหยียบมันขึ้นไปใช้มือผลักช่องระบายอากาศนั้นจนเปิดออก ร่างบางปีนขึ้นไปด้านบน ค่อยๆคลานออกมาจากช่องระบายเล็กๆนั่น ก่อนจะใช่เท้าถีบตะแกงใบพัดเก่าๆที่หยุดทำงานแล้ว จนเขาออกมาข้างนอกได้สำเร็จ
เมื่ออกมาได้ร่างบางพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าร่างกายของเขามันร้อนขึ้นเรื่อยๆแบบนี้ แถมยังเจ็บแผลที่ฉีดเข้าไปจนด้านชาเหมือนแขนของเขาจะขาดออกจากกัน เขาขบกรามแน่น ฝื้นพยุงตัวลุกขึ้นเดินโซเซออกไปตามพื้นทรายละเอียดจนพ้นประตูรั้วของสถานีวิจัย ซึ่งด้านนอกเป็นบึงเล็กๆหรือโอเอซิสเล็กๆของที่นี่
ต้องหาคนมาช่วย...
ต้องหาคน...
ตุบ..
เรี่ยวแรงที่เคยรั้งยืนหดหาย กายบางล้มพับไปกองกับผืนทรายเย็นๆ สายน้ำของของโอเอซิสไหลเซาะใบหน้าหวานที่ใช้ริมฝีปากหอบหายใจรวยริน ขณะที่หัวใจก็เต้นแรงเสียจนเหมือนจะระเบิดออกจากตัวเขาให้ได้ ภาพทุกอย่างหมุนวนจนมองไม่ออกว่าอะไรคืออะไร รู้สึกอยากจะอาเจียนเอายานั้นออกมาแต่ก็ไม่มีแรงพอจะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ดวงตาดู่สวยได้แต่มองภาพที่พร่าเลื่อนแล้วจินตนาการถึงท้องฟ้ามืดมิดของทะเลทรายยามราตรี ที่ไม่แม้จะมีหมู่ดารา มีเพียงตัวเขา..กับความเปล่าเปลี่ยวเพียงเท่านั้น
คงไม่เลวทีเดียวถ้าได้ตายคาโอเอซิส..
เขายกยิ้มสมเพชตัวเอง ก่อนเสียงระเบิดจะดังลั่นจากทางด้านหลังจนหูอื้อชา..และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน ไม่ช้า..ภาพทุกอย่างก็ค่อยๆดำมืดไปหมดพร้อมสติที่ขาดหาย..
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทักทายกันสักนิด
เฮนโล่วววววว สวัสดีค่ะ EtuDe มารายงงานตัวแล้วค่ะ เป็นยังไงบ้างกับเรื่องนี้ ฮืออ หวังว่าคงถูกใจกันไม่มากก็น้อยนะคะ รู้สึกกินพลังไปเยอะพอสมควร ตอนนี้มีรับสมัครแฟนคลักนุ้งมิกิแล้ว ใครอยากอวยเคะหน้าสวยใจโหด เอ้ย! หน้าสวยใจกล้า เร่มาทางนี้เลยค่ะ 555+(ผั๊วะโดนมิกิถีบ) ตอนนี้ไม่ได้เจอพ่อพระเอกของเราแบบเต็มๆเนร๊อะ แต่มีแต่เกริ่นๆเบาๆ กับชีวิตที่แสนรันทดเบาๆ = = ยังไงอ่านแล้ว งง ตรงไหนหรืออยากให้ปรับอะไร คุยกับไรท์ดี้ได้เลยค่ะ ><
ขอบคุณสำหรับทุกคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ และทุกคอมเม้นต์ค่ะ
BY EtuDe
ความคิดเห็น