[Fic The Mask singer] #มัธยมหน้ากาก - [Fic The Mask singer] #มัธยมหน้ากาก นิยาย [Fic The Mask singer] #มัธยมหน้ากาก : Dek-D.com - Writer

    [Fic The Mask singer] #มัธยมหน้ากาก

    ผู้เข้าชมรวม

    3,819

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    3.81K

    ความคิดเห็น


    15

    คนติดตาม


    58
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 มี.ค. 60 / 11:59 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    ได้ไอเดียมาจากแท็ก #มัธยมหน้ากากค่ะ มาเม้าท์มอยกันได้ที่ นี่

    _________________________________________________________________________________________________

    “สถาบันหน้ากาก” สถาบันที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษา เป็นสถาบันที่มีการสอบเข้าและการแข่งขันสูงติดระดับต้นๆของประเทศ โดยผู้ที่มีสิทธิ์เข้าเรียนที่นี้ต้องทำตามกฎที่ว่า “ผู้เข้าศึกษาทุกคนต้องสวมหน้ากากเพื่อปกปิดตัวตนของตนเองและไม่เปิดเผยตัวตนไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น” โดยมีเหตุผลมาจากที่ท่านผู้อำนวยการต้องการลดปัญหาการมีความรักในวัยเรียน และปัญหาการทะเลาะวิวาท โดยถ้าเราไม่รู้ว่าคนภายใต้หน้ากากนั้นเป็นใคร ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น-ซึ่งคณาจารย์หลายท่านเห็นด้วยกับเหตุผลนี้- แต่ก็แอบมีข่าวลือมาอย่างลับๆในหมู่นักเรียนด้วยกันว่า เหตุผลจริงๆของการสวมหน้ากาก อาจเป็นเพราะความชอบส่วนตัวและความสนุกอยู่ลึกๆก็-เป็น-ได้

    ดังนั้นแล้ว นอกจากที่นี่จะเป็นสถาบันที่คร่ำเคร่งในด้านวิชาการถึงขั้นรีไทร์เด็กที่ทำคะแนนวิชาการงานได้ต่ำกว่าเกณฑ์แล้ว ยังอาจเป็นสถาบันที่มีความบันเทิงที่สุดในประเทศด้วยเช่นกัน

    แต่เวลาเรียนก็คือเวลาเรียน เวลาเล่นก็คือเวลาเล่น ต่อให้มีการแข่งขันสูงแค่ไหน ช่วงพักกลางวันก็ถือเป็นช่วงเวลาแห่งสวรรค์ของเด็กหลายๆคนด้วยเช่นกัน

    แต่บางคนก็ไม่ล่ะนะ

    “พี่~ดำ~คร้าบ~”เสียงหวานที่เจือด้วยความกวนตีนดังลอยมาตามลม ร่างเล็กๆที่เตี้ยกว่าระดับมาตรฐานกำลังโบกมือหยอยๆให้กับรุ่นพี่หนุ่มที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหิน

    “อีกาดำ เรียกให้ถูกหน่อย”หนุ่มรุ่นพี่หันควับมาตอบในทันใด

    “ครับๆ พี่อีกาดำครับ”ทุเรียนหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ “แล้วพี่ทำอะไรอยู่น่ะ”มองโต๊ะม้าหินที่มีฝาขวดน้ำอัดลมนับสิบวางอยู่อย่างเป็นระเบียบแล้วอดถามไม่ได้

    “เล่นหมากฮอส”เสียงแหบตอบกลับมานิ่งๆ

    “คนเดียวเนี่ยนะ?”

    “อืม”

    พี่ท่านจะเทพเกินไปแล้วครับ!!

    ชายหนุ่มในหน้ากากทุเรียนมองรุ่นพี่คนสนิทด้วยความอึ้ง ไม่ได้อึ้งในความสามารถด้านหมาก     ฮอสแต่อย่างใด แต่อึ้งที่สามารถเล่นหมากฮอสคนเดียวได้มากกว่า เอ่อ...นี่พี่ชายผมไร้สังคมขนาดนี้เลยหรอ ทุเรียนเพลียย

    “แล้วเพื่อนพี่ล่ะครับ”

    “ไปดีดอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”เป็นอันรู้ว่าหมายถึงใคร คนที่อีกาดำสนิทด้วยนั้นสามารถนับจำนวนได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว

