CluBWriter
ดู Blog ทั้งหมด

ตัวช่วยของประโยคในนิยาย

เขียนโดย CluBWriter



ตัวช่วยของประโยคในนิยาย

                ประโยคทั้งหลายแหล่ในนิยายล้วนแล้วแต่มีสำนวนภาษาที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและทักษะของนักเขียนท่านนั้น ๆ แต่ใช่ว่าเกิดมาเป็นนักเขียนสำนวนไม่ดีใครอ่านก็เบือนหน้าหนีแล้วจะต้องเลิกเขียนไปเสียอย่างนั้น การพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขต่างหากถึงจะสร้างความเป็นนักเขียนที่แท้จริงขึ้นมาได้

                สิ่งที่นักเขียนไม่ว่ามือใหม่และมือเก่าต้องทำอยู่ตลอดเวลาคือ ตรวจทานแก้ไข รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนานิยายของตนเองให้ดีกว่าเดิม ไม่มีใครที่จรดปากกาปุ๊บจะเขียนอะไรดี ๆ ออกมาได้ทุกครั้งหรอกค่ะ ความผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนนั่นแหละ ทำไมเราไม่เลิกคิดที่จะล้มเลิกและเอาเวลานั้นมาปรับปรุงนิยายในฝันนั้นขึ้นมาเสีย นิยายของเราจะได้ประจักษ์แก่สายตาของนักอ่านจริง ๆ เสียที ไม่ใช่ดองเอาไว้อยู่ในลิ้นชักอย่างนั้น !!

                วันนี้เราจึงจะมาพูดถึงวิธีการปรับปรุงนิยายโดยการใช้คำเชื่อม คำเปรียบเทียบและการเขียนประโยคพอเพียงกันค่ะ ซึ่งทั้ง ๓ วิธีนี้จะช่วยให้นิยายของคุณดูดีขึ้นในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน

                คำเชื่อม ตัวเชื่อมหรือสันธาน (ตามแต่จะเรียกขานกัน) นั้นมีประโยชน์อย่างยิ่งยวดในนิยายทุกหมวดทุกแนว และนับว่าเป็นส่วนที่สำคัญมากเพราะจะทำให้นิยายของเราน่าอ่านมากขึ้น !! คำเชื่อมนั้นมีหน้าที่เชื่อมต่อประโยคอันยาวเหยียดของคุณให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนแม่น้ำปิง วัง ยม น่านที่ไหลมาบรรจบกันที่แม่น้ำเจ้าพระยานั่นแหละค่ะ

                ประโยชน์หลักของมันก็คือ ทำให้นิยายของคุณอ่านได้อย่างลื่นไหลและไม่ติดขัดโดย'ไม่จำเป็น' ที่บอกว่าไม่จำเป็นนั้นก็เพราะว่าบางประโยคในนิยายควรจะมีช่องว่างในการอ่านเพื่อให้ได้อารมณ์ ณ จุด ๆ นั้นมากกว่าการเชื่อมประโยคให้ยาวเหยียดน่ะสิคะ การที่มีประโยคยาวเฟื้อยเป็นงูเลื้อยก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป นักอ่านและนักเขียนบางคนชื่นชอบประโยคสั้น ๆ ที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายมากกว่าที่ต้องอ่านประโยคยาว ๆ จนลืมไปว่าบรรยายถึงไหนแล้ว... เดี๋ยวเราจะยกตัวอย่างให้คุณดูนะคะ แต่ตอนนี้ไปดูกันก่อนว่าคำเชื่อมหน้าตาเป็นยังไง !!

