ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 3 การสืบสวน -- 2 - สืบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 294
      1
      6 ม.ค. 55

    2 - สืบ

    วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน

    วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันพบครูคนใหม่ที่มาแทนมิสอาเซีย

    ภาพรวมของชั้นเรียนดำเนินไปตามปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากจำนวนคนนั่งในห้องที่ลดลงไปบ้าง

    อย่างไรก็ตาม ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศของห้องนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน มันไม่มีทางเหมือนเดิมได้หากไม่มีมิสอาเซีย

    ฉันทนเรียนจนถึงช่วงพักเที่ยง กลืนข้าวกลางวันของโรงเรียนลงคออย่างไม่ค่อยสนใจรสชาติ แล้วว่าจะไปแวะตากอากาศฆ่าเวลาที่ระเบียง

    ฉันไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรที่ได้เจอโอเรในชุดสีขาวอยู่ที่นั่นก่อนหน้าฉันแล้ว

    “เอสซี่!

    “สวัสดี โอเร”

    ฉันพยายามยิ้มทักทายตามปรกติให้เขา แต่ดูเหมือนว่าฉันคงยังแต่งสีหน้าได้ไม่ดีนัก เพราะโอเรถามฉันกลับมาด้วยความเป็นห่วงว่า

    “เธอโอเคหรือเปล่า”

    “ฉันสบายดี” ฉันบอกก่อนก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วส่ายหน้า “...เปล่าหรอก นั่นน่ะโกหก ฉันว่าฉันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

    โอเรนับว่าเป็นเพื่อนของฉันคนหนึ่ง ฉันอยากพูดความจริงออกไป ไม่อยากโกหกเขา

    “ผมเสียใจด้วย” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ เขาดูเศร้าไปกับฉันเช่นกัน

    ฉันมองเขาพลางครุ่นคิด...

    ถ้าหากว่าโอเรรู้เรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนมากกว่านี้ละก็...

    เดี๋ยวสิ...!

    ฉันจำได้ว่าเขาคอยบอกว่าตึกนี้เคยต่างจากนี้นี่นา บางทีเขาอาจจะรู้อย่างสถาบันเซ็นเป็นยังไงในอดีตก็ได้

    “โอเร ฉันจำได้นายเคยบอกว่าเมื่อก่อนตึกนี้ต่างออกไป...ใช่ไหม”

    “อื้ม มันเคยใหญ่และก็ดูฟุ่มเฟือยกว่านี้มาก” เด็กหนุ่มเล่า

    “นายพูดจริงเหรอ ฉันว่าถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็เกินกว่าจะเป็นโรงเรียนแล้วนะ”

    “ผมเดาว่าสถาบันเซ็นก็ต่างไปจากโรงเรียนธรรมดาพอสมควร” เขาบอก

    “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ”

    “ผมไม่แน่ใจนัก” ดวงตาสีเทาของเขาฉายแววลังเล “ผมไม่เคยไปโรงเรียนธรรมดามาก่อน”

    “จริงเหรอนี่”

    “อื้ม ที่จริงแล้วผมไม่เคยได้ไปโรงเรียนอย่างเป็นทางการจนกระทั่งผมอายุเจ็ดขวบ ผมได้ยินคนบอกว่าสถาบันเซ็นคือที่เดียวที่จะรับเด็กอย่างผม”

    “นายหมายความว่าไง” ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ที่นี่เคยรับแต่เด็กพิเศษอย่างนั้นหรือ

    โอเรนิ่งเงียบไม่ตอบ เขาดูไม่ค่อยสบายใจเอาเสียเลย

    ฉันว่าฉันเข้าใจถูกแล้ว โอเรต้องรู้บางอย่างแน่ๆ แต่ว่าเขาดูไม่ค่อยเต็มใจที่จะบอกฉันนัก ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจว่าจะพักเรื่องนี้ไว้เท่านี้ก่อนในไว้นี้

    ฉันกล่าวขอโทษกับเขาซึ่งถามมากความไป แล้วบอกว่า ฉันต้องเตรียมไปเรียนต่อจาก เลยต้องขอตัวก่อน ฉันปิดท้ายว่าฉันจะมาหาเขาใหม่วันหลัง

     

    หลังเลิกเรียนฉันตั้งใจว่าจะไปแวะไปหาอาน่อนที่ห้องคอม ระหว่างที่เดินไปนั้นฉันแอบเหลียวมองยังทางแยกที่มีห้องแล็บวิทยาศาสตร์อยู่ที่สุดทาง

    ทั้งแล็บยังคงถูกบล็อกไว้ด้วยสายพลาสติกสีเหลืองเพราะเหตุฆาตกรรม ฉันเห็นยูออนคุยกับตำรวจอยู่ด้วย ดูเหมือนการสืบสวนจะไม่ยุติง่ายๆ อย่างที่เขาบอก

    จังหวะที่เด็กหนุ่มในชุดโทนสีน้ำเงินหันมาเห็นว่าฉันกำลังมองเขาอยู่นั้นเองก็มีเสียงร้องทักดังขึ้นจากด้านหลังของฉัน

    “เฮ่! คิดถึงฉันไหม” เด็กหนุ่มร่างสูงวางมือลงบนบ่าของฉันพร้อมยิ้มให้อย่างสนิทสนมจนเกินไป

    ฉันกำลังจะขัดขืนการฉวยโอกาสของเขาแล้ว แต่พอเห็นว่าตำรวจที่คุยกับยูออนอยู่ก็หันมามองทางนี้ด้วยแล้วเช่นกันจึงยอมออเออไปก่อน

    อาน่อนแสร้งเดินคุยอย่างร่าเริงกับฉันจนมาถึงห้องคอม โดยที่ฉันไม่ได้พูดตอบอะไรเลย กลับกัน ฉันรู้สึกว่าควันเริ่มจะออกจากหูของฉันมากกว่า

    “ใจเย็น เอสซี่!” เขาบอกพลางยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามเมื่อเห็นสีหน้าฉัน

    เธอมาที่นี่เพื่อที่จะสืบสวนนะ เอสซี่... ใช่แล้ว นั่นแหละถูกต้องฉันพยายามคิดเตือนสติตัวเองให้ใจเย็นลงด้วยเช่นกัน อย่างไรอาน่อนก็ตั้งใจจะช่วยฉัน แม้ว่าจะผิดวิธีไปหน่อยก็ตาม

