ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers (2)

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 3 ความจริงที่ตอกย้ำ [2]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 458
      0
      31 พ.ค. 53

    จงชิวตื่นจากฝัน ไม่ใช่ฝันร้ายอย่างเดิมๆ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นฝันปกติหรือฝันดี เขาฝันเห็นฝูงงูรายล้อมชุมนุม เห็นงูยักษ์สีทองอ้าปากกว้างกำลังจะพุ่งฉกเข้าใส่เขา เห็นหญิงสาวชุดขาวร่ำร้อง เห็นเด็กหนุ่มผู้พิชิตพญางูซ้อนทับกับภาพนักรบแดง ตามมาด้วยภาพเด็กหนุ่มล้มลงนอนรอวาระสุดท้าย ยิ่งกว่านั้นคือสายตาของชาวบ้านที่ตามหลอกหลอน ทองคำสามแท่งในมือเปื้อนเลือด เลือดที่ล้างเท่าไรก็ไม่ออก เสื้อขาวที่ถูกย้อมเป็นสีแดง พายุโหมซัด เรือใหญ่โครงเครง คนชุดดำท่ามกลางกลุ่มคนชุดขาว เด็กชายแขนหักที่เข้ามาในหมู่บ้านในวันที่ฟ้าวิปโยค...

    ภาพช่วงแรกพอจะปะติดปะต่อได้ แต่หลังๆ นั้นจับความไม่ได้เลย นอกจากภาพสุดท้ายที่จีตงเล่าให้ฟัง เด็กชายลืมตาขึ้นมาแล้วหวังว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝัน เขาไม่ได้ออกไปหาสมุนไพรเมื่อคืนนี้... ทว่ากลับเป็นความหวังของเขาเท่านั้นที่ไม่มีทางเป็นจริง เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วยิ่งรู้สึกละอาย เขายังสวมเสื้อขาวเปื้อนเลือดตัวเดิม ในมือก็ยังมีงานค้างอยู่ แล้วนี่เขาเผลอหลับไปได้อย่างไร ...หลับไปในขณะที่ ทุกวินาทีที่ผ่านไปนั้นหมายถึงชีวิตคนคนหนึ่งกำลังถูกลิดรอนไปเรื่อยๆ ...

    จงชิวไม่เสียเวลาเศร้าโศกตำหนิตัวเองนานนัก ลงมือทำงานต่อทันที เศร้าเพียงเท่านั้นก็พอ อย่าจมปลักกับมันมากไปกว่านั้น ยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ไม่ใช่หรือ อย่างน้อยยามที่ได้จดจ่อสมาธิอยู่กับงาน เขาก็เลิกคิดฟุ้งซ่านตำหนิตัวเองได้บ้าง

    เมื่อคืนเขาตั้งใจจะประกอบเปลอย่างง่ายๆ ขึ้นมา ถึงจะตัวใหญ่หรือหนักกว่า แต่ถ้าลากมาก็คงพอไหว ทางผ่านนั้นก็ไม่ได้มีเนินสูงชันขึ้นลงยากขัดขวางด้วย แม้ความหวังจะมีเพียงริบหรี่แต่เขาก็จะพยายาม ...เพื่อว่า บางที มันอาจจะเป็นการพิสูจน์ว่าลางร้ายนั้นไม่ได้มีอยู่จริง

    เด็กชายเอาเศษผ้ามาเย็บเข้ากับท่อนไม้ แม้จะทำลวกๆ หยาบๆ เน้นให้เสร็จเร็วที่สุด แต่เขาก็ยังคำนึงถึงความแข็งแรงของมันอยู่ กว่าจะเสร็จสรรพทั้งหมดก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว จงชิวรีบลากเปลเข้าป่า ยังไม่ลืมหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอีกชุดไปด้วย ใจยังคงอธิษฐาน ...ขอให้สวรรค์คุ้มครองพี่ชายท่านนั้น หากจะลงโทษทัณฑ์อันใด ก็ขอให้มาลงที่ตัวเขาแทน...

    ...ไม่อยากสูญเสียคนสำคัญไปอีกแล้ว...

