ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels คนบ้าระห่ำ แหกกฎสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #6 : The key of the heavenly soul

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 246
      1
      13 ก.ค. 61

     5

    The key of the heavenly soul

     

         เสียงเพลงบัลลาตซึ้งๆ เพลงหนึ่งได้ดังขึ้น เสียงนุ่มทุ้มของเปียโนให้ความรู้สึกอ่อนโยน เสียงแหลมสูงของไวโอลีนให้ความรู้สึกอบอุ่น เสียงกลองที่ตีเป็นจังหวะหนักแน่นให้ความรู้สึกฮึมเหิม และเสียงร้องที่ฟังดูนุ่มนวล และทรงพลังในเวลาเดียวกันทำให้ฉันหลงรักเพลงเพลงนี้อย่างช่วยไม่ได้

     

         แสงแดดในยามเช้าส่องมายังใบหน้าของฉัน ฉันค่อยๆ หรี่ตาขึ้นช้าๆ พบว่าตัวเองกำลังนั่งพิงกำแพงบนดาดฟ้า และฉันก็ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

     

         ภาพของคนทั้งเจ็ดคนที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน ทุกคนต่างกำลังสวมชุดนอน และมีสภาพที่ดูไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว

     

         " อรุณสวัสดิ์...แบล์คลีซา!!! " ทุกคนต่างเอ่ยทักฉันด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ฟังดูมีชีวิตชีวาที่สุด แต่ฉันก็ยังฟังออกว่ามันเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูงัวเงียมากกว่า

     

         " อรุณสวัสดิ์ " ฉันเอ่ยขึ้น " กำลังทำอะไรอยู่หรอ? "

     

         " พวกเรากำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำในวันนี้อยู่ล่ะ เชื่อว่าเราต้องเหนื่อยกันทั้งวันแน่ๆ " ดีซีดอเรต้าว่า

     

         " ข้อมูลงั้นหรอ? ข้อมูลอะไร? " ฉันร้องถามพลางทำหน้าตกใจ แน่นอนว่าตอนนี้ฉันได้ตาสว่างแล้ว

     

         " ก็ข้อมูลเกี่ยวกับตารางงานในวันนี้ของฟาร์เวลน่ะ ซึ่งตอนบ่ายโมง ฟาร์เวลจะไปแจกลายเซ็นที่งานครบรอบหนึ่งร้อยปีของค่ายเพลงที่ฟาร์เวลทำงานอยู่ ตอนบ่ายสาม ฟาร์เวลก็จะไปสัมภาษณ์ออกรายการที่สตูดิโอส่วนตัว ส่วนตอนห้าโมงเย็น ฟาร์เวลก็จะไปเข้าร่วมงานประกาศรางวัลที่หอประชุมกรีซเจนเทิล เบลลาทริกซ์ว่า " นี่...แบล์ เธอช่วยออกความคิดเห็นหน่อยสิว่าจะให้เราลงมือกันตอนไหนดี ตอนบ่ายโมง บ่ายสาม หรือว่าห้าโมงเย็น "

     

         " นี่พวกเธอจะทำวันนี้กันเลยหรอ? "

     

         " อื่มม์...ฉันก็คิดว่างั้นนะ เพราะว่าเมื่อคืนพวกเราทั้งหมดนอนไม่หลับกันเลยซักคน ยกเว้นเธอ เพราะเรื่องที่ทำงานกันไม่สำเร็จน่ะ " เบลลาทริกซ์ว่า สรุปว่าฉันเป็นตัวถ่วงใช่มั้ย?

     

         " ถ้าเธอคิดว่าใช่ มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นแหละ...สาวน้อย " อดอล์ฟเอ่ยขึ้น พระเจ้า! เขามีหูเทพ เขาได้ยินฉันพูดในใจด้วย

     

         " ขอโทษ " ฉันเอ่ยขึ้น " มีอะไรให้ฉันช่วยมั้ย? "

     

         " อื่มม์...แบล์ เราได้ข้อมูลมาแล้ว แล้วตอนนี้เราก็กำลังจะตัดสินใจว่า เราควรจะลงมือเมื่อไหร่ดี " เบลลาทริกซ์ว่า ฉันจึงได้แต่พยักหน้ารับ

     

         " ฉันคิดว่าเราควรลงมือกันตอนบ่ายสามนะ เพราะว่าถ้าเราไปตอนบ่ายโมงคงจะไม่ทัน เพราะตอนนี้ก็เที่ยงพอดี อีกอย่างหนึ่งก็คือวันเป็นงานแจกลายเซ็นก็ย่อมมีคนเยอะเป็นธรรมดา ทำให้เราเข้าหาตัวฟาร์เวลยาก ส่วนตอนห้าโมงยิ่งไม่มีสิทธิ์เลย เพราะมันเป็นงานแจกรางวัลของคนในวงการ แน่นอนว่า ในงานนั้นถือว่าเป็นงานที่เป็นทางการ ก็ย่อมมีทั้งช่างภาพ และสื่อมวลชน ซึ่งถ้าเราเข้าไปยุ่งด้วยก็อาจจะเป็นข่าวด้วย และในงานแบบนี้ ฟาร์เวลคงต้องการอิสระ เขาคงไม่ต้องการให้ใครมายุ่งในตอนนั้นหรอก ดังนั้นก็คงจะมีพวกบอดี้การ์ดที่คอยกันไว้ไม่ให้เราได้มีโอกาสเข้าไปยุ่งกับศิลปินได้เลย " มอนสเตลล่าว่า

     

         " อื่มม์...ความคิดดีนี่ " ดรากเนสว่า " เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ " แล้วพวกเราก็พยักหน้ารับ

     

         " เรื่องที่อยู่สตูดิโอส่วนตัวของฟาร์เวลน่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง เพราะฉันจำได้ว่า โฮคทีซาเพื่อนของฉันเคยไปถ่ายแบบคู่กับฟาร์เวลที่สตูดิโอส่วนตัวของเขา ฉันจะโทรถามโฮคทีซาเดี๋ยวนี้แหละ " เบลลาทริกซ์ว่าแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมาเพื่อโทรหาโฮคทีซา สักพัก...ก็มีเสียงจากปลายสายตอบกลับมา

     

         " มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเร็วเข้า นี่ฉันกำลังเข้าสปาอยู่นะ "

     

         " เอ่อ...โฮคทีซา สตูดิโอส่วนตัวของฟาร์เวลอยู่ที่ไหนน่ะ? "

     

         " อยู่ที่... "

     

    + + + + + +  + + + +

     

         พวกเราทั้งหมดมาถึงหน้าสตูดิโอของฟาร์เวลในอีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาซึ่งเป็นเวลาบ่ายโมงครึ่ง แต่พวกเราก็ต้องพบปัญหาใหญ่ เพราะว่า...เราเข้าไปในสตูดิโอนั่นไม่ได้ มิหนำซ้ำ...ลุงที่ใส่ชุดสูทสีดำกำลังมองเราอยู่โดยไม่ละสายตาไปจากเราเลยแม้แต่น้อย

