ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Catchy ลวงใจรัก

    ลำดับตอนที่ #6 : P-6 (รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.19K
      165
      15 ก.ย. 64


     


     


     

          "ตัวฉันเมื่อก่อน แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?"

    ถามว่าแย่ขนาดนั้นมั้ยต้องบอกว่าเลวร้ายมากเลยน่าจะถูกกว่า นอกจากจะกินเที่ยวดื่มผลาญเงินไปวันๆแล้ว เขาก็ไม่แค่เห็นหมอนั่นทำอะไรที่มันดีๆเลยสักอย่าง อีกทั้งยังชอบหาเรื่องสร้างความรำคาญให้เขาได้ไม่มีหยุด ถ้าไม่ติดกับว่าพ่อเอ็นดูหลานคนนี้นักเขาไม่มีทางทนกับอีกฝ่ายมาจนถึงทุกวันนี้แน่ แรกเริ่มเดิมทีเขาก็ไม่ได้เกลียดชัชพงษ์มาตั้งแต่ต้นหากแต่เพราะการกระทำหลายๆอย่างของหมอนั่นมันหล่อหลอมความรู้สึกด้านนี้มากกว่าด้านอื่นๆก็เท่านั้น ไม่อยากเห็น ไม่อยากพูด ไม่อยากรับรู้การทั่งการมีตัวตนอยู่ 

      แต่พอมาตอนนี้

       "...!"

    ในจังหวะที่เตชินท์กำลังเปิดประตูออกไปทานข้าวด้านล่างก็พบเข้ากับเจ้าของร่างสูงอีกคนเดินมาพร้อมกับบางสิ่งที่กำลังส่งเสียงขู่ฟ่อไม่หยุดอยู่ในอ้อมกอด

       "...."

    ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนแบบนั้นพอความจำเสื่อมแล้วถึงไปเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ คนที่ชอบมองเหยียดคนอื่นจนเป็นนิสัย รังเกียจสิ่งสกปรกแบบนั้นไม่มีทางเห็นใจเก็บลูกแมวปอนๆตัวหนึ่งกลับมาด้วยแน่... 

    ตอนนี้เขาชักจะเริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วว่าควรจะแสดงท่าทียังไง การกระทำหลายๆอย่างในตอนนี้ของชัชพงษ์มันทำให้เขาทำเย็นชาเมินเฉยใส่ไม่ได้จริงๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เตชินท์อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า เราใจอ่อนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?


     

    คนเราเมื่อถึงเวลาที่ไม่อยากให้ใครพบเจอมากที่สุดแต่ผลที่ได้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่หวังไว้เสมอ สุดท้ายอัศวินก็ต้องหอบเอาเจ้าสี่ขาตัวเล็กที่เหลือกลับบ้านมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้ กว่าจะจัดการเรื่องหลังจากนั้นเสร็จเขาก็มาถึงในตอนทุ่มกว่าๆ เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นถึงสายตาแตกตื่นของเหล่าคนรับใช้ในบ้านที่เห็นสิ่งเพิ่มติดตัวเขากลับมาแล้วรีบเดินกลับขึ้นห้องของตนไป แต่เมื่ออัศวินเดินขึ้นมาและกำลังถึงหน้าประตูห้องของตนในไม่ช้าก็ต้องพบกับบุคคลที่ไม่อยากเผชิญด้วยที่สุดเปิดประตูออกมาในจังหวะเดียวกัน

    บ้าจริง! ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวที่ถูกเขาจับได้ว่าแอบเลี้ยงแมวเอาไว้ตอนนั้นขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ไอความรู้สึกที่เรียกว่าอาการร้อนตัวน่ะ!

       "...."  เตชินท์ที่บังเอิญออกมาพบภาพนี้เข้าก็ไม่ได้พูดอะไร เขาไล่สายตาลงมองลูกแมวที่ตะกุยข่วนแขนเขาพร้อมส่งเสียงขู่ออกมาไม่หยุดคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่อัศวินก็ไม่รอให้เขาเอ่ยปากถามอะไรก็เดินตรงไปประตูห้องจากนั้นก็หลบเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการบอกอธิบายอะไรออกไปทั้งสิ้น หลังจากอยู่ที่อีกฟากของประตูแล้วอัศวินก็งุนงงกับการกระทำของตัวเองอยู่พอควร ทำไมมันดูเหมือนเขากำลังรนเพราะถูกเห็นกันละ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยนี่? 


     

       "อ้าวเตชินท์ จะออกไปไหนน่ะ" ธนากรถามขึ้นเมื่อเจอลูกชายเดินลงมาจากบันได 

       "นัดกับพวกภูมินทร์ไว้น่ะครับ"

       "เหรอ แล้วเจ้าชัชละ กลับมาหรือยัง"

       "ครับ เมื่อตะกี้นี้เอง"

       "อ้าวเหรอ วันนี้กลับเร็วดีนะเนี้ย" เขากล่าวพลางวางกระเป๋าเอกสารลงจากนั้นก็รินน้ำในเหยือกลงใส่แก้วขึ้นดื่ม

       "...."

