คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เมื่อเงินกลายเป็นปัจจัยสำคัญ
เมื่อเงินกลายเป็นปัจจัยสำคัญ
ผมรีบเล่าสิ่งที่คิดได้ให้เชนและเนฮีเดียฟังด้วยกลัวว่าถ้าผมไม่รีบบอกออกไป มันจะหายวับไปซะก่อน
ฟังจบแล้ว เชนก็เหมือนจะเห็นด้วยแต่ก็ยังมีคำถามตามมาว่า
“แล้วจะทำให้คนอื่นบ้าตามพวกเราได้ยังไง”
หมอนี่ชอบยิงปัญหามาให้ผมขบคิดได้ดีเสียจริง ทำไมถึงไม่รู้จักคิดเองบ้างนะ แต่ถึงจะว่าเขาไปอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังเก็บไปคิดต่ออยู่ดี การใช้ความคิดนี่ก็สนุกดีเหมือนกันนะ โอ...ไม่... นี่เป็นอาการขั้นต้นของการบ้าคิดอย่างพวกนักวิจัยนี่นา ผมต้องหยุดตัวเองไว้แค่เรื่องนี้ก็พอ อย่าบ้าคิดไปมากกว่านี้เลย
แต่พอยิ่งคิดเรื่องนี้ ผมก็ยิ่งพบว่ามันทำได้ยากกว่าที่คิด เหมือนดังที่ว่า พวกคุณสามารถคิดฝันจินตนาการได้ว่า คุณจะรวยล้นฟ้า จะมีไอ้นั่นไอ้นี่ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และคุณก็รู้ว่าคุณสามารถเป็นว่าที่คุณคิดได้ถ้าคุณมีเงินซึ่งเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนในยุคของคุณมากพอ คุณรู้ว่าคุณต้องหาเงิน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรนั่นแหละ สำหรับในเรื่องนี้ผมก็มีความบ้าเป็นปัจจัย ส่วนเป้าหมายไม่ใช่ความร่ำรวย แต่เป็นการเป็นสุดยอดตัวร้าย
ก็เหมือนกับนิยายที่มีแต่ตอนต้นเรื่องกับตอนจบ แต่ส่วนสำคัญคือช่วงกลางของเรื่องที่จะเชื่อมโยงตอนต้นกับตอนจบขาดหายไปนั่นแหละ
“เรารู้นิโรธแต่ไม่มีมรรค” เนฮีเดียเปรยขึ้นได้ตรงใจผมพอดี บางทีเธอจะกำลังช่วยผมคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันก็ได้นะ ช่างน่ารักเสียนี่กระไร
ว่าแต่นิโรธกับมรรคเหรอ... จำได้ว่าเป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนานี่นา เนฮีเดียก็ชอบพูดอะไรเป็นปรัชญาเต๋าๆ เซ็นๆ ทำนองนี้อยู่แล้วด้วย ไม่แน่ว่าเธออาจมาจากครอบครัวที่เคร่งครัดด้านจิตวิญญาณ หรือนับถือลิทธิความเชื่ออะไรสักอย่างก็ได้นะ
จริงสิ ผมยังไม่เคยถามประวัติของเชนกับเนฮีเดียเลย แม้พวกเราจะรู้จักกันมาได้ไม่นาน และคนในสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจประวัติความเป็นมาของคนรอบข้างเท่าไหร่นัก หากแต่ให้ความสำคัญกับปัจจุบันของคนคนนั้นมากกว่า ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าคิดว่าจะรวมกลุ่มเดียวกันก็ควรทำความรู้จักกันให้มากเข้าไว้ ต้องถามให้แน่ใจในอุดมการณ์ตัวร้ายที่มีด้วยล่ะ เพราะถ้ามีความบ้าไม่พอ ไม่ว่ามีแผนล้ำเลิศขนาดไหนก็ไม่ทางประสบความสำเร็จ
“พวกนายคงไม่ได้บังเอิญเป็นทายาทตระกูลใหญ่หรือบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลล้นฟ้าที่คิดจะประชดชีวิตด้วยการหนีออกจากบ้านมาทำตัวเป็นคนเลวใช่ไหม”
