ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 5 ผู้กล้าและสหายจากต่างมิติ [1]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 879
      1
      17 เม.ย. 52

    บทที่ 5 ผู้กล้าและสหายจากต่างมิติ

    [1]

     

     

                    “นี่ไง ถึงแล้ว วิหารเทพจันทรา” โคเซฟว่าพลางแหนหน้ามองศาสนสถานเบื้องหน้าพร้อมกันกับไมอา

                    ตัววิหารสร้างจากหินอ่อนสีขาวนวล ผนังบางส่วนมีลวดลายสีเงินวาดประดับตกแต่ง กรอบหน้าต่างรูปวงกลม มีกระจกหน้าต่างสีชา คงเอกลักษณ์ของเมืองรูซอนไว้ ซุ้มประตูโค้งขนาดใหญ่เป็นทางเข้า ด้านบนเหนือขึ้นไปเป็นสัญลักษณ์รูปร่างแปลกตา แลดูคล้ายพระจันทร์เสี้ยวรองรับหยดน้ำ คาดว่าเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาของที่นี่ ความสูงตัวหอวิหารเทียบเท่ากับตึกสี่ชั้นได้ ยอดสูงสุดของวิหารเป็นเสาสีทองพุ่งสูงขึ้นไป เนื่องจากอยู่ใกล้จึงมองไม่เห็นว่าปลายเสาเป็นอย่างไร ทว่าเมื่อคืนก่อนได้เห็นจากระยะไกล ทำให้ทราบว่าปลายยอดนั้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีทอง

                    ขณะที่ไมอากำลังชื่นชมความงามของตัววิหารให้ถนัดตาอยู่นั่นเอง โคเซฟก็ขัดขึ้นว่า

                    “ไมอา ฉันว่าเรามาใหม่อีกทีตอนกลางคืนดีกว่า”

                    “ทำไมล่ะ ?” ไมอาสงสัย

                    “มาดูนี่สิ” โคเซฟชี้ให้ดูป้ายที่ติดอยู่ข้างประตูทางเข้า

                    ไมอาอ่านป้ายนั้นโดยอาศัยเครื่องแปลภาษา ซึ่งถอดความออกมาได้ว่า

    ‘เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้ในเวลากลางคืน เมื่อยามที่พระจันทร์ฉายแสง’

    “แล้วกันสิ” เด็กหญิงบ่นเสียงดัง “ปกติวิหารที่นี่ให้เข้าได้ในเวลากลางคืนเท่านั้นหรือ ?”

                    “วิหารส่วนใหญ่เปิดให้เข้าในเวลากลางวันนะ แต่สงสัยเพราะที่นี่เป็นวิหารของเทพจันทรา เลยเปิดให้เข้าในเวลากลางคืน” โคเซฟตอบ เขาเองไม่ค่อยทราบข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาของอาณาจักรรูลน์นัก

                    ไมอาทำหน้าเบ้อย่างไม่พอใจ จากนั้นกล่าวถามว่า

                    “นายพอจะรู้บ้างไหมว่าเวลากลางวัน เขาใช้ที่นี่ทำอะไรกัน ?”

                    “คงไม่ได้ทำอะไรมั้ง น่าจะทำความสะอาด ดูแลสถานที่พวกนี้แหละ”

                    “แล้วที่นายเคยบอกว่าที่นี่เป็นที่พำนักของนักบวชชั้นสูงล่ะ ?”