     

         " มาหาใคร? " ลุงคนนั้นถามขึ้นเสียงห้วน พวกเราทั้งหมดจึงมองหน้ากันเพื่อเอาคำตอบกันอยู่นาน ในที่สุด...อดอล์ฟก็ยิ้มที่มุมปากพร้อมกับตอบลุงคนนั้นไปว่า

     

         " ไม่ได้มาหาใครหรอกครับ แต่พวกผมเห็นว่าที่นี่สวยดีก็เลยอยากมาดูใกล้ๆ น่ะครับ "  

     

         " พวกเธอดูนานเกินไปแล้วนะ ดูเสร็จแล้วก็กลับไปซะสิ " ลุงคนนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร พวกเราทั้งหมดจึงถอยหลังไป แล้วปล่อยให้อดอล์ฟเผชิญกรรมอยู่กลับลุงคนนั้นตามลำพัง

     

         " คือ...ที่นี่มันสวยเกินไป ดูอย่างเดียวไม่ได้ ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยครับ " อดอล์ฟว่าพลางทำท่าจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่ลุงคนนั้นก็กลับพูดขึ้นมาว่า

     

         " ถ่ายรูปก็ไม่ได้ เพราะเจ้าของที่นี่ต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องการให้มีใครหาที่นี่พบ "

     

         " เจ้าของที่นี่หรอครับ? แล้วคุณลุงเป็นอะไรกับเจ้าของที่นี่ล่ะครับ? "

     

         " ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ฉันแค่เป็นคนดูแลที่นี่ก็เท่านั้นเอง "

     

         " เป็นคนดูแลที่นี่หรอครับ? ถ้างั้น...หน้าที่ของคุณลุงก็คือต้องดูแลความเรียบร้อย และความปลอดภัยของที่นี่ " อดอล์ฟว่าแล้วยิ้มขึ้นที่มุมปากอีกครั้งก่อนที่จะพูดกับลุงคนนั้นว่า "  เอ๊ะ! แต่เมื่อกี้ผมเห็นผู้ชายประมาณสองสามคนใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์วิ่งเข้าไปหลบอยู่ข้างในนั้นน่ะครับ "

     

         " จริงหรอ? แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนแล้วล่ะ? "

     

         " อยู่ตรงนั้นไงครับ " อดอล์ฟว่าพลางชี้เข้าไปในสวนหลังสตูดิโอ และจังหวะที่ลุงคนนั้นหันไปดูตรงจุดนั้น อดอล์ฟก็ใช้มือควานหาไม้หนาๆ แล้วหยิบขึ้นมาตีหัวลุงคนนั้นจนสลบไป

     

         " แกนี่เก่งเรื่องล่อลวงคนอื่นจริงๆ เลยว่ะ " ดรากเนสว่าแล้วมองไปที่อดอล์ฟที่กำลังใช้ไม้คลำหากุญแจที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของคุณลุงคนนั้น ต่อมาเขาก็ใช้ไม้เขี่ยมันออกมาก่อนที่จะเปิดเข้าไปในสตูดิโอ

     

         ตอนนี้พวกเราทั้งหมดอยู่ในสตูดิโอส่วนตัวของฟาร์เวล พวกเรากำลังวางแผนกันเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำในอีกสักครู่ ในขณะที่อดอล์ฟกำลังวุ่นอยู่กับการถอดชุดสูทสีดำของลุงคนนั้นออก ก่อนที่จะพยายามยัดร่างของลุงคนนั้นลงไปในถังขยะ

     

         " เราแบ่งหน้าที่กันตามนี้นะ ยูลิค นายต้องทำหน้าที่เป็นคนดูแลสตูดิโอแทนลุงคนนั้นนะ เมื่อนายเห็นว่าเป้าหมายได้เข้ามาในสตูดิโอแล้ว ก็รีบส่งสัญญาณบอกดีซีดอเรต้าซึ่งคอยดูลาดเลาอยู่ด้านนอก แล้วดีซีดอเรต้าก็จะส่งสัญญาณบอกเบลลาทริกซ์ซึ่งปลอมตัวเป็นทีมงานสื่อมวลชนที่สัมภาษณ์เป้าหมายอยู่อีกห้องหนึ่ง เมื่อการสัมภาษณ์จบลง เบลลาทริกซ์ก็จะส่งสัญญาณบอกฉันซึ่งคอยแอบอยู่บริเวณในสตูดิโอ แล้วฉันก็จะล่อให้พวกบอดี้การ์ดวิ่งตามโดยการล้วงกระเป๋าพวกเขาคนใดคนหนึ่งเพื่อทำให้แผนการทำได้ง่ายขึ้น แล้วเมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วฉันก็จะส่งสัญญาณบอกแบล์คลีซาที่ปลอมตัวเป็นสตาร์ฟให้เข้าไปในห้องพักส่วนตัวของเป้าหมายเพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องกุญแจ เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว แบล์คลีซาก็จะส่งสัญญาณบอกเรอัสกับมอนสเตลล่า เพื่อให้สองคนนั้นวิ่งขึ้นไปลบภาพในกล้องวงจรปิด ส่วนไอ้อดอล์ฟ บ้าๆ อย่างมันก็ให้มันทำหน้าที่ช่วยเหลือเราตอนที่มีเหตุขัดข้อง หรือเจอปัญหา ตกลงมั้ย? " ดรากเนสว่า แล้วพวกเราก็พยักหน้ารับ

     

         เอาล่ะ...ตอนนี้ได้เวลาแล้ว หวังว่าแผนการในวันนี้คงจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีนะ

     

    ( Ulic's Part )

        

         ตอนนี้ผมใส่ชุดสูทสีดำของผู้ดูแลแล้วยืนรออยู่หน้าสตูดิโอ เมื่อเห็นว่ายืนรอมานานมากแล้วจึงเหลือบดูนาฬิกาพบว่าตอนนี้บ่ายสองเศษๆ แล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าฟาร์เวลจะปรากฏตัวขึ้นเลย

     

         บรื๊น...บรื๊น...บรื๊น!!!

