ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Baramos Fiction] The Story Of Us

    ลำดับตอนที่ #12 : เฟลิเซีย เจ้าหญิงแห่งแดนหิมะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 540
      1
      25 ธ.ค. 52

     
    ในที่สุด วันที่รอคอยก็มาถึง...

    เมื่อครบเวลา 5 อาทิตย์ซึ่งเป็นเวลาที่ซ้อมการแสดงกัน โดยเลือกจับฉลากว่าหอไหนได้แสดงก่อน หอที่ต้องแสดงหอแรกคือปราการปราช์ญ แผ่นดินประชาชน ปราสาทขุนนางและป้อมอัศวินตามลำดับ

    "เอาละครับ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอยกับการแสดงของทั้งสี่หอ โดยเราจะตัดสินคะแนนจากการปรบมือโดยจะมีเครื่องตรวจจับพิเศษเป็นตัววัดนะครับ เอาละ หอแรก ปราการปราช์ญครับ!!"โฆษกพูดก่อนที่จะหายตัวไปจากเวที

    พลันไฟก็ดับลง เกิดเป็นม่านที่เป็นริ้วบางเหมือนระลอกคลื่น แล้วก็มีร่างบางของหญิงสาวเขย่งเท้าตามม่านนั้นไปอย่างดงาม ก่อนที่จะมาหยุดที่กลางเวที หญิงสาวคนนั้นเต้นอย่างงดงามและอ่อนช้อยสะกดทุกคนในที่นั้นไว้ ก่อนที่จะเริ่มมีหญิงสาวหลายๆคนวิ่งออกมาแล้วเต้นอย่างดงามไม่แพ้กัน ดวงดาวลอยละล่องอยู่ราวกับหิ่งห้อยยามค่ำคืน ร่างของหญิงสาวเล่นกับเหล่าดวงดาวพวกนั้นพวกส่งเสียงหัวเราะคิกคัก เสียงที่ไพเราะดั่งนางฟ้าภูตพรายก่อนที่ทั้งหมดจะลอยขึ้นไปแล้วเต้นละล่องกันบนฟ้าแล้วจึงค่อยๆลงมาที่พื้นอย่างดงามแล้วทั้งหมดก็ถอนสายบัวให้กับผู้ชม

    แปะๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เสียงปรบมือดังขึ้นหลังการแสดงจบจากนั้นโฆษกจริงขึ้นมาประกาศการแสดงต่อไป แผ่นดินประชาชน

    ผู้คนมากมายแต่งตัวหลากหลายเต้นอยู่บนเวที ซึ่งมีฉากเป็นบ้านเมือง แต่ละคนแต่งตัวแตกต่างกันแต่ก็เต้นอยู่ในจังหวะและท่าทางเดียวกันก่อนที่ทั้งหมดจะหยดนิ่งแล้วแยกออกเป็นสองฝั่ง ฝ่ายหญิง และ ฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงเต้นรำเข้าหาฝ่ายชาย จากนั้นจึงเป็นการเต้นรำเป็นคู่ แล้วฉากก็เปลี่ยนไปเป็นฉากในปราสาทราชวัง มีผงระยิบระยับโปรยลงมาแล้วก็เกิดควันขึ้นบังภาพเบื้องหน้า แล้วเมื่อควันจาง ก็เป็นภาพของชายหญิงหลายคู่ที่เปลี่ยนไปเป็นชุดราตรีแล้วทั้งหมดก็เต้นรำอีกรอบก่อนที่เพลงจะค่อยๆจบลงอย่างไพเราะ พร้อมด้วยร่างของหลายๆคนที่มาถอนสายบัวและโค้งให้กับผู้ชม

