ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #26 : บทส่งท้าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 379
      3
      4 มี.ค. 55

    บทส่งท้าย

     

    ณ ห้องพิเศษของโรงพยาบาล ฉันจัดดอกไม้เยี่ยมใส่แจกัน แล้วมองเด็กหนุ่มที่นอนอยู่ที่เตียงครู่หนึ่ง

    “เขาน่าจะไม่เป็นไรถ้าอยู่ที่นี่” ชายอีกคนที่อยู่ในห้องบอก “โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นของคนที่ผมรู้จัก ดังนั้นผมจะทำให้แน่ใจว่าเขาจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด”

    ฉันหันไปคุยกับเขา

    “ขอบคุณคุณจริงๆ สำหรับทุกอย่าง เร็กซัส ถ้าไม่มีคุณช่วย พวกเราคงลำบากกว่านี้ ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณอย่างไรดี”

    เร็กซัสเป็นคนที่ช่วยเข้ามาคลี่คลายเรื่องทุกอย่างอีกแรงในวันนั้น แต่เขาก็ยังไม่ยอมบอกฉันตรงๆ อยู่ดีว่าเขาเป็นใคร ดังนั้นฉันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปก่อนเช่นกัน แต่แน่นอนว่าฐานะอื่นเกี่ยวกับเขาฉันก็ยังไม่ทราบเช่นกัน

    “ผมขอโทษด้วยที่ปล่อยลอยล์ให้หนีไปได้ แต่ผมเชื่อว่าสักวันเขาจะต้องชดใช้กับสิ่งที่เขาทำ” แม้เสียงพูดจะฟังสงบ แต่ดวงตาของเขาฉายแววแห่งความแค้นอันล้ำลึก ฉันรู้สึกว่าเรื่องที่เขาพูดถึงคงไม่ใช่แค่เรื่องที่เกิดขึ้นที่สถาบันเซ็นเท่านั้น

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ฉันบอก “แค่หยุดเรื่องวุ่นวายที่โรงเรียน และจบโครงการวิจัยนั้นลงได้ ฉันก็ดีใจแล้ว”

    “...ผมค่อนข้างตกใจอยู่นะ ที่เห็นเขายังมีชีวิตอยู่” เร็กซัสหมายถึงโอเรที่นอนอยู่บนเตียง

    “ฉันก็เหมือนกัน” ฉันรับ “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันคิดว่าฉันเห็นผี ฉันลืมไปสนิทเลยว่าทำไมโอเรถึงถูกส่งมาที่สถาบันเซ็นในตอนแรก”

    “การถอดจิตออกร่าง... นั่นคือวิธีหลบหนีออกจากโลกอันโหดร้ายของเขา” ชายหนุ่มเปรย “ในตอนท้าย เธอก็คือคนที่รวบรวมวิญญาณของเขากลับมา”

    “เปล่า ไม่ใช่ฉันหรอก” ฉันส่ายหน้า แล้วมองตรงไปที่โอเร “เขาอาจดูเป็นอย่างนี้ แต่เขาก็อดทนกับหลายอย่างในชีวิตของเขา เขาเป็นคนที่เข้มแข็งมาก”

    “แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่...” เร็กซัสว่า “โอเรอยู่ในอาการโคม่ามาเป็นสิบปีแล้ว พวกหมอก็บอกว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ที่เขายังมีชีวิตอยู่ ...โอกาสที่เขาจะฟื้นขึ้นมาก็แถบจะไม่มีเลย”

    “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” ฉันแย้มยิ้ม “ถึงโอเรจะเป็นนักฝัน แต่เขาก็เป็นนักสู้ด้วย เขาเลือกที่จะกลับไปต่อสู้ในร่างนั้นด้วยตัวของเขาเอง แล้วเขาก็เป็นคนที่รักษาสัญญามาตลอด”

    ก็เขาสัญญากับทุกคนไว้แล้วนี่นา... ว่า

    “ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ผมมั่นใจว่า วันหนึ่ง เราจะได้เจอกันอีก”