                    “เรื่องนั้นแค่ได้ยินเขาเล่ามาอีกที ปกติวิหารก็เป็นที่พักของพวกนักบวชอยู่แล้ว แต่ที่นี่พิเศษกว่า มีแต่นักบวชชั้นสูงเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าพัก และนอกจากพวกผู้ดูแลแล้ว ที่นี่ไม่มีนักบวชอื่นประจำอีกเลย”

                    “ไม่ยอมละ ตั้งใจจะมาดูแล้วนี่ อย่างไรก็ต้องเข้าไปให้ได้” ไมอาเริ่มบันดาลโทสะ ...เมื่อคืนก่อนเธออุตส่าห์วางแผนไว้อย่างดิบดีว่าจะมาในตอนกลางวันจะได้ไม่เป็นการเสียมารยาท แต่นี่มันวิหารพิลึกพิลั่นอะไรกัน... เด็กหญิงไม่ว่าเปล่าทำท่าจะผลักประตูเข้าไปด้วย

                    “อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะมืดแล้วน่าไมอา รออีกหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนี่ ยังไงพวกเราก็ว่างอยู่แล้ว” โคเซฟรีบห้าม เขาดึงมือเธอไว้

                    “นายกลับไปก่อนก็ได้ ฉันจะเข้าไปเอง” ไมอายังคงดื้อดึง

                    โคเซฟไม่รู้ว่าทำไมไมอาถึงอยากเข้าไปในวิหารขนาดนั้น ระหว่างที่กำลังลังเลสงสัยอยู่นั่นเอง ไมอาก็สะบัดมือออกจากมือเขา และผลักประตูวิหารให้เปิดเข้าไป

                    “ยินดีต้อนรับท่านผู้กล้าและสหายจากต่างมิติ” เสียงที่ดังมาจากในวิหารสะท้อนฝาผนังก้องกังวาน

                    ผู้กล้า ? ไม่นะ... ไม่...

                    ...แต่ประเดี๋ยวก่อนสิ ผู้กล้าและสหายจากต่างมิติ ไม่ใช่ผู้กล้าจากต่างมิตินี่...

                    ก็หมายความว่า...

                    และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไมอาแปลผลสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะพิจารณาภาพที่เห็น...

                    ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่เบื้องหน้ากลางโถงทางเดินกลางวิหาร เขามีผมสีดำเรียบสนิท ดวงตาคมสีม่วงเข้ม ใบหน้ายิ้มแย้มแลความสุภาพเรียบร้อย ดูจากลักษณะของชุดสีดำที่สวมใส่ และหนังสือเล่มใหญ่ที่โอบในมือแล้ว ไมอาคะเนว่าเขาคงเป็นนักบวชไม่ก็นักเวทของที่นี่

                    “ผมได้ยินเสียงของพวกคุณมาจากด้านนอกแล้ว รอคอยพวกคุณตัดสินใจเข้ามาเท่านั้น” ชายคนนั้นกล่าวขึ้น

                    เนื่องจากโคเซฟยังคงนิ่งอึ้งและงุนงง ด้วยกลัวความผิดฐานบุกรุก หรือคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ทราบ ไมอาที่ตั้งสติขึ้นมาได้ก่อนจึงชิงถามว่า

                    “คุณเป็นใครกัน ? แล้วที่พูดว่าผู้กล้าอะไรนั่น หมายความว่าอย่างไร ?”

                    “เรื่องนี้คงต้องสนทนากันยาวทีเดียว เชิญพวกคุณเข้ามานั่งด้านในก่อนดีกว่า” ชายผมดำคนนั้นตอบกลับมา ใบหน้าของเขายังคงแย้มยิ้มเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนจากที่เห็นครั้งแรก

                    เด็กทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป ประตูวิหารปิดตามหลังอย่างเงียบเชียบเมื่อพวกเขาก้าวพ้นรัศมีการตีวงของบานพับ ชายหนุ่มในชุดดำเชื้อเชิญให้พวกเขานั่งลงที่โต๊ะรับแขกซึ่งไม่น่าจะมีในวิหารแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อส่วนที่พวกเขาอยู่นี้เป็นโถงกลางของวิหาร ที่มีรูปปั้นเทพเจ้าผู้งดงามอยู่ด้านในด้วย

                    ครั้นพอเห็นเด็กทั้งสองนั่งลงเรียบร้อย ชายหนุ่มก็กล่าวแนะนำตัวอย่างอารมณ์ดีว่า

                    “สำหรับคำถามแรก ผมชื่ออาวีเนียส เป็นนักบวชแห่งอาทิตยจันทรศาสน์ นักเวทสายจันทรา และที่ปรึกษาแห่งกษัตริย์มาซาฮาองค์ปัจจุบัน”