    คงเป็นเพราะบุคลิกที่ดูจริงจังและชอบแผ่รังสีกดดันออกมาโดยไม่รู้ตัวเสมอเลยทำให้รุ่นพี่คนนี้ไม่ค่อยมีเพื่อนที่สนิทด้วยมากนัก แต่ทุเรียนรู้ว่าคนๆนี้บันเทิงกว่าที่ตาเห็น ไม่งั้นคงมาคบกับเขาไม่ได้หรอก

    เพราะเขาน่ะ จอมกวนตีนตัวพ่อเลยล่ะ

    “คือผมมีเรื่องอยากให้พี่ช่วยหน่อย”ทุเรียนเริ่มเข้าประเด็นที่ตนมาหาเขาในวันนี้ หลังจากที่นั่งจ้องอีกาเล่นหมากฮอสกับตัวเองมาสักพัก

    อีกาดำเลิกคิ้ว ใช้ความเงียบเป็นสัญญาณบอกว่าให้พูดต่อไปได้

    “พี่ช่วยสอนผมเต้นลีลาศทีดิ”

    ห้ะ?!

    อีกาดำหันขวับไปหารุ่นน้องทันที สอนลีลาศ? หมอนี่เนี่ยนะ มาขอให้เขาสอนลีลาศ? เมาทุเรียนรึไง

    เมื่อเห็นรุ่นพี่จ้องเขม็ง ทุเรียนจึงได้แต่นั่งตัวลีบแล้วค่อยๆอธิบาย “คือชั้นม.4 มีเรียนลีลาศแล้วผมได้เต้นคู่กับโพนี่” พอมาถึงท่อนนี้แล้วคิ้วของอีกาดำแอบกระตุกเบาๆภายใต้หน้ากาก “แต่รายนั้นจู้จี้ชะมัด เต้นผิดนิดผิดหน่อยก็บ่น อยากเต้นคู่กับครูกันต์บ้างล่ะ อะไรบ้างล่ะ”ทุเรียนพ่นลมหายใจออกมาดังๆ “ใครมันจะอยากไปเต้นผิดบ่อยๆกันล่ะ!

    “นายก็เลยจะมาขอให้ฉันสอนเต้น?”

    เด็กหนุ่มพยักหน้ารัวๆ พยายามทำท่าออดอ้อนให้น่ารักที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ “นะครับพี่อีกาสุดหล่อสุดเท่ ผมรู้นะว่าพี่ได้เกรดสี่วิชาลีลาศน่ะ”แอบไปถามพี่หมูป่าผู้เคยผ่านร้อนหนาววิชานี้ด้วยกันมา ถึงจะไม่น่าเชื่อ แต่อีกาดำเคยถูกขอให้เป็นตัวแทนไปแข่งลีลาศกระชับมิตรระหว่างโรงเรียนมาแล้ว

    อีกาดำมองท่าทางออดอ้อนนั้นแล้วก็อดจะใจอ่อนไม่ได้ จนอยากจะจับมาฟัดสักครั้งให้รู้แล้วรู้รอดมือแสร้งลูบคางอย่างใช้ความคิดถึงผลตอบแทนที่ตนจะได้ตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์ “ถ้าฉันสอนนายแล้วฉันจะได้อะไร”

    “ทุเรียนสามมื้อหลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น!!”ตอบกลับไปแบบไม่สนว่าอีกคนชอบทุเรียนหรือไม่

    “ไม่เอาหรอก กินแบบนั้นได้ร้อนในตายกันพอดี”อดส่ายหัวให้กับความไร้เดียงสาแบบตลกร้ายไม่ได้

    “งั้นกินมังคุดตามก็จบฮะ”ตามทฤษฏีกินของร้อนแล้วต้องต่อด้วยของเย็น เป็นการปรับสมดุลหยิน หยางภายในร่างกาย

    “ถ้าพี่ไม่สอนผม ผมไปขอให้พี่จิงโจ้สอนให้ก็ได้”เมื่อเห็นอีกคนยังไม่ยอมให้คำตอบเสียที คนตัวเล็กเลยตัดพ้อด้วยความน้อยใจและทำท่าจะลุกเดินออกไปเสียดื้อๆ ถ้าไม่สอนผมก็ไม่ง้อหรอก!

