คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : - ฝัน...ถึงเพื่อนในอดีต - "เจ้าชื่อแคสซานดรา เป็นแม่มดดำ เจ้าล่ะชื่ออะไร"
- ฝัน...ถึงเพื่อนในอดีต -
“ข้าชื่อแคสซานดรา เป็นแม่มดดำ เจ้าล่ะชื่ออะไร”
เด็กชายวัยสิบขวบกำลังหลงทางอยู่ในป่า...
เขาอยากกล่าวโทษตัวเองว่าไม่น่าจะคิดอะไรแผลงๆ อย่างการออกมาฝึกวิชาฟาดฟันสัตว์อสูรในป่าข้างเมืองโดยหวังจะเลียนแบบพวกพระเอกในนิทานเช่นนี้เลย
...พวกนั้นน่ะ ถ้าไม่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางป่าเขา ออกล่าสัตว์หากินกับธรรมชาติอยู่แล้ว ก็ต้องมีพ่อหรืออาจารย์ฝึกสอนสุดยอดวิชาให้...
เพราะเมื่อเปรียบเทียบชีวิตเขากับพวกผู้กล้าหรือพระเอกในเรื่องเหล่านั้นแล้ว เด็กชายก็อดน้อยเนื้อต่ำใจในชะตาอาภัพของตนขึ้นมาไม่ได้ เขาเป็นเด็กชาวเมือง รู้จักแต่การใช้ชีวิตในเมือง คนที่เขาคิดว่าเป็นพ่อแท้ๆ ของตนก็ยังไม่ยอมชายตามองเขาเลย ส่วนอาจารย์ก็ออกจะดูแคลนในตัวเขา หันไปสนใจสอนให้พวกลูกขุนนางที่เป็นศิษย์รักมากกว่า
ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาต้องไม่ผ่านการสอบคัดเลือกเป็นทหารองครักษ์ แล้วต้องถูกเตะโด่งออกจากโรงเรียนแน่ๆ ...
เด็กชายทราบถึงสถานการณ์ของตนดี ตั้งแต่ย้ายไปอยู่ที่ที่พักใหม่ ชีวิตเขาก็มีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดไม่เว้นสักวัน ใจจริงเขาก็ใช่อยากจะเรียนโรงเรียนนั้นหรือว่าเป็นทหารองครักษ์นักหรอก จุดมุ่งหมายของเขาคืออยากพิสูจน์ตัวเองสักตั้ง เอาให้รู้แล้วรู้รอดไปว่าคนอย่างเขาจะไปได้สักกี่น้ำ
แต่ตอนนี้เขากำลังจนตรอก... ไม่ใช่สิ... กำลังหาทางออกจากป่านี้ไม่ได้ต่างหาก...
เด็กชายตัดสินใจเลิกคิดถึงปัญหาที่ไกลตัวเหล่านั้น แล้วลองหยั่งเท้าเดินอีกก้าวสองก้าวแทน
เขาได้ยินมาว่า ป่านี้เป็นป่าที่ประหลาด พอมีสัตว์อสูรระดับต่ำอาศัยอยู่บ้าง เป็นแหล่งที่พวกชาวบ้านที่อยากรับราชการทหารจะมาเก็บประสบการณ์เพิ่มพูนระดับฝีมือกัน หากขณะเดียวกันก็อันตรายเกินว่าที่นายพรานทั่วไปจะมาออกล่าสัตว์หากิน และก็มีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับที่นี่ด้วย ข่าวนั้นว่า คนที่เข้าไปในป่าตะวันออกของเมืองบ่อยๆ จะสติฟั่นเฟือนไป ป่าแห่งนี้จึงกลายเป็นแห่งพิสูจน์กำลังขวัญความกล้าของพวกนักเลงวัยรุ่นที่ขึ้นชื่ออีกแห่ง
ก่อนหน้านี้เด็กชายเจอสัตว์อสูรตัวเล็กๆ อยู่สองสามตัว ด้วยระดับฝีมือที่เขามีในตอนนี้ก็พอสู้พอฟัดพอเหวี่ยงกับพวกมันได้ แต่นั่นหมายถึงการเผชิญหน้าหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น เด็กชายหวั่นเกรงว่าถ้าพวกมันรวมตัวกันอยู่มากกว่านั้นแล้วเขาบังเอิญไปเจอะเข้าจะเป็นอย่างไร จึงเดินอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว... ทว่าเขามัวแต่ระมัดระวังทางข้างหน้ามากเกินไปจนลืมจำทางกลับไปด้วย...
ในระหว่างที่กำลังมองหาทางที่น่าเดินไปต่ออยู่นั่นเอง เขาก็เห็นแสงสว่างจ้าขึ้นที่ด้านหนึ่ง เวลานี้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินแต่ก็เกือบแล้ว แสงขาวที่เห็นจึงดูสว่างเรืองรองมาก เด็กชายคิดว่าอาจจะเป็นคนจึงลองวิ่งไปดู บางทีเขาอาจจะขอให้อีกฝ่ายช่วยหาทางกลับเมืองให้ได้
วิ่งตามหาแหล่งกำเนิดแสงไปสักพักก็ได้พบกับภาพที่น่าตื่นตะลึง...