    ต่อไป เป็นการแสดงของปราสาทขุนนาง

    ร่างของผู้หญิงหลายคนนั่งก้มหน้าลงกับพื้นก่อนที่จะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาพร้อยกับกายที่ค่อยๆลอยสูงจากพื้นเพราะมีดอกไม้งอกออกมาตรงที่หญิงสาวทั้งหลายนั่งอยู่ หญิงสาวทั้งหลายเต้นรำบนดอกไม้แล้วกระโดดโลดเต้นจากดอกไม้นี่ไปยังอีกดอกไม้นึง เพลงที่ใช้แสดงถึงความสนุกสนานและร่าเริง ทำให้ผู้ชมเพลิดเพลิน แล้วเถาวัลย์ยักษ์ก็งอกมาจากพื้นแล้วโอบรอบดอกไม้เอาไว้แล้วก็ส่องแสงประกาย เมื่อแสงหายไปก็เป็นดอกไม้สีทองและสีเงินที่ส่องประกายระยิบระยับ รวมทั้งร่างของหญิงสาวก็เปลี่ยนจากชุดนางไม้มาเป็นชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีขาวบริสุทธุ์ราวนางฟ้าเทวดาก็ไม่ปาน แล้วปีกที่อยู่ที่หลังก็ค่อยๆกางออก หญิงสาวต่างพากันเต้นมาเรื่อยๆกลางอากาศแล้วไล่ระดับจนถึงพื้นแล้วถอนสายบัวให้กับผู้ชม

    และการแสดงชุดสุดท้ายของวันนี้ ก็คือ ป้อมอัศวิน

    พรึบ

    ไฟทั้งห้องดับลง ก่อนที่จะเกิดแสงสว่างขึ้นที่เวที

    "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยที่ยังไม่กำเนิดดินแดนเอเดนและเดมอส มีแต่ดินแดนแห่งหิมะ และดินแดนแห่งพระอาทิตย์ ทั้งสองดินแดนถูกแบ่งออกจากกันโดยมีแม่น้ำเนทิสกั้น วันหนึ่ง เจ้าชายคาร์ลแห่งแดนพระอาทิตย์ออกมาเดินเล่นในดินแดนแห่งหิมะ..."

    ชายหนุ่มร่างสูงสวมผ้าคลุมปิดหน้าแล้วออกเดินไปจนไปถึงต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้แล้วเอนตัวจะงีบ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงไพเราะที่แว่วมากับสายลม ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นแล้วมองไปด้านข้างก็เห็นหน้าต่างที่เปิด ข้างในมีหญิงสาวคนหนึ่งเล่นเปียโนอยู่ ชายหนุ่มจับตามองหญิงสาวเล่นทุกท่วงทำนอง เมื่อหญิงสาวเล่นจนจบก็รู้สึกว่ามีคนดูอยู่ จึงหันไปทางหน้าต่าง แล้วก็ตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังมองมาทางเธออยู่

    "ท่าน เป็นใคร"หญิงสาวถามเสียงใส

    "ข้ามีนามว่า คาร์ล"

    "คาร์ล เจ้าชายแห่งแดนพระอาทิตย์นะหรือ"ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ

    "ส่วนข้ามีนามว่า เฟลีเซีย เจ้าหญิงแห่งแดนหิมะ"คาร์ลกระโดดเข้ามาในห้องแล้วโค้งตัวเล็กน้อย จากนั้นจึงจับมือบางเล็กมาแล้วจุมพิต

    "เป็นเกียรติมากที่ได้พบพระองค์"หญิงสาวถอนสายบัวเล็กน้อยให้กับคาร์ลเช่นกัน

    "เช่นเดียวกันเพคะ"

    "เต้นรำกับกระหม่อมได้มั้ย"ชายหนุ่มว่าแล้วแบมือออกมา

    "ท่านทำเช่นนี้กับผู้หญิงที่ท่านเพิ่งพบครั้งแรกอย่างนี้ทุกคนรึ"เฟลิเซียพูดยิ้มๆ

    "ท่านเป็นคนแรก"คาร์ลตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

    "ถ้าเช่นนั้นก็ยินดีเพคะ"เฟลิเซียเอื้อมมือบางไปจับ ทั้งสองเต้นรำกันอย่างอ่อนหวานและงดงาม