    “เธอต้องการความช่วยเหลือจากฉันไม่ใช่หรือ” เด็กหนุ่มถาม

    “เรื่องเมื่อครู่นี่ฉันไม่ได้ขอให้นายช่วยสักหน่อย” ฉันปฏิเสธไปก่อน แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าตอนแรกฉันก็กะจะมาขอความช่วยเหลือจากเขาจริง “มันช่วยไม่ได้นี่ ฉันไม่รู้จะถามใครอีกแล้ว” ฉันบอกเสียงเบา

    “ทำไมไม่ยอมรับมาล่ะว่าคิดถึงฉัน” อาน่อนยิ้มกริ่ม

    “ฉันไปละ” ฉันตั้งท่าจะหันหมุนไปอีกทาง เตรียมเดินหนี

    “ฉันล้อเล่นน่า แค่ล้อเล่นเท่านั้น...” เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นปรามอีกครั้ง ก่อนกลับมาเก๊กหน้าเคร่งขรึม กล่าวว่า “ฉันไม่ได้บอกหรือไงว่าฉันจะช่วยถ้าเธอขอ”

    ด้วยคำพูดนั้นเอง ฉันจึงหันกลับมามองหน้าเขาตรงๆ อย่างน้อยสีหน้าจริงจังที่เห็นก็ทำให้เขาดูน่าเชื่อถือมากขึ้น

    “แล้วเธออยากให้ฉันช่วยสืบเรื่องอะไรล่ะ” อาน่อนถาม

    “นายช่วยฉันสืบเรื่องสถาบันเซ็นให้หน่อยได้ไหม ฉันอยากรู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไหร่และเพื่อจุดประสงค์อะไร”

    “ทำไมจู่ๆ ถึงเกิดสนใจในตัวโรงเรียนขึ้นมาล่ะ”

    “ฉันคิดว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ฉันไม่รู้ แล้วมันก็กวนใจฉันมาก”

    ที่จริงมันเป็นเพราะการคุยกับโอเรทำให้ฉันฉุกใจสงสัย แต่ฉันคิดว่า อาน่อนกับโอเรคงไม่รู้จักกัน เพราะสองคนนี้ดูตรงข้ามกันอย่างยิ่ง คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเล่าเรื่องโอเรให้เขาฟัง

    “...นายพอจะช่วยได้ไหม” ฉันถามย้ำอีกครั้ง

    “ได้อยู่แล้ว” เขาฉีกยิ้มรับ “กลับมาใหม่พรุ่งนี้ แล้วฉันจะบอกเธอว่าฉันเจออะไรบ้าง”

    “ขอบใจ” ฉันพูดเบาๆ พลางยิ้มน้อยๆ ให้

    “โอ้! แล้วก็เพื่อเป็นการบริการพิเศษ ฉันจะหาข้อมูลเกี่ยวกับขนาดสัดส่วนทั้งสามของเธอให้ด้วยแล้วกันนะ!

    ปลั้ก! เข้าให้... ฉันลงทัณฑ์คนปากบอนด้วยการมอบกำปั้นสั่งสอนไปหนึ่งที

    “อย่ามาให้บริการอะไรที่ไม่จำเป็น!” ฉันบอกส่งท้ายพร้อมก้าวออกจากห้องไปด้วยความโมโห

    นี่อาจเป็นการทำผิดพลาดครั้งใหญ่สำหรับฉันก็ได้ที่มาขอความช่วยเหลือจากเขา...

    จ้ำอ้าวเพียงไม่นานฉันก็เริ่มใจเย็นลง และก็พอดีมาหยุดที่ตรงทางแยกไปแล็บวิทยาศาสตร์ มองไปก็ไม่เห็นยูออนหรือตำรวจอยู่ตรงนั้นแล้ว

    นั่นทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าควรจะไปพบยูออนก่อนกลับบ้าน แต่เขาบอกว่าเขาคงไม่ว่างในช่วงสองสามวันนี้ บางทีเขาอาจจะยุ่งอยู่ก็ได้...

    อย่างไรก็ตาม มัวแต่ถามตัวเองอยู่แบบนี้คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ฉันจึงตัดสินใจไปดูที่ห้องทำงานของเขาให้รู้เสียเลย ถ้าไม่อยู่จะได้เลิกราไป

    “ไม่อยู่นี่นา...” นั่นคือคำตอบที่ฉันได้หลังเดินผ่านประตูห้องเข้ามา

    ห้องนั้นยังคงอยู่ในสภาพเรียบร้อย เริ่มมีฝุ่นเกาะอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับรก

    “เธอมาทำอะไรที่นี่” เสียงที่ฉันจำได้ดีดังขึ้นจากด้านหลัง

    “ยูออน!” ฉันหันไปหาเจ้าของห้องที่เพิ่งกลับมาถึง

    แม้จะยังตีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดิมแต่ฉันก็พอจะมองออกว่าเขาดูเหนื่อยๆ

    “การสอบสวนเป็นยังไงบ้าง” ฉันถาม

    “เธอควรจะรออีกสองสามวันอย่างที่บอกไป” ยูออนตอบเสียงเย็น

    “พวกเขายังจะสอบสวนนายต่อเหรอ”

    “ใช่” เด็กหนุ่มเปลี่ยนมานั่งที่โต๊ะทำงาน เอนหลังเล็กน้อย พริ้มตาลงกล่าวว่า “ปรกติงานในแต่ละวันและงานจากโรงเรียนก็เกินพอแล้วที่จะทำให้ฉันยุ่งเกือบตลอด การสอบสวนนี่ทำเอาเวลาว่างของฉันหายไปหมด”

    “ฉันขอโทษ” ฉันเอ่ยเบาๆ

    ยูออนส่งสายตามามองฉันเป็นเชิงถามว่า เรื่องอะไร

    “นายจ้างฉันมาเพื่อที่ฉันจะได้ช่วยนายไขคดี แต่ฉันดูจะไม่มีประโยชน์เลยในตอนนี้”

    ฉันรู้สึกผิดจริงๆ ที่ช่วยอะไรเขาไม่ค่อยได้เลย...