    แต่มีหรือที่อีกาจะยอม

    มือของอีกฝ่ายคว้าหมับ!เข้าที่ลำแขนทันที อีกาดำเผลอปล่อยรังสีอำมหิตออกมาครู่หนึ่งเมื่อได้ยินชื่อคู่อริออกมาจากปากของรุ่นน้องคนนี้ “ยังไม่ได้บอกว่าจะไม่สอนเสียหน่อย” เขาไม่มีทางปล่อยโอกาสแบบนี้ให้หลุดไปเสียหรอก

    ทุเรียนตาลุกวาวทันที ชายร่างเล็กยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกแทบจะชนกัน “พี่จะสอนผมจริงๆใช่มั้ยครับ!

    อีกาดำแอบใช้โอกาสนี้สูดกลิ่นกายของคนตรงหน้า และแน่นอนว่าไม่พ้นกลิ่นทุเรียน “อืม”

    “ขอบคุณมากครับพี่ พี่นี่ใจดีที่สุดเลย!”ดีใจเสียจนเผลอกอดรุ่นพี่ไปแรงๆหนึ่งที “ถ้างั้นผมขอตัวไปเรียนก่อนนะครับ จะซ้อมที่ไหนก็ไลน์มาบอกผมด้วยนะ”พูดจบก็วิ่งเริงร่าท่าไททันขึ้นชั้นเรียนไป ทิ้งให้คนถูกกอดมองตามไปแบบขำๆ

    ลีลาศงั้นรึ โอกาสแบบนี้คงจะไม่มาให้เห็นบ่อยๆ ใครปล่อยให้หลุดมือไปก็โง่แล้ว

    อีกาดำกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ_และแอบทะเล็ดออกมาทางใบหน้า_เมื่อมีเหยื่อเข้าปากพอดี รุ่นพี่หนุ่มนั่งนึกไปพลางๆว่าจะสอนแบบไหนดีเขาถึงจะได้กำไรจากรุ่นน้องมากที่สุด

    “ฮั่นแน่!!! นั่งยิ้มอะไรอยู่คนเดียวน่ะ!!”จู่ๆเสียงเดซิเบล 108 หลอดของหมูป่าก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง ทำเอาคนที่นั่งอยู่ถึงกับสะดุ้งสุดตัว ความคิดเมื่อครู่กระจัดกระจายหายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    “เธอ”อีกาพูดรอดไรฟันด้วยความหงุดหงิด บทจะมาก็มา บทจะหายก็หาย ให้มันได้อย่างนี้สิ!

    หญิงสาวผู้สวมหน้ากากหมูป่าและเสื้อคลุมตัวนอกแบบเฮฟวี่ๆ ผู้เป็นเพื่อนสนิทและผู้หญิงเพียงคนเดียวที่สามารถต่อกรกับอีกาดำได้ เธอมองเพื่อนชายของตัวเองที่กำลังอารมณ์ประทุด้วยความชอบใจ ก่อนจะเอากำปั้นทุบฝ่ามือแล้วร้อง อ๋ออ ออกมา

    “ช่วงที่ฉันไม่อยู่ นายมาแอบอี๋อ๋อกับน้องทุเรียนนี่เอง”

    “เงียบน่า!

    .

    .

    .

    เป็นเรื่องธรรมดาสามัญทั่วไปที่เด็กส่วนใหญ่จะไม่สนใจเรียนในช่วงคาบบ่าย(เนื่องจากวิชาหนักๆถูกอัดไปอยู่ในช่วงเช้าแทบทั้งสิ้น) บางคนก็เล่นมือถือ ส่วนบางคนก็ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    แต่สำหรับกลุ่มเด็กเรียน ต่อให้เป็นวิชาที่ไม่สำคัญก็ทิ้งไม่ได้อยู่ดี โดยเฉพาะเด็กห้อง A ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเก่งแล้วนั้น คนที่ไม่ตั้งใจเรียนจึงหาได้ยากกว่าห้องทั่วไป

    “นี่ระฆัง”เสียงโพนี่กระซิบเบาๆข้างหูเพื่อนชายในขณะที่มือจดตามตัวอักษรบนกระดานยิกๆ “นายว่าทุเรียนแปลกๆไปมะ?”บุ้ยปากไปทางเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆระฆังถึงแม้อีกคนจะไม่เห็นว่าบุ้ยปากก็เถอะ

    ระฆังมองตามแล้วพยักหน้า “มากๆ” เขาตอบกลับด้วยเสียงที่เบาพอกัน “ตั้งแต่กลับมาจากช่วงพักกลางวันก็ดูแปลกไป”

    โพนี่พยักหน้ารัวๆ ตั้งแต่กลับมาจากช่วงพักกลางวันก็แปลกไปจริงๆอย่างที่ระฆังบอก เหม่อในคาบเรียนบ้าง เช็คโทรศัพท์ทุกๆ 5 นาทีบ้าง นั่งยิ้มคนเดียวบ้าง อาการแบบนี้มัน...

