[GOTH] : Nigrescent Promise
ถ้าต้องปล่อยให้เธอหลุดมือไปละก็...สู้ฆ่าเธอให้ตายเสียตอนนี้ยังดีกว่า
ผู้เข้าชมรวม
772
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
GOTH’s Fan Fiction: Nigrescent Promise
แฟนฟิกชั่น โกธ: เสียงเพรียกสุดท้ายแห่งคำสัญญา
*เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*
_______________________________________________________________________________
เธอ...มีแนวโน้มที่จะฝักใฝ่ในด้านมืดของมนุษย์เช่นเดียวกับผมเสมอ
นับตั้งแต่วันที่ผมได้คุยกับเธอเป็นครั้งแรก ความรู้สึกของผมต่อเธอยิ่งชัดเจน ไม่เพียงปรารถนาในผิวเนียนซีดขาว เส้นผมสลวยดำขลับไร้การตัดแต่ง หรือดวงตาที่ปิดกั้นตนจากโลกภายนอก หากมีบางอย่างที่ซับซ้อนกว่ามาทดแทนความกระหายจะเป็นผู้ครอบครองทุกบาดแผลบนร่างกาย รวมถึงการได้พิศภาพของเธอยามปราศจากลมหายใจ
ผมยังไม่อาจแน่ใจว่ามันคือสิ่งใด... ความรู้สึกอยากเป็นผู้กรีดคมมีดชำแรกผิวหนัง เป็นเจ้าของมือที่คว้านทะลุปอดควักหัวใจที่ยังเต้นตุบของเธอออกมา ใช้เหล็กแหลมเสียบทะลุหลอดเลือดใหญ่ให้โลหิตแดงฉานอันหวานหอมหากน่าสะอิดสะเอียนไหลทะลักราวกับท่อประปาแตกๆ
และแน่นอนว่า...ผู้ที่อาจเอื้อมประกอบกิจทรมานต่อเธอย่อมไม่สามารถเป็นใครอื่น ต้องเป็นผมคนเดียว! คนเดียวเท่านั้นที่เธอสัญญาจะพลีกายถวายชีวิตให้เป็นเครื่องสังเวยแด่ความมืดดำและทารุณโหดร้ายซึ่งแฝงเร้นอยู่ในจิตใจ
ผมอยากจะฆ่าเธอ อยากจะพรากลมหายใจสุดท้ายไปจากเด็กสาวนาม โมริโนะ โยะหรุ
มันเป็นความรู้สึกที่มีมาแต่แรก
ซึ่งยังมั่นคง...และรุนแรงขึ้นเป็นทบทวี
Rrrr
Rrrr
มันเป็นเวลา 20 นาฬิกา ครอบครัวแสนอบอุ่นของผม: พ่อ แม่ และน้องสาว อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอย่างที่ครอบครัวทั่วไปควรจะเป็น รายการเกมโชว์ที่ผมไม่เคยนึกสนใจฉายอยู่บนจอโทรทัศน์ ผู้คนเหล่านั้นล้วนเสแสร้งจอมปลอม ไม่ต่างอะไรกับหน้ากากนักบุญผู้ยิ้มแย้มและอารีที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของผมเพื่อปกปิดความแตกต่างจากคนอื่นๆเอาไว้
โทรศัพท์ดังขึ้น ซ้ำซาก
เสียงกริ่งขัดโสตประสาททำให้สมาธิในการระลึกถึงภาพเหยื่อคดีสังหารหมู่ด้วยเลื่อยไฟฟ้าในห้องทั้งเจ็ดหมดไป คดีดังกล่าวยังคงเป็นที่โจษจันแม้เรื่องราวจะผ่านมานานหลายเดือนแล้วก็ตาม เนื่องจากความอำมหิตของฆาตกรซึ่งภายหลังถูกขังอยู่ภายในห้องด้วยกลอุบายของสองพี่น้อง ผู้เป็นพี่ยอมขังตนไว้ในห้องเป็นการพลีชีพเพื่อให้น้องชายได้มีโอกาสหลบหนี คราบเลือดและชิ้นเนื้อแหลกเหลวกระเซ็นเป็นด่างดวงหยดย้อยทั่วห้องทาอะครีลิกสีขาว ซากศพของผู้เคราะห์ร้ายเหลือเป็นที่ระลึกเพียงเส้นผมและก้อนเนื้อบดเละที่ถ้าไม่บอกคงไม่อาจทราบได้ว่าเคยเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ผมยันตัวเองที่กำลังนอนเหม่อขึ้นมาจากเก้าอี้ เดินโซเซไปคว้าหูโทรศัพท์