    "มีอะไรจะพูดกับพ่องั้นเหรอ"

       "...เปล่าหรอกครับ" กล่าวจบเขาก็เดินออกจากบ้านไปทิ้งผู้เป็นพ่อให้มองตาแผ่นหลังนั้นด้วยสายตาฉงนใจ


     

    อัศวินวางสัมภาระไว้บนโซฟาในห้องนอนจากนั้นก็คลายกระดุมสองเม็ดบนลงเพื่อหายใจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น อีกมือก็ปล่อยเจ้าตัวที่ตะกุยแขนเขาไม่หยุดลงบนพื้น วินาทีที่เป็นอิสระเจ้าสี่ขาขนปุยตัวเล็กก็หาที่มุดหลบเข้าไปลี้ภัยโดยทันที 

    ในบรรดาพี่น้องมันเป็นตัวเดียวที่รอดมาได้ส่วนแม่ของมันต้องรอดูอาการที่คลีนิครักษาสัตว์ไปก่อน

    ด้วยเหตุนี้คนที่ไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อนแบบเขาจึงต้องมานั่งค้นหาแนวทางวิธีดูแลเจ้านี่เป็นครั้งแรก ค้นไปค้นมานอกจากเขาจะได้หลักการคร่าวๆมาจากเว็บสัตวแพทย์เว็บหนึ่งแล้วยังเผลอกดเข้าร่วมกลุ่มชมรมคนรักแมว กลุ่มชาวทาส เข้าอีกด้วย 

       'ถ้าอายุประมาณเกินสามสัปดาห์แล้วก็ให้กินอมอื่นแทนนมแม่ได้ค่ะ ให้เป็นนมแพะหรือนมทดแทนสำเร็จก็ได้แต่อย่าเป็นนมวัวเพราะน้องย่อยยากค่ะ ถ้าอายุเดือนกว่าแล้วก็ให้กินอาหารเปียกได้"

       'ตามคอมเม้นบนเลยจ้า นมวัวถ้ากินแล้วน้องจะท้องอืดท้องเสียได้นะ'

        'ควรดูแลเรื่องความสะอาดเวลาขับถ่ายด้วยนะครับ ถ้าคิดจะเลี้ยงยาวก็เตรียมกระบะทรายไว้ด้วยก็ดี'

    เลี้ยงยาว? เขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อนเลย ที่พามันมาด้วยก็เพราะไม่ทางเลือกก็เท่านั้นและถ้าเกิดว่าเขาคิดจะเลี้ยงเจ้านี่นั้นก็หมายรวมไปถึงแม่ของมันอีกตัวด้วย แต่แล้วจู่ๆอัศวินก็คิดถึงภาพใบหน้าที่กำลังร้องไห้ของลูกสาวในวันนั้นขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว...

       

       "ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ เอาไว้รอดูอาการสักวันสองวันเผื่อแผลติดเชื้อก็มารับกลับได้แล้วละ"

       "ขอบคุณมากครับ" 

       "ยินดีครับ แต่... ดูจากใบประวัติแล้วคุณไม่ใช่เจ้าของแมวตัวนี้สินะครับ"

       "ใช่ครับ เผอิญไปเจอเข้าเห็นท่าทางไม่ค่อยดีก็เลยพามาหาหมอ"

       "หายากนะครับปกติคนสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องแบบนี้มากนักหรอก เอาแต่เดินผ่านไปมาหรือไม่อย่างมากก็แค่มองด้วยความสงสารเท่านั้นเอง"

       "ผมเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นมากนักหรอกครับก็แค่... มันมาจังหวะนั้นเข้าพอดี"

       "แต่คุณก็เลือกทำในสิ่งที่ต่างออกไปไม่ใช่เหรอครับ"

       "...นั้นสิครับ"

       "หลังจากรักษาหายแล้วถ้าคุณยังเป็นห่วง ผมพอจะช่วยหาที่อยู่ใหม่ให้ได้นะครับรวมไปถึงลูกแมวตัวนั้นก็ด้วย"

       "ครับ?"

       "คือผมเห็นว่าคุณดูค่อนข้างลำบากใจตอนพาตัวเมื่อวานกลับไป ก็เลยอาสาช่วยหาคนเลี้ยงให้น่ะครับ"

       "อ๋อ" ตอนนั้นเองสินะ ไม่คิดเลยว่าจะแสดงสีหน้าออกไปชัดเจนขนาดนั้น 

       "ไม่ครับ ตอนนี้...ผมเปลี่ยนใจแล้ว" ในเมื่อตอนนั้นเขาให้เมย์เลี้ยงไม่ได้งั้นคราวนี้ก็ถือซะว่าทำชดเชยให้เธอก็แล้วกัน

    หลังจากนั้นเมื่อคุยเกี่ยวกับค่ารักษาอื่นๆเสร็จเขาก็เดินออกจากคลีนิคออกอย่างวางใจ ตอนนี้เป็นช่วงเก้าโมงเช้าของวันหยุดอัศวินจึงตั้งใจว่าจะเดินเอ้อระเหยสักพักแล้วค่อยกลับถือโอกาสมองหาที่พักแล้วก็งานอีกอย่างไปด้วย แม้ว่าจะผิดจากความตั้งใจเดิมไปนิดแต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

    อัศวินเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเจอร้านเช่าหนังสือแห่งหนึ่งเข้าก็หยุดมองด้วยความสนใจ กลิ่นกระดาษที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องเดินเข้าไป