    “หรือว่าจะโดนสาวบอกรักมา!”จู่ๆก็โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จนชายหนุ่มต้องรีบตะครุบปากโพนี่ไว้ก่อนที่คุณครูจะหันมาปาแปรงลบกระดานใส่พวกเขาแทน

    “ไม่หรอกมั้ง”ระฆังแย้งแม้อีกใจจะแอบเห็นด้วยก็ตาม คนอย่างทุเรียนนอกจากทุเรียนแล้ว เขายังไม่เคยเห็นจะแลสาวที่ไหนเลย ขนาดโพนี่ที่ทั้งสวยและน่ารักยังไม่อยู่ในสายตาเลยสักนิด

    “ก็ไม่แน่นะ ขนาดเราคุยกันแบบนี้ยังไม่รู้สึกตัวเลย นู่นน เช็คโทรศัพท์อีกล่ะ”หญิงสาวยังคงยัดข้อหาให้เพื่อนแบบไม่ยอมแพ้แม้เสียงที่พูดออกมาจะปนด้วยความหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย อย่ามาบังอาจมีแฟนก่อนชั้นนะยะ!

    ยังไม่ทันที่ระฆังจะได้พูดอะไร เสียงออดเลิกเรียนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ทุเรียนที่นั่งเช็คมือถืออยู่รีบยัดข้าวของลงกระเป๋านักเรียนแล้วจ้ำอ้าวออกไปจากห้องทันทีก่อนที่จะได้ทำความเคารพคุณครู นั่นยิ่งทำให้โพนี่มั่นใจมากขึ้นไปอีก

     “หรือว่าใช่จริงๆอ่ะระฆัง!”ไม่ว่าเปล่าแถมยังเขย่าคอเสื้อเพื่อนแรงๆ จนระฆังต้องยกมือปรามบอกให้หยุดก่อนที่ตนจะขาดอากาศหายใจ

    ทุเรียนเดินก้มหน้าอ่านข้อความจากคนที่ทำให้เขาไม่มีสมาธิเรียนตลอดทั้งวัน

     [รออยู่ที่ห้องลีลาศ]

    ข้อความสั้นๆที่ทำให้ดีใจจนตัวลอย แค่คิดว่ารุ่นพี่คนนั้นยอมสอนให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว สองเท้ารีบเพิ่มความเร็วไปตามสถานที่นัดหมายทันที

    ห้องลีลาศของโรงเรียนมีขนาดใหญ่ประมาณห้องเรียนสามห้องรวมกัน ประดับห้องด้วยแชนเดอเลียร์อันโตที่ซื้อมาเพื่อผลาญงบประมาณโรงเรียนเล่นๆ ห้องถูกตกแต่งในสไตล์ยุโรปเพื่อเพิ่มความโรแมนติก ดังนั้นห้องลีลาสของโรงเรียนเลยได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่คนนิยมมาบอกรักกันมากที่สุด

    ร่างในชุดดำอันคุ้ยเคยยืนเตะเท้าอยู่กลางห้อง ทันทีที่เขาเห็นทุเรียน ชายหนุ่มก็รีบเดินเข้ามาหาทันที

    สายัณห์สวัสดิ์ครับพี่”ทุเรียนก้มตัวไหว้ด้วยความนอบน้อมทว่าแฝงไว้ด้วยความกวนตีนเล็กๆ

    “ถ้างั้นรับไหว้”อีกฝ่ายก็รับไหว้ด้วยท่าทีไม่ต่างกัน

    ทุเรียนมองซ้ายขวาไปรอบห้องก่อนจะพบว่าในห้องลีลาศนี้มีเพียงแค่พวกเขาสองคน ทั้งๆที่ปกติทุกเย็นจะมีคนในชมรมลีลาสมาใช้ห้องสำหรับซ้อม “นี่พี่ถึงกับยึดห้องลีลาศเพื่อใช้สอนผมเลยหรอเนี่ย”

    อีกาดำไม่ตอบ แต่อันที่จริงแล้วจะใช้คำว่า ยึด เองก็ไม่ถูกเท่าไหร่ ตอนที่เขามาเจรจากับคนในชมรมเพื่อขอใช้พื้นที่ห้องสำหรับซ้อมบางส่วน อยู่ดีๆคนทั้งชมรมก็พร้อมใจกันยกห้องนี้ให้เขาแล้วบอกว่าจะไปซ้อมกันเองที่สวนหลังโรงเรียน เชิญตามสบายเลยครับรุ่นพี่ มีคนในชมรมพูดกับเขาไว้แบบนั้น