“บ้านคามิยามะ สวัสดีครับ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ และใบหน้าราบเรียบ การคุยโทรศัพท์มีข้อดีคือคู่สนทนาไม่อาจรับรู้สีหน้าท่าทางของคนอีกปลายสาย เพียงรักษาระดับของเสียงพูดไม่ให้ผิดปกติจนเกินไปก็ใช้ได้แล้ว ทว่าเสียงผู้หญิงสะอึกสะอื้นจากอีกฟากทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว คำพูดของเธอฟังไม่ได้ศัพท์ จนต้องถามซ้ำๆว่าเธอมีเจตนาจะสื่ออะไร
“ย...โยะ”
‘...หรุ’ ใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องสงสัยเลย
“คุณโมริโนะหรือครับ?” ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งที่พอจะปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้จากเสียงร่ำไห้เพียงไม่ถึงนาที “ช่วยรอสักห้านาทีได้ไหมครับ ผมกำลังรีบไป”
พูดจบก็วางหูลงโดยไม่ใส่ใจจะรับฟังข้อมูลที่ขาดหาย
สมองของมนุษย์จะตายอย่างแน่นอนเมื่อขาดออกซิเจนต่อเนื่องกันราวสิบนาที คาดว่าคุณแม่ของโมริโนะที่โทร.มาคงเสียเวลาไปกับการตกตะลึงอย่างต่ำก็สองนาที และกว่าจะพูดจาให้ผมรู้เรื่องก็น่าจะใช้เวลารวมกันราวสี่นาทีเข้าไปแล้ว ซึ่งรถพยาบาลคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าห้านาทีในการเดินทางไปยังบ้านของโมริโนะ ถ้าผมเดินทางไปที่นั่นตั้งแต่ตอนนี้ก็อาจทันเวลา
ผมเดินช้าๆด้วยสีหน้ารื่นเริงไปหยิบหมวกสีดำพลางสวมรองเท้าผ้าใบคู่เดิม
“จะไปไหนเหรออิทสึกิ” มารดาซักถาม
“วันนี้ผมมีนัดติวเลขกับเพื่อนครับแม่” ใบหน้าราบเรียบฉาบรอยยิ้ม ความเท็จคำโตหลุดออกจากปาก ผมกล่าวประโยคในทำนองเดียวกันอีกสองสามครั้งก่อนยกมือโบกลา
แต่เพียงบานประตูปิดลงเท่านั้น ความรื่นเริงที่อุตส่าห์สวมทับเพียงผิวเผินก็หลุดละลาย... นายคามิยามะ อิทสึกิ ที่คนทั่วไปรู้จักอาจเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์แจ่มใสเข้ากับคนได้ง่าย แต่หากคนพวกนั้นพบกับผมในตอนนี้ ชื่อเสียงด้านมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศคงย่อยยับไม่มีชิ้นดี
ทิวทัศน์รอบข้างหมุนเวียนผ่าน ผมรีบเร่งเดินทางแข่งกับเวลาเพื่อไปเผชิญกับวาระสุดท้ายของเธอ ร่างกายที่ไม่ค่อยถูกแสงอาทิตย์เริ่มเหนื่อยหอบ สิ่งที่รบกวนความคิดอยู่ตลอดเวลาทำให้ต้องก้าวเดินโดยไม่หยุดชะงัก หัวใจเต้นกระตุกด้วยจังหวะแปลกๆ ความกระวนกระวายที่ไม่เคยสัมผัสทำให้ผมรู้สึกสับสน