    ----------------------

    เด็กหญิงจำไม่ได้ว่ายืนมองจันทร์อยู่เนิ่นนานแค่ไหน ยิ่งจำไม่ได้ว่าละสายตาจากดวงจันทร์นั้นแต่เมื่อใด ตื่นขึ้นมาอีกทีก็รุ่งเช้าแล้ว

    เธอนอนอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่มีเครื่องนอนอื่นใดอยู่ข้างกาย เมื่อคืนเธอคงใช้ผืนดินต่างเตียง ท้องฟ้าต่างผ้าห่ม และหลับใหลไปใต้แสงจันทร์

    เมื่อสติแจ่มใสขึ้น เด็กหญิงก็พยายามหาเหตุผลมาขจัดอารมณ์เศร้าหมองที่ตกค้างมาจากอีกมิติ เธอรู้ว่า เมื่อถลำลึกลงไป เข้าไปผูกพันกับสิ่งใดมากเกินขอบเขตแล้ว ย่อมมีความทุกข์ความโศกเศร้าตามมาทันที ทางที่ดีจึงไม่ควรเข้าไปยึดติด ไปสร้างพันธะเสียแต่แรก แต่ถึงแม้จะทราบแก่ใจดีแค่ไหนก็ตาม เรื่องราวประดานี้ก็ยากจะหลีกเลี่ยงอยู่ดี ยิ่งเธอยังคงเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้ที่ต้องพึ่งพาคนในแต่ละมิติด้วยแล้ว ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับมัน จึงยังต้องเจ็บปวดและทรมานต่อไป

    เหตุผลช่วยเธอได้ อย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเสียทีเดียว... ความเศร้าหมองเจือจางลง ความรู้สึกสดชื่นแจ่มใสของยามเช้าเข้ามาแทนที่ มาเยือนมิติใหม่ก็เสมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ เด็กหญิงละทิ้งเรื่องราวจากมิติที่แล้วไปกับแสงจันทร์ ยามนี้เธอเป็นอิสระจากอารมณ์ขุ่นมัวทั้งปวง

    เมื่อเธอลุกขึ้นยืน ชุดที่สวมใส่ก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นชุดเก่งตัวเดิมในทันทีโดยไม่ต้องอาศัยจินตนาการมากมายนัก เสื้อผ้านุ่มสีฟ้าอ่อน กางเกงขาสีดำยาวที่ยาวเกินไปจนต้องพับขาขึ้น รองเท้าผ้าใบคู่เก่งสีขาว กระเป๋าเป้สะพายหลังสีน้ำตาลที่ด้านหลังก็อยู่พร้อม และของชิ้นสุดท้ายแต่สำคัญไม่น้อยไปกว่าสิ่งอื่นเลย คือเข็มทิศที่คล้องคอติดตัวอยู่เสมอ

    เด็กหญิงหยิบเข็มทิศขึ้นมาใช้อีกครั้ง วัตถุที่ปลายสายสร้อยที่เธอคล้องไว้นั้นมีลักษณะเป็นวงแหวนแบนราบสองวงซ้อนกัน วงในสีเงิน วงนอกสีทอง แต่ละวงมีรอยสลักเป็นเส้นตรงขีดตามแนวรัศมี ตรงจุดศูนย์กลางของวงแหวนทั้งสองมีเข็มเรียวยาวสีแดงอยู่ภายใน

    เธอถือวัตถุนั้นไว้ ก่อนหลับตาลง แล้วสำรวมสมาธิ นึกถึงสิ่งที่ตามหามาตลอด เจ้าสิ่งนั้นนั้นค่อยๆ ลอยตัวขึ้นสูงจากฝ่ามือเล็กน้อย พร้อมกับวงแหวนทั้งสองที่เริ่มหมุนเคว้งเป็นวงในหลากหลายแกน จนมองเห็นเป็นทรงกลมสีทองซึ่งมีภาพทรงกลมสีเงินขนาดเล็กกว่าซ้อนอยู่ภายใน การหมุนก็เริ่มช้าลง และกลายเป็นหยุดนิ่งในท้ายที่สุด วงแหวนสีทองวางตัวอยู่ในแนวขนานกับพื้น ส่วนวงแหวนสีเงินตั้งฉากกับสีทอง ทว่าเข็มสีแดงซึ่งทำหน้าที่ชี้บอกทิศที่อยู่ของสิ่งที่เธอตามหาอยู่นั้นกลับหายไป เช่นนี้แสดงว่า... สิ่งที่เธอตามหาไม่ได้อยู่ในมิตินี้แล้ว...