     

         เสียงรถที่แล่นเข้ามาในครู่ต่อมาทำให้ผมตกใจ ผมจึงรีบเงยหน้าขึ้นมองรถคันนั้นพบว่าฟาร์เวลได้เดินทางมาถึงแล้ว

     

         กระจกรถได้เปิดขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าอันเหี่ยวย่นของชายชุดดำร่างยักษ์ ซึ่งแววตาของชายคนนั้นที่มองผมดูไม่เป็นมิตรนัก

     

         " แกเป็นใคร? แล้วผู้ดูแลคนเก่าไปไหน? " ชายคนนั้นตะคอกถามผม ผมจึงนิ่งไปสักพักก่อนที่จะตอบกลับไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไปว่า

     

         " เอ่อ...คือ...ผ่ะ...ผมเป็นหลานของลุงผู้ดูแลน่ะครับ คือว่า...วันนี้คุณลุงของผม...เอ่อ...ป่วย เลยบอกให้ผมมาทำหน้าที่แทน " ผมตอบเสียงสั่นแล้วส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ชายคนนั้น

     

         " ไอ้ผู้ดูแลนั่นมีหลานด้วยหรอ? แล้วทำไมมันไม่เคยเล่าให้ฟังเลยล่ะ? " ชายคนนั้นตะคอกกลับมา ผมจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วเงียบไป เพราะไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี

     

         " นั่นน่ะสิ หน้าก็ไม่เห็นเหมือนกันเลย แล้วคนในตระกูลของตาลุงนั่นก็มีผมสีทองกันหมดไม่ใช่เร๊อะ? แล้วไอ้หนุ่มนี่ทำไมมันถึงได้มีผมสีเงินล่ะ? " ชายคนที่สองพูดขึ้น

     

         " แกแน่ใจนะว่าแกเป็นญาติกับตาแก่นั่นจริงๆ น่ะ? " ชายคนที่สามเอ่ยถามขึ้น ผมจึงได้แต่พยักหน้ารับในขณะที่กำลังกลัวจนตัวสั่น

     

         " อื่มม์...แต่ถ้ามันไม่จริงอย่างที่แกบอก ฉันจะมาติดบัญชีกับแกทีหลัง " ชายคนที่สามตัดบทก่อนที่จะกลับรถเข้าไป

     

         เฮ้อ~ รอดซักที!!! แต่ก็แอบมีเสียวๆ อยู่เหมือนกัน ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งทำงานล่ม พวกเราคงต้องซวยกันหมดแน่

     

         เมื่อฟาร์เวล และเหล่าชายชุดดำร่างยักษ์เดินเข้าไปในสตูดิโอกันหมดแล้ว ผมจึงส่งสัญญาณที่ติดไว้ตรงหน้าอกเสื้อไปบอกดีซีดอเรต้าที่แอบอยู่ข้างนอกสตูดิโอให้ส่งสัญญาณไปบอกเบลลาทริกซ์ต่อไป

    ( End Ulic's Part )

     

    ( Bellatrix's Part )

     

         เมื่อฉันได้รับสัญญาณจากดีซีดอเรต้าแล้ว ฉันจึงรีบขึ้นไปที่ชั้นสองของสตูดิโอที่ซึ่งมีพวกช่างภาพ สื่อมวลชนรออยู่เต็มไปหมด เพราะว่าวันนี้ฉันแต่งตัวเนี้ยบเป็นพิเศษ คือใส่เสื้อแขนยาวสีเทา กางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อน และรองเท้าคัทชูสีดำ ทำให้ฉันดูแก่ขึ้นเกือบสิบปี ซึ่งการแต่งตัวแบบนี้เป็นการแต่งตัวที่พวกผู้สื่อข่าวนิยมใส่กัน ดังนั้น...ฉันจึงสามารถเนียนเข้าไปกับพวกเขาได้

     

         ฉันเข้าไปในห้องทางขวาสุดของชั้นสองเมื่อเวลาบ่ายสามโมงตรงเป๊ะ โชคดีที่มีเก้าอี้วางไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้ฉันมีที่นั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย

     

         เมื่อเวลาบ่ายสามโมงเศษๆ ฟาร์เวลได้เดินเข้ามานั่งตรงที่นั่งด้านหน้า ซึ่งถูกจัดไว้เป็นเก้าอี้สองตัว และมีโต๊ะคั่นอยู่ตรงกลาง และแน่นอนว่า...บนโต๊ะนั้น ก็มีแก้วน้ำวางไว้สองใบ

     

         อีกห้านาทีต่อมา เมื่อพิธีกรได้เข้ามานั่งเก้าอี้ตรงกันข้ามกับฟาร์เวลแล้ว การสัมภาษณ์ก็ได้เริ่มขึ้นทันที

     

         " สวัสดีค่ะ ท่านผู้ชมทุกท่าน ตอนนี้ดิฉันได้นั่งอยู่กับชายหนุ่มมากความสามารถ ฟาร์เวลนั่นเองค่ะ ตลอดเวลาห้าปีที่อยู่ในวงการ ฟาร์เวลได้มีโอกาสที่จะทำงานในหลายๆ ด้าน และเขาก็ประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้านเลยด้วย เอาล่ะคะ วันนี้เราจะมาสัมภาษณ์ผู้ชายคนนี้ จนเราสามารถที่จะรู้ความลับของเขาจนหมดเปลือกเลยล่ะคะ " พิธีกรดำเนินรายการเกริ่นนำขึ้น ก่อนที่จะละสายตาจากกล้องแล้วมองไปที่ฟาร์เวล

     

         " ฟาร์เวลคะ คุณพร้อมที่จะให้ดิฉันสัมภาษณ์หรือยังคะ? "

     

         " พร้อมแล้วครับ " ฟาร์เวลตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

     

         " เอาล่ะคะ เรามาเริ่มกันเลยนะคะ สำหรับคำถามแรกนะคะ ถามว่า...ก่อนที่คุณจะเข้าวงการ คุณเคยคิดว่าตัวเองจะได้มายืนตรงจุดนี้มั้ยคะ? " พอพิธีกรเริ่มถามคำถามแรก ฉันก็เหลือบไปเห็นสื่อมวลชนหลายคนต่างเอากระดาษกับปากกาขึ้นมาจดตามคำพูดของฟาร์เวล ฉันจึงทำเนียนเอาสมุดกับปากกาขึ้นมาจดบ้าง

     

         พอเมื่อรายการดำเนินไปได้ประมาณหนึ่งช่วง ก็มีสื่อมวลชนคนที่นั่งข้างๆ ฉันจ้องหน้าฉันอย่างเอาเป็นเอาตายก่อนที่จะถามฉันด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ว่า

     

         " ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่า...คุณก็เป็นนักข่าวเหมือนกันหรอคะ? " ฉันจึงยิ้มอย่างมั่นใจก่อนที่จะพยักหน้าให้เธอแล้วตอบไปว่า

     

         " ค่ะ " พอฉันพูดจบ สื่อมวลชนคนนั้นก็แสยะยิ้มขึ้นมาแล้วพูดต่อว่า

     

         " งั้นหรอคะ? แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นหน้าคุณเลยล่ะ? "

     

         " เราทำงานคนละแผนกกันละมั้งคะ " พอฉันพูดจบ สื่อมวลชนคนนั้นก็ทำหน้าเหมือนจะไม่เชื่อ เธอมองฉันอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " โอ้! แล้วID cardของคุณหายไปไหนล่ะคะ? " เธอถามเสียงขึ้นจมูก ฉันจึงมองไปที่หน้าอกเสื้อของตัวเอง แล้วเห็นว่าฉันไม่มีป้ายชื่อห้อยคอเหมือนกับสื่อมวลชนคนอื่นๆ ฉันจึงแกล้งขมวดคิ้ว เอามือกุมขมับก่อนที่จะตอบเธอไปว่า