    รอยยิ้มของเขาในวันนั้น ยังคงเจิดจรัสและเป็นความหวังในใจฉันเสมอ

    โอเรต่อสู้และรอคอยในระเบียงที่ล้อมด้วยท้องฟ้าและเมฆมาตลอดหลายปี ถ้าให้ฉันรอคอยเขากลับมาบ้างก็คงไม่เป็นไร ฉันจะยอมแพ้เขาไม่ได้

    หลังจากนั้นฉันก็ขอตัวจากเร็กซัส และบอกเขาว่าจะไปหายูออนต่อ

     

    ณ ห้องทำงานของยูออนที่สถาบันเซ็น

    “ยูออน!!” ฉันโวยวายทันทีที่เปิดประตูคนในห้องนั้น “พวกเขาเพิ่งปล่อยนายออกจากโรงพยาบาลเท่านั้น... นายก็กลับมาทำงานแล้วหรือ”

    แล้วทำไมเขาถึงทำให้ห้องรกได้ขนาดนี้อีกแล้ว... ฉันกวาดตามองรอบๆ ห้องแล้วต้องขมวดคิ้ว

    “จะให้ฉันทำยังไงได้ ฉันยุ่งมากตั้งแต่โรงเรียนเปิดอีกครั้ง มีหลายอย่างที่ฉันต้องจัดการ” เขาบ่น หยิบเอกสารอีกฉบับขึ้นมาอ่าน แล้วพูดว่า “ไร้สาระจริงๆ” ก่อนโยนมันลงพื้น “ฉันไม่มีเวลามาสนใจเรื่องห้องรกหรอก” จากนั้นก็ไปหัวเสียกับเอกสารอื่นต่อ

    ฉันเห็นแล้วล่ะว่าทำไมห้องถึงได้รกได้ขนาดนี้

    “นายน่าจะสนใจความเป็นอยู่ของตัวเองบ้างนะ” แล้วพอเห็นกล่องครีมพัฟที่โต๊ะก็อดเตือนไม่ได้ “และก็เลิกกินครีมพัฟมากๆ ด้วย... นายจะอ้วนเอาได้”

    “แต่ฉันชอบมันนี่!” เขาเงยหน้าขึ้นมาเถียง

    “...” เราสองคนปะสายตากันพักหนึ่ง แล้วเขาก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ฉันไป

    ...ฉันไม่นึกว่าเธอจะเข้มงวดขนาดนี้” เขาเอ่ยหลังยอมหลบสายตาลง

    ฉันหัวเราะเล็กน้อยอย่างภูมิใจในชัยชนะ

    “พี่เป็นไงบ้างละ” เด็กหนุ่มถามถึงคนที่ฉันเพิ่งไปเยี่ยม

    “ก็เหมือนเดิม อาน่อนเพิ่งฝากดอกไม้ไปให้ และเร็กซัสก็เพิ่งไปเยี่ยม” ฉันบอก

    ยูออนพยักหน้าเข้าใจ หลังจากที่ได้ทราบเบื้องหลังของอาน่อนทั้งหมดจากฉันแล้ว เขาก็ดูจะให้อภัยอีกฝ่ายได้จริงๆ ส่วนเรื่องพ่อเขาก็ยอมปล่อยวาง

    “ว่าไปแล้ว ฉันตกใจที่พวกเขาเปิดโรงเรียนใหม่เร็วขนาดนี้” ฉันเปลี่ยนเรื่อง “ฉันนึกว่าเขายังจับลอยล์ไม่ได้ งั้นทำไมพวกเขาถึงอนุญาตล่ะ”

    “ฉันบอกตำแหน่งของห้องทดลองใต้ดินเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อให้เขาให้ฉันเปิดโรงเรียน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะปล่อยเด็กที่ถูกขังอยู่ทั้งหมดออกไป โชคร้ายที่ไม่มีใครมีชีวิตอยู่เลยสักคนนอกจากพี่”

    “ฉันไม่อยากเชื่อว่าคนน่ารังเกียจนั่นจะหนีไปได้หลังจากทั้งหมดที่เขาทำ”