ผมหลับตาลง ปล่อยให้ความเคยชินนำทางแทนดวงไฟข้างถนนที่ทอดทอแสงยาว
สมมุติว่าลมหายใจสุดท้ายของเธอไม่ได้ขาดห้วงไปด้วยน้ำมือของผม แล้วผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
เพราะไม่ว่าใครก็ตาม รวมถึงตัวเธอเอง ก็ไม่สามารถจะพรากพันธสัญญาที่ผูกพันวิญญาณของเราสองคนไปจากผมได้
ผมเดินผ่านบานประตูห้องนอนของโมริโนะ
โซ่สีเงินวับวามสะท้อนแสงหลอดฟลูออเรสเซนต์ริบหรี่ ลำคอผุดผาดล้อมกรอบด้วยโซ่โลหะ เลือดสีสดซึมซิบจากบาดแผลที่โลหะครูดกับผิวหนัง หยดเลือดรินไหลเป็นสายย่อมๆ เหนือขึ้นไปจากลำคอระหง ลิ้นจุกปาก ดวงตาในเบ้าเริ่มถลน โลหิตสีข้นเริ่มทะลักจากทั้งทางปาก จมูก และตา อย่างที่ผมเห็นจนชาชิน
ร่างบอบบางในเครื่องแบบนักเรียนสีดำสนิทห้อยจากเพดาน หมุนคว้างอยู่กลางอากาศ เส้นผมสีดำปรกใบหน้า แขนขาทิ้งลงสู่พื้นด้วยหมดสิ้นเรี่ยวแรงต่อต้าน กระแสประสาทที่ยังไหลวนอยู่ทำให้ทั้งร่างกระตุกเบาเหมือนช็อคด้วยไฟฟ้าอ่อนๆ เก้าอี้ล้อเลื่อนถูกถีบจนล้ม และไถลไปไกลสุดขอบกำแพง
ครอบครัวของเธอกำลังร่ำไห้พลางโทษว่าเป็นความผิดของตนที่ทำให้เด็กสาวผู้เข้มแข็งต้องตาย มารดาของเธอถึงกับสิ้นสติไปด้วยความเศร้าโศกเกินทานทน น่าแปลกที่แม้คนพวกนี้ไม่เคยเข้าใจความคิดของเรา แต่ก็ยังจะพาลกล่าวโทษต่างๆนานา เพียงเพราะพยายามปฏิเสธความบกพร่องของตนเองเท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลย โมริโนะแขวนคอตาย
ด้วยโซ่เส้นนั้น...ที่เธอเคยชมว่าศพที่มีมันประดับอยู่คงสวยดีเหมือนกันแม้อาจถูกบาด โซ่เส้นที่ผมเคยคิดอยากจะใช้มันรัดรอบลำคอของเธอ
สายไปเสียแล้ว ไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง
ผมเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอย่างไร้ค่าบนพื้นห้อง มันเป็นกระดาษแผ่นเล็กๆที่บังเอิญปลิวไปติดอยู่ใต้เก้าอี้สีดำที่ผู้เป็นเจ้าของไม่มีความจำเป็นจะใช้มันอีกต่อไป
ไม่ต้องรอคอยคำอนุญาต ผมถือวิสาสะเอื้อมมือไปหยิบอ่านอย่างรวดเร็ว ลายมือหางหวัดทว่าเป็นระเบียบของเธอยิ่งตราตรึง ประโยคมากมายในนั้นมีความนัยแฝงอยู่ หากอ่านเผินๆคงสรุปได้ว่าเธอฆ่าตัวตายด้วยความเครียดที่สั่งสมมานาน แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความปีติที่หลั่งไหลออกมาจากร่างที่สัญญาณแห่งชีวิตกำลังจะเงียบหายไปของเธอ
ผมหันไปมองร่างของเด็กสาวที่เริ่มหยุดนิ่ง
...ใบหน้าที่ซ่อนไว้ใต้เส้นผมยาวสลวยระบายรอยยิ้ม...