     

         " สงสัยฉันคงลืมหยิบมาด้วยน่ะคะ แย่จริงๆ เลยนะคะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยเตือน " ฉันว่าแล้วก็รีบลุกไปนั่งที่อื่น ถ้าขืนนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป มีหวังโดนจับได้แน่ๆ

     

         ฉันนั่งทำเนียนอยู่ในห้องนั้นต่อไป จนกระทั่งถึงเวลาเกือบสี่โมงเย็น การสัมภาษณ์ได้เสร็จสิ้นลง ฟาร์เวลจึงเดินออกไปจากห้องนั้นโดยผ่านทางเก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่ แล้วเขาก็หยุดเดินแล้วมองหน้าฉันก่อนที่จะพูดว่า

     

         " หวัดดี เธอคือเบลลาทริกซ์ใช่มั้ย? เราเคยเจอกันเมื่อคืนที่งานเลี้ยงเต้นรำรุ่นของโรงเรียนเธอน่ะ จำได้มั้ย? " ฟาร์เวลพูดขึ้นพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน และในตอนนั้นเอง...สื่อมวลชนทุกคนก็ได้มองมาที่ฉัน ฉันจึงรีบแก้ตัวไปว่า

     

         " เอ่อ...ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณคงจำคนผิดหรือเปล่าคะ? ฉันกับเบลลาทริกซ์คนนั้น เราเหมือนกันตรงไหนหรอ? "

     

         " เอ่อ...ขอโทษนะ ฉันคงทำงานหนักจนเบลอน่ะ " ฟาร์เวลว่าก่อนที่จะเดินออกไป แล้วฉันก็รีบเดินออกไปทันทีก่อนที่จะถูกพวกสื่อมวลชนรุมถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ เพราะฉันไม่อยากทำให้แผนการล่ม

     

         เมื่อฉันเดินออกมาแล้วไม่เจอใคร ฉันจึงรีบส่งสัญญาณไปบอกดรากเนสทันที และฉันก็มั่นใจว่า ดรากเนสต้องไม่ทำให้แผนการล่มแน่ๆ

     

    ( End Bellatrix's Part )

     

    ( Darkness's Part )

     

         ผมดีใจที่ได้รับสัญญาณจากเบลลาทริกซ์ แสดงว่าทั้งยูลิค และเบลลาทริกซ์ต่างก็ทำงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีด้วยกันทั้งคู่ และผมก็ต้องทำสำเร็จด้วยเหมือนกัน

     

         ตอนนี้ผมกำลังแอบอยู่บริเวณชั้นล่างของสตูดิโอ บอดี้การ์ดของฟาร์เวลทั้งสามคนที่สวมชุดสีดำ และสูงเกือบสองเมตรกำลังยืนรอฟาร์เวลด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ผมกลับไม่กลัวพวกเขาทั้งสามคนเลยแม้แต่น้อย และในขณะที่พวกบอดี้การ์ดกำลังยืนคุยกันอยู่ ผมก็เหลือบไปเห็นกุญแจรถที่โผล่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังของบอดี้การ์ดคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง ผมจึงรีบวิ่งเข้ามาล้วงกุญแจรถนั้นออกมา แล้ววิ่งออกไปทันที

     

         ห้าวินาทีต่อมา บอดี้การ์ดคนนั้นถึงจะรู้ตัวว่ากุญแจรถได้ถูกขโมยไปแล้ว เขาจึงบอกเพื่อนบอดี้การ์ดอีกสองคนให้วิ่งไปหากุญแจ ผมที่ยืนอยู่ข้างประตูของสตูดิโอจึงสั่นกุญแจนั้นเป็นเสียงกริ๊งๆ แล้วพวกบอดี้การ์ดก็วิ่งตามเสียงกุญแจนั้นทันที

     

         " เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่หยุดแกเจ็บแน่ " บอดี้การ์ดคนที่หนึ่งตะโกนบอก ในขณะที่พวกเขากำลังวิ่งตามผมอย่างบ้าคลั่ง

     

         " ไอ้หนุ่มนี่มันเป็นคนหรือเปล่าวะ? ทำไมถึงได้วิ่งเร็วอย่างนี้ " บอดี้การ์ดคนที่สองร้องเสียงหลง

     

         " แกทำแบบนี้ทำไม? ต้องการอะไร? " บอดี้การ์ดคนที่สามร้องถามพลางหอบไปด้วย ผมไม่สนใจคำพูดของพวกเขา แล้วจึงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ระหว่างนั้นผมก็ได้ส่งสัญญาณไปบอกแบล์คลีซาเพื่อให้เธอคอยรับหน้าที่ต่อไป

     

    ( End Darkness's Part )

     

    ( Adolph's Part )

     

         ตอนนี้ผมกำลังเดินเล่นอยู่ที่สวนด้านหลังสตูดิโอส่วนตัวของฟาร์เวลอย่างสบายอารมณ์ ทำไงได้ล่ะ ก็ผมไม่มีอะไรทำนี่ครับ

     

          เหมือนกับว่าพระเจ้าจะได้ยินเสียงบ่นในใจของผม พระองค์ทรงดลบันดาลให้เสียงสัญญาณที่ติดไว้ตรงหน้าอกเสื้อของผมดังขึ้น มันถูกส่งมาจากแบล์คลีซา เธอบอกผมว่าตอนนี้เธอยังหาเครื่องแบบสตาร์ฟใส่ไม่ได้ แล้วบอกให้ผมช่วยหาให้ งานเข้าแล้วกู!!!  ผมพูดกับตัวเองก่อนที่จะแอบย่องเข้าไปในสตูดิโออย่างเงียบๆ ก่อนที่จะพยายามปิดประตูให้ไม่มีเสียง

     

         เหมือนจะเป็นโชคดีของผมที่ผมเหลือบไปเห็นสตาร์ฟคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านนิตยสารอยู่บนโซฟาทันทีที่ผมเดินเข้ามา สตาร์ฟคนนั้นเป็นหญิงสาวเจ้าเนื้อเจ้าตัว ที่สำคัญ โอ้แม่เจ้า! อกเธอช่างบิ๊กบึ้ม และเซ็กซี่เป็นอย่างมาก เห็นแล้วอยากลองเอานิ้วจิ้มลงไปกลางอกสักครั้ง เฮ้ย! ไม่ได้ๆ นี่ผมกำลังทำงานอยู่นะ ความสำเร็จของงานนี้ก็มาได้ครึ่งทางแล้วด้วย จะปล่อยให้งานล่มเพราะผมคนเดียวไม่ได้ ว่าแล้วผมก็เดินเข้าไปหาเธอคน เอามือสะกิดไหล่เธอเบาๆ ก่อนที่จะ(พยายาม)ยิ้มอย่างจริงใจให้เธอแล้ว(พยายาม)พูดอย่างสุภาพที่สุดว่า