    อันที่จริงตอนสมัยเรียนอัศวินก็ไม่ได้มีแต่ด้านที่น่าเบื่ออย่างการเอาแต่เรียนอย่างที่ใครต่อใครคิด เขาเองก็มีงานอดิเรกที่เอาไว้ทำเวลาพักสมองเหมือนกันเพียงแต่น้อยคนนักที่จะรู้ เขาชอบอ่านหนังสือสยองขวัญกับสืบสวน เรื่องนี้แม้แต่อดีตภรรยาของเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันเพราะตั้งแต่ช่วงเข้ามหาลัยเขาก็ต้องทำงานพิเศษและรักษาผลการเรียนพอจบมาก็มุ่งมั่นทำแต่งานจนชีวิตครอบครับล่มไม่เป็นท่า พอมาเป็นตอนนี้ถึงฉุดคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเขาในตอนนั้นชั่งใช้ชีวิตได้ไม่คุ้มเขาเสียเลย

       "มองหาหนังสือเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ" ตอนนั้นเองที่คนดูแลร้านเดินเข้ามาสอบถามอัศวินที่กำลังเดินไล่นิ้วไปตามสันหนังสืออย่างเหม่อลอย

       "ไม่เป็นครับ ผม-" เขากล่าวไม่ทันจบประโยคก็เป็นอันต้องชะงักไปเมื่อพบว่าคนดูแลคนนี้เป็นเด็กหนุ่มผมอันเดอร์คัทเมื่อวาน 

       "นายนั้นเอง เรื่องเมื่อตอนนั้นขอบใจนะ"

       "อืม"

       "นี่ร้านของนายเหรอ"

       "เปล่า แค่มาดูแลชั่วคราว"

       "เอ่อ... งั้นเหรอ" 

       "เจาะจงเรื่องอะไรโดยเฉพาะมั้ย ทางร้านจะได้ช่วยหาให้"

       "อ่า.. เปล่าหรอก แค่แวะเข้ามาดูน่ะ" เมื่ออีกฝ่ายฟังจบก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ แต่ยังคงมองเขาด้วยแววตานิ่งๆคล้ายกับเมื่อวันก่อนจนอัศวินเริ่มทนไม่ไหว "เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?" 

       "ก็ไม่เชิง..."

       "นายรู้จักฉัน?"

       "ใช่"

       "งั้นต้องขอโทษด้วยก็แล้วกันที่ฉันจำนายไม่ได้ พอดีฉันประสบอุบัติเหตุทำให้ตรงนี้มีปัญหานิดหน่อย.." อัศวินว่าพลางชี้นิ้วตรงขมับของตน "เลยจำอะไรไม่ได้"

       "...." เด็กหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าคล้ายตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะพึมพำออกมาเบาๆกับตัวเอง "เพราะแบบนี้เอง" 

       "แล้วตกลงว่านายเป็นใคร"

       "....." อีกฝ่ายยืนตีสีหน้าชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเล่าออกมา

    สรุปว่าเด็กหนุ่มคนนี้ชื่อศิลป์ เขาอยู่ในการแข่งในวันที่ชัชพงษ์ประสบอุบัติเหตุด้วย เพราะเขาเป็นมือแข่งให้กับณัฏฐ์และชนะทุกนัดเลยถูกเจ้าของร่างนี้เขม็งเข้าจนเกิดเรื่องขึ้น..

    จากที่ได้ฟังมาเรื่องนี้ไม่ได้ได้เป็นความผิดของใครเลย เป็นเจ้าเด็กบ้านี่หาเรื่องใส่ตัวเองทั้งนั้นถ้าจะเป็นแบบนี้ก็คงจะโทษใครไม่ได้ละนะ

       "..งั้นเหรอ ฉันเองก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว เรื่องวันนั้นก็ช่างมันเถอะ" เขาไม่คิดจะเอ่ยปากขอโทษอีกฝ่ายเพราะมันดูผิดวิสัยของชัชพงษ์มากจนเกินไป ที่อีกเป็นคนที่รู้จักและบังเอิญมาพบกันในที่แบบนี้เข้าก็ดูแปลกมากพอแล้ว แม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่อัศวินก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและเลือกที่จะเดินออกจากร้านมาทั้งอย่างนั้น


     

    เมื่อกลับมาถึงห้องอัศวินก็ต้องพบกับปัญหายุ่งยากอีกหนึ่งอย่างที่เขาทิ้งไว้ยังภายในห้อง ทั้งเศษซากของม้วนกระดาษแล้วก็ถุงเท้า อีกทั้งมูลของเสียที่ตั้งเด่นอยู่บนพื้นอีกหนึ่งหย่อม

     เจ้าลูกแมวนั้น! อัศวินแทบอยากจะตรงดิ่งไปหิ้วมันขึ้นมาสำเร็จโทษสักยกสองยก!

    กว่าเขาจะได้พักก็หลังจากที่ต้องวิ่งลงไปขออุปกรณ์ทำความสะอาดขึ้นมาจัดการของแสลงภายในห้องเป็นการใหญ่ เสร็จก็ต้องจับเจ้าขนปุยนั้นมาตัดเล็บออกเพื่อกันไม่ให้มันไปซนตะกุยผ้าม่านหรือเบาะโซฟาได้อีก ดูท่าการจะเลี้ยงเจ้าพวกนี้จะไปง่ายอย่างที่คิดซะแล้วสิ


     

       "จริงเหรอ คุณชัชเนี้ยนะ!?"

       "ใช่ ถ้าไม่เชื่อก็ถามนังแก้วดูสิ"

       "จริงเธอ ฉันเองก็อยู่ เนี้ยจะเป็นคนไปหยิบให้เขาเองกับมือเลย!"