และในวินาทีนั้น น้ำตาที่ไม่เคยไหล กลับรินจากนัยน์ตาของผมสู่พื้นอย่างเงียบงัน
เสียงบรรเลงเพลงสวดศพดังแผ่วเหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้า
ผู้เข้าร่วมพิธีอำลาในครั้งนี้มีไม่ถึงยี่สิบซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นญาติสนิทที่มากันพอเป็นพิธีเท่านั้น ทุกคนทำหน้าเศร้า แต่น้ำตาแห่งความอาลัยอย่างจริงใจที่หลั่งออกมาเพื่อเด็กสาวในโลงสีดำนั้นนับหยดได้
โมริโนะ โยะหรุ เป็นคนไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ วันหนึ่งๆชอบเก็บตัวนั่งอ่านหนังสือแนวมืดมนอยู่คนเดียว ลักษณะนิสัยโดยรวมของเธอสามารถนิยามได้คำเดียวคือ ‘อึมครึม’ ดังนั้นเพื่อนของเธอจึงมีน้อยมาก...น้อยมากจริงๆ คือมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะคุยด้วยอย่างสนิทใจ
และ คามิยามะ อิทสึกิ ได้รับเกียรติให้เป็นบุคคลผู้นั้น
ผมก้มลงมองใบหน้างามหมดจดที่ซีดไร้สีเลือดด้วยจิตใจอันว่างเปล่า ในมือสั่นเทากุมถุงสีดำทรงยาวไว้แน่น ความคิดมึนตื้อ ทุกสิ่งทุกอย่างดูมืดมนและเงียบงัน ราวกับพลัดหลงจากโลกสู่อีกห้วงมิติ กาลเวลาโดยรอบคล้ายหยุดนิ่ง เสมือนภาพเบื้องหน้าเป็นภาพถ่ายความทรงจำอันปวดร้าว รอบตัวหมุนวน คำพูดมากมายในอดีตพรั่งพรูจนอื้ออึงโสตประสาทไปหมด
บรรยากาศที่ดูเวิ้งว้างและโศกสลดไม่ได้ทำให้สภาพจิตที่บกพร่องอยู่แล้วของผมสะทกสะเทือนเลยสักนิด ลมหายใจเริ่มร้อนรุ่ม หัวใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพียรลองถามตัวเองว่านี่เป็นสิ่งที่ผมหวังมานานไม่ใช่หรือ... อยากจะเห็นร่างกายอันงดงามของเธอยามหลับใหลชั่วกาล อยากจะมายืนอยู่ที่ตรงนี้เพื่อเหยียดตามองชีวิตที่ลับหายไป ไม่ใช่หรือไร
ใช่ แต่ไม่ใช่แบบนี้ ผมยืนยันกับตนเองหลายครั้งหลายครา สัญญาที่เธอให้ไว้ไม่ใช่แบบนี้ โมริโนะตระบัดสัตย์ ผิดคำสัญญาที่ออกมาจากปากของเธอเอง และชดใช้มันด้วยความตาย ทางเลือกทุกทางของผมสลายไปจนสิ้น เพียงเพราะผู้พรากลมหายใจสุดท้ายไปจากร่างในโลงสีดำไม่ใช่ผม หากเป็นตัวเธอเอง
มนุษย์คนหนึ่ง เกิดมาได้ครั้งเดียว ตายได้เพียงครั้งเดียว และโมริโนะได้มอบโอกาสเพียงหนเดียวในชีวิตนั้นให้แก่ผมแล้ว ...ยังจำได้ดีถึงวันนั้น วันที่ผมกล่าวเท็จต่อเธอ โป้ปดเพื่อไม่ให้เธอเห็นความเลือดเย็นอำมหิตของผมไปมากกว่านี้ มันคือคำปฏิญาณที่ผูกพันเราสองคนไว้ด้วยกันโดยไม่อาจหลุดพ้น
“ถ้าเธออยากตายขึ้นมาอีกล่ะก็...ฉันจะฆ่าเธอให้เอง”
ผมคิดไปคนเดียวหรือเปล่า...โมริโนะเคยคิดแบบเดียวกับผมบ้างไหม
ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจ จนกระทั่งตอนนี้ ความรู้สึกแปลกๆที่ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมีกับเขาได้ทะลักออกมาจากกำแพงเย็นเยียบที่ปิดกั้นจิตใจจากโลกแห่งแสงสว่าง ผมสับสนและสงสัย ทำไมจึงรู้สึกโศกเศร้ากับการตายทั้งที่เดิมเคยคิดว่ามันเป็นจุดหมายในชีวิต ทำไมจึงรู้สึกอ้างว้างและว้าเหว่ยามไม่ได้มีเธอยืนอยู่เคียงข้าง