     

         " พี่สาวครับ ผมขอคุยด้วยสักครู่ได้มั้ยครับ? " พอผมพูดจบ พี่แกก็พยักหน้า ผมจึงพูดต่อว่า " งั้นก็กรุณาตามผมมาด้วยครับ " ผมว่าแล้วเดินนำพี่สาวอกบึ้มมาตรงที่ลับข้างๆ ห้องน้ำหญิง

     

         " อื่มม์...รีบๆ พูดมา ฉันมีงานต้องไปทำต่อ " พี่แกพูดเสียงห้วน แมร่ง...โหดฉิบหาย ท่าทางนักเลงใช้ได้เลยว่ะ เอาวะ...ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว รีบบอกไปเลยเรื่องมันจะได้จบๆ

     

         " ผมมีเรื่องอยากขอร้องให้พี่ช่วยอะไรผมสักอย่างน่ะครับ คือว่า... " พี่ครับ ขอจับนมหน่อยครับ เฮ้ย! ไม่ใช่ " กรุณาถอดเสื้อผ้าให้หมดด้วยครับ " พอผมพูดจบ พี่แกก็มองผมตาขวางแล้วตบหน้าผมเต็มแรง ทำไมครับ นี่ผมพูดผิดตรงไหนหรอ?

     

         " ไอ้โรคจิตเอ๊ย! ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะเว๊ยก่อนที่จะฉันเรียกบอดี้การ์ดมาลากคอแกออกไป " เมื่อผมได้ดังนั้น ผมก็ยิ้มบางๆ ที่มุมปากก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " คงไม่ได้หรอกมั้งครับพี่ เพราะบอดี้การ์ดพวกนั้นถูกเพื่อนผมล่อให้ไปที่อื่นหมดแล้วล่ะครับ "

     

         " หมายความว่ายังไง? "

     

         " ก็หมายความว่า พี่ต้องทำตามที่ผมบอกน่ะสิครับ อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ " พอผมพูดจบ พี่แกก็ทำหน้าเหวอก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ถ้าฉันไม่ทำแล้วแกจะทำอะไรฉัน " อื่มม์...ท้าทายดีนี่ อย่างนี้ต้องรีบจัดการให้เสร็จๆ

     

         " ก็อย่างนี้ไงครับ " ผมว่าแล้วใช้หมัดต่อยไปที่ท้องของพี่คนนั้น แล้วพี่แกก็สลบไปทันที ทำไมถึกๆ อย่างพี่แกถึงจัดการง่ายจังล่ะ นี่ผมไม่ได้ทำแรงเกินไปจริงๆ นะ

     

          เมื่อเห็นอย่างนั้น ผมจึงรีบลากร่างที่ไร้สติของพี่คนนั้นเข้าไปในห้องน้ำหญิงทันทีก่อนที่จะถอดเสื้อผ้าเธอออกแล้วเรียกแบล์คลีซาที่อยู่ในห้องน้ำออกมา

     

         ก่อนที่จะเดินออกไป ผมไม่ลืมที่จะลากร่างของยัยพี่อกบึ้มนี่เข้าไปเก็บในห้องน้ำห้องหนึ่งก่อนที่จะล็อคประตูไว้จากด้านนอก เอาไว้ทำงานเสร็จแล้ว ผมจะกลับมาปล่อยนะครับ

     

    ( End Adolph's Part )

        

          ในที่สุด...เวลาที่ฉันต้องไปทำหน้าที่ของตัวเองก็ได้มาถึงแล้ว หลังจากที่ต้องนั่งหลบอยู่ในห้องน้ำถึงชั่วโมงครึ่ง ไม่คิดเลยว่าเวลาจะผ่านไปเร็วเช่นนี้

     

         ฉันจึงก้าวออกมาจากห้องน้ำหญิงด้วยความมั่นใจ แต่ดูเหมือนว่าเครื่องแบบสตาร์ฟที่ฉันสวมอยู่จะเป็นอุปสรรค เพราะมันใหญ่เกินไปน่ะสิ เสื้อก็ยาวเกินไป ส่วนกระโปรงก็หลวมเกินไปจนแทบจะหลุดลงมา โลกนี้ช่างไม่มีอะไรที่สมบรูณ์แบบสำหรับฉันเลยจริงๆ

     

         ฉันค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องพักส่วนตัวของฟาร์เวล บรรยากาศภายในสตูดิโอช่างเงียบสงบจริงๆ ทุกคนคงประสบความสำเร็จเกินคาดสินะ ฉันถึงเข้ามาในห้องนี้ได้โดยไม่เจอปัญหาอะไรเลยน่ะ

     

         ฉันนั่งรอฟาร์เวลอยู่ในห้องพักส่วนตัวของเขาประมาณสิบห้านาที ฉันจึงเกิดความท้อขึ้นมาแล้วจึงหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู พบว่า...ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว เขาคงไม่มาที่นี่แล้วล่ะ เพราะเขาต้องรีบไปร่วมงานแจกรางวัลที่หอประชุมกรีซเจนเทลนี่นา 'แล้วฉันมาทำอะไรที่นี่น่ะ?' ฉันคิดพลางจะเดินออกไป

     

         กึก...กึก...กึก!!!

     

         ทันใดนั้น...เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ได้ดังขึ้น และมันก็ได้ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ฉันรู้ว่ามีใครบางคนกำลังเดินมาทางนี้ ฉันจึงเดินเข้าไปหลบข้างหลังโซฟาในห้องนั้น

     

         " เฮ้อ~ " เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นได้เดินเข้ามาในห้องนั้น เขาถอนหายใจก่อนที่จะนั่งลงบนโซฟา เขาคนนั้นมีผมสีน้ำตาลแดง และนัยน์ตาสีฟ้าอ่อน ใช่แล้ว! เขาคนนั้นคือฟาร์เวล

     

         เมื่อฉันเห็นร่างนั้นนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา ฉันจึงค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นจากที่ซ่อน แล้วรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อเดินออกไปหาเขา

     

         " ฟาร์เวล " ฉันเอ่ยเรียกเขาเบาๆ สิ้นคำฉัน ฟาร์เวลค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ เขามีสีหน้าที่ตื่นตกใจพอสมควรเมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าอยู่ในห้องพักส่วนตัวของเขา

     

         " เธอเป็นใครน่ะ? " เขาร้องถาม ฉันจึงแอบยิ้มกับท่าทางที่ไร้เดียงสาของเขาก่อนที่จะตอบไปว่า

     

         " ฉันแบล์คลีซา คนที่เต้นรำอยู่ข้างๆ คู่ของนายเมื่อคืนไง " พอฉันพูดจบ ฟาร์เวลก็จ้องหน้าฉันอย่างพิจารณาก่อนที่จะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

     

         " น้องสาวฝาแฝดของเบลลาทริกซ์ใช่มั้ย? " เขาเอ่ยถาม ฉันจึงพยักหน้ารับ " อื่มม์...เธอมีอะไรกับฉันหรอ? "

     

         " คือว่า...ฉันแค่อยากจะถามนายเกี่ยวกับเรื่องกุญแจดอกหนึ่ง มันเป็นกุญแจเก่าๆ สีทองเหลือง มีตราประทับรูปกางเขนมีปีกสีม่วงแดงประทับไว้บนกุญแจดอกนั้น นายเคยเห็นกุญแจดอกนั้นบ้างมั้ย? " พอฉันพูดจบ ฟาร์เวลก็หลับตาลง เขานิ่งไปสักพักก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า

     

         " อื่มม์...กุญแจดอกนั้นมันอยู่ที่บ้านของฉันเอง " เขาว่า  ความสำเร็จของฉัน...ฉันเริ่มเห็นมันแล้ว!!!