    เป็นอีกครั้งที่เด็กหญิงต้องพบกับความผิดหวัง เธอเหมือนจะเคยชินกับความรู้สึกนี้แล้ว พอคิดว่าตอนนี้ใช้เข็มทิศหาทางไปอีกมิติก็คงไร้ประโยชน์ เธอยังไม่พบเห็นเมืองหรือผู้คนของมิตินี้เลย จะให้บุกป่าฝ่าดงไปจบถึงจุดหมายก็คงไม่ไหว ที่ใช้ไปในตอนแรกก็เพื่อให้แน่ใจว่า ‘คนคนนั้น’ อยู่ที่มิตินี้หรือไม่เท่านั้น

    เจ้าของรองเท้าผ้าใบคู่สวยก้าวเดินตามรอยเท้าขนาดเล็ก รอยเท้านั้นเป็นของเธอเอง เธอเดินเข้ามานอนพักที่ใต้ต้นไม้นี่ แต่กลับจำไม่ได้ จึงลองเดินตามรอยเท้ากลับไป แล้วก็พบถนนเล็กๆ สายหนึ่ง มันอยู่ใกล้แค่นิดเดียว แต่ถูกหมู่ไม้ใบหญ้าบดบังจึงไม่ได้สังเกตเห็นในตอนแรก หากจำไม่ผิด เมื่อคืนเธอยืนมองจันทร์อยู่บนถนนสายนี้

    ร่างเล็กก้าวเดินไปตามถนน อากาศยามเช้าชุ่มฉ่ำเย็นสบาย ดวงตะวันสาดแสงอบอุ่นสีทองอยู่ทางด้านขวามือ ได้ยินเสียงของเหล่าแมลง นกกา และสรรพสัตว์ที่ออกหากิน กลิ่นดินและกลิ่นหญ้าสดโชยมาแตะจมูกตลอดทาง เธอเดินเพลิน ซึมซับความงามของธรรมชาติไปเรื่อย

    ถนนนั้นเป็นเพียงถนนคันดินที่พบเห็นได้ทั่วไปตามชนบทของเกือบทุกมิติที่มีความเหลื่อมล้ำกับตัวเธอไม่มากนัก ด้วยรอยล้อเกวียน รอยเท้าสัตว์พาหนะ และรอยเท้ามนุษย์ ที่ฝังลึกอยู่ในคันดิน ถนนจึงไม่ราบเรียบ มีหลุมบ่อแห้งกรัง เดินไม่สะดวกเท่าไร

    ดวงตะวันเคลื่อนที่สูงขึ้น เด็กหญิงที่เดินทางมานานจนพบหมู่บ้านชนบทขนาดเล็กแห่งหนึ่งในท้ายที่สุด เมื่อเข้าใกล้เขตหมู่บ้าน เธอก็เปลี่ยนไปหลบที่ข้างกระท่อมน้อยใกล้ตัว รอชาวบ้านเดินผ่านมาผ่านไปอยู่หลายคน คนพวกนี้คล้ายจะไปทำการเกษตร เนื่องจากพวกเขาถืออุปกรณ์ที่เข้าใจได้ว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับเพาะปลูกติดตัวไปด้วย

    หมู่บ้านนี้คงเป็นหมู่บ้านในชนบทห่างไกล ชาวบ้านยึดอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก...

    เด็กหญิงมองสำรวจเครื่องแต่งกายของชาวบ้านหลายคนที่เดินผ่านไป เมื่อเห็นว่าเพียงพอแล้ว เธอเริ่มจินตนาการชุดให้ตัวเอง มันเป็นชุดสีซีดปอนๆ ที่ดูเก่า และมีรอยเย็บปะอยู่เล็กน้อย เธอเลือกชุดนี้เพราะเห็นว่ามันดูเข้ากับบรรยายกาศของที่นี่ดี และก็ไม่อยากทำตัวโดดเด่นมากนัก นอกจากชุดสวมใส่ กับรองเท้าผ้าสีดำแล้ว เธอยังสร้างสรรค์หมวกฟางมาให้ตนเองอีกใบหนึ่ง ปีกหมวกกว้างปิดปังใบหน้าเธอเสียครึ่งหน้า กระเป๋าเป้ด้านหลังเลือนหายไป เท่านี้คงเพียงพอจะเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเปิดเผยแล้ว