ไม่จริงน่า... ผมคิดพลางหัวเราะเหยียดตนเองทั้งน้ำตา
ผมตัดสินใจคลายมือออก ทิ้งให้ผ้าสีดำร่วงหล่น พร้อมกับวัตถุที่เป็นเสมือนสิ่งยืนยันวันเวลาล่วงเลยผ่านว่ามีอยู่จริง คมมีดเงาวับสะท้อนกับแสงหรุบหรู่ มันหล่นลงบนหน้าอกที่ไร้การเคลื่อนไหวของเธอ ทอดนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับพันธสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างคนสองคนได้สูญสลายไปชั่วกัลปาวสานเสียแล้ว
ผมคว้ามีดที่เพิ่งทิ้งลงไปในโลงศพออกมาอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะยกขึ้นระดับไหล่ แล้วตวัดเฉียงปาดหลอดเลือดแดงใหญ่บนคอตนเอง เสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตะลึงดังหวีดขึ้นเมื่อเลือดสีสดพุ่งกระฉูดดุจสายฝน ผมแสยะยิ้มเย็นขณะที่ร่างอันไร้เรี่ยวแรงค่อยทรุดลงกับพื้น
น้ำตาที่หาได้ยากยิ่งร่วงจากขอบตาผะผ่าวอีกครั้งเป็นการอำลา
ลาก่อนชั่วนิรันดร...โมริโนะ ยู
แสงสว่างส่องลอดเข้ามาในห้องมืดมิด ผมกะพริบตาพลางยันตัวลุกขึ้นจากผ้าปูนอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องราวเมื่อกี้เป็นเพียงฝัน แต่ก็ทำให้ได้ฉุกคิดหลายอย่าง ผมไล้นิ้วตามลำคอเพื่อสำรวจความผิดปกติ ก่อนจะถอนใจยาวเมื่อพิสูจน์ได้ว่าเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้นไม่ใช่ความจริง
สิ่งที่เป็นความจริง คือ คำสัญญานั้น และการมีตัวตนของผมและเธอ
ผมยกมือขึ้นสางเส้นผมสีดำลวกๆ ปัดส่วนที่ปรกดวงตาไปด้านข้าง แล้วพับที่นอนเก็บช้าๆ สองตาเหลือบมองวัตถุที่สำคัญมากซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยเศษหนังสือพิมพ์ที่ตัดคาอยู่ตั้งแต่เมื่อวาน ชิ้นกระดาษที่ไร้คุณค่าและไม่เป็นที่ต้องการปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว
ผมโยนเครื่องนอนส่งๆไปยังมุมห้อง ก่อนจะก้าวเดินเชื่องช้าไปยังโต๊ะตัวเก่า คราวนี้จิตใจปลอดโปร่งกว่าที่เคยจนแทบจะเผยยิ้มออกมาคนเดียวเสียให้ได้ ผมเก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือพิมพ์เล็กๆขยำรวมกันแล้วปาลงถังผงใต้โต๊ะ ขณะที่ดวงตาพิจารณาสิ่งของต่างๆที่วางระเกะระกะอยู่ว่ามีอะไรแปลกปลอมหรือไม่เข้าร่องเข้ารอยบ้างไหม
แสงลำเล็กวาบเข้าสู่ตา
มือขวายื่นไปโดยอัตโนมัติเพราะความหลงใหลที่ไม่อาจพรรณนา นี่คือสิ่งที่ตามมาปรากฏถึงในความฝัน กล้ามเนื้อบนใบหน้านิ่งสนิท นิ้วมือลูบไล้ผิวเรียบเนียนของวัตถุชิ้นนั้นแผ่วเบาและเปี่ยมด้วยความเคารพราวกับกำลังสัมผัสอัญมณีน้ำงามที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ยิ่งกว่าลูกแก้วดื่นดาษจนไม่อาจประเมินคุณค่าที่แท้จริงได้
คมมีดโลหะสีเงินเงาวับทอประกายเจิดจรัสกว่าดาวดวงใด...
