ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hey bro! : พี่(รหัส)ครับ 【สนพ.ลาเวนเดอร์】END

    ลำดับตอนที่ #4 : เบาะแสที่ไม่มีอะไรเพิ่มเติม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.05K
      65
      8 ม.ค. 64

     

     

    ตอนที่ 4

    เบาะแสที่ไม่มีอะไรเพิ่มเติม

     

     

    กิจกรรมรับน้องยังคงดำเนินต่อไปและดูท่าว่าจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากหลายกิจกรรมที่รุ่นพี่ช่างคิดสรรหามาให้รุ่นน้องทำ อย่างวันนี้ก็ประกาศให้ล่าลายเซ็นรุ่นพี่มาคนละยี่สิบลายเซ็น แถมยังขู่พวกที่ยังตามหาพี่รหัสไม่เจออีกด้วยว่าถ้าถึงวันเปิดสายแล้วยังหาพี่รหัสตัวเองไม่เจอจะต้องโดนลงโทษ

    “งานเข้าฉิบหาย ลายเซ็นก็ต้องล่าพี่รหัสก็ต้องหาเวรเอ๊ย!”

    “มึงจะโวยวายทำไม”

    “มึงก็พูดได้สิไอ้ฟิลด์ มึงหาพี่รหัสเจอตั้งแต่วันแรกแล้วนี่”

    “อ้าวพาลกูอีก”

    “พี่เค้กก็ไม่ใช่พี่รหัสกูซะงั้น อะไรวะ มันไม่ควรจะเป็นงี้ดิ ทำไมกูเดาผิดวะ” ผมว่าทฤษฎีผมก็เมคเซ้นส์อยู่นะ ก็เล่นซื้อเค้กให้เกือบทุกวัน จะไม่ให้ผมคิดเป็นอื่นได้ไง

    “เอาน่าใจเย็นๆ”

    “ไม่ต้องมาปลอบกูหรอกไอ้ข้าว มึงก็เจอพี่รหัสมึงแล้วนี่” ผมหันไปทำปากคว่ำงอนมันที่หาพี่รหัสเจอก่อนผม สรุปว่าพี่รหัสไอ้ข้าวคือพี่เนยครับ ก็ว่าอยู่แล้วเชียวของเทคคล้ายกับไอ้ฟิลด์ทุกที ผมว่าพวกพี่กิ๊บกับพี่เนยคงไปซื้อด้วยกันแน่ๆ

    “ทำไมมึงไม่ลองไปสืบดี ๆ วะว่าพี่คนไหนน้องรหัสยังหาไม่เจอ”

    “สืบห่าอะไรเล่า กูไปไล่ถามมาเกือบทุกคนแล้วพี่เขาก็บอกว่าไม่ใช่ๆ กันทั้งนั้น ไม่รู้ว่าอำกันเล่นรึเปล่า”

    “แล้วมึงจะทำไงต่อ บ่นไปก็ไม่ช่วยอะไรไหมล่ะ” ไอ้การ์ฟิลด์ออกความเห็นซึ่งผมก็คิดแบบเดียวกับมันเหมือนกัน

    “ช่วยไม่ได้ ล่าลายเซ็นให้ครบก่อนเรื่องพี่รหัสไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ว่ะ” ผมว่าแล้วตัดสินใจลุกขึ้นยืนพร้อมกับฉุดแขนไอ้ข้าวให้ลุกตามขึ้นมาด้วย

    “เฮ้ยๆ นี่มึงจะลากกูไปไหนเนี่ย”

    “ล่าลายเซ็นไง พวกมึงก็มาด้วยกันดิ” ผมออกปากชวน ไอ้ฐานทัพกับไอ้การ์ฟิลด์มองหน้ากันแล้วก็ลุกตามผมมา

    ผมนับว่าเป็นหนึ่งในคนที่รุ่นพี่รู้จักมากที่สุดในบรรดาปีหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะงั้นแค่ไอ้ล่าลายเซ็นนี่ขอจิ๊บจ๊อยครับ

    …อืม เป็นงั้นก็ดีสิ ตอนแรกผมคิดว่ามันจะง่ายกว่านี้แต่ไหงมันถึงตรงข้ามกับที่ผมคิดไว้ได้ล่ะครับเนี่ย