    สิ่งที่จำเป็นที่สุดในการอาศัยอยู่ในมิติหนึ่งๆ ก็คือข้อมูล ทำอย่างไรก็ได้ให้ซึมซับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในมิตินั้นโดยเร็วที่สุด และทำตัวให้กลมกลืนกับมัน เสมือนเป็นคนในมิตินั้นโดยแท้ แค่นี้อาจฟังดูง่าย แต่เอาเข้าจริงนั้นถือเป็นส่วนที่ยากที่สุดเลยก็ว่าได้ โชคยังดีที่เธอมีอุปกรณ์ และลงเวทป้องกัน ‘ความเหลื่อมล้ำทางมิติ’ ที่เกินขอบเขตเอาไว้แล้ว จึงพอช่วยให้ปรับตัวง่ายขึ้นทีเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงข้อนี้แล้วก็อดอิจฉาเจ้าคนประดิษฐ์อุปกรณ์และลงเวทให้เธอไม่ได้

    ถ้าเป็นเจ้านั่นก็คงเดินทางไปแต่ละมิติอย่างสบายๆ แล้วแท้ๆ …

    นักเดินทางร่างเล็กเก็บข้อมูลเบื้องต้นจากการลอบฟังบทสนทนาของชาวบ้าน ส่วนใหญ่ที่เป็นเรื่องในครัวเรือน ถามสารทุกข์สุขกัน และสัพเพเหระทั่วไป มีข่าวสารจากแหล่งอื่นมาบ้างว่า หากจะไปหมู่บ้านทางเหนือให้ระวังตัว เพราะช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงนี้ งูในป่าเงี้ยวกำลังอาละวาด ถูกกัดเข้ามีสิทธิ์โดนพิษร้ายถึงตาย หลายคนมีสีหน้าปลงสังเวชเมื่อได้ยินข่าวนี้ ชายคนหนึ่งถามขึ้นว่า ปีนี้มีคนตายไปกี่คนแล้วล่ะ คนเล่าบอกยังไม่ทราบ แต่อีกไม่นานคงมีข่าวมาเอง

    เด็กหญิงสนใจข่าวนี้ ฟังแล้วคล้ายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งอาจจะมีเงื่อนงำบางอย่างให้เธอก็เป็นได้ จึงสอบถามกับชาวบ้านเพิ่มเติม แนะนำตัวว่าเป็นนักเดินทาง กำลังคิดจะไปทางเหนือ ไม่ทราบว่าอันตรายที่พวกเขาคุยกันนั้นเป็นอย่างไร พวกชาวบ้านก็มีน้ำใจ เล่าถึงป่าเงี้ยวและโศกนาฏกรรมประจำปีของหมู่บ้านที่อยู่ถัดไปให้ฟัง ชายคนหนึ่งเอ่ยถึงเรื่องการหายตัวไปนักบวชชุดขาว และเหตุการณ์ในวันฟ้าวิปโยคเมื่อสองปีก่อนเสริมด้วย เขาว่าวันนั้น เขาไปทำธุระที่หมู่บ้านนั้นพอดี เลยได้เห็นการมาถึงของเด็กชายคนหนึ่ง...

    เธอฟังแล้วก็นึกฉงน นักบวชชุดขาว วันฟ้าวิปโยค และเด็กชายคนหนึ่งเกี่ยวอะไรกัน จึงเอ่ยปากถามไป

    ก็เด็กที่มาในวันฟ้าวิปโยคนั้นน่ะ เป็นตัวกาลกิณี ที่ทำให้นักบวชชุดขาวไม่มาทำพิธีสักการะประจำปีที่ป่าเงี้ยวน่ะสิ ตั้งแต่นั้นมา งูก็ออกอาละวาด” เขาอธิบายความเกี่ยวโยงให้ฟัง “เด็กคนนั้นมาอย่างน่ากลัวยิ่ง ทั้งตัวแดงเถือกไปหมด”

    ก็แค่แสงอาทิตย์มันลวงตาไม่ใช่หรือ” ชาวบ้านอีกคนถาม

    มันก็ใช่อยู่ แต่ทั้งที่คนอื่นก็อยู่ใต้ฟ้าวิปโยคเหมือนกัน ทำไมจึงไม่เห็นเป็นสีแดงเช่นนั้นกันล่ะ”

    ไม่รู้ซี ข้าก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยนี่นา”

    ถ้าเจ้าอยู่ด้วยก็คงรู้สึกอย่างเดียวกับข้านั่นแหละ” ว่าแล้วก็เงียบกันไปสักพัก

    คงเป็นความเชื่อของคนแถบนี้... นักบวชชุดขาวนั่นก็คงเป็นพวกผู้นำทางจิตวิญญาณ...