       "เมื่อวานก็เห็นอุ้มลูกแมวตัวหนึ่งมาด้วย ฉันงี้ตกใจแทบช็อก"

       "ฉันด้วย นึกว่าตาฝาดที่ไหนได้กลางดึกยังมาถามหาจานข้าวเล็กๆกับฉันเลย สงสัยต้องเอาไปให้ลูกแมวนั้นแน่ๆเลย"

       "ว่าก็ว่าพอคุณชัชความจำเสื่อมแล้วดู-"

       "มีอะไรกัน" เตชินท์ถามกลุ่มสาวใช้ภายในครัวที่กำลังจับกลุ่มซุบซิบกันเพลินจนไม่ทันสังเกตถึงการมาของเขาสักคน "ไม่มีงานทำกันหรือไง"

       "มะ มีค่ะๆ" ว่าแล้วก็รีบพากันแยกย้ายไปอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าเขาจะคาดโทษที่พวกตนกล่าวถึงเจ้านายลับหลังทั้งที่ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาเข้ามาได้ยินตั้งแต่ต้น จนเตชินท์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ ไม่คิดเลยว่าชัชพงษ์จะเก็บมันมาเลี้ยงจริงๆ


     

       "หมู่นี้เจ้าชัชทำอะไรพิเรนทร์อีกหรือไง พวกเด็กรับใช้ในบ้านถึงดูตื่นแปลกๆ" ธนากรถามขึ้นในระหว่างที่พวกเขากำลังทานอาหารเย็นด้วยกัน ซึ่งชัชพงษ์ไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะด้วยเพราะออกไปข้างนอก 

    เมื่อได้ยินพ่อของเขาถามเช่นนั้นเตชินท์ก็แหลบสายตามองพวกเด็กสาวด้านหลังที่ตอนนี้พากันก้มหน้าหลบสายตาเขาอย่างเลิ่กลั่ก

       "คงเป็นเพราะเมื่อวานเห็นเขาพาลูกแมวกลับมาด้วยมั่งครับ เลยพากันแปลกใจ" อย่าว่าแต่พวกสาวใช้เพราะขนาดตัวเขาเองยังอดประหลาดใจไม่ได้เช่นกัน

       "เจ้าชัชน่ะนะ?" ธนากรเองก็เช่นกัน

       "ครับ"

       "ฮ่าๆๆ" ไม่นานเขาก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมายกใหญ่อย่างชอบอกชอบใจ "ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กนั่นจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย"

       "....."

       "เอาเถอะ ลูกก็อย่าไปว่าอะไรเจ้าชัชเลย ปล่อยให้เขาทำไปเถอะเพราะเดี๋ยวอีกไม่นานเขาก็จะย้ายออกไปแล้ว"

       "ย้ายออก?"

       "ใช่.."


     

       "ขอย้ายออก?"

       "ใช่ครับ"

       "แกมีเรื่องอะไรกับเจ้าเตชินท์มันอีกหรือไง"

       "เปล่าครับไม่ใช่แบบนั้น ผมอยากย้ายออกไปเองครับไม่ได้มีเหตุผลอื่นอะไรมากกว่านั่น"

       "แล้วทำไมอยู่ๆถึงคิดที่จะออกไปละ"

       "ไม่ใช่อยู่ๆหรอกครับผมคิดมาสักพักแล้ว ตอนนี้ผมเองก็เข้ามหาลัยแล้วด้วย เลยคิดว่ามันน่าจะถึงเวลาที่จะออกไปใช้ชีวิตด้วยเองได้สักที" 

       "แล้วจะย้ายไปอยู่ที่ไหน"

       "ก็..ไม่ไกลจากมหาลัยหรอกครับ" เรื่องที่ยังหาไม่ได้คงต้องเก็บไว้ก่อน ไม่งั้นธนากรอาจจะไม่เห็นด้วยได้

       "ส่วนนี่ผมขอคืนให้ด้วยเลยก็แล้วกันนะครับ ต่อไปนี้ผมจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องค่าเทอมผมจะไปทำเรื่องขอใช้ทุนกับทางมหาลัยเองครับ" อัศวินกล่าวพลางวางบัตรเครดิตในมือลงบนโต๊ะทำงานเบื้องหน้า

       "ถ้าไม่ติดกับว่าแกยังใช้นามสกุลของฉันอยู่ ฉันคงเข้าใจไปว่าแกคิดจะตัดขาดกับตระกูลซะแล้ว" อันที่จริงนั่นก็ตรงตามเจตนาเดิมของเขาอยู่เหมือนกัน แต่ว่า.. เรื่องนี้จะรีบร้อนจัดการไม่ได้ ต้องค่อยๆเป็นค่อยไป

       "ถ้าแกยืนยันแบบนั้นฉันก็อนุญาต แต่อย่าลืมนะว่าข้อตกลงก่อนหน้านี้ยังไม่ถือว่าเป็นโมฆะไปหรอกนะ"

       "แน่นอนครับ"

       "ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นฉันก็ไม่ได้คัดค้านหรอกนะ แต่ในส่วนค่าเทอมฉันจะจ่ายให้เธออยู่เหมือนเดิม"

       "แต่ผมว่า-"

       "ถ้าไม่เห็นด้วย ที่เหลือก็ไม่ต้องมาว่ากัน"

       "..ก็ได้ครับ" ถึงจะไม่ชอบใจนัก แต่ก็ถือลดค่าใช้จ่ายในอนาคตไปได้ส่วนหนึ่ง

       "แล้วจะย้ายออกเมื่อไหร่"

       "คงอีกสักพักครับ เพราะยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกนิดหน่อย"

       "ในเมื่อแกคิดมาดีแล้วก็เอาตามนั้นแล้วกัน"

       "ขอบคุณมากครับ"


     


     

       "...ผมคิดว่าพ่อจะไม่เห็นด้วยซะอีก" เตชินท์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจเมื่อธนากรดูยอมให้ชัชพงษ์ง่ายกว่าที่ควร

       "ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงไม่ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน..." กล่าวถึงตรงนี้เขาก็หุบสายตาลงเล็กน้อย

       "ผมว่าตอนนี้ดูน่าจะเป็นปัญหามากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ถ้าความทรงจำเขากลับมามันจะไม่เป็นอะไรเหรอ?"