                    คำพูดของเขาทำเอาเด็กทั้งสองตะลึงมิใช่น้อย ที่บอกว่าเป็นนักบวชกับนักเวทพอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่เป็นที่ปรึกษานั้นอยู่เหนือความคาดหมาย ที่ปรึกษาของพระราชาก็ต้องมีอำนาจมากพอควร ...อาจจะพอบังคับพวกเขาได้

                    นักบวชเจ้าของนามอาวีเนียสยังคงแย้มยิ้มเช่นเดิม และเหมือนจะรู้ล่วงหน้าถึงปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้น จึงให้เวลาพวกเขาหายอึ้งเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อว่า

                    “สำหรับคำถามที่สอง ความหมายนั้นอยู่ในตัวประโยคอยู่แล้ว พวกท่านทั้งสองคือผู้กล้าและสหายจากต่างมิติตามคำทำนายไม่ผิดแน่”

                    “หมายความว่าเจ้าเด็กน้อยนี่คือผู้กล้า ?” ไมอาชี้ไปทางโคเซฟ

                    “แปลว่าเธอมาจากต่างมิติ ?” โคเซฟชี้ไปทางไมอา

                    “ถูกต้อง” อาวีเนียสตอบคำถามของทั้งคู่ในคราวเดียว

                    “รู้ได้ไง ?” ทั้งสองแทบจะถามออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

                    “ผมเห็นคลื่นพลังแปลก ๆ จากตัวคุณ” เจ้าของดวงตาสีม่วงเข้มปลายสายตาไปทางเด็กหญิงที่ยังอยู่ในชุดเด็กรับใช้ “และทราบว่ามีประตูมิติเกิดขึ้นเหนือทะเลสาบโนเมสเมื่อสองวันก่อน คุณพบเธอที่ทะเลสาบโนเมสใช่ไหม ?” เขาหันไปถามโคเซฟ ซึ่งเด็กชายก็พยักหน้าตอบช้า ๆ

                    “ดังนั้นเธอจึงเป็นสหายจากต่างมิติ” ชายหนุ่มผมดำกล่าวต่อ “ส่วนคุณเป็นผู้ร่วมทางมากับเธอ และมาพบผมที่วิหารเทพจันทรานี่ ตรงตามคำทำนายที่ว่า ‘สหายจากต่างมิติจะเป็นผู้นำทางให้ผู้กล้าพบหนทางแห่งผู้กล้าที่แท้จริง’ คุณจึงเป็นผู้กล้าแห่งรูลน์”

                    “แต่ผมเป็นคนของอาณาจักรจินน์นะ” โคเซฟแย้ง เขาเปลี่ยนไปใช้สรรพนาม ‘ผม’ เพราะชายหนุ่มคนผู้นี้ถือเป็นรัฐบุรุษของรูลน์คนหนึ่ง เขาจึงต้องให้ความเคารพอยู่บ้าง

                    “เรื่องเป็นคนของอาณาจักรไหนหรือมิติไหนไม่สำคัญ ผู้กล้าแห่งรูลน์คือผู้กล้าที่จะช่วยเหลือรูลน์และมิตินี้ให้พ้นภัย” อาวีเนียสอธิบายตามหลักเหตุผล และนั่นก็ทำให้โคเซฟไม่สามารถหาอะไรมาโต้แย้งกลับได้ทันท่วงที

                    “หากฉันเป็นสหายจากต่างมิติจริง...” ไมอาว่าบ้าง “...ฉันก็คงหมดหน้าที่แล้วสินะ ขอตัวก่อนละ”