    แต่แทนที่ยูออนจะพูดปลอบหรือให้กำลังใจ เขากลับยอมรับเสียง่ายๆ ว่า

    “ก็จริง... บางทีฉันจะพลาดไปจ้างเบี้ยมาแทนที่จะเป็นควีน”

    ฉันอึ้งสนิทไปเลย ไม่ใช่ว่าฉันหวังจะให้เขาพูดปลอบหรือเป็นกำลังใจให้อย่างคนอื่น แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะมีมารยาททางสังคมมากกว่านี้บ้างไม่ใช่หรือ

    ทำไมเขาถึงต้องพูดตรงพอเป็นเรื่องแบบนี้ทุกทีเลย

    “แต่...” ยูออนกล่าวต่อ “สักวันหนึ่ง เบี้ยก็จะได้เลื่อนขั้นไปเป็นควีน *ฉันกำลังรอคอยวันนั้นอยู่”

    รู้สึกอึ้งอีกครั้ง...แต่ครั้งนี้น้อยกว่าครั้งก่อน และเป็นการอึ้งในเรื่องที่ตรงกันข้ามกัน

    “...ฉันรู้แล้ว ฉันจะไปฝึกต่อละ” ฉันบอกเขา

    “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน มันง่ายที่จะจัดการกับเบี้ยก่อนที่มันจะข้ามไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของกระดาน” เด็กหนุ่มเตือน

    “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” ฉันรีบพูดขึ้น “ช่วยหยุดเปรียบเทียบกับหมากรุกสักทีได้ไหม”

    ตอนที่ฉันกำลังจะเลี้ยวออกจากห้องไปนั้น ฉันเห็นยูออนกำลังคลี่ยิ้มเจ้าแผนการของเขาอยู่

    ถึงเขาจะหยุดพูด แต่ความคิดของเขาคงไม่หยุดเปรียบเทียบอะไรก็ตามที่สามารถเป็นเกมหมากรุกแน่ๆ

     

    วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน

    นี่ก็เป็นอีกวันที่ฉันต้องไปเรียน

    ทั้งๆ ที่เคยบอกโอเรไปว่า เริ่มชินกับที่นี่แล้ว เมื่อไม่นานมานี้แท้ๆ พอขาดมิสอาเซียไป ที่นี่ก็คล้ายโลกประหลาดที่ฉันเพิ่งมาเยือนอีกครั้ง ฉันคงไม่มีทางชินกับการเรียนที่ไม่มีมิสอาเซียอยู่ด้วย

    การนึกถึงโอเรทำให้ฉันย้อนนึกไปถึงตอนที่เพิ่งเจอกับเขาเมื่อเช้านี้...

    ตอนแรกฉันกะว่าจะถามเกี่ยวกับสถาบันเซ็นจากเขาดู ทว่าพอเห็นหน้าเขาแล้วฉันกลับสังหรณ์ว่ายังไม่ควรถามเขาออกไปตรงๆ จึงเปลี่ยนไปชวนเขาคุยไร้สาระเรื่องอื่นแทน

    วันนี้โอเรเล่าถึงอาหารโปรดของเขาให้ฟัง เขาว่าเขาชอบพาร์เฟต แล้วก็พูดถึงครั้งแรกที่พ่อของเขาซื้อพาร์เฟตให้กินด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

    นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนมีตาเป็นประกายแบบนั้นตอนที่พูดถึงพาร์เฟต ภาพนั้นจึงยังติดตาฉันอยู่...

    ครั้นแล้วสัญญาณบอกเลิกเรียนก็ดังขึ้นพร้อมๆ สัญญาณบอกเข้าเรียนในความทรงจำเมื่อเช้าของฉัน...เรียกสติฉันให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน

    จากนั้นฉันก็แวะไปที่ห้องคอมเพื่อไปถามความคืบหน้าในการสืบค้นข้อมูลจากอาน่อน

    “เป็นไงบ้าง” ฉันถามเด็กหนุ่มที่กำลังจดจออยู่ที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ขณะเดียวกันก็นั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างของเขา

    “เธอมาทันเวลาพอดีเลย ฉันเพิ่งค้นข้อมูลเสร็จ” อาน่อนหันมาคลี่ยิ้มให้ ดูเขาไม่มีอาการสะดุ้งตกใจ คงจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าเป็นฉัน

    “นี่คือสิ่งที่ฉันเจอ” เขาหันกลับไปมองที่หน้าจอ แล้วสรุปข้อมูลให้ฟัง “สถาบันเซ็นก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณสิบเอ็ดปีก่อนซึ่งถือว่าค่อนข้างใหม่สำหรับโรงเรียน ที่นี่ก่อตั้งขึ้นโดยคนสี่คน ซิด, เอ็มม่า, อาเซีย, และลอยล์ สามคนในกลุ่มนี้ตายไปในคดีที่น่าสงสัยและอีกคนหนึ่งก็หายตัวไปอย่างลึกลับ”

    เรื่องพวกนี้ฉันรู้มาจากยูออนแล้ว จึงพยักหน้าถี่ๆ รับ แล้วถาม

    “นายเจออะไรอีก”

    อาน่อนหมุนวงล้อที่กลางเม้าส์ เลื่อนเนื้อหาลงมา “ซิด เอ็มม่า และอาเซียจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน และทั้งสามก็จบจากสาขาจิตวิทยาเหมือนกันด้วย”

    นี่เป็นข้อมูลใหม่ที่น่าตกใจ... ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพ่อของยูออนจะเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของแม่ด้วย

    “แล้วลอยล์ล่ะ” ฉันถามต่อ

    “ปัจจุบันเขาเป็นผู้บริหารของ ORZ Corporate

    ORZ Corporate?”

    “มันเป็นหนึ่งในบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศและก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลด้วย”

    อาน่อนอธิบาย พลางเปิดไฟล์ข้อมูลที่มีรูปของบริษัทขึ้นมาประกอบด้วย

    “ฉันกล้าพนันว่าบริษัทนี้เป็นคนออกเงินในการก่อสร้างโรงเรียนของเขา มันเหมาะเจาะทีเดียวเมื่อลองคิดดูว่าต้องใช้งบถึงหลายพันล้านถึงจะสร้างตึกนี้ได้”

    “พะ...พันล้านเลยเหรอ” ฉันทวนตัวเลขด้วยความตกใจ “ทำไมพวกเขาต้องใช้เงินตั้งขนาดนี้ในการสร้างแค่โรงเรียนด้วย”

    “โชคไม่ดีที่ฉันหาข้อมูลที่ลึกลงไปกว่านี้ไม่ได้แล้วน่ะนะ” อาน่อนยักไหล่ “มันน่าจะเป็นความลับมากทีเดียวเพราะว่าข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับโรงเรียนถูกลบไป”

    เรื่องนี้ฉันเห็นด้วย เพราะประวัติเกี่ยวกับโรงเรียนที่ฉันลองไปหาในห้องสมุดเมื่อตอนกลางวันก็ไม่มีอะไรพิเศษ

    “ฉันเจอข่าวลือที่น่าสนใจในโลกออนไลน์มาด้วย” เด็กหนุ่มเสริม ตอนนี้บราวเซอร์บนเครื่องของเขากำลังแสดงหน้าเว็บไซต์ที่คล้ายเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งอยู่ “ดูเหมือนว่าโรงเรียนของเราเคยต่างจากนี้มากในอดีต และตึกปัจจุบันก็เป็นฉากบังหน้าสำหรับสิ่งที่มันเคยเป็น”

    ฉันนึกถึงข่าวลือเรื่องฐานทัพมนุษย์ต่างดาวที่เคยหยิบมาพูดเล่นเป็นเรื่องตลกแล้วก็อดถามออกมาไม่ได้ว่า

    “แต่นั่นก็แค่ข่าวลือ จะเชื่อถือได้หรือ”

    “สำหรับเธอฉันไม่รู้ แต่...”