    ถึงจะบอกเร็กซัสไปอีกอย่างเพื่อให้กำลังใจ แต่จริงๆ ฉันก็อดคิดว่าเรื่องนี้มันไม่ยุติธรรมไม่ได้

    “แต่ว่ารัฐบาลก็ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็คงไม่มีเหยื่ออีกแล้วล่ะนะ” ฉันว่าต่อ

    “เรื่องนั้นฉันยังสงสัยอยู่...” ยูออนกล่าว “พวกเขาทำไปเพื่อหยุดงานวิจัยของซิดเท่านั้นหรือ เราไม่มีทางรู้ได้ว่ารัฐบาลตัดสินใจจะทำการวิจัยด้วยตัวเองต่อหรือไหม”

    ฉันถอนหายใจ รัฐบาลยังทำอะไรลึกลับไม่เปลี่ยนแปลง ว่าแล้วก็อดรำพึงไม่ได้ว่า

    “โลกที่เราอาศัยอยู่ช่างเป็นโลกที่เลวร้ายอะไรอย่างนี้”

    “ฉันไม่ค่อยใส่ใจนักหรอก” ยูออนว่า “ฉันมีเอกสารอีกมากที่ต้องจัดการ”

    “เจ้าค่ะ คุณคนบ้างาน” ฉันประชดกลับไป

    เขาเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสาร แล้วมองฉันนิ่ง

    “เปล่า เอสซี่...” ยูออนพูดด้วยเสียงและดวงตาที่สงบอย่างยิ่ง “ฉันหมายความอย่างนั้นจริงๆ มันไม่สำคัญว่าเราจะอยู่ในโลกแบบไหน ฉันแค่พอใจกับสิ่งที่ฉันมีในตอนนี้ เพราะว่าฉันรู้...ว่าฉันไม่ได้อยู่เพียงลำพัง”

    เด็กหนุ่มยิ้ม ฉันคิดว่านั่นคงเป็นรอยยิ้มที่แท้จริงของเขา ยูออนรู้แล้วว่าเขายังมีพี่ชายอย่างโอเรที่คอยห่วงใย และมีเพื่อนอย่างฉันกับอาน่อนที่คอยใส่ใจเขาอยู่


     

    ภาพของเขาในยามนั้น ดูราวกับเป็นคนที่มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ และพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีจริงๆ

    ฉันยิ้มตอบให้เขา แล้วปล่อยให้เขาทำงานไป บอกส่งท้ายว่าจะไปหาอาน่อนต่อ

     

    เมื่อเปิดประตูออกสู่ระเบียงดาดฟ้า ก็สัมผัสถึงลมเย็นที่พัดผ่าน และเด็กหนุ่มร่างสูงที่ยืนรออยู่ก่อนก็หันมาทัก

    “ไง” เขาส่งยิ้มยิงฟันให้ฉัน “เธอมาสายไปหนึ่งนาทีแน่ะ”

    “ฉันแวะไปหาโอเรกับยูออนมานะ”

    อาน่อนตัดสินใจเรียนอยู่ที่เซ็นต่อกับฉัน ในฐานะนักเรียนจริงๆ ซึ่งยูออนก็ยินยอมอนุญาต แล้วเราก็มักจะนัดพบกันบ่อยๆ

    “แล้ววันนี้จะไปไหนดีล่ะ” เขาถามแล้วเดินเข้ามาใกล้

    “ไปทะเลดีไหม” ฉันเสนอ

    “ไปไกลขนาดนั้นไม่กลัวคนเห็นหรือไง” แม้ปากจะพูดอย่างนั้น แต่สองแขนของเขาก็อุ้มฉันขึ้นมากอดไว้ให้อ้อมอก

    “นี่ก็เริ่มมืดแล้วนะ” ฉันบอกหน้ามุ่ย “แล้วฉันก็นึกว่านายพอใช้พลังช่วยพลางสายตาพวกเราจากคนอื่นได้เสียอีก ทีตอนนั้นนายยังพาฉันไปไกลกว่าทะเลเลย”

    “ขอรับๆ”

    เขายอมแพ้แล้วจากนั้นเราก็ออกบินไปบนฟ้า

    “ว่าแต่เธอไม่กลัวว่าฉันจะพลังหมดกลางทางเลยหรือยังไง” เด็กหนุ่มถาม

    “อ๊ะ... ฉันลืมคิดถึงเรื่องนั้นไปเลย”

    ว่าแล้วตัวฉันก็ตกวูบลงไปชั่วขณะ

    “อาน่อน!!