    “ช่างเรื่องยึดห้องแล้วมาซ้อมกันเถอะ”อีกาตัดบท ทุเรียนเห็นดังนั้นจึงยักไหล่ ชายตัวเล็กวางของไว้ที่มุมห้องแล้วเดินไปหาอีกา

    “พี่เอาเพลงอะไรมาอ่ะ”

    “ฝากรักของดิอินโนเซ้นท์”

    “แหม่ ตอนแรกนึกว่าจะเอาของสุนทราภรณ์มา”ไม่คิดว่าจะเอาเพลงใหม่กว่านี้มานิ๊ดนึง แปลกใจจังฮะ

    “นายเห็นฉันเป็นคนยังไงกัน หือ?”อีกาถามขณะยังคงใส่แผ่นเพลงลงวิทยุเทป

    ทุเรียนผิวปากเฉไฉพร้อมกับขยับตัวเป็นสเต็ปซ้ายขวา “ผมบอกไว้ก่อนนา นอกจากดึงดาวแล้วอย่างอื่นผมเต้นไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่”ไม่ว่าเปล่าแถมโชว์สเต็ปการดึงดาวให้รุ่นพี่ดูอีกต่างหาก

    เด็กน้อยสะดุ้งเมื่อจู่ๆรุ่นพี่ตรงหน้าเดินเข้ามาโอบเอว แถมยังดึงเข้าไปใกล้ จนได้ยินเสียงแหบของอีกากระซิบอยู่ข้างๆหู “ไม่ต้องห่วง ฉันมีเวลาสอนนายได้ทั้งวัน”

    แล้วเพลงก็เริ่มบรรเลง

    ถึงปากจะบอกว่าเต้นไม่คล่องแต่ทุเรียนก็เป็นผู้ตามที่ดีมาก แต่กว่าจะรู้ตัวชายหนุ่มก็กลายเป็นผู้เต้นในฐานะ “ฝ่ายหญิง”เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    “ทำไมผมต้องเต้นท่าผู้หญิงด้วยอะ!

                    ถ้าเต้นท่าผู้ชายแล้วฉันกอดนายไม่ถนัด “อยากเต้นกับผู้หญิงได้ก็ต้องทำความเข้าใจผู้หญิงเสียก่อน”สิ่งที่คิดกับสิ่งที่พูดสวนทางกันไปคนละความหมาย ถ้าเป็นคนอื่นคงจะฉุกคิดได้แต่กับรุ่นน้องคนนี้ไม่ใช่ ทุเรียนทำแค่พยักหน้าแล้วเต้นต่อไปเรื่อยๆ

                    “น่ารัก”แต่บางครั้งสิ่งที่คิดก็หลุดออกมาจริงๆ

                    “ห้ะ?!

                    “นายไง”แต่รอบนี้อีกาไม่คิดจะแก้ตัว “ฉันชมว่านายน่ารัก”

                 “บ้า!”ทุเรียนแย้งเสียงสูง “ใครเขาชมผู้ชายว่าน่ารักกัน พี่นี่ท่าจะเพี้ยน”ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าภายในหน้ากากนั่นคงแดงแบบลูกมะเขือเทศแน่ๆ

                    “แบบนี้แหละที่เรียกว่าน่ารัก”อีกายังคงชมด้วยคำเดิม เขาชอบจริงๆเวลาที่อีกคนแสดงท่าทีเขินแล้วไม่รู้ตัวแบบนี้ ก่อนที่ทุเรียนจะเหยียบเท้าเขาแรงๆเป็นการลงโทษ

                    บทเพลงยังคงเล่นไปตามปกติ แต่พวกเขาสองคนกลับไม่ได้เต้นไปตามเพลง เปลี่ยนมายืนโอบคอและเอวกัน แล้วโยกตัวไปตามทำนองเบาๆ

                    “ไม่ซ้อมต่อแล้วหรือไง”หนุ่มรุ่นพี่ถาม

                    “พี่นั่นแหละ ไม่นำเต้นต่อรึไง”

                    “ไม่ล่ะ”อีกาดำยิ้ม “อยู่แบบนี้แหละดีแล้ว”

                    “ถ้าผมสอบตกพี่ต้องรับผิดชอบนะ”