เด็กหญิงสีขาวคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางร่างของเหล่าสัตว์อสูรตัวกระจิดที่สลบไสลไม่ได้สติกันถ้วนทั่วทุกตัวตน มีเพียงเด็กหญิงยืนยิ้มอย่างภาคภูมิกลางวงล้อมนั้น เสมือนกับว่านางเป็นตัวการต้นเหตุที่ทำให้เกิดภาพเหลือเชื่อดังกล่าว
เด็กชายรู้สึกประทับใจราวกับได้เห็นภาพเทพธิดาสำแดงอิทธิฤทธิ์ เขาสนิทกับเด็กหญิงอีกคนสองซึ่งจัดว่าเป็นคนที่มีความงามเป็นเลิศจนยากจะตื่นตากับของสวยงามง่ายๆ แล้วก็จริง แต่ภาพลักษณ์ของเด็กหญิงในชุดตัวยาวสีขาวนั้นประหนึ่งอยู่เหนือโลกีย์วิสัยออกไป เหมือนนางเป็นคนที่อยู่คนละโลกกับเขาอย่างใดอย่างนั้น
นัยน์ตาคมสีเทาโลหะของเด็กหญิงนั้นหันมามองยังวิลเลียมเมื่อรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังจับจ้องตนอยู่
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” นางกล่าวเสียงดังกังวานใส แสดงอำนาจอย่างชัดเจน
“เอ่อ... คือ... ข้ากำลังหลงทางอยู่น่ะ” เด็กชายผมน้ำตาลปรากฏตัวออกมา เขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบมองตั้งแต่ต้น แล้วก็ไม่ได้คิดว่าการทำเช่นนั้นจะผิดอะไร จึงเปิดเผยตัวออกไปตรงๆ ...แม้การหลงทางอยู่ในป่าและต้องไปขอความช่วยเหลือจากเด็กผู้หญิงอายุรุนราวคราวเดียวกันจะถือเป็นเรื่องน่าอายอยู่บ้างก็ตามสำหรับเขา แต่การเอาตัวรอดย่อมสำคัญกว่า...
“ระวังนะ!” เด็กชายเห็นสัตว์อสูรสี่เท้าตัวหนึ่งฟื้นตัวขึ้นมาและกำลังจะจู่โจมเด็กหญิง จึงร้องเตือนขึ้น แล้วรีบเข้าไปขวางหน้ามันเอาไว้
หากแต่เขาไม่รู้เลยว่า เด็กหญิงล่วงรู้และเตรียมป้องกันเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อเอาตัวเข้าไปขวาง จึงกลายเป็นการรับพลังเวทจู่โจมของนางไปพร้อมกับสัตว์อสูรนั้นที่พุ่งมาโดนตัวเขาพอดี
เด็กชายเนื้อตัวกระตุกแล้วล้มลงนอนแผ่หลากับพื้น ขาแขนสั่นกระดิกเป็นระยะๆ รู้สึกชาด้านไปทั้งตัว ที่ปากก็มีรอยยิ้มเหยเกเบี้ยวบูดที่หุบไม่ลง เขาคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป...ฝันว่าโดนฟ้าผ่า
“เจ้าบ้า เจ้าเข้ามาขวางเวทข้าทำไม โดนอย่างนี้ก็สมควรแล้ว” เด็กหญิงก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงด้านหน้า ให้เขาที่นอนขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่เห็นนางเต็มสายตา
ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่เด็กหญิงก็ย่อตัวลงแล้วเอามือแตะแขนเขา คลื่นพลังอุ่นสายหนึ่งแผ่เข้ามา วิลเลียมไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือชาด้านอีกต่อไปแล้ว เพียงไม่นานเขาก็ลุกขึ้นได้ เด็กชายไม่เคยเห็นพลังรักษาแบบนี้มาก่อน แม้แต่พวกหมอหรือนักบวชที่มารักษาท่านแม่ก็ไม่มีใครมีพลังเช่นนี้
“เจ้าเป็นนางฟ้าหรือ” นั่นเป็นสิ่งแรกที่เขาถามเมื่อปากกลับคืนมาสู่สภาพปกติ เด็กชายทั้งตั้งใจถามตามความสัตย์และทั้งต้องการจะแฝงอารมณ์หยอกเย้า
แต่อีกฝ่ายกลับยึดถือคำถามเขาเป็นจริงเป็นจังกว่าที่คิดไว้
“ไม่ใช่” นางตอบสั้น
“อย่างนั้นเจ้าเป็นใคร”