ตัวอย่างคำเชื่อม

บอกความเป็นเจ้าของ เช่น ของ แห่ง

บอกเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ด้วย กับ โดย

บอกการเปรียบเทียบ เช่น กว่า เหมือน อย่าง ราวกับ

บอกสถานที่ เช่น ที่ ใน ใต้ ใกล้ บน

บอกทิศทาง เช่น สู่ ยัง ถึง

บอกความคล้อยตามกัน เช่น และ ก็ กับ

บอกความขัดแย้งกัน เช่น แต่ แต่ว่า แต่ทว่า ทว่า หาก

บอกความเป็นเหตุเป็นผลกัน เช่น เพราะ ฉะนั้น ดังนั้น จึง

บอกความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มิฉะนั้น หรือไม่(ก็) ไม่เช่นนั้น(ก็)

บอกความคาดคะเน เช่น ถ้า หาก แม้ว่า

บอกเวลา เช่น หลังจาก เมื่อ ทันทีที่

หมายเหตุ: ผู้ ที่ ซึ่ง อัน - ก็นับว่าเป็นคำเชื่อมด้วยเหมือนกันนะคะ !!

                คุณคงจะคุ้นเคยกับคำเหล่านี้ไม่มากก็น้อย แต่บางครั้งก็อาจจะเผลอมองข้ามมันไปซึ่งมันจะทำให้ประโยคในนิยายของคุณนั้นดูซ้ำซากจำเจจนอ่านติด ๆ ขัด ๆ ไปเลยก็ได้ อย่างเช่น

ตัวอย่างที่ ๑

เอตื่นไปโรงเรียนแต่เช้า บีไปโรงเรียนสายประจำ ซีชอบโดดเรียนอยู่เรื่อย

ตัวอย่างที่ ๒

เอมักจะตื่นไปโรงเรียนแต่เช้า ผิดกับบีที่ชอบไปโรงเรียนสายเป็นประจำ และซีที่คอยเอาแต่โดดเรียนอยู่เรื่อย

                คุณลองสังเกตุความแตกต่างดูซิ... อักษรสีแดง คือ คำเชื่อมหรือตัวเชื่อมที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยให้ประโยคทื่อ ๆ ทั้ง ๓ ประโยคแทบจะรวมเป็นประโยคเดียวกันได้เลย ส่วนอักษรสีน้ำเงินนั้นเป็นส่วนเติมเต็มที่ช่วยให้ประโยคนั้นอ่านลื่นไหล และน่าอ่านขึ้นกว่าตอนที่ไม่เติมอะไรลงไปเลย อันที่จริงแล้วคุณสามารถนำคำในอักษรสีน้ำเงินออกไปเลยก็ได้ เพราะเพียงแค่อักษรสีแดงก็ทำให้อ่านไม่ติดขัดแล้ว แต่ลองดูซิว่าแบบไหนจะน่าอ่านกว่ากัน ?

                นี่เป็นเพียงประโยคสั้น ๆ เท่านั้น ในนิยายจริงมีประโยคยาวเหยียดกว่านี้แถมยังมีตั้งมากมายเป็นหางว่าว คุณจะต้องบรรยายให้คนอ่านสามารถอ่านได้อย่างไม่มีสะดุดให้ได้ หากคุณบรรยายโดยใช้คำพูดเหมือนกันเป็นแพจะทำให้นิยายน่าอ่านได้อย่างไร ฉะนั้นการเลือกใช้คำเชื่อมนั้นนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนิยายมากเลยทีเดียว ยิ่งถ้าหากสำนวนของคุณเป็นสำนวนพื้น ๆ เน้นความอ่านง่ายไว้ก่อนแล้วยิ่งต้องพึ่งคำเชื่อมเป็นพิเศษ และที่เราต้องการเน้นขึ้นมาอีกก็คือ คำเปรียบเทียบ


                คำเปรียบเทียบ จะช่วยให้คำบรรยายของคุณเห็นภาพมากยิ่งขึ้น ใช้ขยายความได้ตั้งแต่คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ (ที่จริงก็ได้ทุกอย่างนั่นแหละ) โดยใช้เปรียบเทียบ "สิ่งที่คุณเอ่ยถึง" กับ "สิ่งอื่นที่คล้ายคลึงกันและมีอยู่จริง" ทำให้ผู้อ่านสามารถนึกภาพออกมาได้ง่ายว่าสิ่งที่คุณเอ่ยถึงอยู่นั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรโดยไม่จินตนาการเกินขอบเขตที่คุณวาดเอาไว้ ตัวอย่างเช่น สวยเหมือนเทพธิดา ใสเหมือนกระจก นุ่มเหมือนปุยเมฆ ขาวเหมือนสำลี ฯลฯ