    อาน่อนถีบเท้ากับพื้น ส่งล้อเลื่อนของเก้าอี้พาตัวเองออกห่างจากโต๊ะ กวาดสายตาไปรอบห้องอย่างครุ่นคิด แล้วบอกว่า

    “ตึกนี้ก็ถือว่าใหญ่เกินไปอยู่บ้างนะสำหรับโรงเรียน แล้วก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก มาตรฐานโรงเรียนก็เหมือนระดับชาติ ฉันคิดว่าบางคนคงพยายามทำให้สถาบันเซ็นดูเหมือนโรงเรียนธรรมดา”

    นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ฟังความคิดเห็นของเขาที่มีต่อโรงเรียนนี้ ซึ่งมันก็ต่างจากของฉันอยู่บ้าง ฉันเคยคิดว่าสถาบันเซ็นออกจะเป็นโรงเรียนที่มีความหรูหราและไฮเทคอยู่ แต่นั่นอาจจะเป็นแค่มุมมองของฉันเพียงคนเดียวก็ได้ เพราะถึงอย่างไรฉันก็ไม่เคยไปเรื่องที่โรงเรียนเอกชนแห่งอื่นมาก่อน

    เมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็คงถูกของอาน่อน นอกจากห้องเรียนและห้องคอมที่ดูนำสมัยแล้ว ห้องปฏิบัติการอื่นๆ ก็ยังใช้แค่เครื่องมือแบบเก่า และมีการตกแต่งที่ธรรมดา ภาพรวมของโรงเรียนจึงดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่

    นั่นน่าจะเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก

    “ฉันพอจะเข้าใจละ” ฉันบอก “ขอบใจนะ”

    “ยินดีที่ได้รับใช้...” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มสีหน้าระรื่น

    “ฝีมือหาข้อมูลของนายยอดเยี่ยมจริงๆ ฉันพยายามหาข้อมูลด้วยตัวเองมาก่อนนะ แต่ไม่พบอะไรเลย” เป็นความจริงที่ทั้งในเน็ตและในแผ่นกระดาษล้วนไม่มีข้อมูลที่พอจะเป็นประโยชน์เหลืออยู่ เมื่อวันก่อนฉันลองพยายามแล้ว

    “น่าประทับใจใช่ไหมล่ะ” โดนชมเข้าหน่อยก็เอานิ้วโป้งชี้อกตัวเองอย่างไม่มียางอาย

    ฉันรู้สึกว่าเส้นสมองที่หน้าผากของฉันเริ่มปูดขึ้นมาตงิดๆ ...ไม่น่าเผลอตัวไปชมนายนี่เลยจริงๆ

    อย่างไรก็ตาม ฉันยังต้องพึ่งพาเขาอยู่ ดังนั้นเรื่องนี้ยอมไปก่อนก็ได้

    “ฉันให้นายสืบอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ไหม” ฉันถามกลับสู่ประเด็น

    “ได้อยู่แล้ว” อาน่อนยืดอกรับ

    “ช่วยสืบเกี่ยวกับยูออนให้หน่อย”

    “ยูออน? เธอหมายถึงลูกชายผู้อำนวยการคนก่อนน่ะเหรอ”

    “ใช่” ฉันพยักหน้ารับหนักแน่น

    “น่าตกใจนะนี่ ฉันถามได้ไหมว่าทำไม”

    “เขาเป็นคนเชิญฉันมาที่นี่... เขาสัญญาว่าเขาจะบอกฉันทุกอย่าง แต่เขาไม่ได้ทำตามที่พูด...”

    ขณะที่กล่าวนั่น ภาพเหตุการณ์และคำพูดที่ยูออนเคยบอกกับฉันก็ย้อนกลับมาฉายซ้ำใหม่อย่างรวดเร็วในห้วงความคิดของฉัน

    เขามาขอให้ฉันช่วยสืบคดีแต่ไม่เคยบอกถึงสาเหตุว่าทำไมเขาถึงต้องการสืบจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง

    เขาไม่ยอมเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซิด ต้องรอมิสอาเซียบอกมาก่อนฉันถึงรู้

    เขาพยายามปิดบังส่วนเกี่ยวกับของเขากับคดีจากฉัน ทั้งๆ ที่เขาก็ย่อมรู้ดีว่าเมื่อฉันสืบลึกลงไปสักวันหนึ่งฉันก็ต้องค้นพบมัน

    สรุปสั้นๆ ก็คือ...

    “...เขาทำให้งานของฉันลำบากขึ้น”

    “โอ้! แก้แค้นงั้นรึ” คนฟังออกอุทาน “เขาก็สืบเกี่ยวกับเธอมาก่อนจริงๆ แหละนะ”

    คิดดูอีกที คนเราต่างก็มีเรื่องที่อยากปิดเป็นความลับ หรือไม่สะดวกใจที่จะพูดในทีแรกกันทั้งสิ้น ...เหมือนที่อาน่อนเตือนเมื่อวันก่อนว่า เขาอาจจะบังเอิญรู้เรื่องของฉันที่ฉันไม่อยากให้เขารู้ก็ได้ถ้าเขาช่วยฉัน...

    แล้วตัวฉันเองล่ะ...มีเรื่องอะไรที่ปิดบังไว้...แล้วถ้าคนอื่นรู้เข้าแล้ว...จะสูญเสียความเชื่อใจในตัวฉันไป...บ้างไหมนะ...

    “ฉะ...ฉันคิดว่า...”