“ข้าชื่อแคสซานดรา เป็นแม่มดดำ” เด็กหญิงกางแขนออก แนะนำตัวอย่างผึ่งผาย “เจ้าล่ะชื่ออะไร”
“ข้าชื่อวิลเลียม” เด็กชายตอบ “เป็น... เอ่อ... กำลังจะฝึกเป็นนักดาบ... ว่าแต่ แม่มดดำคืออะไรเหรอ”
ตอนนั้นวิลเลียมแม้จะพอรู้จักศัพท์ของพวกนักเวทอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจนักว่าแม่มดดำที่แคสซานดราบอกว่าตนเป็นนั้นใช่อย่างเดียวกับแม่มดดำที่เขาเข้าใจหรือไม่ ก็ดูตัวนางขาวกระจ่างใสขนาดนั้น ไม่มีส่วนใดเป็นสีดำเลยนี่นา
เด็กหญิงนามแคสซานดรานั้นมีผมสีทองอ่อนเหมือนแร่ทองคำขาว ชุดยาวสีขาวที่เธอสวมนั้นก็แลงามวิจิตรประหนึ่งเครื่องแต่งกายของพวกเอลฟ์ที่เขาเคยเห็นในภาพวาด ประกอบกับสายสร้อย เข็มขัดทองร้อยรัด และแหวนประดับอัญมณีหลากสีทั้งหลายที่นางสวมแล้ว แทบไม่มีส่วนไหนบ่งบอกเลยว่านางเป็นแม่มดดำ
“แม่มดดำก็คือนักเวทผู้ใช้เวทมืดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไร” เด็กหญิงเอ่ยตอบด้วยความภูมิใจ ดูแล้วไม่ต่างจากเด็กน้อยที่กำลังเล่าถึงอาชีพในฝันที่อยากเป็นอย่างชื่นชมอย่างใดอย่างนั้น จะติดขัดก็ตรงที่ว่า เด็กน้อยทั่วไปคงไม่มีใครคิดอยากเป็นแม่มดดำ
“แต่ที่จริง ข้าก็กำลังฝึกอยู่เหมือนกัน” นางเสริม “ตอนนี้ข้ายังใช้เวทสายความมืดไม่คล่องหรอก แต่ถ้าสายอื่นก็พอได้แล้ว อาจารย์บอกว่าไว้รอข้าเชี่ยวชาญเวทสายอื่นหมดแล้วก็จะเก่งเวทสายความมืดไปด้วย”
วิลเลียมพยักหน้าถี่ๆ เป็นการบอกว่าเข้าใจ แม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเวทมนตร์นักก็ตาม ก็เขาเห็นอีกฝ่ายยิงแสงสว่างกับใช้เวทสายฟ้าและเวทรักษาอยู่ทนโท่เมื่อกี้นี้ แต่นางคงเก่งน่าดู
“อย่างนั้นเรามาฝึกด้วยกันดีไหม” เด็กชายมีความคิดบรรเจิดผุดขึ้นมาในหัวอีกแล้ว
“ฝึกด้วยกัน?” แคสซานดราทวนคำเหมือนจะไม่เข้าใจ
“ก็ข้าก็ฝึกดาบ ส่วนเจ้าก็ฝึกเวท สู้กับสัตว์อสูรในป่านี้ไป เราสองคนคอยช่วยเหลือกันก็ไม่ต้องกลัวจะเดือดร้อนอย่างไร”
เด็กชายอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
...ข้าจะได้ไม่ต้องกลัวหลงป่าด้วย...
นั่นคือผลประโยชน์ที่เขาคาดหวังจะได้รับมากที่สุดจากการร่วมมือกันครั้งนี้
แคสซานดราครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงค่อยตอบว่า
“...ก็น่าจะดีเหมือนกัน” แม้จะเป็นคำตอบไม่ใช่การปฏิเสธ แต่น้ำเสียงก็เหมือนยังไม่แน่ใจนัก
“อย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าเรามาเจอกันที่นี่นะ” วิลเลียมสรุปให้เรียบร้อยแล้วว่า เพื่อนใหม่ตอบตกตง จึงนัดแนะอีกฝ่ายและโบกมือลาโดยไม่คิดอะไร
“ได้สิ พรุ่งนี้เจอกัน” แคสซานดราผุดยิ้ม เป็นเพียงรอยยิ้มเล็กๆ ทว่าดูสดใสนักเมื่ออยู่บนใบหน้าของนาง โลกในยามโพล้เพล้แลดูสว่างไสวขึ้นมาทันที
เขามองรอยยิ้มนั้นเพลินอย่างเคลิบเคลิ้มงมงาย จนกระทั่งเด็กหญิงเดินจากไปไกลจากกรอบการมองเห็น
หลังจากนั้นวิลเลียมก็เพิ่งตระหนักถึงความจริงประการหนึ่งที่เขาหลงลืมไปชั่วขณะ...
เขายังไม่ได้ถามทางออกจากป่าจากนางเลย...
...เงาหลังของเด็กหญิงในชุดขาวหายไปทางไหนแล้วนี่
ความคิดเห็น