                ถ้าคุณบรรยายว่า "หมอนใบนั้นนุ่มมาก" ขณะที่คนอื่นบรรยายว่า "หมอนใบนั้นนุ่มเหมือนขนกระต่าย" คุณว่าหมอนใบไหนจะนุ่มกว่ากัน ? การใช้คำเปรียบเทียบนั้นนอกจากจะช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นยังช่วยจำกัดขอบเขตได้อีกด้วย เช่น "ห้องนี้แคบมาก" กับ "ห้องนี้แคบจนไม่มีที่ให้แมวดิ้นตาย" แน่นอนว่าห้องที่สองคงจะแคบกว่า...

ตัวอย่างคำเปรียบเทียบ

ราวกับ / เหมือน / คล้าย / ปาน / เสมือน / ดุจ / ดั่ง / อย่างกับ ฯลฯ

ตัวอย่างที่ ๑

บีเป็นเด็กที่น่ารักมาก พูดจาไพเราะอ่อนหวาน รอยยิ้มของเธอก็น่ารักไม่เหมือนใคร

ตัวอย่างที่ ๒

บีเป็นเด็กน่ารัก บ้างก็ว่าเธอเหมือนนางฟ้าตัวน้อย พูดจาไพเราะอ่อนหวาน รอยยิ้มของเธอคล้ายจะทำให้โลกหยุดหมุน

                คำเปรียบเทียบสามารถช่วยให้การบรรยายดูมีสีสัน แต่หากนำคำเปรียบเทียบไปใช้ในทางที่ผิด แทนที่จะทำให้ประโยคดูดีขึ้นอาจทำให้แย่กว่าเก่าก็ได้ เช่น เด็กคนนั้นหุ่นเพรียวเหมือนม้าน้ำ ดวงตากลมโตคล้ายลูกเทนนิส ผมยาวหนาเหมือนสาหร่าย...หากบรรยายแบบนี้ล่ะก็คนอ่านได้หัวเราะขำกลิ้งตายกับนิยายตลกเป็นแน่ ทางที่ดีหากจะใช้คำเปรียบเทียบก็ควรจะเปรียบกับสิ่งของที่มีรูปร่างลักษณะที่ใกล้เคียงกัน หรือออกไปในทางน่ารักและผู้คนชื่นชอบจะดีกว่าค่ะ

                การเลือกใช้คำเปรียบเทียบที่หลากหลายจะช่วยให้นิยายน่าอ่านมากกว่าการใช้คำเปรียบเทียบซ้ำไปซ้ำมาด้วย ไม่ใช่ว่าการใช้คำเชื่อมและคำเปรียบเทียบจะไม่ดี เพียงแต่หากใช้มากจนเกินไปหรือซ้ำซากจำเจจะทำให้คำเปรียบเทียบของคุณดูไร้ค่าไปเลย เช่น พระเอกหล่อเหมือนเทพบุตร ตัวรองก็หล่อเหมือนเทพบุตร ตัวร้ายก็หล่อเหมือนเทพบุตร สรุปเรื่องนี้เป็นเทพบุตรกันทั้งเรื่องเลยหรือไง ? แล้วบางเรื่องก็มี พระเอกมาดนิ่งเหมือนรูปปั้น...มาดนิ่งเหมือนรูปปั้น...มาดนิ่งเหมือนรูปปั้นไปตลอด แบบว่าพระเอกท่านนี้ไม่เคยคิดจะพัฒนาตนเองเป็นอย่างอื่นนอกจากรูปปั้นเลยซึ่งคงจะไม่ดีในสายตาของนักอ่านแน่ ทำไมไม่ลองเปลี่ยนจากรูปปั้นเป็นตุ๊กตา หรือตอไม้ดูบ้าง หรือเลือกหาสิ่งที่แข็งทื่อเหมือนกันมาใช้แทนก็ได้ จะได้ไม่เกิดความ "ซ้ำซาก" ที่เป็นจุดลดความน่าสนใจในนิยายของคุณ