     

         " แล้วมันอยู่ส่วนในของบ้านนายล่ะ? ช่วยบอกฉันหน่อยได้มั้ย? เพราะตอนนี้ฉันจำเป็นต้องใช้มันเป็นอย่างมาก มีทูตองค์หนึ่งเขาอยากกลับบ้าน แต่ฉันก็หาวิธีที่จะช่วยเขาไม่ได้ จนวันหนึ่ง เขาก็ได้พูดถึงกุญแจดอกนี้ แล้วบอกอีกว่ามันจะช่วยพาเขากลับไปยังที่ที่เขามาได้ ดังนั้น...นายเป็นความหวังเดียวของฉัน ถ้านายไม่บอกฉัน ความพยายามทั้งหมดที่ฉันทำลงไปก็จะศูนย์เปล่า " ฉันว่า แต่เขากลับหัวเราะขึ้นมาก่อนที่จะพูดกับฉันว่า

     

         " ฉันชอบสำนวนการพูดของเธอ มันฟังดูสละสลวย และดูจับใจดี หวังว่า...เราคงจะได้มีโอกาสได้ร่วมงานกันสักครั้งนะ เขาพูดก่อนที่จะยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? " ไม่ต้องขอร้องหรอก ยังไงซะ ฉันก็ต้องบอกเธออยู่แล้ว  ฉันน่ะ...ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอนะ เขาว่าแล้วหลับตาลงอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาอย่างแผ่วเบาว่า " กุญแจดอกนั้น...อยู่ในห้องของปู่ทวดของฉัน เขาเก็บมันไว้นานกว่าสองร้อยปี และเก็บมันไว้อย่างดีไว้ในหีบสีบานเย็นขอบทองที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงของเขา "

     

         " ขอบคุณนะ " ฉันเอ่ยขึ้นก่อนที่จะรีบวิ่งออกไป

     

         หลังจากที่ได้คำตอบจากฟาร์เวลมาแล้ว ฉันก็แทบจะเป็นบ้าเลยทันที ฉันรอไม่ได้แล้ว ฉันต้องรีบจัดการเรื่องทั้งหมดให้เสร็จเดี๋ยวนี้

        

    ( Monstella's Part )

     

         แบล์คลีซาส่งสัญญาณมาบอกฉันเมื่อเวลา 4 : 51 : 23 p.m. ฉันจึงรีบบอกให้เรอัสขึ้นไปที่ชั้นสามเพื่อไปลบภาพในกล้องวงจรปิดด้วยกัน เรอัสมีท่าทีดีใจอยู่ไม่น้อยที่แผนการของพวกเรากำลังจะจบลงด้วยดี ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน วันนี้ทุกคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก

     

         ฉันกับเรอัสมาถึงชั้นสามของสตูดิโอ และกำลังจะเดินเข้าไปในห้องซึ่งเป็นห้องฉายภาพจากกล้องวงจรปิด ฉันรู้สึกอุ่นใจอย่างมาก ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฉันไม่เจอปัญหาหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่า...มันโชคดีที่มีเพื่อนคอยอยู่ข้างๆ ด้วย แทนที่จะต้องลงมือทำอยู่คนเดียว

     

         " เรอัส นายออกไปดูต้นทางอยู่ข้างนอกก่อน เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง " ฉันร้องบอกเรอัส แล้วเขาก็เดินออกไปดูต้นทางข้างนอกอย่างง่ายดาย เอาล่ะ...ฉันจะลบภาพอย่างแนบเนียนที่สุด เอาจนไม่ให้มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ได้เลยล่ะ

     

         หลังจากนั้น...ฉันจึงรวบรวมสมาธิทั้งหมดแล้วจับจ้องไปที่จอภาพด้วยความมุ่งมั่น แล้วจึงโบกมือช้าๆ ขึ้นกลางอากาศก่อนที่จะว่าคาถาเร็วๆ ว่า

     

         " quiowbumitois ukghlei recawk!!! " หลังจากนั้น...เมื่อฉันลืมตาขึ้น ฉันก็ยิ้มให้กับความสำเร็จตรงหน้าเมื่อภาพในจอภาพทั้งหมดที่เป็นภาพของวันนี้ตอนบ่ายโมงถึงตอนนี้ได้หายไปหมดแล้ว สำเร็จแล้วสินะ

     

         " เรียบร้อยแล้ว ออกไปกันเถอะ " ฉันร้องบอกเรอัสก่อนที่จะรีบเดินออกไป พอฉันก้าวเท้าลงบันไดชั้นสองไปได้เจ็ดขั้นแล้ว เรอัสก็ร้องขึ้นว่า

     

         " นี่...ไม่ต้องรีบเดินขนาดนั้นก็ได้ เห็นเธอบอกว่าเธอเจ็บขาอยู่ไม่ใช่หรอ? " ทำไมวันนี้เรอัสถึงพูดจาแปลกๆ ล่ะ? เกิดอะไรขึ้นหรอ? หรือว่า...เขาจะไม่ได้นอนทั้งคืนจนเพี้ยนไปแล้ว

     

         " ตอนนี้ฉันหายแล้วล่ะ นักเวทย์น่ะคืนชีพเร็วจะตายไป " ฉันร้องบอกในขณะที่กำลังเดินลงบันได จนตอนนี้ฉันได้เดินมาถึงชั้นล่างสุดแล้ว

     

         " เอ่อ...จริงด้วย ฉันลืมไปเลยว่าเธอเป็นนักเวทย์ "  ว่าไงนะ...เขาบอกว่าเขาลืมงั้นหรอ? แล้วเมื่อกี้เขาทำอะไรอยู่ล่ะถึงไม่ได้ยินฉันว่าคาถาน่ะ?

     

         " นี่...วันนี้นายเป็นอะไรไปน่ะ? ปกติเห็นความจำดีจะตาย "

     

         " ไม่รู้สิ " เรอัสตอบแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนที่จะเดินนำฉันออกไปจากสตูดิโอของฟาร์เวล

     

         เป็นอะไรของเขานะ?