    “พี่นิกกี้ทำไมถึงไม่ยอมเซ็นให้พวกผมล่ะ” ผมโวยทันทีเมื่อพี่นิกกี้ตอบปฏิเสธที่จะเซ็นลงสมุดพกของพวกผม

    “กูก็บอกไปแล้วว่าพวกเฮดรับน้องกำชับมาว่าไม่ให้เซ็นให้ปีหนึ่งแบบไม่มีเงื่อนไข”

    “โธ่พี่นิกกี้ หยวนกันหน่อยสิน่านะคนกันเอง พี่น้อง ๆกันทั้งนั้น” ผมพยายามตื๊อแต่กลับถูกขัดจังหวะโดยคนตัวสูงที่โผล่เข้ามพาแทรกกลางวงสนทนา

    “ที่นี่คณะนี้คำว่าพี่น้องไม่ใช่การทำเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้ตัวเอง” นัยน์ตาคมตวัดมองผมราวกับจะตำหนิ

    “ก็แค่ให้เซ็นเฉยๆ เอง ไม่ได้ฉ้อโกงรับเงินสินบนอะไรสักหน่อย”

    “มึงเรียนนิติ สิ่งที่มึงควรมีอย่างแรกในความคิดคือความถูกต้อง”

    “แล้วอะไรใช้วัดว่าอะไรถูกต้อง ไม่ถูกต้องล่ะครับรุ่นพี่” ผมเลยย้อนถามกลับ

    “ไม่รู้ดิ”

    “นี่พี่จะกวนประสาทผมเหรอ”

    “งั้นมั้ง”

    ไอ้ท่าทียักคิ้วกวนโอ๊ยนั่นมันอะไรครับ! เห็นแล้วหงุดหงิด

    “น่าๆ ไอ้ขมิ้นใจเย็นๆ พวกเรามาขอลายเซ็นพี่เขา ไม่ได้มาท้าต่อยพี่เขานะเว้ย” ไอ้ข้าวกระทุ้งศอกใส่ผมหยิกๆ พร้อมกระซิบบอก

    “ก็ดูพี่มันกวนตีน หรือมึงไม่เห็นฮะไอ้ข้าว”

    “เออน่า มึงก็อย่าไปยั้วสิวะทำตัวดี ๆ เดี๋ยวพี่เขาก็ไม่เซ็นให้หรอก”

    “ช่างดิ รุ่นพี่ใจดีคนอื่นก็มีตั้งเยอะใครสนกันล่ะ”

    ผมเลยเปลี่ยนแผนไปหาพวกพี่กิ๊บแทน เชื่อเถอะว่ารุ่นพี่ผู้หญิงต้องใจดี แล้วยิ่งกับพี่เนยที่เป็นปลื้มผมกับไอ้ข้าวไม่มีทางปฏิเสธพวกผมลงแน่ๆ เว้นเสียงก็แต่ว่า…

    “ขอโทษนะน้องขมิ้น พี่เซ็นให้คนอื่นได้แต่เซ้นให้เราไม่ได้จริงๆ” พี่เนยพนมมือขอโทษขอโพยยกใหญ่

    “ทำไมล่ะครับพี่ ทำไมมีแค่ผมที่พี่เซ็นให้ไม่ได้ล่ะ?”

    “เอ่อ คือ…” พี่เนยอึกๆ อักๆ ที่จะตอบ แต่พอเห็นผมทำแก้มป่องงอนสุดชีวิต พี่เขาก็เหมือนจะรู้สึกผิดจึงยอมบอกเหตุผล

    “พี่รหัสเราสั่งไว้ ห้ามให้พี่เซ็นน่ะ ขอโทษนะ ที่จริงพี่ก็อยากเซ็นให้เราแหละ”

    “แล้วพี่รหัสผมนี่เป็นใครครับผมจะได้ไปโวยถูก ทำแบบนี้ได้ยังไงแกล้งกันนี่หว่า”

    “ง่ะ พี่บอกไม่ได้จ้ะ ขืนพี่บอกพี่ตายแน่” พี่เนยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ดูท่าว่าจะกลัวพี่รหัสผมเป็นจริงเป็นจังมาก ผมเลยหันไปมองพวกพี่กิ๊บกับคนอื่น ๆ แต่ก็พากันหลบตาผมกันเป็นแถบ เดี๋ยวนะ? นี่มันอะไรกัน จะกลัวอะไรกันขนาดนี้