                ประโยคพอเพียง เป็นชื่อเฉพาะที่เราคิดขึ้นนะคะ อย่าตกใจไปล่ะ...คือคราวนี้เราจะมาพูดถึงการตัดทอนคำในประโยคเพื่อไม่ให้ประโยคนั้นยาวเกินหรือสั้นเกินไปกันน่ะสิคะ นักเขียนหลายท่านอาจเคยประสบหรือกำลังประสบกับชะตากรรมที่โดนวิจารณ์ว่า "ทำไมบรรยายน้อยจัง...ขี้เกียจบรรยายเหรอ" หรือ "บรรยายอะไรซะยืดยาวอ่านจนไม่รู้แล้วว่าตรงไหนบรรยายของอะไร" อ้าว!! ไหงเป็นอย่างนั้นซะได้ ไอ้นั่นก็ไม่ดีไอ้นี่ก็ไม่ดี !! แล้วจะให้บรรยายยังไงถึงจะพอใจหว่า ? เอาเถอะค่ะ...นักอ่านต่างจิตต่างใจ ในฐานะที่คุณเป็นนักเขียนควรจะจำไว้ให้ดีเลยว่าไม่มีอะไรที่ดีพร้อมไปซะหมดหรอกค่ะ แม้จะดีกับคนนี้ก็อาจจะไม่ดีกับคนอื่น คุณไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ ขอแค่นิยายนั้นดีในสายตาของคุณก็พอแล้ว (แต่อย่ามองเข้าข้างตัวเองล่ะ...) ทีนี้มาลองมองด้านของตัวเองบ้างว่าประโยคของคุณดีจริงแล้วหรือ ? ที่นักอ่านวิจารณ์มานั้นถูกผิดมากน้อยแค่ไหน และคุณควรปรับปรุงอย่างไร

ตัวอย่างที่ ๑

ในโรงเรียนฝึกหัด มีนักเรียนคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้อง อ่านหนังสืออย่างหมกมุ่น ไม่ยอมละสายตาไปไหน ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ถอนหายใจเป็นระยะ กลุ้มใจในอะไรบางอย่าง

ตัวอย่างที่ ๒

ในโรงเรียนฝึกหัด มีนักเรียนคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออย่างหมกมุ่นอยู่ในห้อง เขาไม่ยอมละสายตาไปไหน หรือแม้แต่จะสนใจสิ่งรอบข้าง เขาถอนหายใจเป็นระยะเหมือนกำลังกลุ้มใจในอะไรบางอย่าง

                สังเกตเห็นความแตกต่างบ้างไหมคะ ? เห็นได้ว่าในตัวอย่างที่ ๒ ได้มีการนำคำเชื่อมมาใช้ร่วมด้วย แต่ก็ได้ตัดคำเชื่อมและคำเปรียบเทียบไปบางจุด เพื่อช่วยให้ประโยคดูไม่ลิเกจนเกินไป การใช้คำช่วยอื่น ๆ มาแต่งเติมจะช่วยให้ประโยคดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ยังไงก็ลองศึกษาดูอีกสักตัวอย่างจะได้เห็นชัดมากขึ้นนะคะ

ตัวอย่างที่ ๓

ณ ดินแดนอันไกลโพ้น คลื่นทะเลกระเซ็นสาดใส่เด็กหนุ่มที่นอนอยู่ริมหาด น้ำทะเลที่ไหลอาบเต็มใบหน้าทำให้เขาเริ่มได้สติ เด็กหนุ่มค่อย ๆ ลืมตามองไปบนท้องฟ้า ภาพทั้งหมดที่เขาเห็นทำให้เขารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

ตัวอย่างที่ ๔

ณ ดินแดนอันไกลโพ้น เสียงคลื่นกระทบฝั่งทรายสีขาวบริสุทธิ์ ร่างของเด็กหนุ่มนอนราบอยู่ริมหาด น้ำทะเลไหลอาบใบหน้าเป็นระยะ นัยน์ตาสีฟ้าค่อยๆได้สติ ลืมตามองไปบนท้องฟ้าสีคราม ภาพแสงตะวันรำไรเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

