|
มนุษย์เคี้ยวหมากฝรั่งมานับพันปี ชาวกรีกโบราณเคี้ยวหมากฝรั่งทำจากน้ำยางของต้นแมสติกซึ่งมีกลิ่นหอม บรรพบุรุษชาวมายันเคี้ยวหมากชิเคิลทำจากน้ำยางสีขาวขุ่นของต้นแซปโพดิลลา อินเดียนแดงเคี้ยวหมากฝรั่งทำจากน้ำยางของต้นสนสปรูซ
กลางศตวรรษที่ 19 หมากฝรั่งที่ผลิตจากน้ำยางต้นโพดิลลาออกวางขายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา จากนั้นอีก 100 ปีเมื่อนักเคมีคิดค้นยางสังเคราะห์สำเร็จจึงค่อยๆ นำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตหมากฝรั่งทดแทนน้ำยางจากธรรมชาติ และกลายเป็นส่วนประกอบของหมากฝรั่งในปัจจุบัน
นอกจากจะปรุงแต่งด้วยสารสังเคราะห์เพิ่มสีและกลิ่นหลากหลายเอาใจนักเคี้ยว หมากฝรั่งจำนวนไม่น้อยยังเติมรสหวานด้วยแอสปาแตม สารสังเคราะห์ซึ่งเชื่อว่าปลอดภัยต่อการบริโภค แต่ก็เชื่อว่าเป็นสาเหตุของโรคลมชัก ความผิดปกติของระบบประสาทที่เกี่ยวกับอัมพาต สมาธิสั้น เบาหวาน ไทรอยด์ อัลไซเมอร์
เนื่องจากหมากฝรั่งในปัจจุบันผลิตจากยางสังเคราะห์ ซากที่คายทิ้งจึงอยู่ยงคงกระพัน ยิ่งถูกออกแบบให้เป็นหมากฝรั่งหนึบเหนียวเคี้ยวนาน ยิ่งสร้างอุปสรรคในการกำจัดคราบสกปรก
แม้ไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่ทุกวันนี้ซากหมากฝรั่งกำลังสร้างความเลอะเทอะแก่เมืองใหญ่หลายแห่งในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย มีรายงานว่ารัฐบาลท้องถิ่นของอังกฤษเสียงบประมาณไปกับการทำความสะอาดซากหมากฝรั่งบนท้องถนนถึงปีละ 150 ล้านปอนด์ ทั้งขัดล้างด้วยสารเคมี ทำให้แข็งด้วยความเย็น ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง แต่ไม่ว่าวิธีใดก็ยังไม่สามารถล้างร่องรอยหมากฝรั่งได้หมดจด
ข่าวดีคือ เพิ่งจะมีหมากฝรั่งย่อยสลายได้ออกวางจำหน่ายในอังกฤษเมื่อเดือนเม.ย.ปีที่ผ่านมา ในชื่อ "Chicza" ผลิตจากน้ำยางต้นชิโคซาโปเต ที่พบในป่าฝนของเม็กซิโก ซากหมากฝรั่งยี่ห้อนี้เมื่อแห้งแล้วจะย่อยสลายเป็นเศษเล็กๆ ภายในเวลา 6 สัปดาห์
นั่นของเมืองนอก ส่วนบ้านเรายังตามมีตามเกิด
|
|
|
Credit http://variety.teenee.com/science/20468.html
เนื้อหาจาก ข่าวสดออนไลน์ 09/03/2010
ความคิดเห็น