    “นี่พี่รหัสผมเป็นมาเฟียเหรอครับ ทำไมทุกคนต้องกลัวกันด้วย”

    “กะ ก็ไม่เชิง พี่บอกไม่ได้ บอกได้แค่ว่าถ้าอยากให้พวกพี่ปีสองทุกคนเซ้นต์ให้ น้องขมิ้นต้องไปให้พี่รหัสตัวเองเซ้นก่อนเป็นคนแรกจ้ะ”

    “ประเด็นคือผมไม่รู้น่ะสิครับว่าพี่รหัสผมเป็นใคร”

    “อ้าว ทางนั้นไม่ให้คำใบ้อะไรน้องเพิ่มเติมบ้างเลยเหรอ”

    “ไม่มีเลยครับ ส่งมาแต่เค้ก”

    “อ่า งั้นคำใบ้ก็คงมีแค่เค้กนั่นแหละจ้ะ แหะๆ” พี่เนยยิ้มอ่อนให้ผม ก่อนจะขอตัวไปทำงานของสโมฯ กับเพื่อนๆ ต่อ

    กลายเป็นว่ามีผมเพียงคนเดียวในคณะล่ะมั้งเนี่ยที่ยังไม่ได้ลายเซ็นรุ่นพี่สักกะลายเซ็นเดียว! คือปกติก็ตามหาตัวรุ่นพี่ไม่ค่อยจะได้ไงครับ ยิ่งพวกปีแก่นี้หายตัวเข้ากลีบเมฆเลยก็ว่าได้ ที่พอจะเจอะเจอกันอยู่บ้างก็มีแค่พวกพี่เนยพี่กิ๊บ และพี่ปีสองที่มาเป็นสตาฟช่วยกิจกรรมรับน้อง

    “ไหงเป็นงี้ไปได้วะ!” ผมวางแก้วชาเขียวปั้นกระแทกโต๊ะด้วยความหงุดหงิด

    “กินน้ำตาลแล้วยังไม่หายโมโหอีกเหรอ” ไอ้การ์ฟิลด์ว่าพลางยกแก้วชาไข่มุกขึ้นดูดจ๊วบๆ อย่างสบายอารมณ์

    “กูไม่ใช่มึงนะ ที่แดกชานมไข่มุกแล้วจะอารมณ์ดีเหมือนคนเมากัญชา”

    “ชานมไข่มุกคือน้ำอมฤต”

    “เออจ้ะ ไอ้ลัทธิคนบูชาชานมไข่มุก อะไรก็ชานมไข่มุก”

    “กูชอบของกู” ไอ้ฟิลด์ว่าแล้วดูดชานมไข่มุกกินต่ออย่างไม่สนใจอะไรอีก จนกระทั่งผมมารู้สึกฉุกคิดขึ้นมาได้เกี่ยวกับ ‘ของที่ชอบ’

    “มึงว่าพี่รหัสกูคนนี้เขาชอบกินเค้กเปล่าวะ”

    “ทำไมมึงคิดงั้น พี่รหัสเขาซื้อของที่ตัวเองชอบให้น้องรหัสเหรอวะ ไม่ใช่ต้องซื้อของที่น้องรหัสชอบเหรอ”

    “ละมึงได้ของที่มึงชอบไหมล่ะไอ้ฟิลด์”

    “ได้นะ ขนมเยอะดี ยิ่งพอพี่เขารู้ว่ากูชอบชานมไข่มุกพี่เขาก็เลี้ยงกูอยู่บ่อยๆ เนี่ยแก้วนี่พี่กิ๊บเขาก็ซื้อให้”

    “อิจฉาพวกมึงว่ะ”

    “มีอะไรให้ต้องอิจฉาวะ”

    “ก็พี่กิ๊บกับพี่เนยโคตรใจดีแถมยังน่ารักอีก กูก็อยากได้พี่รหัสน่ารักๆ แบบนั้นบ้าง”

    “งั้นมึงก็รีบไปตามหาเข้าสิ จะได้รู้ว่าพี่รหัสมึงเป็นใคร” ไอ้ฐานพูดขึ้นมาทำให้หัวข้อสนทนาวกเข้ามาเข้าเรื่อง