    "ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน ทุกๆวัน เจ้าชายคาร์ลจะทรงมาเยื่ยมเจ้าหญิงเฟลิเซีย แล้วเจ้าหญิงจะทรงเปียโนให้ฟัง จนเวลาผ่านไปหลายปี เจ้าหญิงโตขึ้นมาพร้อมด้วยพระสิริโฉมอันงดงาม เมื่อเจ้าหญิงอายุ 19 พรรษา ก็โดนคำสาปจากแม่มดที่เคยสาปไว้ตั้งแต่พระองค์ยังทรงเป็นทารกทำให้หลับใหล พระราชานำร่างของเจ้าหญิงไปไว้ที่สูงสุดของหอคอย และประกาศไว้ว่า มีเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยเหลือเจ้าหญิงได้ สิ่งนั้นคือดอก เทียร ออฟ เลิฟ(Tear of love) อันสามารถเยียวยาได้ทุกสรรพสิ่ง"

    เปลี่ยนเป็นฉากหอคอยสูง มีเจ้าหญิงนอนอยู่ข้างบน

    "ดอก เทียร ออฟ เลิฟ มีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่ง เคยมีเจ้าหญิงกับเจ้าชายองค์หนึ่งรักกัน แต่ด้วยหน้าที่ๆต้องกลับไปปกครองประเทศของตน ทำให้ทั้งสองมิอาจรักกันได้ จึงมาร่ำไห้ร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาของทั้งคู่ที่ผสมผสานกันแล้วตกลงพื้น ไม่นานทั้งคู่ก็ตรอมใจตาย แล้วตรงที่น้ำตาหยดลง ก็เกิดเป็นดอกไม้ซึ่งได้ชื่อว่า เทียร ออฟ เลิฟ น้ำตาแห่งรัก...."

    "ดอกไม้นี่จะกำเนิดขึ้นที่ป่าหิมะ ซึ่งเป็นป่าที่ไม่มีใครย่างก้าวเข้าไปเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว เนื่องจากในป่าแห่งนี้ นอกจากอากาศจะหนาวเย็นเยือก ยังมีภัยอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่ ผู้คนลือกันว่าสิ่งนั้นคือ...แม่มด ที่จะคอยหลอกหลอนคนที่เข้าไป ไม่ให้ได้ออกมาอีก จึงไม่มีใครเลยที่เข้าไปในป่านี่แล้วออกมาได้ ครั้งล่าสุด มีชายผู้หนึ่งรอดออกมาได้ แต่อยู่ในสภาพคนสติแตกและเป็นบ้า ในที่สุด เขาก็ตายไป จึงไม่มีใครที่คิดจะย่างก้าวเข้าไปในป่าแห่งนี้เลย..."

    "เจ้าชายเมื่อรู้ข่าวก็รีบเร่งรุดมาขออาสาช่วยเจ้าหญิง"

    ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามาแล้วโค้งต่อหน้าพระราชา

    "องค์ราชา ข้า ต้องการที่จะอาสาช่วยเจ้าหญิงเฟลิเซีย โดยการเข้าไปเอาดอกเทียร ออฟ เลิฟพะยะคะ"พระราชาพยักหน้าเล็กน้อย

    "ได้"เสียงเรียบแต่ดูเข้มแข็ง เจ้าชายลุกขึ้นแล้วโค้งให้กับพระราชา

    "เป็นพระกรุณายิ่ง"แล้วเจ้าชายก็เดินออกไป เมื่อออกนอกพระราชวัง เจ้าชายก็ตรงไปยังป่าหิมะ แล้วเดินหายเข้าไปในนั้น

    "เวลาผ่านไปหลายอาทิตย์ ชาวเมืองต่างคิดว่าเจ้าชายคงไม่รอด จึงพากันโศกเศร้า"

    ชาวเมืองหลายคนพากันร่ำไห้

    "ทางด้านของเจ้าชายที่ตอนนี้สามารถฝ่าฝันไปเอาดอกเทียร ออฟ เลิฟมาได้ เพราะพลังมุ่งมั่นทำให้แม่มดไม่สามารถหลอกหลอนจิตใจของเขาได้"

    เจ้าชายเดินออกมาจากป่าแล้วทุกคนก็หันมา จึงพากันโห่ร้องยินดี เจ้าชายเดินตรงไปยังพระราชวังแล้วนำดอกเทียร ออฟ เลิฟไปถวายแก่พระราชา

    "นี่พะยะคะ สิ่งที่ท่านต้องการ"