     

    ( End Monstella's Part )

     

         ตอนนี้แผนการบุกสตูดิโอส่วนตัวของฟาร์เวลก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ยิ่งเบลลาทริกซ์โทรบอกฉันว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีปัญหาตามมา ฉันก็ยิ่งมั่นใจว่าจะทำงานในส่วนที่เหลืออยู่ได้สำเร็จ

     

         ตอนนี้ฉันกำลังเดินหาบ้านของฟาร์เวลตามที่อยู่ที่เขาได้บอกไว้ และมันก็ง่ายกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ เพราะว่าบ้านของเขานั้นดูโดดเด่นเป็นพิเศษ บ้านทุกหลังในถนนสายนี้เป็นบ้านหลังเล็กๆ สีขาว หลังคาสีน้ำเงิน แต่บ้านของฟาร์เวลนั้นเป็นบ้านหลังใหญ่ ดูโอ่อ่า หรูหรา เป็นบ้านที่ทำมาจากหินชั้นดีสีเทาอ่อน ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมยุโรป และถูกประดับตกแต่งด้วยอัญมณีหายาก

     

          ถึงแม้ว่าบ้านของเขาจะดูสวยสมบรูณ์แค่ไหน แต่นิสัยของคนในบ้านของฟาร์เวลกลับมีจุดบทพร่องอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถจะให้อภัยได้ นั่นก็คือ...พวกเขาดันลืมปิดประตูบ้านไว้น่ะสิ

     

         ถือว่าเป็นโชคดีของฉัน ที่พวกเขาลืมที่จะปิดประตูบ้าน ทำให้ฉันเข้าไปในบ้านของฟาร์เวลได้ง่ายขึ้น แต่อย่าเพิ่งวางใจไปเลย บางที...อาจจะมีความยุ่งยากบางอย่างรอฉันอยู่ก็เป็นได้

     

         ฉันค่อยๆ ย่องเข้าไปในบริเวณตัวบ้านอย่างเงียบๆ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น บรรยากาศภายในบ้านของฟาร์เวลเงียบผิดปกติ บางที...ในบ้านหลังนี้ อาจจะไม่มีใครอยู่เลยก็เป็นได้

     

         ฉันค่อยๆ ก้าวอย่างระมัดระวังเพื่อขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง แล้วเลี้ยวซ้ายเพื่อเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านใน อย่างที่ฟาร์เวลบอก มันเป็นห้องของปู่ทวดของเขา

     

          แอด!!!

     

         ฉันค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป แล้วเดินเข้าไปช้าๆ ฉันพบร่างของชายชราคนหนึ่งซึ่งอายุน่าจะมากกว่าหนึ่งร้อยปีขึ้นไปนอนบนเตียงที่ถูกวางไว้ตรงกลางห้องอย่างสงบนิ่ง แล้วฉันก็เดินเข้าไปเพื่อจะหยิบหีบสีบานเย็นขอบทองที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงของชายชราคนนั้น แต่เสียงหอบหายใจถี่ๆ ของชายชราคนนี้ทำให้ฉันขนลุก ฉันจึงรีบปล่อยมือจากหีบนั้นทันที เพราะฉันรู้สึกไม่ดี ฉันจึงเดินออกห่างจากหีบใบนั้นทันที และทันใดนั้นเอง...

     

         " เธอแตะต้องหีบใบนั้นทำไม? " น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายชราคนนั้นเอ่ยขึ้น มันทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย ต่อมา...ชายชราคนนั้นก็ได้พยายามที่จะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งกับเตียง ฉันจึงได้แต่ก้มหน้าต่อไป

     

         " ขอโทษที่มารบกวนค่ะ " ฉันว่าก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องนั้น เพียงเพราะรัศมีความน่าสะพรึงกลัวของชายชราคนนั้นที่แผ่เข้ามาหาฉันอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อไปอย่างนั้นหรอ? มาถึงขั้นนี้แล้ว จะกลับไปมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้นะ แบล์คลีซา...เธอเกลียดความล้มเหลวไม่ใช่หรอ? เสียงในใจที่อยู่ส่วนลึกที่สุดของฉันร้องขึ้น ฉันจึงเดินเข้ามาในห้องนั้นใหม่ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อพูดกับชายชราคนนั้น

     

         " คือว่า...หนูมาที่นี่เพื่อที่จะมาขอเอากุญแจที่อยู่ในหีบนั้นไปน่ะคะ หนูมีความจำเป็นที่ต้องใช้กุญแจดอกนั้นจริงๆ ค่ะ คือว่า...มีทูตองค์หนึ่ง ปรากฏตัวต่อหน้าหนู เขาบอกให้หนูช่วยเขาให้กลับไปยังที่ที่เขามา แล้ววันหนึ่ง เขาก็พูดถึงกุญแจดอกนี้ขึ้นมา และกุญแจดอกนี้เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาให้กลับไปยังที่ที่เขามาได้ คุณปู่ทวดคะ หนูขอยืมกุญแจดอกนี้ไปใช้แค่ครู่เดียวเท่านั้นนะคะ หนูสัญญาค่ะว่าถ้าหนูใช้เสร็จแล้ว หนูจะรีบเอามาคืนทันทีเลยค่ะ แล้วหนูก็จะสัญญาอีกว่า หนูจะไม่ใช้กุญแจดอกนี้ไปทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เด็ดขาด " พอฉันพูดจบฉันก็หอบหายใจทันที ชายชราคนนั้นยังคงไม่ละสายตาไปจากฉันเลยแม้แต่น้อย เขาไอขึ้นมาสองสามที ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

     

         " ฉันเข้าใจเธอนะ แต่ฉันมีเหตุผลที่ต้องเก็บกุญแจดอกนี้ไว้คนเดียว และฉันคงไม่ให้ใครยืมกุญแจดอกนี้แล้วล่ะ เพราะว่าความทรงจำในอดีตที่น่าขมขื่นได้เตือนฉันเอาไว้แล้ว " ชายชราคนนั้นว่า เขาหอบหายใจสักพักก่อนที่จะพูดต่อว่า " ในอดีต พวกมนุษย์ได้แสวงหาทางที่จะขึ้นไปยังนครบริสุทธิ์ของพระเจ้า โดยที่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าในนครบริสุทธิ์นั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงเตรียมที่ไว้สำหรับพวกเขาเลย แต่พวกมนุษย์เหล่านั้นยังคงดิ้นรนที่จะเข้าไปนครบริสุทธิ์นั้นให้ได้ และพวกเขาก็ยังได้ฝืนโชคชะตาโดยการใช้กุญแจดอกนี้เพื่อใช้เป็นทางในการที่พวกเขาจะสามารถเข้าไปยังนครบริสุทธิ์นั้นได้ ต่อมา...ฉันเริ่มทนพฤติกรรมฝืนธรรมชาติของมนุษย์เหล่านั้นไม่ไหว ฉันจึงได้เก็บกุญแจดอกนี้ไว้โดยไม่คิดที่จะเอามาใช้อีกเลย ทั้งๆ ที่ฉันแก่จนไม่สามารถที่จะอยู่ในโลกนี้ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ยอมที่จะใช้กุญแจดอกนี้เพื่อเข้าไปยังนครบริสุทธิ์นั้นเลย เพราะฉันรู้ตัวว่าฉันเองก็เป็นคนบาปที่ไม่สมควรที่จะอยู่ในนครบริสุทธิ์นั้น "