ผมคว้าด้ามมีดอันเปรียบประดุจสัญลักษณ์ของพันธสัญญาที่ผูกพันเราทั้งสองไว้ด้วยเงื่อนไขเดียวขึ้นมาถือมั่น สายตามองม่านดำหมองหม่นที่กั้นแสงอาทิตย์ยามเช้าอย่างมีเป้าหมายและความตั้งใจอันแรงกล้ายิ่งกว่าดวงตะวันยามเที่ยงตรง
โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จะไม่มีผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง!
มุมปากเปรยยิ้มเย็นแล้วก้มหน้าลงนิ่งภายหลังการตัดสินใจที่แน่วแน่เป็นที่สุด ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง...จะรักษาศีลธรรมไว้ทำไมถ้าหากมันขัดกับความต้องการเบื้องลึกของตนเอง
ภาพใบหน้าไร้อารมณ์ของโมริโนะผุดขึ้นในมโนภาพ ไฝเม็ดเล็กใต้ตาซ้ายที่ทำให้ดวงหน้างามของเธอดูมีเสน่ห์คล้ายแม่มดปรากฏชัดเจน สายตาในจินตนาการเลื่อนลงมายังลำคอผุดผาดขาวซีด เส้นโลหิตใหญ่ภายใต้นั้นเต้นตุบเร่าเป็นสัญญาณแห่งชีวิต
นี่คือความรักในรูปแบบหนึ่ง หรือเพียงความหลงใหลอันงุนงมที่ไม่อาจโผล่พ้นจากห้วงอันมืดมนและแสนหวาน ...ผมเพียงแต่สงสัย แต่สิ่งที่ตัดสินใจไปเมื่อนาทีก่อนกลับโหมกระพือ ลุกโชนเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงจากดวงอาทิตย์ หัวใจสูบฉีดแรงด้วยความตื่นเต้นและหิวกระหายที่ไม่อาจยับยั้งได้อีกต่อไป
คำสัญญาในครั้งนั้นไม่จำเป็นต้องรอวันพิสูจน์ และผมก็ไม่ต้องการให้เธอพิสูจน์ตัวเองอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อมีหนทางที่ทำให้คำสัญญานั้นไม่อาจถูกตระบัดอีกต่อไปอยู่ในมือของผม แค่สะบัดข้อมือนิดเดียว พันธะที่ผูกพันอยู่ก็จะจบสิ้นลงโดยสมบูรณ์ ขอเพียงมีความกล้า และความตั้งใจที่มากเพียงพอ
ถ้าต้องปล่อยให้เธอหลุดมือไปละก็...สู้ฆ่าเธอให้ตายเสียตอนนี้ยังดีกว่า
มือข้างที่กำด้ามมีดเอื้อมลอยเหนือกระเป๋านักเรียน
...นิ้วมือคลายออกช้าๆ...
ผลงานอื่นๆ ของ Tinieblas ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Tinieblas
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น