ผู้เขียน : จับซาเกี่ยมโก้ว
เกริ่น…
สายลมละเลียดผ่านยอดไม้ใบหญ้าเต้นระริก แสงสายัณห์สาดส่องแมกไม้ดูร่มรื่น ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าคมคาย สองคิ้วดกหนาดำขลับดั่งวาดแต้มด้วยสีหมึก จมูกคมสัน ปากเรียวรับกับรูปหน้า สวมชุดหลวมกว้างบ่งบอกถึงอุปนิสัยรักสะดวกสบายไม่นำพาต่อการสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์มากนัก ในมือถือไหสุราเดินขึ้นเขามาอย่างแจ่มช้าเลี้ยวลดผ่านเส้นทางคดเคี้ยวมาได้สักระยะก็ตัดขึ้นสู่หน้าผาสูงชัน บนหน้าผาสลักคำแป๊ะฮุ้น (เมฆขาว) ที่แท้เรียกว่าผาเมฆขาวนั่นเอง
เขาแหงนมองขึ้นไปบนหน้าผาที่ตั้งตระหง่านพร้อมกับยกไหสุราขึ้นซด สุราหลายหยดกระซ่านเซ็นหกรดเสื้อผ้า ชายหนุ่มดื่มจนพอใจค่อยเหวี่ยงไหสุราขึ้นไปบนหน้าผา จากนั้นตัวเองค่อยกระโดดติดตามไป เขาพุ่งทะยานคราเดียวสูงหกเมตร ต่อมาค่อยใช้เท้าขวาแตะเท้าซ้ายหยิบยืมพลังพุ่งทะยานต่อไปอีกหกเมตรค่อยเปลี่ยนมาเป็นใช้เท้าซ้ายแตะเท้าขวาดีดตัวเองขึ้นไปอีกหกเมตรค่อยบรรลุถึงยอดผา
เขาหย่อนเท้าลงแตะพื้นพร้อมกับยื่นมือออกไปรับไหสุราที่กำลงตกลงมาอย่างพอดิบพอดี หน้าผาเมฆขาวความจริงสูงราวสิบเจ็ดสิบแปดเมตร เขากลับพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างง่ายดายในชั่วพริบตาเดียว คิดไม่ถึงเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าผู้นี้กลับมีวิชาตัวเบาไม่ต่ำทราม เขายิ้มร่าในขณะที่ไหสุรากำลังจะสัมผัสกับฝ่ามือ มิคาดอยู่ ๆ ไหสุรากลับพุ่งฉิวห่างออกไปจนแทบไม่อาจจะเชื่อสายตา เขาหันหน้าติดตามไปกลับพบว่าไหสุราตกไปอยู่ในมือของชายชราท่านหนึ่งที่ยืนห่างออกไปห้าหกเมตร ชายชราท่านนี้รูปร่างสูงโปร่งไม่ต่างกัน ผมเผ้าท่านหงอกขาวไว้เครายาวจรดหน้าอก หนวดเคราล้วนเป็นสีขาวหมดสิ้น ถึงแม้ท่านอายุล่วงเข้าสู่วัยชราแต่ท่านกลับยืนหยัดหลังตรงไม่งองุ้มแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังดูสง่าผ่าเผยยิ่งกว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นเสียอีก เด็กหนุ่มทิ้งร่างนั่งลงบนพื้นหญ้าแย้มยิ้มกล่าว
“แป๊ะแปะ(ท่านลุง)คิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านก็ใคร่ดื่มสุรา”
ชายชราปั้นสีหน้าเคร่งขรึมจากนั้นค่อยทอดถอนใจส่ายศีรษะกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ไคซิม (ใจเบิกบาน) เอ๋ยไคซิม พรุ่งนี้เจ้าก็ต้องออกเดินทางเพื่อไปเป็นศิษย์ของผู้อื่นเค้า เจ้ายังจะเอาแต่เที่ยวเล่นเมามายอยู่อย่างนี้อีกเหรอ”
เด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีหน้าหมองหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดเขากล่าวเสียงแผ่วเบา
“แต่ข้าไม่อยากไปนี่ท่านลุง ข้าไปแล้วใครจะดูแลท่านล่ะ”
เขาพูดออกมาด้วยความรู้สึกจากใจ ชายชรามองหลานชายอย่างนึกสงสารแล้วตัดใจปั้นสีหน้าเคร่งขรึมอีกคราค่อยกล่าวอย่างจริงจัง
“ยังไงเจ้าก็ต้องไป เรารับปากผู้อื่นไว้แล้ว หรือเจ้าอยากให้เราเสื่อมเสียหน้า”
เด็กหนุ่มยังคงยืนกรานกล่าวว่า
“ทำไมท่านต้องส่งเราไปเป็นศิษย์ของผู้อื่นอีก ในเมื่อเราฝึกกับท่านก็สามารถอาระวาดได้ทั่วทั้งบู๊ลิ้มตงง้วน”
ท่านผู้เฒ่าขมึงตาตึงเครียดตวาดคำ
“วาจาเหลวไหล! เราสอนวรยุทธ์ทั้งหมดแก่เจ้า รวมทั้งถ่ายทอดแนววิชาของบิดาเจ้า ไม่ได้เพื่อเอาไว้ให้เจ้าเที่ยวเอาไปอวดโอ่รังแกผู้อื่น”
เด็กหนุ่มก้มหน้าสำนึกผิดกล่าวอย่างกระท่อนกระแท่น