     

         " แล้วคุณปู่ทวดได้ทำบาปอะไรล่ะคะ? " ฉันเอ่ยถามขึ้น ชายชราคนนั้นจึงมีท่าทีที่นิ่งไป เขามองหน้าฉัน ก่อนที่น้ำตาแห่งความสำนึกผิดจะไหลออกมาจากดวงตาของเขา

     

         " ความจริงแล้ว กุญแจดอกนี้ไม่ใช่ของฉันเองตั้งแต่แรกแล้ว แต่ฉันเอามันมาจากบ้านของครอบครัวประหลาดครอบครัวหนึ่ง ฉันมันเห็นแก่ตัวจริงๆ " ชายชราเอ่ยขึ้นพลางมองหน้าฉัน ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า " นี่...เธอหน้าเหมือนคนคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จักจริงๆ นะ คนที่ฉันเอากุญแจนี้มาจากคนคนนั้นน่ะ "

     

         " แล้วคนคนนั้นชื่ออะไรล่ะคะ? "  

     

         " โบเวียซ์น่า เวลส์ไดมอนด์ " โบเวียซ์น่า เวลส์ไดมอนด์งั้นหรอ? ฉันรู้สึกคุ้นกับชื่อของคนๆ นี้มาก เธอเป็นใครกันนะ?

     

         " คุณปู่ทวดค่ะ หนูคิดว่าหนูรู้จักคนคนนั้นค่ะ เธอเป็นย่าทวดของหนูเอง " พอฉันพูดจบ ชายชราคนนั้นก็มองฉันด้วยสายตาตกตะลึง และนัยน์ตาของเขาดูเปี่ยมไปด้วยความหวัง แล้วเขาจึงเอ่ยถามฉันว่า

     

         " แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ? "

     

         " แบล์คลีซา เวลส์ไดมอนด์ "

     

         " แบล์คลีซา เวลส์ไดมอนด์? เธอเป็นผู้สืบทอดของโบเวียซ์น่าจริงๆ ด้วย ถึงเวลาแล้วสินะ ที่ฉันจะได้นำกุญแจส่งคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริงน่ะ " ชายชราว่าพลางหยิบหีบขึ้นมาแล้วหมุนรหัส ต่อมา...ฝาหีบก็ได้เปิดขึ้น พร้อมกับกุญแจดอกนั้นที่ฉันได้ตามหามาตั้งแต่เมื่อคืนก็ได้ปรากฏขึ้น มันเปล่งแสงประกายสีทองเหลือง จากนั้นมันก็ได้ลอยมาอยู่บนมือของฉัน ช่างง่ายดายอะไรเช่นนี้!

     

         " ฉันขอเตือนเธอไว้ก่อนนะว่าที่เธอมีกุญแจดอกนี้ไว้ครอบครองน่ะ มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ เพราะว่าการใช้กุญแจดอกนี้ มันเป็นการกระทำที่ผิดกฎของสวรรค์ จงใช้กุญแจดอกนี้แต่จำเป็น แล้วอย่าใช้มากจนเกินไป ถ้าหากเธอฝ่าฝืนล่ะก็ เธอ รวมทั้งผู้ร่วมกระทำผิดคนอื่นๆ จะต้องมีอันเป็นไปภายในสิบวันหลายจากที่ได้เริ่มไขกุญแจดอกนี้แล้ว " ชายชราตัดบท ฉันจึงพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินออกไป และดูเหมือนว่าโชคร้ายก็ได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อ...

     

         " ฟาร์เวลของแม่ ลูกนี่เก่งจริงๆ เลยนะจ๊ะ ทำอะไรก็ดีไปหมด ขนาดในช่วงปีที่แล้วยังไม่ค่อยได้ทำงานหนักเท่าไหร่เลย เฉพาะในคืนนี้ ลูกก็สามารถกวาดรางวัลใหญ่ๆ มาได้ถึงหกรางวัลแน่ะ " เสียงแหลมสูงของหญิงสาววัยกลางคนดังขึ้น ซึ่งถ้าฟังจากสรรพนามที่ใช้พูดแล้ว ฉันคิดว่า เธอคนนี้ต้องเป็นแม่ของฟาร์เวลแน่ๆ ฟาร์เวลกับครอบครัวของเขากลับมากันตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ? ทำไมฉันถึงไม่ได้ยินเสียงรถเลยล่ะ?

     

         " นี่ฟาร์เวล เอารางวัลพวกนี้ไปให้ปู่ทวดดูสิ ฉันว่าปู่ทวดต้องภูมิใจในตัวแกแน่ " เสียงทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งดังขึ้น และหลังจากนี้ก็มีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และคนเหล่านั้นกำลังจะเข้ามาในห้องนี้!!!  ไม่นะ! นี่ฉันต้องรีบออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด ฉันร้องบอกตัวเองในใจ และขณะนั้นเอง ฉันก็เหลือบไปเห็นประตูบานหนึ่งซึ่งเชื่อมระหว่างห้องนี้กับระเบียง ฉันจึงเปิดประตูบานนี้ แล้วออกไปหลบอยู่ที่ระเบียง

     

         ฉันค่อยๆ ปิดประตูให้เบาที่สุด แล้วรีบเก็บกุญแจใส่ไว้ในกระเป๋ากระโปรงทันที ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังจะดำเนินไปด้วยดี แต่ว่า...

     

         โครม!!!

     

         " เฮ้ย! ใครอยู่บนระเบียงนั้นน่ะ? " แย่แล้ว! ข้างล่างมีการ์ดล้อมรอบอยู่เต็มไปหมดเลย ฉันไม่น่าพลาดเลยจริงๆ ถ้าหากว่าฉันไม่ไปสะดุดเศษหินซะก่อน มันก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้    

     

         " ถ้ายังไม่ลุกขึ้นแสดงตัวอีกละก็...แกตายแน่ " การ์ดคนหนึ่งร้องบอก แล้วการ์ดทั้งหมดก็ชักปืนออกมาทำท่าจะยิงฉัน ฉันจึงยืนขึ้นช้าๆ เพราะไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ฉันจึงได้แต่หลับตาปี๋เพื่อรอให้พวกเขายิงฉัน ในขณะที่ฉันยังคงหวังอยู่ลึกๆ ว่าคงจะมีใครสักคนมาที่นี่เพื่อช่วยฉัน  

     

         และดูเหมือนว่า...ความหวังของฉันได้เป็นจริงแล้ว เมื่อฉันรู้สึกอบอุ่น และมีความหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×