       "เอาไว้ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันก็ได้ ถ้าเขาอยากจะกลับมาพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก"

       "...."

       "คิดว่าเราจะดีใจเสียอีกที่เจ้าชัชจะย้ายออกไป"

       "ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไปก็ไม่มีผลอะไรกับผมหรอกครับ"

       "เฮ้อ พวกแกสองคนเนี้ยน๊า"

       "....."


     


     

       "เฮ้ยชัช! รอพวกเราเดี๋ยวสิ" อัศวินที่เก็บกระเป๋าเสร็จกำลังเตรียมออกจากห้องไปทำงานพาร์ทไทม์ต้องหยุดลงเมื่อมีเสียงจากใครบางคนในห้องเรียกเขาไว้ก่อน และเมื่อเขาหันกลับไปดูก็พบว่าเป็นเด็กหนุ่มที่เขาไม่คุ้นหน้าคนหนึ่ง

       "กว่าจะทันนายได้นี่เล่นเอาเหนื่อยเลยนะ" กรว่าพลางเข้ามาตบบ่าเขาอย่างสนิทสนม แต่อัศวินเบี่ยงตัวหลบอย่างเนียนๆจากนั้นก็มองข้ามบ่าเขาไปยังคนที่อยู่ด้านหลัง

       "มีธุระอะไร" 

       "เอาน่าอย่าทำตัวเย็นชานักสิ เราก็แค่อยากคุยกับนายก็เท่านั้นเอง" 

       "....." เมื่อได้ยินดังนั้นอัศวินก็เบือนหน้ากลับมามองพวกเขาด้วยสายตาเรียบนิ่งก่อนที่จะเอ่ย "ถ้านายยังติดใจเรื่องในวันนั้นละก็ ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะฉันเอง ไม่จำเป็นต้องกังวลหรือรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น" คำพูดนี้อัศวินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจนักเพราะเขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีก ให้เมื่อชัชพงษ์ไม่ได้คบหากับคนพวกนี้อย่างจริงจังมาตั้งแต่แรกก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องคบหาต่อไป

       "อะ เอ่อ งั้นเหรอ" กรพูดน้ำเสียงกระอักกระอ่วนเล็กน้อยก่อนที่หันไปกระทุ้งแขนใส่คนที่อยู่ด้านหลังพลางกระซิบเสียงเบา "เฮ้ย ไอณัฏฐ์แกก็พูดอะไรหน่อยสิวะ"

       "แล้วจะให้ฉันพูดละ นายก็ได้ยินที่หมอนั่นพูดชัดแล้วนี่"

       "ที่ฉันทำนี่ก็เพราะเห็นนายเอาแต่ทำหน้าเหม็นเบื่อตลอดหลายวันมานี้หรอกนะ"

       "นายว่าใครวะ!?" 

       "ในเมื่อพวกนายไม่มีอะไรแล้วงั้นฉันขอตัวละ"

       "ฮะ เฮ้ยเดี๋ยวสิวะไอชัช! ไปนู้นแล้วเว้ยไวชะมัด"

       "ปล่อยมันไปเถอะ ในเมื่อมันไม่อยากยุ่งกับเราแล้วก็ช่าง"

       "อย่างน้อยแกก็น่าจะขอโทษมันหน่อยนะเว้ยที่เมินมันหลังจากที่โรงพยาบาลวันนั้น"

       "ทำไมฉันต้องไปขอโทษมันด้วยว่ะ!"

       "อย่างน้อยยังไงก็เพื่อนกัน"

       "ฮึ ทำอย่างกับว่าไม่รู้ว่าที่มันมาอยู่กลุ่มพวกเราก็เพราะอะไร"

       "ว่าแต่ไอชัช แกเองถ้ามันไม่มีฐานะดีหน่อยก็ไม่เสวนาด้วยเหมือนกันนั้นแหละ"

       "ต่างคนต่างได้ก็ไม่เห็นผิดอะไรนี่"

       "งั้นก็อย่าทำหน้าเบื่อโลกเวลามันไม่อยู่สิวะ"

       "แกเอาตาข้างไหนดูฮ่ะ ไร้สาระ"

       "เฮอะๆ" ตัวเองเหงาตอนเขาไม่อยู่ก็ยังทำเป็นปากแข็งอยู่ได้!


     

    วันนี้เป็นวันแรกที่อัศวินเริ่มเข้าทำงานตามที่ได้นัดหมายไว้ หน้าที่ของเขาช่วงแรกก็จะเป็นงานบริการทั่วไปอย่างการต้อนรับลูกค้า รับออเดอร์หรือเสิร์ฟอาหาร

       "สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ"

       "เมนูแนะนำของทางร้านวันนี้จะเป็น...."