    “ก็อย่างที่กูบอก กูไปไล่ถามปีสองมาเกือบหมดแล้ว ดูไม่เข้าข่ายเป็นพี่รหัสกูสักคน”

    “มึงแน่ใจว่าไม่ได้ขาดใครไป”

    “อะไรของมึงวะไอ้ฐานกูงง”

    “ที่กูหมายถึงคือ มึงพลาดลืมถามรุ่นพี่บางคนไปรึเปล่า”

    “ใคร? กูถามมาหมดแล้ว ไม่มีใครให้ถามอีกหรอก” นอกเสียจาก…

    คิดไปคิดมาคนที่ผมยังไม่เคยถามที่พอนึกออกตอนนี้ก็มีแค่พ่อเดือนคณะขี้เก็ก หน้านิ่ง ปากร้ายนั่นนี่หว่า

    “ไม่ๆๆๆ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นเดือนคณะขี้เก็กนั่นแน่”

    “มึงแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นไปไม่ได้”

    “ก็กูคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ไงไอ้ฐาน”

    “แต่รุ่นพี่คนอื่นมึงก็ไปถามเขามาหมดแล้วนี่”

    “ถามหมดที่ไหน บางคนกูก็ยังไม่ได้ถามเถอะ”

    “อ้อ เหรอ~”

    เกลียดหางเสียงมันจริง ๆ เลยครับ

    “กูถามจริง ๆ ทำไมมึงไม่ชอบพี่เขาวะพี่เขาไปทำอะไรให้มึง” ไอ้ฐานทัพถามผมด้วยสีหน้าจริงจังผิดกับเมื่อกี้ที่ดูจะกวนตีนผม

    “กูก็ไม่รู้”

    “อ้าว ไม่รู้แต่เสือกไม่ชอบขี้หน้าพี่เขาเนี่ยนะ”

    “ก็พี่มันชอบขี้เก็กอ่ะ”

    “ขี้เก็ก? กูว่าพี่เขาก็ทำตัวแบบนี้ปกติเปล่าวะ”

    “ไม่อะ ชอบมองเหยียดกู” นึกถึงแล้วก็รู้สึกไม่ชอบใจเลยจริง ๆ

    “มึงอคติไปเองรึเปล่า”

    “กูดูเป็นคนมีอคติกับคนอื่นเหรอ”

    “กูเห็นมึงมีอคติกับพี่ปูนเขาคนเดียว ทำไม? อิจฉาความหล่อของพี่เขาเหรอ”

    “ใครอิจฉา อย่ามาพูดจามั่วซั่ว กูก็หล่อไม่เห็นต้องอิจฉาเลย”

    “กล้าพูดฉิบหาย” ไอ้ฐานทัพถึงกับถอนหายใจ

    “ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนวะเนี่ย” ไอ้ข้าวยังช่วยเสริม

    “กระจกที่ห้องมึงมัวรึเปล่าวะ” ตบท้ายด้วยไอ้การ์ฟิลด์ที่ขยันแซวผมจัง

    “ไอ้พวกเวรนี่” ผมหันไปยกมะเหงกขู่จะไล่เขกกะบาลพวกมัน แต่ในตอนนั้นเองที่ผมก็เริ่มจะชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าสิ่งที่ไอ้ฐานพูดมันมีมูลความเป็นไปได้อยู่หรือเปล่า

    “เฮ้ยกูถามหน่อย ถ้าพี่รหัสกูดันเป็นคนนั้นขึ้นมา…”

    “มึงก็แพ้พนันที่ท้าพวกกูไว้ไง”

    “ไอ้สัตว์การ์ฟิลด์ ใช่เวลามาทวงเรื่องนั้นไหมวะ”

    “โอ๊ย มึงจะตีกูทำไมติดนิสัยไอ้ข้าวชอบลงไม้ลงมือเหรอ” ไอ้แมวส้มโวยวายยกใหญ่ ทั้งที่ผมมือเบากว่าไอ้ข้าวตั้งเยอะ

    “คนมันลนอะดิ” ไอ้ฐานยกยิ้มกวน

    “ใครลนกูเปล่า”

    “งั้นมึงกล้าไปถามพี่ปูนไหมล่ะว่าใช่พี่รหัสมึงไหม”

    และด้วยความปากไว ผมเลยเผลอหลุดปากพูดออกไปว่า

    “ทำไมจะไม่กล้าวะ!”