                    ตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘ผู้กล้า’ แล้วเธอก็ไม่คิดอยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เข้าไปยุ่งกับเรื่องราวของพวกผู้กล้าทีไร เรื่องราวในมิตินั้นต้องยุ่งยากบานปลายออกไปเสียทุกที ทว่าหลังกล่าวจบและกำลังจะลุกออกไปนั้น อาวีเนียสก็ขัดขึ้นว่า

                    “เดี๋ยวก่อนสิครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ แต่ก็มีพลังพอจะทำให้ไมอาชะงักและหันกลับมามอง

                    “ความหมายของคำทำนายที่ว่า ‘สหายจากต่างมิติจะเป็นผู้นำทางให้ผู้กล้าพบหนทางแห่งผู้กล้าที่แท้จริง’ ไม่ได้หมายความว่าสหายผู้นั้นจะนำผู้กล้ามาส่งแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ” อาวีเนียสอธิบาย “คำทำนายนั้นหมายความรวมไปถึงการช่วยผู้กล้าในการกอบกู้อาณาจักรด้วยครับ”

                    “เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับฉันนี่ จะกอบกู้ก็กอบกู้กันเองสิ ไปหาสหายจากต่างมิติคนอื่นก็ได้ ฉันไปละ” ว่าแล้วเธอก็รีบกระโจนออกไป ทว่าร่างเล็กกลับลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ...

                    ไมอารับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในทันที สมองเธอสั่งร่างกายให้ออกแรงตัวต้านฤทธิ์เวทมนตร์อย่างแข็งขัน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถแม้แต่จะกระดิกนิ้ว เมื่อรู้ตัวว่าโดนเวทของชายหนุ่มนักเวทเข้า เธอก็ได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ

                    เพราะอย่างนี้ถึงได้เกลียดนักไง เจ้าพวกนักเวทนี่

                    “ถ้าเช่นนั้นผมคงต้องบังคับคุณแล้วละ” เจ้าของเวทกล่าวเสียงเย็น ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาที่สนทนาของเขา ดูน่ากลัวกว่าเดิมเล็กน้อย ทว่ายังคงยิ้มอยู่

                    ไมอาลอยกลับมาที่เดิม เธอนั่งแข็งทื่อเป็นหิน ใบหน้ามอมจากการปลอมเป็นเด็กรับใช้บึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ นอกจากส่วนคอขึ้นไปแล้ว เธอไม่สามารถสั่งการร่างกายส่วนอื่นได้ ดังนั้นเธอจึงใช้สีหน้าแสดงภาษาท่าทางออกมาอย่างเต็มที่ เด็กหญิงเริ่มรำคาญรอยยิ้มกวนประสาทของคนตรงหน้า นึกอยากชกหน้ายิ้มใส ๆ และดวงตาซื่อ ๆ นั่นดูสักที

                    โคเซฟเห็นเด็กสาวฤทธิ์ร้ายอย่างไมอาต้องสิ้นฤทธิ์ลง ก็ได้แต่นั่งกลุ้ม ขนาดไมอายังหนีไม่พ้น แล้วเขาจะหลุดรอดจากคนตรงหน้าได้อย่างไร

                    “ถ้าผมบอกว่า ผมจะช่วยเปิดประตูมิติให้คุณ หลังจากภารกิจของผู้กล้าสำเร็จ คุณจะว่าอย่างไร ?” อาวีเนียสยื่นข้อเสนอ

                    ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเด็กหญิงเป็นประกายขึ้นมาทันที

                    หรือเจ้านักเวทนี่คือคนที่เข็มทิศชี้มา ? ...

                    “จริงหรือ ? แค่ช่วยเจ้าเด็กน้อยนี่ปราบปีศาจร้าย กอบกู้โลก อะไรทำนองนั้นใช่ไหม ?”