    เมื่อเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง ฉันพบว่าเสียงตัวเองสั่นอยู่เล็กน้อยในตอนแรก แต่สุดท้ายฉันก็คุมมันได้

    “ฉันไม่ชอบที่เขาปิดบังหลายๆ อย่างไม่ให้ฉันรู้”

    ฉันมั่นใจว่า สำหรับคนที่ฉันเชื่อใจ ฉันจะบอกทุกอย่างที่อีกฝ่ายอยากรู้ให้ฟัง เหมือนกับที่ฉันบอกกับโอเรไปตามตรงว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ตอนไปขอความช่วยเหลือจากเขา และถ้าอาน่อนถามขึ้นมาในตอนนี้ว่า ยูออนขอให้ฉันช่วยอะไรกันแน่ ฉันก็จะตอบเขาไปตามตรงเช่นกัน แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งข้อนี้ฉันคิดว่าอาน่อนรู้ดีอยู่แล้ว

    “ฮืม...” อาน่อนเอามือจับคาง ทำท่าครุ่นคิดหนัก “ฉันนึกว่าผู้หญิงชอบเด็กหนุ่มลึกลับซะอีก”

    “นั่นมันแค่ในนิยายเท่านั้นย่ะ” ฉันแว้งกลับไป เล่นทำท่าเสียจริงจังจนหลงนึกว่าติดขัดปัญหาอะไรขึ้นมาเสียอีก

    “แย่จังเลย ฉันว่าฉันก็ลึกลับอยู่พอควรเหมือนกันนะ” เด็กหนุ่มยิ้มแหย พลางเอามือลูบศีรษะปอยๆ

    “นายประเมินลักษณะตัวเองได้แย่มาก” ฉันว่า “อีกอย่าง ไม่มีหนุ่มลึกลับที่ไหนจะประกาศตัวว่าเป็นคนลึกลับหรอก”

    “โอ๊ย!” อาน่อนแสร้งทำท่าเหมือนถูกกระสุนยิงเข้าที่ขั้วหัวใจอีกครั้ง

    ครั้งนี้ฉันหลุดยิ้มไปกับเขาด้วย คงเพราะเมื่อครู่มัวแต่คิดอะไรมากไป พอเห็นเขาทำอะไรตลกๆ แล้วก็ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายลง

    “ยังไงก็ตาม...” ฉันมองนาฬิกาแล้วพูดขึ้น “ฉันจะกลับมาใหม่วันพรุ่งนี้ ตกลงไหม”

    “ได้อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มรับคำขันแข็ง

    ระหว่างทางออกจากโรงเรียน ฉันเลือกใช้เส้นทางที่ผ่านห้องทำงานของยูออนเพื่อที่จะแวะดูเสียหน่อยว่าเขาถูกปล่อยตัวออกมาหรือยัง

    ปรากฏว่าเขาไม่อยู่ที่นั่น ดังนั้นฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปฝึกต่อที่สวนเพกาซัสตามปรกติ

    ถึงเรื่องที่เขาพยายามปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อจะทำให้เขาดูเหมือนเด็กมีปัญหาและลดทอนความเชื่อใจของฉันที่มีต่อเขาลงไปบ้าง แต่ฉันก็ยังหวังให้เขาปลอดภัยดี ไม่เป็นอะไร

     

    วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน

    ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรจะรีบ แต่ฉันก็คงไม่มีความคืบหน้าอะไรถ้าฉันไม่ถามเขา... ด้วยความที่มีความคิดเช่นนั้นอยู่ในหัว ฉันจึงเสียเวลาส่วนใหญ่ในชั้นเรียนไปกับการเตรียมการวางแผนว่าจะคุยกับโอเรอย่างไรดี

    พอถึงเวลาพักกลางวันฉันก็พอมีไอเดียดีๆ มาบ้าง จึงมุ่งหน้าไปที่ระเบียงทันที แล้วก็พบว่าโอเรก็อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว

    “เอสซี่!” เด็กหนุ่มชุดขาวร้องทักทายเสียงใสเมื่อเห็นฉันดังเช่นเดิม

    “ดีจ้ะ โอเร!

    ฉันเองก็ยิ้มให้เขาด้วย วันนี้ฉันวางแผนที่จะถามเอาข้อมูลจากเขาแบบอ้อมๆ มาดีแล้ว

    “นี่โอเร นายพอจะรู้จักมิสอาเซียไหม” ฉันเริ่มคำถามแรกทันที

    “ก็ไม่ค่อยรู้จักนัก ผมแทบไม่เคยคุยกับเธอเลย” เขาหันไปมองฟ้าด้วยแววตาที่ดูเหม่อลอย ครุ่นคิดอยู่หน่อยๆ ก่อนกล่าวต่อ “เธอมักจะทำให้ผมคิดว่าเธอพยายามมากไป บางทีเธออาจจะอยากให้ทุกคนเห็นภาพที่ต่างไปจากตัวเธอจริงๆ น้องชายผมก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ดังนั้นผมเลยพอจะเข้าใจ”

    ทั้งๆ ที่บอกว่าก่อนหน้านี้ว่า ไม่ค่อยรู้จักนัก แต่คำบรรยายของเขากลับเป็นการวิเคราะห์จากมุมมองคนนอกที่น่าประทับใจมาก ฉันฟังแล้วก็คล้อยตามที่เขาพูด มิสอาเซียให้ความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

    “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านายมีน้องชาย”

    “เขาเด็กกว่าผมสามปี เขาไม่ค่อยชอบให้คนทำกับเขาเหมือนเป็นเด็ก ดังนั้นเขาเลยพยายามทำตัวเข้มแข็งตลอด” โอเรเล่ายิ้มๆ

    ฉันลองนึกภาพเด็กน้อยที่ชอบทำตัวเป็นเข้มแข็งเป็นผู้ใหญ่... ดูแล้วต่างจากโอเรมากทีเดียว แต่ก็ดูมีเสน่ห์อยู่เช่นกัน

    “ฟังดูน่ารักนะ ฉันอยากเจอเขาสักวันหนึ่ง”

    “ผมก็เหมือนกัน” เขายิ้มบาง

    “ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ” ฉันสงสัย

    “ที่จริงแล้ว ผมไม่ได้เจอเขามานานแล้วล่ะ” โอเรอธิบาย “เขามาที่โรงเรียนนี้เพียงช่วงสั้นๆ แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้นจนพวกเขาต้องส่งน้องผมกลับบ้าน”

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

    “ผมไม่รู้” เด็กหนุ่มตอบเสียงสลด “พวกเขาก็อธิบายให้ฟังผมฟังนะ แต่ผมคงเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ ผมไม่เคยเห็นเขาอีกเลยตั้งแต่นั้น”

    “น่าจะลองหาเวลาไปพบเขาบ้างนะ” ฉันแนะนำ

    “ผมไม่สามารถออกจากโรงเรียนได้เพราะเหตุผลบางอย่าง” โอเรบอก

    “ทำไมล่ะ”