    ฉันร้องเสียงหลง แต่รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในอ้อมกอดของเขาอยู่ ฉันเกาะเขาแน่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

    “นะ...นายแกล้งฉัน!” ฉันต่อว่าเบาๆ ขณะที่ยังหลับตาปี๋

    “อ้าว ฉันนึกว่าเธอชอบบินบนฟ้าเพียงลำพังเสียอีก” เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ตอนนั้นเธอยังขอให้ฉันไม่ต้องอุ้มเลยไม่ใช่เหรอ”

    “นั่นเพราะฉันคิดว่า นายสามารถใช้พลังทำให้ฉันลอยได้นี่นา” ฉันแย้ง “ใครจะอยากให้นายอุ้มไปตลอดเล่า”

    เมื่อคราวก่อนฉันเคยขอให้เขาลองทำอย่างนั้นก็จริง ทว่าผลลัพธ์ไม่ดีอย่างที่คาด อาน่อนสามารถทำให้ฉันลอยได้เหมือนมีมือยักษ์ล่องหนคอยหนุนไว้ก็จริง แต่ฉันควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวเองเองไม่ได้ ดังนั้นการให้เขาช่วยพาบินไปจึงเป็นวิธีที่ดีกว่า

    เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ เคล้าสายลม

    “จะว่าไป ทำไมนายถึงช่วยฉันไว้ตอนนั้นล่ะ” ฉันถามขึ้น

    “เธอหมายถึงตอนไหน ตอนที่ฉันรับกระสุนแทนเธอ หรือว่าตอนที่เธอกำลังจะตกมากับฉันล่ะ”

    “ทั้งสองครั้งนั่นแหละ” ฉันตอบ “ตอนแรกนายก็สามารถบังคับกระสุนให้หยุดได้อยู่แล้วแท้ๆ ทำไมถึงไม่ทำล่ะ”

    “ฉันทำไปโดยไม่ทันคิดน่ะ” เขาบอก “ยังไงปฏิกิริยาตอบโต้ทางร่างกายของฉันก็เร็วกว่าพลังจิตในตอนนั้น เพราะฉันยังไม่ได้ฝึกใช้มันให้คล่อง แล้วพลังฉันก็เป็นประเภทที่อยู่ใกล้ตัวแล้วจะมีพลังมากกว่าอยู่ในระยะไกลด้วย”

    คำอธิบายแม้จะฟังเป็นเหตุเป็นผล แต่ก็สามารถทำให้หัวใจฉันอบอุ่นขึ้นมา

    “ถ้าอย่างนั้น ตอนที่ฉันกำลังจะตกจากดาดฟ้าล่ะ”

    “ตอนที่ฉันเห็นเธอกำลังตกจากตึก หัวสมองฉันก็ว่างไปเลยจริงๆ” เขาบอก “ก่อนที่ฉันจะรู้ ฉันก็พยายามจะเอื้อมไปถึงเธออย่างบ้าคลั่ง ...และในตอนนั้น ฉันก็ได้รู้ตัวในที่สุดว่า บางทีอาจไม่ใช่เธอหรอกที่คว้าฉันเอาไว้ แต่เป็นฉันเองต่างหากที่พยายามอย่างสิ้นหวังมาตลอดที่จะคว้าเธอ...”

    อ้อมกอดของเขากระชับแน่นขึ้น

    “...คนที่ฉันจะไม่มีวันปล่อยไป”

    เสียงบอกนั้นกังวานลึกไปถึงหัวใจของฉัน

    “อย่างนั้นก็อย่าแกล้งปล่อยฉันอีกนะ” ฉันกระซิบพลางซุกหน้าหลบ

    อาน่อนฟังแล้วก็หัวเราะเสียงใส ส่วนฉันก็หัวเราะตามเขาไป

     

    (The End)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×