                    “ใช่แล้วครับ” อาวีเนียสยิ้มตอบ ยิ้มใสซื่อแบบที่ทำให้ไมอาเกลียดมันมากยิ่งขึ้น

                    โคเซฟที่ฟังอยู่ ได้แต่สงสัยว่า ไอ้การปราบปีศาจร้าย กอบกู้โลก เป็นเรื่องอะไรทำนองนั้นที่ไหนกัน

                    “แล้วถ้าฉันไม่ตกลงล่ะ ?” ไมอาถามต่อ เธอต้องทราบถึงส่วนได้ส่วนเสียก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไป

                    “ผมก็คงต้องบังคับคุณจริง ๆ” นักเวทสายจันทรายังคงยิ้ม

                    นี่มันมัดมือชกกันชัด ๆ ! ...

                    ไมอาได้แต่ประท้วงในความคิด สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องยอมตอบออกไปว่า

                    “ก็ได้” น้ำเสียงของเธอฟังแข็ง ๆ เหมือนจำใจยอมรับโดยไม่มีทางเลือกอื่น

                    เวทที่ทำให้เธอต้องนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นถูกคลายออกทันทีที่เธอตอบตกลงไป

                    “ขอบคุณครับ ท่านสหายจากต่างมิติ”

                    “เรียกว่าไมอาเถอะ” เด็กหญิงบอก จะให้คนอื่นเรียกเธอว่าสหายจากต่างมิติตลอดก็ออกจะขัดหูใช่น้อย

                    “ครับ คุณไมอา ส่วนท่านผู้กล้า...”

                    “โคเซฟ” เด็กชายแทรกขึ้นบ้าง

                    “คุณโคเซฟคงจะยอมรับตำแหน่งผู้กล้าโดยดีใช่ไหมครับ ?”

                    ถามจบอาวีเนียสก็จ้องหน้าโคเซฟตรง ๆ ดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้นดูบริสุทธิ์ใจ หากก็มีอำนาจกดดันอยู่ในตัว โคเซฟตระหนักดีว่า ตำแหน่งที่เขากำลังถูกบังคับให้เป็นคือผู้กล้า -- วีรบุรุษของคนทั้งมวลซึ่งถือเป็นภาระอันใหญ่หลวง ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อย่างที่สองคนนี่คุยกันสักนิด แล้วจะให้เขาตกลงปลงใจง่าย ๆ ได้อย่างไร

                    ครั้นพอหันไปมองทางไมอาเพื่อขอความช่วยเหลือ เธอกลับเหล่สายตาขวางไปอีกทาง ประหนึ่งจะบอกว่า ‘ตานายโดนบ้างแล้ว’ โคเซฟผู้ยังไม่ทราบแน่ชัดในชะตากรรมของตัวเองได้แต่กลืนก้อนแข็งที่จุกอยู่ในลำคอลงท้องไป รวบรวมความกล้าเสร็จสรรพก็กล่าวขึ้นว่า

                    “แต่ว่าครอบครัวของผม...”

                    “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ทางเราจะส่งจดหมายไปแจ้งทางบ้านของคุณโคเซฟเอง น่าจะถือเป็นเกียรติสำหรับพวกเขานะครับ ที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นถึงผู้กล้าแห่งรูลน์ แล้วเราจะช่วยสนับสนุนการค้าของครอบครัวคุณด้วย ส่วนเรื่องที่คุณหนีออกมาจากขบวนพ่อค้า เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับ”

                    โคเซฟอึ้งไปอีกรอบ อาวีเนียสทราบประวัติความเป็นมาของเขาได้อย่างไร หรือว่าเขาจะมีวิชาอ่านใจคน ยิ่งมีข่าวลือว่านักเวทของรูลน์มีวิชาประหลาด ๆ พวกนั้นอยู่ด้วย

                    ทางด้านไมอากลับไม่ค่อยประหลาดใจ เธอรู้ดีว่า พวกนักเวทชอบทำตัวแบบนี้อยู่แล้ว ทำตัวเหมือนอ่านใจคนได้ ที่จริงก็แค่สืบเสาะมาล่วงหน้า รวบรวมข้อมูลมาก่อน และสังเกตจากลักษณะบุคคลเท่านั้น เธอยังไม่เคยพบคนที่ยอมรับว่าอ่านใจคนได้จริงเลยสักคน