    “มันซับซ้อนน่ะ” เขาบอกเพียงเท่านั้น แล้วก็นั่งมองฟ้าเงียบๆ

    รู้สึกเหมือนทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจในขณะเดียวกันฉันรู้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับโอเรตั้งแต่แรกที่ฉันพบเขา แต่ว่าฉันไม่เคยคิดว่าสาเหตุจะเกี่ยวกับโรงเรียนนี้ด้วย

    สถาบันเซ็นไม่ใช่โรงเรียนประจำ ที่นี่มีแต่นักเรียนไปกลับเท่านั้น... หรือว่านี่จะเกี่ยวกับเรื่องโอเรเคยบอกว่าเขาเป็นเด็กพิเศษ

    “ขอโทษนะ ผมคงพูดอะไรแปลกๆ ออกไปอีกแล้ว” โอเรพูดขึ้นอีกครั้ง

    “ไม่เป็นไรหรอก โอเร” ฉันส่ายหน้าเล็กน้อยขณะพูด “...ฉันค่อนข้างจะดีใจนะ”

    “ฮะ?” คนฟังเอียงคอด้วยความฉงน

    “เราได้เคยคุยอะไรกันตั้งเยอะ แต่เธอไม่ค่อยพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเอง” ฉันอธิบาย “ฉันรู้สึกเหมือนว่าได้ใกล้ชิดกับนายมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง”

    โอเรคลี่ยิ้ม “...ผมอยากรู้เกี่ยวกับเอสซี่ด้วยเหมือนกัน”

    “ฉันเชื่อว่าเราคงจะมีโอกาสสักวันหนึ่ง”

    “สักวันหนึ่งเหรอ ผมสงสัยจังว่านั่นคือเมื่อไหร่กันแน่” เด็กหนุ่มทอดตามองทะเลเมฆ พลางกล่าวถามไปในอากาศ

    ชั่วขณะนั้น ฉันรู้สึกเศร้าสร้อยและโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง... นั่นน่าจะเป็นความรู้สึกที่โอเรส่งออกมา

    การรอคอยอันยาวนานที่ไม่มีสิ้นสุด... สักวันหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะมาถึง...

    ราวกับเขาเป็นคนที่ได้ยินคำพูดทำนองนี้มาครั้งแล้วครั้งเล่า วาดฝันและตั้งความหวังไว้มากมาย แต่ไม่เคยมีสิ่งใดเป็นจริง

    สักวันหนึ่ง ที่ไม่เคยมาเยือน...

    เนื่องด้วยรู้สึกผิดและเสียใจอย่างยิ่งที่พูดวลีนั้นออกไป ฉันจึงกลั้นน้ำตา ปั้นหน้ายิ้ม แล้วบอกโอเรด้วยเสียงสดใสไปว่า

    “พรุ่งนี้เป็นไง พรุ่งนี้เป็นวันหยุดราชการ”

    “ผมออกจากโรงเรียนไม่ได้...” เด็กหนุ่มแย้ง

    “ไม่ต้องห่วง ฉันจะมาที่นี่เอง”

    “จริงเหรอ” ดวงตาสีเทาของโอเรเจือด้วยแสงแห่งความหวัง

    “จ้า ฉันสัญญา!” ฉันยืนยันเต็มที่

    ดวงตาสีเทาคู่นั้นเป็นประกายเจิดจรัสขึ้นมาทันที และนั่นทำให้ฉันตั้งใจว่า ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ต้องรักษาสัญญานี้ไว้ให้ได้

     

    “เป็นไงบ้าง”

    ฉันเข้ามาพบอาน่อนที่ห้องคอมตอนหลังเรียนเสร็จ ในเวลาที่ใกล้เคียงกับเมื่อวาน ที่นั่งก็ที่เดิม และก็ยังถามคำถามเดียวกับเมื่อวันก่อนอีกด้วย

    “เธอมาพอดีเลย...” คำตอบเริ่มแรกของอาน่อนและท่าทางของเขาก็คล้ายกับเมื่อวานเช่นกัน

    “นี่คือสิ่งที่ฉันเจอ... ยูออน...อายุสิบห้าปี เป็นเด็กอัจฉริยะ เขามีผลงานทางการศึกษาที่โดดเด่น ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับรางวัลมากมายตั้งแต่ยังเด็ก เชี่ยวชาญหมากรุกมากซึ่งมันก็แน่อยู่แล้วเพราะว่าเขาเป็นแชมป์ระดับเยาวชนของประเทศนี้ ปัจจุบัน เขาได้รับสืบทอดสถาบันเซ็นจากซิด ดังนั้นเขาจึงยุ่งมากแม้จะเป็นนักเรียน”

    “ได้รับสืบทอดสถานบันเซ็น... หมายถึงว่าเขาเป็นผู้บริหารโรงเรียนในตอนนี้เหรอ”

    “ก็ที่จริงเขาต้องรออายุถึงเกณฑ์ก่อนจึงจะเข้ามาทำงานได้เต็มตัว แล้วช่วงนี้ก็ต้องให้คนอื่นดูแลแทนไปก่อน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมอยู่นิ่งๆ รับงานบริหารมาพอตัวเหมือนกัน ด้วยความที่เขาเป็นเด็กอัจฉริยะอยู่แล้วคนอื่นจึงไม่ว่าอะไรที่เขาจะมาช่วยแบ่งงานไปทำ”

    “มิน่าล่ะเขาถึงได้ดูยุ่งขนาดนั้น” ฉันเปรยเบาๆ

    “เขาน่าเหลือเชื่อจริงๆ ฉันนึกไม่ออกเลยว่าจะมีเด็กอายุสิบห้าปีคนไหนดูแลโรงเรียนขนาดใหญ่อย่างโรงเรียนนี้ได้” อาน่อนเอ่ยปากชม

    ฉันพยักหน้าเห็นด้วย ตอนแรกก็คิดอยู่แล้วว่ายูออนไม่ได้มีตำแหน่งเป็นแค่นักเรียนธรรมดาในโรงเรียน แต่ก็ไม่เคยนึกถึงขั้นว่าเขาจะเป็นเด็กอัจฉริยะที่รับเอางานของผู้ใหญ่มาทำตั้งแต่อายุเท่านี้

    “นายเจออะไรอีกบ้าง” ฉันถามต่อ

    “ถึงแม้ว่าจะเป็นอัจฉริยะ ทักษะการเข้าสังคมของเขากลับไม่พัฒนานัก” เด็กหนุ่มรายงาน “เขาดูค่อนข้างห่างเหินจากผู้คนและความสัมพันธ์ของเขากับพ่อก็ไม่ค่อยจะดีนัก...นั่นคือเท่าที่ฉันสามารถบอกได้”

    “พอจะรู้สาเหตุไหมว่าเป็นเพราะอะไร”

    “เห็นว่าการตายของพี่ชายยูออนเป็นจุดเริ่มต้น”

    “ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขามีพี่ชายด้วย”

    ทันทีที่พูดประโยคนั้นออกไป ฉันก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่ตนเองได้พูดประโยคลักษณะคล้ายๆ กันมาเมื่อตอนกลางวันนี้เอง

    คนหนึ่งมีน้องชาย อีกคนหนึ่งที่พี่ชาย แล้วฉันก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ในวันเดียวกัน ช่างบังเอิญจริงๆ แต่ถึงอย่างไรทั้งสองคนก็ไม่น่าจะใช่พี่น้องกัน เมื่อดูจากอายุ และจากข้อมูลที่ว่าพี่ชายของยูออนเสียชีวิตไปด้วยแล้ว...