    “มึงพูดแล้วนะ”

    ฮึก ฉิบหายแล้วกู…

    “อะไร อย่าบอกนะว่ามึงป๊อด”

    “ใครป๊อด กูไอ้ขมิ้นคนจริงโว้ย”

    “งั้นก็อย่ามามัวเสียเวลาเลย ไปถามให้รู้เรื่องเลยดีกว่า” ไอ้ฐานจู่ๆ ก็ฉุดมือผมให้ลุกขึ้น

    “เหี้ยอะไรมึง!?”

    “ก็ไปถามพี่ปูนไง จะอะไรล่ะ”

    “มะ ไม่ กูไม่ไปวันนี้”

    “แล้วมึงจะไปวันไหน”

    “เออน่ะ วันไหนก็วันนั้น กูไม่รีบ”

     

    และไอ้คำว่าไม่รีบของผมก็คือไม่รีบจริงๆ ครับ ไม่ดิ ผมไม่เคยคิดจะเข้าไปทักพี่ปูนเลยด้วยซ้ำ

    “เฮ้ย มึงอย่ามาทำเนียนนะไอ้ขมิ้น”

    “เนียนอะไรไอ้ข้าว” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่ก็พอจะเดาออกว่ามันหมายถึงเรื่องอะไร

    “ไหนมึงบอกจะไปถามพี่ปูนเรื่องพี่รหัส นี่ปีหนึ่งทั้งคณะเขาเจอพี่รหัสตัวเองกันหมดแล้วมั้ง ยกเว้นมึงเนี่ย”

    “มึงก็พูดเวอร์ไป นั่นไงคนที่เข้าข่ายยังหาพี่รหัสตัวเองไม่เจอ” ผมเลยโบยไปทางไอ้ฐานทัพที่กำลังเดินกินน้ำผลไม้ปั่นมาแต่ไกล

    “อะไรมึง นินทาอะไรกู”

    “เปล๊า”

    “ไม่ต้องมาตอแหลไอ้สัตว์” ไอ้ฐานทัพตบกบาลผมไปหนึ่งที โอ๊ย เจ็บโว้ย

    “ไอ้ขมิ้นมันบอกว่ามึงก็ยังหาพี่รหัสไม่เจอ”

    “ไอ้ข้าว ไหงทรยศกันงี้วะ”

    “กูเปล่า กูก็แค่พูดตามที่มึงบอก”

    หน็อย ไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยม ผมเลยหยิกแก้มมันไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้

    “ไอ้ขมิ้น! ไอ้เหี้ย! แกล้งกูอีกแล้ว” ไอ้ข้าวเตรียมจะฟาดฝ่ามืออรหันต์ใส่ผม ผมเลยรีบกระชากตัวไอ้ฐานให้มันมารับเคราะห์แทน

    “โอ๊ย! หลังกูหักแล้วมั้ง” ไอ้ฐานถึงกับร้องจ๊าก บอกแล้วว่าไอ้ข้าวเห็นตัวเล็ก ดูบอบบางงี้ มือหนักอย่าบอกใครเลย

    “ขะ ขอโทษไม่ได้ตั้งใจจะตีมึง”

    “ไอ้เวรขมิ้น มึงนี่มันแสบนักนะ กูขอแช่งให้มึงเจอหนักๆ” ไอ้ฐานหันมาทำหน้าบูดใส่ผม

    “อะไรขอมึงที่ว่าหนักๆ”

    “นั่นไง”

    ผมมองตามสายตาของไอ้ฐานไปจนพบเข้ากับร่างสูงของพี่ปูนที่กำลังเดินสาวเท้ามาทางพวกผมที่นั่งอยู่

    เฮ้ย!ๆๆ ทำไมพี่แม่งเดินมาทางนี้วะ แถมยังรู้สึกว่ากำลังจ้องมาที่ผมด้วย

    “ไอ้ฉิบหายนี่มึงทำอะไรเนี่ย” ผมหันไปถามไอ้ฐานทันที

    “ก็เรียกพี่เขามาให้มึงถามไง กูเห็นอิดออดอยู่ได้”