                    โคเซฟคิดแล้วคิดอีก ก็ยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ที่เขาหนีออกมาก็เพื่อจะได้อยู่อย่างอิสระ ใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ ไม่ต้องเดิมตามเส้นทางที่ใครขีดให้ แล้วแบบนี้ใครจะยอมกันล่ะ

                    “แล้วถ้าผมไม่ตกลงล่ะครับ ?” เขาลอกเลียนคำถามของเด็กหญิง

                    “ผมก็คงต้องบังคับคุณ” คำตอบจึงเลียนแบบของเก่ามาเช่นกัน

                    โคเซฟกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ แล้วคิดหาทางหนีทีไล่อีกครั้ง... เมื่อถึงคราวอับจนสิ้นหนทางที่สุด เด็กชายก็คิดเอาชีวิตตัวเองเป็นตัวประกัน สิ่งที่ชายคนนี้ต้องการมากที่สุดคือตัวเขาไม่ใช่หรือ

                    “ถ้าคุณบังคับผม ผมจะฆ่าตัวตาย”

                    เด็กหญิงหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินประโยคนั้น ส่วนชายหนุ่มยิ้มกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า

                    “ผมก็จะทำให้คุณฆ่าตัวตายไม่ได้ครับ แล้วคุณเองไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายจริง”

                    “ยังไงคุณก็บังคับผมให้เป็นผู้กล้าไม่ได้ ถ้าผมไม่สมัครใจ” โคเซฟยืนกรานกระต่ายขาเดียว

                    “งั้นผมคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสหายจากต่างมิติของคุณแล้วละครับ เพราะเธอคือคนที่จะทำให้ท่านผู้กล้าพบหนทางแห่งผู้กล้าที่แท้จริง” ดวงตาสีม่วงเข้มเปลี่ยนไปมองเด็กหญิงแทน สายตาบังคับกลาย ๆ คู่นั้นทำให้เธอหยุดหัวเราะ และเปลี่ยนทีท่าเป็นจริงจังขึ้นมา

                    “โคเซฟ นายตั้งใจไว้แล้วไม่ใช่ว่าจะส่งฉันไปยังที่ที่ฉันอยากไป แล้วฉันก็อยากไป... อีกมิติน่ะ นายบอกเองว่าใช่ว่าจะช่วยฉันให้ถึงที่สุด” ไมอาใช้วาจาอ้อนวอน พยายามทำสีหน้าให้น่าสงสารอย่างแนบเนียน

                    “...ก็ใช่ แต่ฉันอยากมีชีวิตอิสระ ไม่อยากมีชีวิตที่คนอื่นกำหนดไว้ให้อีกแล้ว ฉันอุตส่าห์หนีออกมาจากชีวิตแบบนั้นได้สำเร็จแล้ว แล้วจะให้ฉันกลับไปเป็นอย่างเดิมอีกหรือไง ?”

                    “นายก็ลองมองอีกมุมสิ ถ้านายยอมเป็นผู้กล้าสักพัก นายก็จะได้วิชาการต่อสู้มา หลังจากกอบกู้อาณาจักรเรียบร้อยแล้ว นายก็สามารถเดินทางตามที่นายฝันไว้ได้ ตอนนั้นนายก็ไม่ต้องเกรงกลัวศัตรูหน้าไหนมาทำร้ายแล้ว แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย อาวีเนียสจะออกให้ ใช่ไหมคะคุณนักเวท ?” ประโยคสุดท้าย เธอหันมาถามเสียงใสใส่อาวีเนียส

                    “ใช่แล้วครับ หากท่านผู้กล้ากอบกู้อาณาจักรสำเร็จแล้ว ท่านผู้กล้าก็สามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ พวกเราเป็นหนี้บุญคุณท่านผู้กล้า ย่อมสนับสนุนท่านผู้กล้าเต็มที่อยู่แล้ว”

                    ตอนแรกเห็นเกลียดกันนักหนา ตอนนี้กลับเข้าคู่หว่านล้อมฉันได้ดีจริงนะ...