เชนและเนฮีเดียนิ่งไปเมื่อได้ยินผมเอ่ยถามรวดเดียวโดยไม่พักหายใจ ก่อนจะต่างพากันส่ายหน้าปฏิเสธอย่างงงๆ
“คิดอะไรของนายอยู่วะ” เชนถาม
คิดอะไรอยู่น่ะเหรอ ที่จริงแล้วผมกำลังเอาเรื่องสามเรื่องมาคิดด้วยกัน
“ก็กำลังคิดว่า การจะเป็นตัวร้ายที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น ปัจจัยสำคัญลงจากความบ้าก็คืออำนาจเงินตรา และการมีอดีตแสนรันทดขมขื่นก็เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของคนที่ผันตัวมาเป็นคนเลว สุดท้ายก็คือคิดว่าไหนๆ ต่อไปพวกเราคงต้องร่วมงานกันอีกนาน รู้จักพื้นเพของแต่ละคนเอาไว้หน่อยก็ดี”
ชายผมส้มฟังแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ พลางกล่าว
“มีเหตุผล แต่ว่าเรื่องราวในอดีตของฉันเป็นความลับสุดยอด จะไม่เปิดเผยให้นายฟังเด็ดขาด”
เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่ผิด แม้แต่เชนก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับปัจจุบันของตนมากกว่าอดีตที่ผ่านมา ซึ่งมองในอีกมุมหนึ่ง เขาอาจคิดว่า การปกปิดอดีตเอาไว้ทำให้คนอยากรู้จักอยากค้นหา และดูเท่ดีก็ได้
“ดิฉันไม่ได้มีอดีตที่แสนเศร้าอย่างที่คุณกล่าวมา แต่ถ้าต้องการก็สามารถสร้างขึ้นได้ค่ะ”
สรุปเนฮีเดียก็จะไม่บอกเหมือนกันสินะว่าอดีตที่แท้จริงของเธอคืออะไร เอาเถอะ หญิงสาวที่ภายนอกดูเรียบร้อยน่ารักผู้คิดจะมาเป็นตัวร้ายคงต้องมีอะไรปกปิดไว้บ้างแหละ
“อย่างนั้นก็ได้” ผมสนับสนุน “แล้วอดีตแสนเศร้าที่แต่งขึ้นมาเป็นอย่างไรล่ะ”
“ยังเปิดเผยไม่ได้ค่ะ” เธอตอบ “อดีตแสนเศร้านี้จะถูกเปิดเผยเมื่อมีเหตุการณ์กระตุ้นที่เหมาะสมเท่านั้น ถ้าเปิดเผยได้ง่ายๆ ก็ไม่ใช่อดีตแสนเศร้าที่ต้องปิดบังสิคะ และถ้าทำแบบนั้นก็จะสร้างความประทับใจได้ไม่เท่าที่ควรด้วยค่ะ”
เนฮีเดียกล่าวถูกเสมอ ผมอับจนถ้อยคำไปโดยพลัน
“ช่าย ประวัติความเป็นมาของฉันเปิดเผยได้เมื่อถึงเวลาที่สมควรเท่านั้น” เชนกลับคำง่ายๆ เสียอย่างนั้น เมื่อกี้ยังบอกว่าจะไม่มีวันเล่าให้ผมฟังเด็ดขาดอยู่เลยนี่
“แต่อดีตของผมเปิดเผยได้นะ” ผมบอก
ทั้งห้องเงียบ ไม่มีใครเอ่ยอะไรต่อจนกระทั่งผ่านไปหนึ่งอึดใจ
“แล้วไง” เชนเลิกคิ้วถาม
“ไม่อยากฟังกันเหรอ”
“ถ้าแกอยากเล่าก็เล่ามาเลยสิวะ มัวรีรออะไร” เชนพูด ขณะที่เนฮีเดียพยักหน้าเห็นด้วยทีหนึ่ง
เห็นอย่างนี้แล้วผมชักเริ่มหมดอารมณ์อยากเล่า คนพวกนี้ไม่มีความอยากรู้อยากเห็นกันเลยหรือไงนะ สมเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความเป็นปัจเจกชนสูงซะจริงๆ แต่ผมก็ไม่ใช่คนเรื่องมากขี้งอนแบบพวกผู้หญิง ผมเลยเล่าคร่าวๆ ให้พวกเขาฟังว่าชีวิตที่ผ่านมาของผมธรรมดาสามัญอย่างไรบ้าง ส่วนเรื่องอดีตอันแสนเศร้าที่ทำให้ผมผันตัวมาเป็นตัวร้ายผมก็ไม่บอกพวกเขาเช่นกัน พวกคุณควรดีใจนะที่ได้รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว
“ชีวิตนายเหมือนหนูทดลองให้พ่อแม่เลย” เชนวิจารณ์หลังฟังจบ
ได้ยินอย่างนี้ผมควรรู้สึกเจ็บ โกรธแค้น หรือตอบโต้เชนกลับบ้างใช่ไหม แต่ทำไมผมถึงมาเสียเวลาคิดล่ะว่า ผมควรจะคิดหรือรู้สึกกันแน่อย่างไร
จริงๆ แล้วที่เชนว่ามาก็ไม่ผิดหรอก ผมเองก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน แต่ผมก็ไม่ได้โกรธแค้นหรือไม่พอใจพ่อแม่ของผมหรอกนะ
ชีวิตมนุษย์แต่ละคนที่เติบโตขึ้นมาได้ก็คืองานการสร้างสรรค์ การทดลองเลี้ยงแบบถูกบ้างผิดบ้างของบุพการีไม่ใช่หรือ พ่อแม่ย่อมมีความตั้งใจว่าจะให้ลูกโตเป็นแบบไหน อยากให้ลูกเป็นอย่างไรกันทั้งนั้นล่ะ ถึงแม้จะบอกว่าให้เป็นอย่างที่ลูกอยากเป็น ให้โตตามธรรมชาติก็ตาม ก็ยังถือเป็นความตั้งใจอย่างหนึ่งอยู่ดี
ผมเองก็ไม่ได้ถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมแบบปิดถึงขั้นจัดว่าเป็นสัตว์ทดลองแต่อย่างใด ถ้าจะหยิบเรื่องชีวจริยธรรมหรือศีลธรรมจรรยาในกรณีอื่นๆ มาพูด ผมก็ไม่อยากรับรู้จะไม่อยากสนใจ เรื่องพวกนั้นมันหนักหัวคนธรรมดาอย่างผมจนเกินไป มันใหญ่เกินกว่าที่จะเก็บมาคิด ผมแค่รู้ว่า
“ถึงจะเป็นสัตว์ทดลองอย่างไร ผมก็รักพ่อแม่ของผมในแบบคนธรรมดาที่ผมเป็นล่ะ” ผมฉีกยิ้มให้เชน ดูเขาจะอึ้งไปนิด แต่ก็ยอมรับความคิดผมอยู่ในที
ถ้าเชนเป็นคนรุ่นใหม่เช่นเดียวกับผมจริง (ซึ่งผมก็คิดว่าจะน่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเขาดูขวานผ่าซาก และยังดูอ่อนประสบการณ์อยู่ หรือไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องเสแสร้งทำได้แนบเนียนมากๆ) เขาคงมีความหลังฝังใจหรือไม่พอใจพ่อแม่อยู่บ้างล่ะมั้ง คิดได้ดังนี้แล้วผมก็รู้สึกเห็นใจตาเชนขึ้นมากระติ๊ดหนึ่ง ไว้คราวหลังจะพยายามหาเหตุการณ์มาทำให้เขาพูดเรื่องอดีตอันแสนรันทดของเขานี้ให้จงได้ แล้วบางทีผมอาจจะพยายามอธิบายเรื่องที่คิดมามากมายก่อนจะสรุปตอบเป็นประโยคสั้นๆ นี้ให้เขาฟังด้วยล่ะกัน แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึงล่ะ
บางครั้งคนเราก็คิดจะพูดจะทำอะไรไว้ตั้งเยอะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ทำได้เพียงส่วนเล็กๆ ที่เป็นเศษเสี้ยวของความคิดเท่านั้น คิดแล้วก็น่าเสียดายเหมือนกันนะ
ก่อนที่จะพาออกนอกเรื่องไปไกล หรือชวนทะเลาะกับเชนไปมากกว่านี้ ผมก็ดึงบทสนทนากลับมาหนึ่งในสามของเรื่องที่ผมคิดเมื่อครู่
“ว่าแต่ แล้วเรื่องเงินทุนล่ะ”
“เงินอะไรวะ” เชนถามกลับ