    "ดีมาก หมอหลวง เจ้าจงนำดอกไม้นี่ไปบดให้ละเอียด"หมอหลวงพยักหน้าแล้วเอาดอกไม้มาจากมือของเจ้าชาย ซักพัก หมอหลวงก็กลับมาพร้อมกับผงสีฟ้าที่อยู่ในถ้วย

    "เราจะขึ้นไปที่หอคอย"

    "เอ่อ กระหม่อมของขึ้นไปด้วยได้มั้ยพะยะคะ"เจ้าชายพูด พระราชานิ่งเงียบไปซักพักแล้วจึงตอบ

    "ได้สิ"แล้วพระราชาก็เดินออกไปพร้อมทั้งผู้ติดตามและเจ้าชาย

    "ณ หอคอย หลังจากที่เจ้าหญิงทรงกินดอกเทียร ออฟ เลิฟไปแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ทำให้ผู้คนต่างร้ำไห้เสียใจ รวมทั้งเจ้าชายคาร์ลด้วย เขาขยับไปใกล้ๆองค์หญิงแล้วหยิบมือขึ้นมากุม พลันใดที่น้ำตาหยดลงบนเรือนร่างของเจ้าหญิง ก็เกิดแสงสว่างวูบ แล้วเจ้าหญิงก็ค่อยๆลุกขึ้นมาท่ามกลางความประหลาดใจ

    "คาร์ล"เฟลิเซียว่าแล้วกอดคาร์ลแน่น

    "ท่านพ่อ"เฟลิเซียคลายอ้อมกอดแล้วหันไปกอดพ่อของตน คาร์ลยืนขึ้นแล้วเดินมทางพระราชาด้วยสายตาอันมุ่งมั่น

    "องค์ราชา กระหม่อมมีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับองค์หญิงพะยะคะ"พราะราชาคลายอ้อมกอดแล้วหันมามองเจ้าชายด้วยสายตาอันเกรี้ยวกราด

    "บังอาจ! ถึงเจ้าจะเป็นคนช่วยชีวิตลูกสาวข้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยกลูกสาวข้าให้เจ้าง่ายๆหรอกนะ"

    "ท่านพ่อ แต่ลูก ลูก ลูกรักเขาเพคะ"เฟลิเซียพูดขึ้น ส่วนพระราชาหันมามองลูกสาว

    "แล้วลูกแน่ใจรึว่าเขารักลูก ความรักไม่ใช่สิ่งคู่ควรในราชวงค์ ลูกรู้มั้ยว่าความจริงเขาอาจจะหลอกลูกเพื่อยึดอำนาจ อีกอย่าง พ่อมีคู่หมั้นให้ลูกอยู่แล้ว เทวิส ออกมานี่สิ"

    "พะยะคะ"แล้วร่างสูงของชายหนุ่มก็เดินออกมา

    "ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงทำกับข้าอย่างนี้!"เฟลิเซียตวาดแล้วน้ำตาก็เริ่มไหลรินออกจากนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่กลมโต แล้วเฟลิเซียก็วิ่งออกไป

    "เฟลิเซีย!"คาร์ลตะโกนเรียกแล้ววิ่งตามไป

    ฉากเปลี่ยนเป็นสวน

    "ฮือๆๆๆ"เฟลิเซียวิ่งร้องไห้มาจนถึงสวน

    "เฟลิเซียๆ รอข้าก่อน"คาร์ลวิ่งตามมาก่อนที่จะหยุดพักหอบเล็กน้อย

    "เฟลิเซีย เจ้าอย่าร้องเลยนะ"

    "ทะ ทำไม ทะ ท่านพ่อถึง ทำกะ กับข้า ยะ อย่างนี้ ฮือๆๆ"

    "ช่างมันเถอะ ถึงท่านพ่อของเจ้าไม่ยอมให้ข้าแต่งงานกับเจ้า แต่จงจำไว้เถิด"คาร์ลคุกเข่าลงกับพื้นแล้วกุมมือบางเอาไว้

    "ว่าข้าจะรักเจ้าตลอดไป"

    ไฟดับลงก่อนที่จะไปสว่างที่อีกฝากของเวที

    "องค์ราชาพะยะคะ"

    "มีอะไรรึ เรอัส"

    "ข้าพระองค์ว่าพระองค์ทำไม่ถูกนะพะยะคะ"

    "ยังไง ข้าว่าเจ้าชายนั่นไม่ได้รักลูกสาวข้าจริงหรอก"

    "แล้วพระองค์ทรงแน่ใจได้ยังไงพะยะคะ"

    "ข้า..."