       "โต๊ะโซนในยังว่าง เชิญทางนี้เลยครับ"

       "เก้าอีกเสริมใช่มั้ยครับ รอสักครู่นะครับทางร้านจะรีบนำมาให้"

       "ทั้งหมดสองร้อยห้าสิบบาทครับ"

       "โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ" การเริ่มทำงานของอัศวินไม่เลวเลยในสายตาของผู้จัดการที่คอยสังเกตลักษณะการทำงานของเขาอยู่ตลอด แม้ว่าจะยังไม่ชินกับการหยิบจับอะไรอยู่บ้างแต่เรื่องการบริการและการรับมือกับลูกค้าก็ถือว่าคล่องตัวมาก ซึ่งก็ไม่แปลกเลยสำหรับอัศวินที่เคยเป็นถึงเลขานุการของประธานบริษัทใหญ่มาก่อนอย่างเขา ที่จะต้องคอยติดตามร่วมประชุมหรือตกลงธุรกิจอยู่บ่อยๆ งานแค่นี้ไม่ถือว่าหนักหน้าสาหัสอะไรเลย ถ้าท่านประธานมาเห็นเข้าคงได้เผยยิ้มล้อเลียนอย่างสนุกแน่ๆ..

       "ชัชทำงานวันแรกเป็นไงบ้าง ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามพี่ได้เลยนะ" ปัญ หนึ่งในพนักงานของร้านเอ่ยถามเขาอย่างใจดีในช่วงที่ร้านเริ่มมีลูกค้าไม่มากนัก

       "ขอบคุณมากครับพี่ปัญ" เขายิ้มตอบไปอย่างเป็นกันเองแต่ในใจแอบหลั่งน้ำตา ในเรียกคนรุ่นลูกรุ่นหลานว่าพี่มันช่าง...เป็นอะไรที่กระดากปากเสียจริง

       "เลิกหยอดน้องมันได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะฟ้องแฟนเธอนะ" เป้พนักงานชายอีกคน ถือสมุดเก็บบิลมาโบกผ่านหน้าเพื่อนร่วมงานเชิงหยอกล้อ

       "ปากพล่อยจริงๆเลยนายนี่"

       "ถ้ายังคุยเล่นในเวลางานอีกฉันจะหักเงินเดือนเธอสองคนแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเลย" น้ำเสียงชวนเสียวสันหลังดังขึ้นจากทางเคาน์เตอร์เตือนในคู่ทั้งสองคนรีบแยกย้ายกันไปปรนนิบัติลูกค้ากันคนละทาง ทิ้งเขาไว้ให้อยู่กับคุณภูมิหรือผู้จัดการร้านที่เป็นคนรับสัมภาษณ์เขาเมื่อคราวก่อนเพียงลำพัง

       "ทำงานวันแรกอาจจะมีอะไรที่ไม่คุ้นชินอยู่บ้าง ค่อยๆปรับตัวไปไม่ต้องกดดันตัวเองมากนักหรอก มันมีแต่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเธอเสียเปล่าๆ"

       "ครับผู้จัดการ"

       "ก่อนเลิกงานก็ไปรับตารางเข้างานที่โต๊ะด้วยละกัน"

      "ได้ครับ"


     

      อัศวินทำงานจนกระทั่งถึงเวลาห้าทุ่มครึ่งซึ่งเป็นช่วงเลิกงาน เขาเข้าไปเอาตารางการเข้างานก่อนกลับตามที่ผู้จัดการได้เตือนไว้ก่อนจะเดินออกมาจากร้านเพื่อไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ตอนนี้เขายังต้องรีบหาห้องพักให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรกก่อนที่แม่แมวตัวนั้นจะรักษาหายเพื่อจะย้ายมันเข้าไปอยู่ได้ทัน เขาไม่กังวลเรื่องเงินเพราะถึงแม้ว่าจะคืนบัตรเครดิตให้ธนากรไปหมอแล้วแต่ในบัญชีก็ยังมีเงินที่ได้จากการขายรถของชัชพงษ์อยู่เยอะมากพอที่จะให้เขาใช้ได้อย่างเหลือเฟือ อีกทั้งยังเรื่องรถอีก... 


     


     


     

    ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

      "คุณพ่อครับ..."

     ไม่ทันสิ้นเสียงเอ่ยเรียกฝ่ามือหนาก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปยังภายในห้องนอนของผู้เป็นพ่อ 

       "......" ดวงไฟภายในห้องนั้นไม่ได้ถูกเปิดใช้งานอย่างที่มันควรจะเป็น ท่ามกลางเงามืดสลัวมีร่างของชายวัยกลางคนนั่งอยู่บริเวณริมเตียงใกล้หน้าต่าง เขาเงยหน้ามองเหม่อออกไปยังนอกม่านราตรีนั้นราวกับกำลังมองไปยังที่ใดที่หนึ่งอยู่ เป็นเพราะมุมมองและควันบุหรี่ที่ลอยจางอยู่ในอากาศทำให้ผู้ที่เปิดประตูเข้ามามองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัด

       "นะเองเหรอ มีอะไรหรือเปล่า" น้ำแหบพร่าถามขึ้นฟังดูเลื่อนลอย 'นะ' หรือชนวีร์ มองดูผู้เป็นพ่อที่ราวกับว่าแก่ชราขึ้นเป็นอีกสิบปีแล้วก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาไม่ได้ พ่อของเขาแม้ว่าจะอายุห้าสิบกว่าแล้วก็จริงแต่เพราะว่ากินอาหารบำรุงร่างกายและดูแลตัวเองเป็นอย่างดีสุขภาพจึงยังแข็งแรงมาก กล้ามเนื้อบนร่างก็ยังไม่มีส่วนไหนที่เหี่ยวย่นเลยด้วยซ้ำ นอกจากริ้วรอยบางส่วนบนใบหน้าแล้วก็ไม่มีสนไหนที่บ่งบอกว่าเขาเป็นชายอายุห้าสิบกว่าเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้นท่านก็ตรอมใจจนสุขภาพร่างกายถดถอย ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรอีก แม้กระทั่งตำแหน่งประธานที่ตัวเองครอบครองบริหารมานานปีก็ยังตกลงยอมยกให้เขาอย่างง่ายดาย วันนี้นอกจากที่ลงไปทานอาหารเมื่อตอนเช้าแล้วก็เก็บตัวเองอยู่แต่ในห้องทั้งวันไม่ยอมออกไปไหนจนกระทั่งเขาเข้ามา

       "คุณพ่อ.. สูบบุหรี่ด้วยเหรอครับ" ตั้งแต่ชนวีร์จำความได้ก็ไม่เคยเห็นบิดาตัวเองสูบบุหรี่เลยสักครั้งจึงไม่แปลกที่เขาจะสงสัยเมื่อเปิดประตูมาเจอภาพแบบนี้เข้า

       "เมื่อก่อนพ่อก็เคยติดมันอยู่เหมือนกัน แต่ก็เลิกไปนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ลูกจะเกิดเสียอีก"

       "ทำไมถึงเลิกละครับ ผมเคยได้ยินว่าติดบุหรี่แล้วเลิกยากไม่ใช่เหรอ" ชนวีร์ชวนผู้เป็นพ่อพูดคุยเผื่อจะช่วยท่านผ่อนคลายอารมณ์ได้บ้าง หากแต่เขากลับไม่รู้เลยว่าหัวข้อนั้นเกี่ยวข้องคนผู้ที่ทำให้รฐนนท์อยู่ในอารมณ์เศร้าหมองในตอนนี้

    รฐนนท์ก้มลงมองบุหรี่ที่คีบอยู่ในมือก่อนจะยกยิ้มขึ้นบางๆ

       "เมื่อก่อนพ่อไม่เคยคิดที่จะเลิกมันเหมือนกัน.. " เรื่องนี้เกิดขึ้นในตอนที่เขาอายุยี่สิบเก้า รฐนนท์ที่กำลังนั่งตรวจเอกสารหลังจบการประชุมบอร์ดบริหารจนเสร็จแล้วก็ล้วงบุหรี่ออกมาพร้อมที่จะจุดสูบเพื่อละลายความเครียดที่สะสมมาตลอดช่วงเช้าวันนี้

       "ผมว่าท่านควรเลิกสูบบุหรี่ได้แล้วนะครับ" อัศวินที่ตอนนั้นทำงานเป็นเลขาเขาได้แค่สองปีเดินเข้ามายังภายในห้องพร้อมกับแฟ้มเอกสารภายในมือ

       "ขนาดภรรยาฉันยังไม่เคยห้ามเลยนะ" ประธานหนุ่มเอ่ยยิ้มขึ้นน้อยๆ

       "คุณเขมิกาเธอเป็นคนที่สุภาพอ่อนโยนเพราะฉะนั้นเธอคงไม่กล้าเอ่ยห้ามท่านหรอกครับ" 

       "พูดชมภรรยาฉันขนาดนี้อย่าบอกนะว่านายคิดไม่ซื่อกับเมียฉันน่ะฮ่ะ" รฐนนท์แกล้งชักสีหน้าใส่เลขาหน้าตายด้านของตนเพื่อกลั่นแกล้ง ตั้งแต่ทำงานมาเขายังไม่เคยเห็นเลขาคนนี้หัวเราะหรือมีอารมณ์ขันเลยสักครั้ง

       "ผมมีภรรยาแล้วครับท่าน" สีหน้าจริงจังยิ่งกว่าอะไร รฐนนท์แอบเบื่อหน่ายอยู่เล็กน้อยกับปฏิกิริยาแบบนี้

       "....."

       "ส่วนเรื่องเลิกบุหรี่มันก็ทั้งเพื่อตัวท่านเองและคุณเขมิกานะครับ"

       "ทำไมถึงเกี่ยวกับเขมด้วยละ"

       "ตอนนี้ภรรยาของท่านกำลังตั้งครรภ์มันจะดีกว่าถ้าท่านไม่ไปเผลอสูบตอนที่อยู่ใกล้เธอเพราะมันอาจจะส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ได้นะครับ"

       "นายรู้ด้วยเหรอ"

       "ถ้าเป็นเรื่องของท่านประธานผมก็จะเป็นที่จะต้องทราบครับ"

       "หึ ช่างเอาใจใส่เสียจริงนะ แต่จะให้เลิกแบบหักดิบแบบนี้ฉันทำไม่ได้หรอกนะ"