    “ได้ยินว่าเขาตายตอนอายุได้แปดขวบ...เมื่อประมาณสิบปีก่อน”

    อาน่อนเล่าต่อ ขนาดที่ความตกตะลึงของฉันยิ่งเพิ่มขึ้น

    สิบปีก่อน... นั่นเป็นช่วงเดียวกับเวลาที่แม่ฉันเสียไป จะเป็นไปได้ไหมนะที่สองเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน

    “นายรู้สาเหตุการตายของเขาหรือเปล่า” ฉันถามเขาต่อ พยายามคุมเสียงตัวเองให้นิ่งไว้

    “ไม่” อีกฝ่ายปฏิเสธ “แย่หน่อยนะที่ฉันไม่สามารถหาอะไรได้มากไปกว่านั้น ฉันเชื่อว่าเรามาถึงเขตแดนต้องห้ามอีกแห่งหนึ่งแล้วล่ะ”

    คิดว่าเขาคงต้องการจะสื่อว่า ฉันเชื่อว่าเราได้มาถึงทางตันแล้วล่ะ...

    ถึงจะนึกรำคาญที่ต้องคอยตีความคำพูดของนายนี่กลับไปกลับมาหลายตลบ ฉันก็ยังคงรักษามารยาทด้วยการพูดแสดงน้ำใจให้เขาไป

    “...ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ฉันซาบซึ้งจริงๆ”

    ว่าแล้วก็ลุกขึ้น เตรียมออกจากห้อง

    “รอเดี๋ยวสิ! เธอจะไปแล้วเหรอ” อาน่อนเรียกรั้งฉันเอาไว้ก่อน

    “หืม... มีอะไรเหรอ”

    “ฉันทำงานหนักมากนะเพื่อช่วยเธอ ฉันสมควรได้รับรางวัลบ้างไม่ใช่เหรอ” เขาบอก

    “แต่...”

    “เถอะน่า” เด็กหนุ่มพูดแทรกขึ้น “เธอไม่ควรจะมาขอความช่วยเหลือโดยไม่ให้อะไรตอบแทนบ้างเลยนะ”

    “นั่นก็จริง แต่ว่า...”

    ...เราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนั้นนี่

    ส่วนที่เหลือนั่นฉันไม่ได้พูดออกไป เพราะพอเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ที่อีกฝ่ายมองมาที่ฉันแล้วก็เข้าใจทันทีว่าถึงเถียงไปก็คงไม่มีประโยชน์

    ก็ได้...

    “...นายต้องการอะไร”

    “สิ่งที่ฉันต้องการไม่ได้ยากอะไรเลย” เขาเอ่ยเสียงเย็นๆ วางมาดเข้ม ก้าวขายาวๆ เข้ามาใกล้ ก่อนโพล่งขึ้นว่า “ไปเดทกันพรุ่งนี้นะ!

    “ว่า-ไง-นะ-!?” ได้ยินแล้วฉันแทบช็อกไปเลย

    “พรุ่งนี้เป็นวันหยุดราชการไม่ใช่เหรอ ดังนั้นเธอน่าจะว่างนะ...ฉันเข้าใจถูกไหม”

    “ฉะ...ฉันมีแผนของฉันแล้ว” ฉันนึกถึงที่นัดไว้กับโอเรแล้วรีบเถียง

    “อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊ะ...”

    นิ้วชี้ของเด็กหนุ่มส่ายตรงหน้าฉันกลับไปกลับมาตามเสียงแต่ละครั้ง ก่อนจะเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่หน้าริมฝีปากของฉัน ห่างเพียงปลายนิ้วก็จะแตะกัน

    “เธอต้องมีข้ออ้างที่ดีกว่านั้น” เขาบอกพร้อมขยิบตา “เจอกันพรุ่งนี้ที่หน้าประตูโรงเรียนตอนบ่ายสองนะ”

    ว่าแล้วอาน่อนก็คว้าเสื้อแจ็กเกตที่ถอดพาดไว้ที่เก้าอี้ตั้งแต่แรกมาถือพาดข้ามไหล่ข้างหนึ่ง แล้วตั้งท่าเดินออกจากห้อง

    เมื่อกลับมาหายใจได้ทั่วท้องครั้ง ฉันก็รีบเถียง

    “เดี๋ยวสิ! ฉันยังไม่ได้ตกลง...”

    “แล้วไว้เจอกันพรุ่งนี้!” พูดแทรกพร้อมยกมือโบกลา แล้วเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง

    ฉันรีบเดินหนีออกจากสถานที่เกิดเหตุด้วยความโมโห

    หวังว่าคงไม่มีใครในห้องคอมสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นนะ...

    คิดแล้วก็น่าโกรธนัก ทำไมฉันถึงต้องตกกับดักของเขาด้วย เขาต้องเตรียมวางแผนนี้ไว้ตั้งแต่วันแรกแล้วแน่ๆ

    ...แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ยังไงฉันก็รับความช่วยเหลือจากเขามาแล้ว ถ้าเลี่ยงไปคงไม่ดี แล้วบางทีฉันอาจต้องพึ่งเขาอีกก็ได้...

    อย่างน้อยก็นับว่ายังโชคดีที่อาน่อนนัดไว้ตอนบ่าย ฉันจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนโอเรในตอนช่วงเช้าได้ตามสัญญา

     

    ขณะที่คิดจัดตารางเวลาวันหยุดพรุ่งนี้ไปพลาง ฉันก็ก้าวเท้าไปที่ห้องทำงานของยูออนด้วย

    ถ้านับวันจันทร์ที่เขาบอกฉันเป็นครั้งแรก... วันนี้น่าจะถือว่าครบกำหนด สองสามวันของเขาแล้ว

    เมื่อเห็นเด็กหนุ่มชุดน้ำเงินนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้อง ฉันก็ร้องทักด้วยความยินดี

    “ยูออน!