“หลานพลั้งปากไปขอท่านลุงโปรดอภัย”
ชายชราทอดถอนใจอีกครั้ง ท่านนิ่งงันชั่วระยะค่อยกล่าว
“ไคซิมเอ๋ย ที่เราให้เจ้าลงเขาไปคราวนี้ก็เพื่ออยากให้เจ้าได้พบกับประสบการณ์ใหม่ ๆ เจ้ายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากหลาย เจ้าอายุเพิ่งจะย่างเข้าสิบแปดจะมัวเก็บตัวอยู่แต่ในหุบเขาได้อย่างไร”
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ข้าเป็นห่วงท่านนี่ท่านลุง ข้าไม่อยู่แล้วใครจะมาคอยปรนนิบัติรับใช้ท่าน”
ชายชราเดินเข้ามาแตะไหล่หลานชายที่รักกล่าวอย่างอ่อนโยน
“เด็กน้อยเอ๋ย ถึงเราจะอายุปูนนี้แล้วแต่เจ้าเห็นว่าเราเดินเหินเป็นอย่างไร”
เด็กหนุ่มทราบดีว่าลุงผู้เฒ่าความจริงท่านยังคงแข็งแรง ทั้งยังเปี่ยมล้นไปด้วยพลังการฝึกปรือ ที่เขาเป็นห่วงกลับกลัวว่าต่อไปจะไม่มีใครคอยเป็นเพื่อนพูดคุยกับท่าน ชายชราคาดคิดความในใจของเขาออกจึงแย้มยิ้มกล่าว
“เจ้ากลัวเราจะเงียบเหงาจนกลับคลายเป็นปีศาจตรอมใจอย่างนั้นหรือ”
ท่านหัวเราะค่อยกล่าวต่อ
“หรือเจ้าคิดว่าเราไม่อาจออกไปเสาะหาผู้คน อาจบางทีเราเองก็คิดออกไปท่องเที่ยวสักครา หรือบางทีเราอาจใช้ช่วงเวลานี้ฝึกปรือเคล็ดวิชาลมปราณเทียนเชี่ยงแช (ลมปราณฟ้ายั่งยืน) ของบิดาเจ้าให้กระจ่าง"
เด็กหนุ่มไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดีจึงได้แต่จับจ้องมองลุงผู้เฒ่าอย่างเซื่องซึม ชายชรายื่นส่งไหสุราในมือให้หลานชายด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าดื่มให้พอใจเถอะ แล้วค่อยไปจัดเตรียมข้าวของเพื่อออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ อ้อ! ต่อไปเมื่อเข้าเป็นศิษย์ของผู้อื่นก็ให้หัดสำรวมกิริยาไว้บ้าง อย่าปล่อยตัวปล่อยใจจนเลยเถิด เดี๋ยวผู้อื่นจะตำหนิว่าเราผู้เฒ่าอบรมสั่งสอนเจ้าไม่ดี”
ชายชราเพียงขยับเท้าเล็กน้อยท่านก็พลิ้วกายหายไปในม่านหมอก ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เหลื่อมล้ำยอดเขาลงไปอย่างช้า ๆ ปล่อยให้แสงสุดท้ายของวันฉาบทาอยู่บนฟากฟ้าก่อนจะเลือนลางจางหายไป
ราตรีเคลื่อนเข้าปกคลุม ดาริกาเจิดจำรัส...
ไคซิมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาหันมองไปยังทิศทางที่ปลูกสร้างกระท่อมหลังน้อยแสงตะเกียงยังส่องสว่าง แสดงว่าท่านผู้เฒ่ากำลังเฝ้ารอเขากลับไปทานข้าวพร้อมกัน เขายกไหสุราที่แห้งผาดขึ้นซดอย่างลืมตัว สุราถูกเขาดูดดื่มจนเหือดแห้งไปเนิ่นนานแล้ว เขาจึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจ พอขยับกายวูบก็พุ่งปราดสู่หน้ากระท่อมหลังน้อยดุจวิญญาณภูตพราย ผิดคาดหมาย ท่านผู้เฒ่ากลับไม่ได้อยู่ในกระท่อม มีเพียงกับข้าวสองสามอย่างที่ครอบวางไว้บนโต๊ะกับเศษกระดาษอีกหนึ่งใบเขียนข้อความ ‘หลานรัก ขอให้เจ้าจงเดินทางโดยปลอดภัย ลุงมีธุระสำคัญต้องไปกระทำ ไม่อาจรั้งรออยู่เพื่อส่งเจ้าออกเดินทางวันพรุ่งนี้ ขอให้เจ้าจงรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ๆ อย่าประพฤติตัวเหลวไหลจดจำคำสอนของเราผู้เฒ่าให้ขึ้นใจ มีเวลาเราจะไปเยี่ยมเยียนเจ้า ลงชื่อตุยฮุ้นไซ่(เทวทูตล่าวิญญาณ)
ความจริงแล้วเทวทูตล่าวิญญาณ ตุยฮุ้นไซ่ เองก็มิอาจตัดใจทนดูหลานที่รักต้องมาจำพรากจากไปไกลตา คำร่ำลา ต่อให้สวยงามปานใดก็มิอาจเหนี่ยวรั้งให้จิตใจผู้คนรู้สึกเบิกบาน!แม้แต่สักเสี้ยวหนึ่ง!
บทที่ 1 มุ่งสู่นครหลวง
(โปรดติดตาม)
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น