ผมเคยบอกพวกคุณไปแล้วใช่ไหมว่าเงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในโลกบูดๆ บี้ๆ นี้ คำพูดนั้นเป็นจริงแน่นอนในสังคมระดับรากหญ้าของคนทั่วไป ปฏิกิริยาของเชนจึงไม่ใช่เรื่องแปลก คนที่ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจมาแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีเงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนอยู่ เพราะพวกเขามีชีวิตอยู่อย่างลูกเศรษฐีที่สามารถใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายได้จนไม่คิดว่ามันสำคัญ เหมือนปลาที่มองไม่เห็นน้ำ และไม่รู้ว่าน้ำสำคัญอย่างไร เหมือนคนมองไม่เห็นอากาศ และเห็นถึงความสำคัญของมันเมี่อขาดไปแล้วเท่านั้นนั่นแหละ
แต่ถ้าเงินขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลรวมทั้งผู้ปกครองของคุณจัดหามาให้ (ซึ่งก็มากโขอยู่) ไม่เพียงพอต่อความต้องการของคุณ คุณก็ต้องหาเงินมาใช้เพิ่มเองล่ะ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เงินจำนวนนั้นก็มากพอจะรองรับความบ้าในระดับมาตรฐานทุกรูปแบบ
อะไรคือความบ้าในระดับมาตรฐานที่ว่าผมน่ะหรือ
มันก็คือความบ้าที่ไม่มีการเปรียบเทียบ เป็นความบ้าที่มีในตัวเองเท่านั้น ถ้าคุณไม่ต้องแข่งกับใคร ไม่ได้ต้องการจะเหนือกว่าใคร พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่แล้ว เงินจำนวนนั้นก็เพียงพอ แต่ถ้าคุณต้องการจะเหนือกว่าคนอื่น และคนอื่นที่ว่านั้นก็ไม่ยอมให้คุณเหนือกว่าได้ง่ายๆ การแข่งขันก็เกิดขึ้น เมื่อนั้นคุณก็ไม่ได้มีความบ้าในระดับมาตรฐานอีกต่อไป เพราะตัวชี้วัดระดับความพอใจของคุณเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกแล้ว เงินจึงเข้ามามีบทบาททันที
และแน่นอนว่า การจะเป็นตัวร้ายที่เหนือกว่าตัวร้ายทั้งหลายและการยึดครองโลกใบนี้นั้นล้วนต้องเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ผมเสียเวลาสรุปเรื่องระบบเศรษฐกิจของโลกบ้าๆ นี้ให้เชนฟังพักหนึ่ง วิชาด้านนี้ดันเป็นวิชาที่ผมมีคะแนนหวิดจะตกอยู่รอมร่อเสียด้วยสิ หวังว่าเชนคงจะเข้าใจล่ะกัน
“สรุปว่าพวกเราต้องหาเงินมาใช่ไหมวะ” เชนว่าหลังฟังการบรรยายรวบยอดของผมจบ
“เออ นั่นแหละ”
ผมต้องยอมรับว่าหมอนี่มีเซนส์ด้านการจับใจความที่ต้องการดียิ่ง เชนคิดจะตะลุยด้านหน้า เอาความคิดไปใช้งานจริงอยู่ลูกเดียว
“แล้วทำไง”
สุดท้ายก็จบลงอีหรอบเดิม เชนโบ้ยมาให้ผมคิดอีกล่ะ
“รู้จักเครื่องมือแล้ว แต่ยังคงขาดหนทาง” เสียงของเนฮีเดียลอยมาแทงใจผมอีกแล้ว ผมไม่รู้ว่าเชนได้บอกให้เธอคอยพูดอะไรทำนองนี้ให้เข้ากับสถานการณ์หรือเปล่า แต่ก็ไม่แน่นัก นี่อาจเป็นเอกลักษณ์ของเธอเองก็เป็นได้ ตอนนี้บอกได้อย่างเดียวว่า ผมชอบฟังเธอพูด และชอบเนื้อหาที่เธอสื่อออกมาในนั้นล่ะนะ
ผมรู้แล้วล่ะว่า เงินเป็นปัจจัยสำคัญ แต่วิธีการที่จะทำให้ได้เงินมานั้นก็ยังไม่มีอยู่ดี
ต้องใช้หมองอีกแล้วสินี่
ความคิดเห็น