    เด็กหนุ่มส่งหน้านิ่งและสายตาที่ดูเหนื่อยล้ามาแทนคำตอบ

    “นายดูเหนื่อยๆ นะ” ฉันว่า

    “พวกเขาปล่อยตัวฉันแล้วล่ะ” ยูออนบอก

    “แล้วพวกเขาเชื่อนายไหม”

    “ฉันคิดว่าพวกเขาคงยอมแพ้ง่ายๆ เพราะว่าไม่มีหลักฐาน”

    “อืม...” พยักหน้ารับเบาๆ ทีหนึ่ง

    “เธอมาได้จังหวะพอดี” คนที่โต๊ะเปลี่ยนเรื่อง “ฉันอยากให้เธอดูบางอย่าง”

    “อะไรเหรอ”

    “นี่เป็นรายงานการชันสูตรศพของมิสอาเซีย” เขาเปิดแฟ้มให้ฉันดู “การตายของเธอเกิดจากกระสุนที่ผ่าทะลุลำตัวช่วงล่าง”

    “เดี๋ยวก่อนสิ!” ฉันนึกสะกิดใจ “นี่หมายความว่าฆาตกรเป็นคนละคนกับคดีของซิดหรือเปล่า”

    พวกเราสันนิษฐานกันว่าซิดตายเพราะมีคนใช้พลังจิตสังหารเขา แต่คนร้ายในคดีของมิสอาเซียกลับให้ปืนเป็นอาวุธ

    “ก็อาจจะเป็นไปได้ วิธีสังหารต่างกันอยู่มาก” เด็กหนุ่มรับ “แต่อย่างไร มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป มันอาจเป็นเจตนาของฆาตกรที่จะทำให้เราสับสนก็ได้ อีกอย่าง พลังจิตโดยทั่วไปก็ไม่ค่อยเสถียร คนร้ายอาจจะไม่สามารถใช้พลังได้ง่ายนัก ...ความเป็นไปได้ไม่มีสิ้นสุด”

    “นั่นก็จริง...” ฉันลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนพลางมองสิ่งที่อยู่ในแฟ้มนั้น “หืม? นี่อะไรนี่”

    สิ่งที่สะดุดฉันคือกระเป๋าผู้หญิงและของอื่นๆ ที่วาดอยู่บนโต๊ะถัดจากแฟ้มไปไม่ไกล

    “นี่คือของของมิสอาเซีย ตำรวจยึดไปตรวจเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเขาสรุปว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับคดี แล้วก็เลยขอให้ฉันช่วยเอาไปคืนให้ญาติของเธอ”

    “เข้าใจละ”

    เห็นของพวกนั้นแล้วฉันก็นึกถึงมิสอาเซียขึ้นมาอีกครั้ง ฉันลองแตะของบางอย่างดูเพื่อระลึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับเธอ

    แต่เมื่อพิจารณาดูสิ่งนั้นดีๆ ฉันก็นึกสงสัย

    “ซิด เอ็มม่า อาเซีย ลอยล์... ทำไมพวกเขาถึงเรียงลำดับชื่อแบบนี้ล่ะ”

    “เธอหมายความว่าไง” ยูออนหันมาถาม

    “ดูที่นามบัตรนี่สิ” ฉันเอานามบัตรของสถาบันเซ็นให้เขาดู “มันมีชื่อของผู้ก่อตั้งสถาบันเซ็นทุกคนอยู่ ส่วนใหญ่แล้ว เขาน่าจะเรียงลำดับชื่อตามความสำคัญใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่า ดร. ลอยล์ มีความสำคัญน้อยที่สุดอย่างนั้นเหรอ”

    “ฉันว่าไม่น่าใช่ ลอยล์เป็นคนที่ออกทุนสำหรับก่อสร้างโรงเรียนนี้” เด็กหนุ่มว่า “ส่วนใหญ่แล้วเขาน่าจะเน้นความสำคัญแลกเปลี่ยนกับการออกเงินทุนในกรณีนี้”

    “งั้นก็แปลก...” ฉันพึมพำ พลางนึกสงสัยว่ามันจะมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่ หรือว่ามันอาจเป็นแค่ข้อบกพร่องงี่เง่าเท่านั้น

    ด้วยที่ยังรู้สึกค้างคาอยู่ ฉันจึงขอยูออนเก็บนามบัตรนั้นไว้ ซึ่งเขาก็ไม่ห้าม

    “จะว่าไป... พรุ่งนี้เธอว่างหรือเปล่า” ยูออนถามขึ้นหลังจากสรุปข้อมูลเกี่ยวกับคดีที่เขามีให้ฉันฟังทั้งหมดแล้ว

    “ก็คิดว่าพอมีเวลาว่างอยู่นะ”

    ถึงจะมีใบหน้าใสซื่อของโอเร กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอาน่อนลอยมาให้เห็นขณะที่ฉันตอบ ฉันก็ยังคิดว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคดี ฉันคงพอหาเวลามาได้

    “ยังไงมันเป็นวันหยุดราชการที่ไม่มีเรียนนี่นา...”

    “เธอว่างช่วงไหน”

    “ก็...” คิดคำนวณเวลาที่จะให้หักลบเวลาเดินทางส่วนหนึ่งฉันก็ตอบไปว่า “ประมาณสิบโมงถึงบ่ายโมงน่าจะโอเค ไม่งั้นก็ช่วงหัวค่ำ”

    “งั้นมากับฉัน” ยูออนสั่ง

    “นี่เกี่ยวกับคดีเหรอ”

    เด็กหนุ่มประสานมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกันแล้วเท้าแขนลงบนโต๊ะ พริ้มตาหลับตาอย่างสงบ ไม่ยอมตอบคำ

    “ฉันจะรออยู่ที่หน้าโรงเรียนตอนสิบโมงเช้า” เขากลับกล่าวคำพูดนี้แทน

    “เราจะไปที่อื่นกันงั้นเหรอ” ฉันยังไม่สิ้นสงสัย

    “แค่มาก็พอแล้วน่า!

    เสียงสั่งการที่แลดุกว่าปรกติในครั้งนี้ของเขาทำให้ฉันผวา รีบคำรับ

    “กะ...ก็ได้”

    หลังจากนั้นฉันก็บอกลาเขาเพื่อไปฝึกพลังจิตต่อ

     

     



    * ตัวเบี้ยสามารถเลื่อนขั้นเป็นควีนหรือราชินีได้เมื่อเดินไปถึงสุดกระดานของอีกฝั่งหนึ่ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×