       "คนเราจะต้องมีก้าวแรกเสมอครับท่านประธาน มันอยู่ที่ว่าท่านมีความพยายามที่จะทำมันอยู่แค่ไหนต่างหาก ถ้าท่านไม่ได้คิดแม้แต่จะทำมันอย่างจริงจังชีวิตนี้ท่านก็เลิกไม่ได้หรอกครับ ในฐานะเลขาผมทำได้แค่แนะนำและสนับสนุนท่านเพียงเท่านั้น" กล่าวจบเขาก็วางของบางอย่างลงพร้อมกับแฟ้มเอกสารจากนั้นก็เดินออกไปทำงานในส่วนของตนต่อ รฐนนท์มองสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็รู้สึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ คนที่ดูที่เหมือนแข็งกระด้างแบบนั้นก็มีมุมแบบนี้ด้วยเหมือนกันแฮะ ต้องเป็นคนซื่อขนาดไหนถึงได้มาเตือนเรื่องแบบนี้กันนะทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับงานแล้วจะมองข้ามไปก็ได้แท้ๆ ประธานหนุ่มคิดในใจพร้อมกับแกะหมากฝรั่งสองเม็ดออกจากแผงจากนั้นก็ส่งเข้าไปในปาก ทั้งๆที่มันก็เป็นหมากฝรั่งที่หาซื้อได้ทั่วไปแท้ๆแต่รฐนนท์กลับรู้สึกว่ามันกลับมีรสชาติหวานติดลิ้นผิดจากที่เคยกินมาเสียอย่างนั้น  


     

       "ถือว่าพ่อโชคดีที่ได้คนซื่อสัตย์อย่างเขามาทำงานด้วย ตลอดเวลายี่สิบสี่ปีที่ผ่านมาไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะทำให้พ่อผิดหวัง" แววตาของรฐนนท์ดูมีประกายขึ้นในขณะที่กล่าวประโยคนี้ ชนวีร์ที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยการจากไปของคุณอัศวินก็ไม่ได้ทิ้งแต่ความเศร้าหมองไว้ในใจของคุณพ่อเพียงอย่างเดียวละนะ

       "นั้นสิครับ ถึงแม้ว่าคุณอัศวินจะดูเข้มงวดไปบ้างแต่เขาก็เอาใจใส่อธิบายงานให้ผมฟังอย่างละเอียด เขาไม่ได้ดูแลผมในฐานะของลูกของประธานบริษัทเลยสักนิด"

       "ฮึๆ นั้นแหละเขาละ" จากที่เข้ามาเพราะเป็นห่วงอยากปลอบโยนกลับกลายเป็นว่าเขาต้องมานั่งรำลึกความหลังเป็นเพื่อนผู้เป็นพ่อซะได้

       "ตอนนี้คุณอัศวินก็คงจะมีสุขดีที่ได้ไปพบกับครอบครัวของเขานะครับ"

       "ใช่เขาคงจะมีความสุข.. " กล่าวถึงตรงนี้ดวงตาของรฐนนท์ก็หม่นลงอีกครั้ง "ตั้งแต่ที่ลูกสาวของเขาตายไป อัศวินก็รู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว ญาติมิตรก็ไม่มีลูกเพียงคนเดียวก็ชิงด่วนจากไป ถ้าเกิดพ่อไม่ช่วยโน้มน้าวรั้งเขาไว้เกรงว่าเขาก็คงไม่อยู่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว"

       "คุณอัศวินดูไม่เหมือนคนที่มีความคิดอะไรแบบนั้นเลยนะครับ"

       "คนเราถึงแม้จะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตามก็ล้วนแล้วแต่มีจุดอ่อนอยู่ในตัวเองกันทั้งนั้นแหละ"

       "คุณอัศวินก็ถือว่าเป็นจุดอ่อนของพ่อด้วยหรือเปล่าครับ" 

       "....." รฐนนท์หันกลับมามองลูกชายเล็กน้อยเมื่อพบว่าแววตานั้นไม่มีวี่แววของความเผลอไผลเขาก็ถอนสายตากลับมา 

       "อัศวินเป็นมากกว่าเลขา.." เขาพูดพร้อมกับเดินออกมายืนที่ริมระเบียง แสงไฟจากด้านนอกตกลงมากระทบร่างที่ยืนตระหง่านท่ามกลางความมืด ร่างนั้นดูซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด

       "พ่อมองเขาเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆของพ่อคนหนึ่ง"

       "งั้นเหรอครับ.. ผมว่าคุณอัศวินเองก็คงคิดไม่ต่างกันกับคุณพ่อหรอกครับ" ไม่งั้นก็คงไม่ยกทุกอย่างที่เหลืออยู่ของตัวเองให้คุณพ่อแบบนั้น..  "คุณพ่อก็ดูแลตัวเองหน่อยเถอะครับ ถ้าคุณอัศวินรู้ว่าคุณพ่อเอาแต่เสียใจกับการตายของเขาแบบนี้คงจะเคร้าหน้าดู"

       "ฮึๆๆ เศร้างั้นเหรอ เขาคงอยากบ่นใส่พ่อจะแย่เสียมากกว่า" 


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     

    NCCB: อาจจะมีคำผิดเยอะหน่อยนะครับเพราะผมยังไม่ตรวจละเอียด อันนี้จะเป็นพิกัดจุดธูปเชิญเวลาที่ผมหายไปนานเกินควรนะครับ ชื่อทวิต NCCB_37@TKraianan

    สุดท้ายขอขอบคุณทุกกำลังใจเลยนะครับผมดีใจมากที่ได้รับ!

    **หากชื่นชอบผลงานของนักเลงแมวฯ ก็ช่วยกดหัวใจหรือคอมเมนต์ติชมเพื่อเป็นกำลังใจให้แมวจรด้วยนะครับ ขอบคุณสำหรับทุกการกดติดตามด้วย <3

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×