                    แม้โคเซฟจะมองความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะพิจารณาตามข้อเสนอ คิดแล้วก็เริ่มเอนเอียงไปตามอีกฝ่าย เป็นผู้กล้าก็ฟังดูไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ก็ทั้งสองคนเล่นพูดถึงแต่ด้านดี ไม่ได้พูดถึงข้อเสียเลยนี่นา

                    “แล้วถ้าผมเกิดผิดพลาด เสียชีวิตขึ้นมาล่ะ ?” โคเซฟพยายามนึกถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดหากเขาเป็นผู้กล้า

                    “นายก็ไปทำประกันชีวิตไว้ก่อนสิ” เด็กหญิงบอกส่ง ๆ

                    “ประกันชีวิตคืออะไรหรือ ?” เด็กชายสงสัย

                    “เออ... ช่างมันเถอะ เดี๋ยวฉันบอกอาวีเนียสให้ทำให้นายเอง ยังไงผู้กล้าในคำทำนายก็คงไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า” ไมอาลืมไปว่าเธออยู่ในมิติที่ไม่มีประกันชีวิต หลังพูดแก้เอาตัวรอดไปแล้ว เธอก็หมายเหตุไว้ในใจว่าถ้าหลอกอาวีเนียสให้ทำประกันชีวิตให้โคเซฟได้สำเร็จจริง ชื่อผู้รับเงินจะต้องเป็นเธอ

                    “ใช่ครับ คำทำนายเป็นสิ่งยืนยันว่าท่านผู้กล้าต้องรอดชีวิตกลับมาแน่” อาวีเนียสสนับสนุน

                    เด็กชายคิดทบทวนอีกหลายรอบ พยายามจินตนาการถึงอนาคตที่จะเกิดหากเขาตกลงเป็นผู้กล้า แน่นอนว่าชีวิตเขาคงจะไม่อิสรเสรีอีกต่อไป คงต้องต่อสู้ ฝึกฝนอย่างหนัก เตรียมรับภยันตรายใหญ่หลวง ชีวิตเช่นนั้นคงตื่นเต้นท้าทายอยู่ไม่น้อย โคเซฟนึกถึงตัวเองในวัยเด็กที่เล่นสมมติตัวเองเป็นเตรียมบุรุษในตำนาน เขาก็เคยใฝ่ฝันอยากเป็นผู้กล้าที่ใคร ๆ ต่างก็ยกย่องนับอยู่เหมือนกัน หากแต่มันก็เพียงความฝันแบบเด็ก ๆ ที่พอโตขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว โลกแห่งความเป็นจริงก็พรากมันจากไป ยุคสมัยนี้ไม่มีปีศาจ ไม่มีมารร้าย เรื่องราวของผู้กล้าทั้งหลายเป็นเพียงแค่นิทานสนุก ๆ ที่เอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟังเท่านั้น

                    เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอำพันเงยหน้าขึ้นมามองอีกสองคนที่ตั้งความหวังรอคอยคำตอบจากเขา อาวีเนียสนั่งยิ้มนิ่ง ๆ อย่างใจเย็น ประหนึ่งจะบอกว่าให้เวลาเขาครุ่นคิดก่อนตัดสินใจได้นานเท่าที่ต้องการ ส่วนไมอาก็ยังคงยิ้มหวาน แม้ใบหน้าจะยังคงมอมแมมอยู่บ้าง แต่เด็กหญิงในยามนี้ก็แลดูน่ารักไม่ต่างจากตอนที่เขาเพิ่งช่วยเธอขึ้นมาจากทะเลสาบ

                    มาถึงขั้นนี้แล้ว... โคเซฟรู้สึกว่า ชีวิตที่สามารถเลือกเส้นทางเองได้ยังอยู่ไกลเกินกว่าที่เขาจะคว้ามาได้ ทั้งที่อุตส่าห์หนีพ่อและกรอบระเบียบเดิม ๆ มาถึงรูซอนนี่แล้ว โชคชะตาก็ยังเล่นตลกกับเขา ดึงเขาเข้าสู่เส้นทางใหม่อีกสายหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้มีสิทธิ์เลือกเองอยู่ดี... ดังนั้นคราวนี้โคเซฟคิดจะเปลี่ยนกลยุทธใหม่ จากที่เคยวิ่งหนีมาตลอด เขาวิ่งเข้าใส่มันแทน...