                    อีกาดำเลิกคิ้ว “คนอย่างนายรู้จักคำว่าสอบตกด้วยหรือไง”

                    “ใครจะไปรู้ล่ะ ผมอาจสอบตกวิชานี้ก็ได้”ทุเรียนพูดติดตลก “แล้วถ้าเป็นแบบนั้นพี่ต้องรับผิดชอบ”

                    หน้ากากอีกาดำกระชับเอวคนตรงหน้าให้แน่นขึ้นจนกลายเป็นว่าพวกเขากำลังกอดกัน “อยากให้รับผิดชอบยังไงล่ะ”ชายหนุ่มถามเสียงเบา เขารู้ว่าการพูดด้วยเสียงนี้มีผลต่อทุเรียนน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนมากที่สุด        

                    ทุเรียนอึกอักเมื่อวงแขนอีกคนกอดเขาแน่นขึ้น ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลยไม่รู้จะทำอย่างไร ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนไปซบหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่ายแทนแล้วส่งเสียงอู้อี้ที่จับใจความแทบไม่ได้ออกมา

                    “เลิกเรียนแล้วบ้านช่องยังไม่กลับกันอีกหรอ”

                    เสียงของบุคคลที่สามทำให้ทุเรียนแทบจะดีดตัวออกมาราวกับมีสปริงติดอยู่ อีกาดำมองผู้มาขัดจังหวะด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แล้วยิ่งไม่เห็นมิตรมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

                    หน้ากากจิงโจ้ยืนเท้าเอวอยู่หน้าประตู ถึงใบหน้าจะกำลังยิ้มแย้ม แต่ที่จริงแล้วเขาเองก็หงุดหงิดไม่แพ้หน้ากากอีกาดำ

                    “นี่ฉันมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า”สายตาจ้องมาที่อีกาดำโดยเฉพาะ

                    “เปล่าครับพี่จิงโจ้”ทุเรียนละล่ำละลักตอบกลับไป “ผมกลับบ้านแล้วนะครับ ลาพวกพี่ทั้งคู่เลยแล้วกัน”พูดจบก็รีบใส่เกียร์หมา 4 x 100 วิ่งออกจากห้องไปทันที

                    ภายในห้องจึงเหลือเพียงชายหนุ่มต่างวัยอยู่สองคน

                    “เด็กนอกอย่างคุณนี่สะกดคำว่ากาลเทศะไม่เป็นสินะ”ไม่ปิดบังน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจอย่างยิ่งของรุ่นพี่ปีสุดท้าย

                    “แล้วคนฉวยโอกาสแบบคุณเนี่ย เรียกว่ามีกาลเทศะด้วยหรอครับ

                    ต่างฝ่ายต่างจ้องกันแบบไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศรอบตัวเริ่มกดดัน พวกเขาเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมันที่ไม่สามารถรวมเข้าด้วยกันได้ โดยที่ต้นเหตุมาจากคนที่หนีออกไปก่อนล้วนๆ

                    อีกาดำเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองที่มุมห้อง ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูซึ่งมีหมูป่ามายืนรออยู่แล้ว ชายหนุ่มรุ่นพี่หันมายิ้มเยาะให้รุ่นน้องก่อนเดินออกไป

                    “วันนี้ผมชนะ

                    หน้ากากจิงโจ้กำหมัดแน่น เขารู้สึกอยากจะพุ่งออกไปแลกหมัดกับผู้ชายคนนี้ซักยก ถ้าไม่ติดว่าเขาเองก็โดนทัณฑ์บนและอีกฝ่ายก็ใกล้จะจบม.6 แล้ว

                    ก่อนที่ฟางเส้นสุดท้ายจะขาดเพราะคำพูดของหน้ากากอีกาดำ

    “และผมจะชนะคุณตลอดไป

    _________________________________________________________________________________________________

    ไปมโนต่อกันเองนะคะว่าจะเกิดมวยขึ้นในห้องลีลาสมั้ย5555(แต่ถ้าเกิดจริงหมูป่าคงมาห้ามทัพไว้ก่อน) 

    จริงๆเราชอบจิงโจ้ x อีกานะ แต่ที่แต่งๆมามันอีกากะทุเรียนทั้งนั้นเลยอะ...

    ตรวจคำผิดไปหลายรอบจนขี้เกียจตรวจล่ะ ถ้าเจอคำผิดวานฝากบอกทีค่ะ ไม่ไหวแล้ว ปวดตา แงงง

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×