    "พระองค์จำตอนที่องค์ชายร้องไห้ได้มั้ยพะยะคะ"

    "อืม"

    "ดอกเทียร ออฟ เลิฟ นั้นสามารถเยียวยาทุกสรรพสิ่งได้แต่จะใช้ดอกไม้นี่อย่างเดียวไม่ได้ จะต้องบดดอกไม้นี่ผสมกับส่วนปะกอบอีกหนึ่งอย่าง พระองค์ทรงรู้มั้ยว่ามันคืออะไร"

    "อืมมม ไม่รู้สิ"

    "มันคือ น้ำตาของคนรักพะยะคะ คนที่จะกลั่นน้ำตาให้จะต้องรักคนที่จะถูกเยียวยาอย่างจริงใจที่สุดและคนที่ถูกเยียวยาก็ต้องรักคนๆนั้นเช่นกัน หมายถึง ทั้งสองฝ่ายจะต้องรักกันพะยะคะ"

    "งั้นก็หมายความว่า..."

    "ใช่พะยะคะ องค์ชายทรงรักองค์หญิง ส่วนพระองค์จะทำยังไงต่อ ข้าพระองค์ก็มิอาจขัดได้"

    "อืม...เจ้าไปเรียกองค์ชายกับลูกสาวข้ามาทีสิ"

    "พะยะคะ"ขุนนางเรอัสเดินออกไปที่สวน(ฉากเปลี่ยนอีกรอบ)

    "องค์ชาย องค์หญิง พระราชาเรียกเข้าเฝ้าพะยะคะ"

    "อืม เดี๋ยวเราตามไป"แล้วทั้งหมดก็เดินมาที่พระราชวัง

    "ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะให้พวกเจ้าแต่งงานกันได้"พระราชาพูด

    "ขอบพระทัยพะยะคะ ฝ่าบาท"

    "ในที่สุดทั้งสองก็ได้แต่งงานกันแล้วอยู่อย่างมีความสุข แต่ไม่นาน แม่มดก็ปรากฏตัวออกมาเนื่องจากแม่มดตกหลุมรักเจ้าชายจึงต้องการทำร้ายเจ้าหญิง"

    แม่มดโผล่ออกมา

    "ฮ่าๆๆ องค์หญิง ข้าจะฆ่าเจ้า!! ตายซะเถอะ"คาร์ลเห็นจึงรีบเข้ามาบังทันที

    "อย่า!!!!"พลังของแม่มดอัดที่คาร์ลเข้าเต็มๆแรง

    "คาร์ล คาร์ล"เฟลิเซียร้อง

    "เมื่อแม่มดเห็นว่าตนทำร้ายองค์ชายจึงเสียใจมากและเนรเทศตัวเองให้อยู่ในป่าตลอดไป"

    "เฟ เฟลิเซีย เจ้าหญิง เจ้าหญิงของข้า โปรดอย่าเสียใจไปเลย เพระเมื่อใดที่บังเกิดแสงสว่างในดินแดนแห่งหิมะ เมื่อนั้น ข้าจะได้พบท่าน เราทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน "เฟลิเซียเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของคาร์ลอย่างอ่อนโยน

    "คาร์ล ชายผู้เป็นหนึ่งในดวงใจข้า ข้าขอสัญญา ว่าจะไม่มีวันไหนที่จะไม่รอคอยท่าน จงโปรดระลึกไว้เถิดว่า เฟลิเซีย เจ้าหญิงของท่านผู้นี้ จะรักท่านตลอดไป แม้นว่าข้าจะสิ้นลมหายใจ แต่ข้าก็จะไม่มีวันลืมรักของข้าที่มีต่อท่าน"น้ำตาเริ่มไหลรินลงมาไม่ขาดสาย

    "ข้ารักท่าน เฟลิเซีย"

    "ข้าก็รักท่านเช่นเดียวกัน"มือใหญ่ที่เอื้อมมาสัมผัสใบหน้าของหญิงสาวร่วงลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา คาร์ลกระอักเลือดออกมา เฟลิเซียมองอย่างใจหาย