                    เด็กชายตัดสินใจฝากอนาคตไว้กับคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไมอาไป ลองทำเพื่อคนอื่นบ้าง บางทีอาจจะทำให้เบาหัวลงก็ได้ คงไม่ต้องคิดอะไรมากอีกต่อไป

                    “ตกลง...ก็ได้ครับ” โคเซฟกล่าวขึ้นมาในท้ายที่สุด

                    อาวีเนียสได้ยินแล้วก็รีบกล่าวขึ้นทันทีว่า “ดีเลยครับ” พลางประสานมือกุมไว้ที่ระดับอก ข้อศอกทั้งสองตั้งอยู่บนเข่า ยิ้มกว้างกว่าปกติเล็กน้อย ท่าทางเขาจะมีความสุขเสียเหลือเกิน

                    “พวกเราไปรายงานตัวกับพระราชาเลยดีไหมครับ ?” เขาถามต่อ

                    “ไปพบพระราชา ตอนนี้เลยน่ะหรือ ?” โคเซฟฟังแล้วไม่ค่อยอยากเชื่อ

                    “ครับ ผมจะใช้เวทเคลื่อนย้าย ส่งพวกเราไปหน้าวังหลวงได้เลย อ้อ...ไม่ต้องห่วงเรื่องสัมภาระนะครับ จะมีคนเอาไปให้ในภายหลัง” อาวีเนียสพูดอย่างกับว่าการใช้เวทเคลื่อนย้ายส่งคนสามคนพร้อมกันเป็นเรื่องง่ายดาย และที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เท่าที่โคเซฟรู้มา นักเวทที่สามารถใช้เวทเคลื่อนย้ายสิ่งของขนาดเล็กได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ยิ่งนักเวทในอาณาจักรยิ่งมีน้อยยิ่งกว่าน้อยด้วย หนึ่งในร้อยคนถึงจะพบคนมีพลังเวทสักคนหนึ่ง แล้วที่พบนั่นใช่ว่าจะมากพอจะเป็นนักเวทได้

                    “วังหลวงอยู่ที่ไหนหรือ ?” ไมอาอดสงสัยไม่ได้

                    “อยู่ที่เมืองรูลน์ เมืองหลวงชื่อเดียวกับอาณาจักรครับ” อาวีเนียสตอบ แย่งหน้าที่ประจำของโคเซฟไป

                    “ถ้าขี่ม้าไปถึงได้ในสองวันครับ” ชายหนุ่มอธิบายต่อดั่งรู้ใจเด็กหญิง

                    เมื่อพวกเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชุดรับแขกทั้งหมดก็หายไป อาวีเนียสบอกให้ท่านผู้กล้าและสหายจากต่างมิติมายืนใกล้ ๆ

                    “พร้อมกันแล้วใช่ไหมครับ ?” ชายหนุ่มถาม

                    ไมอาและโคเซฟพยักหน้าให้ อาวีเนียสพลิกฝ่ามือวูบหนึ่ง พลันคทายาวสีดำก็ปรากฏขึ้นมาให้เขาถือ ชายหนุ่มร่ายเวทเป็นภาษาแปลกหู วงเวทสีเงินขนาดใหญ่สว่างวาบขึ้นมาบนพื้นวิหารสีขาว ล้อมรอบพวกเขาทั้งสามไว้ เมื่อการร่ายเวทสิ้นสุด แสงเหล่านั้นก็หายไป พร้อมกันกับร่างของคนทั้งสาม

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×