    ไอ้เวร! ทำอะไรไม่เคยปรึกษาก่อน โว๊ยยยยยยย

    “เรียกกูมามีไรวะฐานทัพ”

    “พอดีเพื่อนผมมีเรื่องอยากถามพี่น่ะครับ”

    “ใคร?” เสียงนี่นิ่ง เฉียบ เย็นเยือกมาเลยโว๊ยยยยยย ผมรู้สึกขนลุกซู่แปลกๆ แต่ไม่เท่ากับตอนที่ไอ้เหี้ยฐานมันชี้มาที่ผม

    “คนนี้ไง”

    พี่ปูนก็ตวัดสายตาคมกริบมามองทันที

    ผมนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก ก็คนมันยังไม่ได้เตรียมใจนี่ครับ ปุบปับก็มาเลยแบบนี้

    “มีอะไรจะถามกูไอ้เตี้ย”

    โอ้โห แค่เริ่มก็เหมือนจะหาเรื่องผมแล้ว ถามจริงเถอะพี่เขากินเพ็ดดีกรีเป็นอาหารเหรอ ทำไมถึงได้ดุเหมือนหมาขนาดนี้

    “ผมเตี้ยแล้วมันหนักหัวพี่รึไงครับ”

    “กูไม่ได้ว่างมาต่อปากต่อคำกับมึงหรอกนะ”

    ไม่ว่างแล้วมาทำไมวะครับ ฮึ่ย!

    “เฮ้ย จะถามก็รีบถามดิ” ไอ้ฐานสะกิดให้ผมไม่ลืมสิ่งที่ต้องทำ ซึ่งผมโคตรไม่อยากทำเลยกลัวรับความจริงไม่ได้ เอาตรง ๆ นะครับ มันมีความเสี่ยงสูงมากที่พี่ปูนนั้นจะเป็นพี่รหัสผม

    “จะถามไม่ถาม ไม่ถามกูจะกลับแล้ว” พี่ปูนเตรียมหันหลังจะเดินกลับผมเลยต้องรีบโพล่งถามออกไปอย่างช่วยไม่ได้

    “พี่เป็นพี่รหัสผมรึเปล่าครับ!”

    …เงียบ 

    ร่างสูงที่กำลังจะก้าวขาออกไปชะงักไปชั่วขณะก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าผม สีหน้าของพี่ปูนดูนิ่งมาก ดูไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หรือกำลังจะตอบคำถามผมว่ายังไง ผมแอบกลืนน้ำลาย ลุ้นในคำตอบที่จะได้ฟังชะมัด ในใจนี่ภาวนารัวๆ ว่าขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด และแล้วคำตอบที่ผมไม่ได้รอคอยก็ถูกเอ่ยขึ้นมา

    “แล้วมึงคิดว่าไงล่ะ” รอยยิ้มมุมปากปรากฎขึ้นราวกับเยาะเย้ยในฐานะคนกุมความลับที่ถือไพ่เหนือกว่า ก่อนที่พี่เขาจะเดินชิ่งหนีกลับไปดื้อๆ ปล่อยให้ผมยืนอ้าปากค้างในคำตอบที่โคตรกวนประสาท และไม่ช่วยอะไรเลย

    “ไอ้ฐาน! ไอ้ข้าว! มึงดู! พี่แม่งกวนประสาทกู!” ผมหันไปฟ้องพวกเพื่อนๆ ทันที

    “เชร้ด เห็นมาดนิ่งๆ ไม่นึกว่าจะกวนตีนขนาดนี้” ไอ้ฐานอุทานออกมาพร้อมหัวเราะ

    “ที่เขาว่ากันว่าเดือนคณะเราไม่ผ่านรอบคัดเลือกประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยเพราะความกวนประสาทของพี่แก น่าจะจริงว่ะ” ไอ้ข้าวพูดออกมาด้วยสีหน้าอึ้งๆ

    “นี่พวกมึงได้ฟังที่กูพูดไหมเนี่ย!”

    “ก็ฟังอยู่”

    “ฟังอยู่นี่ไง”

    เออจ้ะฟังก็ฟัง แต่พวกมึงแม่งไม่เห็นจะสนใจกูเลยนี่ไอ้ฉิบหายยยยย

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×