    "เฟ เฟลิเซียท่านรู้ไหมว่า ยามที่พบหน้าท่านครั้งแรก ข้าก็ตกหลุมรักท่าน ทุกท่วงทำนองที่ท่านเล่น ทำให้ใจข้าหลุดลอยไปกับมัน ไปอยู่กับท่าน ทุกทิวา ทุกราตรี ไม่มีวันไหนที่ข้าจะหยุดคิดถึงเจ้า ยามเข้านิทรา ก็ฝันถึงเจ้า ยามพบหน้า ก็เหมือนน้ำราดให้ชุ่มชื่นหัวใจ บัดนี้ ข้าก็ได้รักท่านเพียงพอแล้ว เมื่อไรที่ถึงเวลา เราจะต้อง...ได้พบกัน  อีก"คาร์ลรวบรวมกำลังสุดท้ายบอกกล่าว มือที่กุมไว้ร่วงลงมาพร้อมๆกับลมหายใจรวยรินที่บัดนี้หยุดสนิท

    "คาร์ล!!!!!!!!!"เฟลิเซียตะโดนกึกก้อง

    "อย่าทิ้งข้าไป อย่าทิ้งข้าไปเลย ข้าจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีท่าน ฟื้นขึ้นมาสิ คาร์ล จำครั้งแรกที่เราเจอกันได้มั้ย ที่เราเต้นรำด้วยกัน ท่านจำได้มั้ย ที่ข้าเล่นเปียโนให้ท่านฟัง ได้โปรดเถอะ คาร์ล ลุกขึ้นมาคุยกับข้าหน่อยสิ คาร์ล คาร์ล"เฟลิเซียจับมือใหญ่นั้นขึ้นมาแล้วยึดมันเอาไว้

    "ข้ารักท่านนะ คาร์ล รักมาก มากเกินกว่าที่ชีวิตนี้จะรักใครอีก..."

    " ข้าจะรอท่านตลอดไป เมื่อไรที่หน้าที่ของข้าเสร็จสิ้น ข้าจะไปหาท่าน"องค์หญิงปาดน้ำตาทิ้ง

    "ไม่นาน เฟลิเซียก็ขึ้นเป็นราชินี เธอรวมทั้งสองประเทศเข้าด้วยกันแล้วหลังจากนั้นไม่นาน องค์หญิงก็ทรงสวรรคตไป โดยที่ข้าราชบริพารฝังร่างขององค์หญิงไว้เคียงคู่กับองค์ชาย..."

    เสียงเปียโนที่ผสานกับไวโอลินดังขึ้น

    "ดินแดนที่รวมกันนั้น ปัจจุบันคือสโนว์แลนด์ แล้วความรักของพวกเขาก็ก่อเกิดเป็นดอกเกล็ดหิมะ อันเกิดได้ด้วยแสงแดดและมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ ราวกับแสงแดด และ หิมะ นิยามความรักของทั้งสองเปรียบดั่งดอกเกล็ดหิมะที่ว่า...."

    "อาทิตย์ที่ไม่เคยดับในดินแดนน้ำแข็ง เปรียบดั่งความรักของทั้งคู่ และท่ามกลางอากาศที่หนาวจัด ก็ยังมีดอกเกล็ดหิมะที่ยังขึ้นงามได้ ก้เหมือนกับความรักของทั้งคู่ที่จะเจริญงอกงามได้ดั่งดอกไม้"

    เสียงของเปียโนและไวโอลินค่อยๆแผ่วเบาลงจนจบ...

    _________________________________________________________________________________________
    ตำนานนี่ถ้าแปลกอย่าประหลาดใจ เพราะว่าเราแต่งมาเองหมดเลย เอาของเซวีน่ามาเจือๆนิดๆ แล้วก็ผสมผสานเรื่องไปเรื่อยนั่นแหละ ถ้าคิดเองมันยากไป แต่งเองนิดแล้วก็ผสมหลายๆเรื่องที่เราเคยอ่าน เช่น เซวีน่า แล้วก็อีกเรื่องชื่อรัยไม่รู้จำไม่ได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×