    เธอคิดสรุปความ ก่อนกล่าวขอบคุณชาวบ้าน และปลีกตัวจากมา เมื่อพ้นสายตาผู้คน เธอก็ใช้เข็มทิศอีกครั้ง คราวนี้ก็เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่า ทางไปอีกมิติของเธออยู่ในทิศไหน

    ปลายเข็มสีแดงชี้ไปทางทิศเหนือ... ไม่แน่เธออาจจะได้ไปสัมผัสป่าเงี้ยวที่ทุกคนกล่าวขานถึง เด็กหญิงเผยยิ้มออกมานิดหนึ่ง เป็นฤกษ์ชัยให้แก่ตัวเอง

    ก่อนออกเดินทางต่อ นักเดินทางร่างเล็กก็แวะร้านรับฝากเงินเพื่อหาสกุลเงินของที่นี่ติดตัวสักเล็กน้อย การอยู่ในมิตินี้ดูจะไม่ค่อยยุ่งยากมากนัก ผู้คนแลเป็นมิตรมีน้ำใจดี และก็ไม่ค่อยช่างถาม หรือสงสัยอะไรเกินไปจนน่ารำคาญ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เธอชอบ แต่ก็อย่างว่า เธอเพิ่งรู้จักหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่แรก คงยังด่วนสรุปไม่ได้

    เมื่อพ้นจากเขตหมู่บ้าน ทิวทัศน์สองข้างทางหาได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนัก ยังคงเป็นเทือกสวนไร่นา และทุ่งที่ปล่อยร้างเป็นแห่งๆ มันไม่ได้ดูเขียวขจีอุดมสมบูรณ์อย่างชนบทในฝัน กลับเป็นสีเขียวน้ำตาลหม่นๆ ที่เข้ากับท้องฟ้าซึ่งทะมึนไปด้วยเมฆ เมื่อคืนฟ้ายังไร้เมฆ วันนี้เมฆเข้ามายึดครองพื้นที่เต็มเสียแล้ว

    ชาวนาชาวไร่ก้มหน้าหลังขดหลังแข็งทำงาน อย่างน้อยเมฆก็ยังช่วยบังแดดให้พวกเขาได้ มีรถเกวียนเทียมม้าหรือวัวแล่นผ่านมาไปเป็นระยะๆ เสียงกุกกักของกีบเท้าสัตว์และล้อเกวียนที่กระทบพื้นถนนเข้ากับบรรยากาศสงบนี้อย่างน่าประหลาด เด็กหญิงเคยคิดจะติดรถคนขับเกวียนไปเหมือนกัน แต่ก็ละความคิดเสีย ด้วยเหตุผลที่เธอเองก็อธิบายไม่ถูก คงเป็นเพราะความเรียบง่ายของที่แห่งนี้ชวนให้เธอไม่อยากรีบเร่ง อยากจะซึมซับธรรมชาติของมันแทน และการก้าวเดินไปเรื่อยๆ เช่นนี้ดูจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้สมความมุ่งหมายนั้น

    สายมากแล้ว...

    ในความคิดของเธอเวลาเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าความเป็นจริง นักเดินทางข้ามมิติมาถึงหมู่บ้านแห่งใหม่ในท้ายที่สุด

    ภายในหมู่บ้าน ไม่ได้เหมือนหมู่บ้านที่ผ่านมาอย่างที่เธอคาดเดาไว้ ที่นี่แลเงียบสงัด และวังเวงกว่า ตัวบ้านเก่าๆ ที่ปลูกติดตัว ในลักษณะคล้ายคลึงกันไปหมดก็ให้ความรู้สึกหม่นหมองอย่างน่าประหลาด มองไปทิศไหนก็ไม่พบเห็นผู้คน

    ...หรือว่าทุกคนจะออกไปทำงานข้างนอกกันหมด

    เด็กหญิงพบคำตอบของคำถามนั้นเมื่อเดินผ่านแยกข้างหน้า ตรงบริเวณสุดถนนด้านขวามือ ผู้คนกลุ่มใหญ่กำลังชุมนุมกันอยู่ที่ลานกว้าง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจึงเข้าไปร่วมกลุ่มกับพวกเขาด้วย

    ...ก่อนจะพบกับความประหลาดใจยิ่งกว่าครั้งใดที่เคยประสบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×