ตัวอย่างที่ ๕

ณ ดินแดนอันไกลโพ้นสุดลูกหูลูกตา คลื่นทะเลสีฟ้าใสไหลเข้ากระทบฝั่งทรายสีขาวเนียนเป็นระยะ เด็กหนุ่มผู้ไร้สตินอนแน่นิ่งอยู่ที่ริมหาด เมื่อถูกน้ำทะเลไหลปะทะแก้มเขาถึงรู้สึกตัว เด็กหนุ่มเริ่มได้สติพยายามลืมตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ภาพแสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่องทำให้เขารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

                 ฮันแน่!! งงกว่าเก่าอีกล่ะสิ!! ก็แน่ล่ะ...การบรรยายในแบบแรกก็มีทีท่าว่าจะดูดีอยู่แล้ว แต่พอมาเห็นแบบที่สองก็เริ่มคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ พอยิ่งมาเห็นแบบที่สามอีกก็ยิ่งทำให้คิดไม่ตก หากคุณคิดแบบนี้แล้วล่ะก็คุณกำลังคิดเหมือนกับนักอ่านที่กำลังนั่งอ่านนิยายหลาย ๆ เรื่องอยู่นั่นแหละค่ะ พวกเขาเจอการบรรยายมากมายไม่รู้กี่รูปแบบ แม้แต่ละแบบจะดีเลิศเสียเหลือเกิน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีแบบอื่นที่ดีกว่า แม้จะดีกว่าเพียงเล็กน้อยหรือแย่กว่าแค่ไม่กี่จุด แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเปลี่ยนในพวกเขาได้จริงไหมคะ

                ที่เราจะบอกก็คือ การบรรยายที่น้อยเกินไปบางครั้งจะทำให้เห็นภาพไม่ชัดเจนและอาจทำให้จินตนาการหลุดลอยมากเกินไป อีกนัยหนึ่งหากบรรยายเสียมากเกินไปก็เหมือนกับการตีกรอบกั้นไม่ให้นักอ่านจินตนาการอะไรเลย อ่านแล้วคิดตามคำบรรยายอย่างเดียวซึ่งนักอ่านบางคนจะชอบ แต่นักอ่านบางคนจะไม่ชอบ อันที่จริงทั้งตัวอย่างที่ยกมาก็เป็นแนวประโยคที่นักเขียนทั่วไปมักใช้กันอยู่แล้ว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพลิกแพลงและสำนวนของแต่ละคนมากกว่า คราวนี้มาดูการเปรียบเทียบระหว่างประโยคสั้นกับประโยคยาวกันดีกว่าค่ะ

ตัวอย่างประโยคแบบสั้น - เน้นใจความ

๑. ตะเกียงกับเทียนไขเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองชื่นชอบอะไรเหมือน ๆ กันมาตลอด วันหนึ่งทั้งคู่ได้สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ต่อมาตะเกียงก็ละทิ้งเทียนไขไปหาน้ำมัน เทียนไขจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดกาล

ตัวอย่างประโยคแบบยาว - เน้นรายละเอียด

๒. ตะเกียงกับเทียนไขเป็นเพื่อนซี้ที่รักกันมาก ทั้งสองชื่นชอบอะไรที่เหมือน ๆ กันไปเสียหมดจนเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่ตะเกียงชอบแล้วเทียนไขจะไม่ชอบ ไม่มีอะไรที่เทียนไขเกลียดตะเกียงจะไม่เกลียดเลยก็ว่าได้ วันหนึ่งทั้งคู่ได้สัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่แล้วตะเกียงก็ได้ละทิ้งเทียนไขไปหาน้ำมันที่เป็นประโยชน์ต่อตะเกียงมากกว่า เทียนไขที่ถูกทิ้งไว้เบื้อหลังจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดกาล

                เห็นได้ว่าประโยคแบบสั้นจะเน้นถ้อยคำกระชับและเน้นไปที่จุดหมายของเรื่องไปเลย โดยไม่ต้องมีคำบรรยายเพิ่มเติมอะไรให้มากความเหมือนกับประโยคแบบยาวที่เน้นการบรรยายที่มากกว่า เพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้รายละเอียดในจุดบางจุด วิธีการใช้นั้นขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของนักเขียนว่าต้องการจะเล่าแบบใด คล้ายกับการเลือกแบบสรรพนามในการบรรยายนั่นแหละค่ะ

                ประโยคแบบสั้นนั้นก็เปรียบได้กับเนื้อเรื่องย่อที่ให้คนอ่านได้รับรู้เพียงแค่เรื่องราวคร่าว ๆ ที่เกิดขึ้น เหมือนเห็นโฆษณาละครเรื่องหนึ่งก็รู้ว่ามีนางเอกเป็นลูกเลี้ยงชอบถูกแม่ใจร้ายรังแกโดยมีพระเอกคอยช่วยเหลือ โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเอกถูกแม่ใจร้ายรังแกเพราะนางเอกเป็นคนแก่นแก้วมือไวชอบขโมยของในบ้านไปขาย และพระเอกก็เป็นพ่อค้ารับซื้อของที่นางเอกเอาไปขายเลยต้องช่วยเอาไว้ (กลัวเสียรายได้...) จะเห็นได้ว่าเนื้อเรื่องจริงอาจแตกต่างกับตอนที่คิดเอาไว้เมื่อได้อ่านเนื้อเรื่องย่อไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งนั่นแหละเป็นกลวิธีอย่างหนึ่งในการหลอกล่อนักอ่านให้สนใจนิยายของคุณด้วย ซึ่งบทความนี้จะไปอยู่ในหัวข้อวิธีเขียนเนื้อเรื่องย่อที่ดีค่ะ

                การจะเขียนประโยคให้อ่านแล้วเป็นธรรมชาตินั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคการเลือกใช้คำของนักเขียนเอง เพราะนักเขียนแต่ละคนต่างเลือกเฟ้นถ้อยคำที่ไม่เหมือนกันสำนวนภาษาที่ออกมาจึงต่างกันด้วย ส่วนคำเปรียบเทียบแนะนำให้ใช้เป็นบางโอกาสไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อเป็นอันขาดเพราะหากถึงจุดที่คุณต้องการให้นักอ่านนึกภาพตามจริง ๆ นักอ่านจะเสียอารมณ์ไปเสียก่อน ส่วนคำเชื่อมนั้นก็พยายามอย่าใช้ให้มากจนเกินไปดังตัวอย่างที่เห็นค่ะ

"Slow but Sure = ช้าๆ ได้นิยายเล่มงามนะคะ อิอิอิ"

o(>...<)o




โลโก้ตรงส่วนนี้เรายินดีให้คุณนำไปเผยแพร่ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตค่ะ


ความคิดเห็น

thitirat
thitirat 28 พ.ค. 52 / 17:01

ขอบคุณมากๆค่า ช่วยการบ้านวิชาไทยของเราได้เยอะเลย...

555

ความคิดเห็นที่ 2
รักเธอ
ความคิดเห็นที่ 3
5555555555555555555555555555555555+
ความคิดเห็นที่ 4
เจ๋งมากครับ อธิบายได้เห็นภาพและสามารถเอาไปใช้งานได้จริง
I am Batman
I am Batman 5 มิ.ย. 53 / 11:32
ชอบครับ เขียนได้ดีมาก เป็นเทคนิคความรู้งานเขียนที่สำคัญ เพราะเป็นตัวช่วยให้ภาษาใหลลื่นเวลาอ่านและสวยงาม
ความคิดเห็นที่ 6
ขอบคุณที่ทำให้เรารู้สึกอยากเขียนนิยายขึ้นมาอีกครั้ง

ขอบคุณมากๆค่ะ ^^
Cus
Cus 23 ม.ค. 65 / 17:03