NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Diabolik lovers] White Rose กุหลาบขาวของเหล่าแวมไพร์ (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #3 : White Rose 02 : ทูตสวรรค์ผู้ร่วงหล่น [Re]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.13K
      861
      1 ม.ค. 66

    White Rose 02

    ทูตสวรรค์ผู้ร่วงหล่น


    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


    "ถ้าหากเขาคือ 'พระเจ้า' ผู้สรรค์สร้างทุกสรรพสิ่งด้วยความรักอันบิดเบี้ยว ผมก็คือ 'ลูซิเฟอร์' ผู้ต่อต้านเจตจำนงค์ของเขาผู้นั้นด้วยการทรยศหักหลังความรักของเขาเอง"



           TW : Incest (การร่วมประเวณีในครอบครัวและญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน) , Rape/Non-con (การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ยินยอมแต่ไม่ได้บรรยายละเอียด) , Violence (ความรุนแรง) , Abusive relationship (ความสัมพันธ์ที่มีการทำร้าย การใช้ความรุนแรงต่อกัน) , Toxic relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายด้อยค่า เหนื่อยกายเหนื่อยใจ ไม่มีความสุข) , Coercion (การบังคับขู่เข็ญ) , Child Abuse (การทารุณกรรมเด็ก) , Child Neglet (การทอดทิ้ง การปล่อยปละละเลยเด็ก) , Self-Esteem Issue (ตัวละครมีปัญหาเกี่ยวกับการเห็นคุณค่าในตนเอง) , Power Dynamic (การที่ตัวละครมีอำนาจใจความสัมพันธ์ไม่เท่ากัน โดยมักเป็นความสัใพันธ์ในเชิงชู้สาว เช่น ลูกน้องกับเจ้านาย ครูกับนักเรียน)



               ถึงแม้คราวก่อนโชคดีแต่ว่าโชคนั้นมันไม่อยู่กับคนเราตลอดเสมอไป

     

     

    หลังจากวันนั้นคอร์เดเลียภรรยาคนแรกของคาร์ลไฮนซ์หัวเสียมากที่ผมละทิ้งหน้าที่อย่างเตรียมอาหารเช้าคอยบริการพวกเขาและต้อนรับผู้ชายของหล่อนแค่หน้าประตูจากนั้นปล่อยให้คนรับใช้คนอื่นทำงานแทนทิ้งอีกฝ่ายไปหาสุบารุอย่างไม่ใยดีจึงแกล้งโยนงานปีศาจรับใช้ของตนให้ผมทำตลอดจนแทบไม่มีเวลาไปเล่นกับบรรดาหลานๆ ของผมเหมือนอย่างเคยตั้งสองอาทิตย์

     

     

    อ้อ...รู้สึกว่าเบียทริกซ์ภรรยาอีกคนก็อารมณ์เสียเหมือนกันถึงแม้เจ้าหล่อนจะไม่แสดงสีหน้าและอารมณ์ให้เห็นก็ตาม

     

     

    เพราะผมไปขอลูกหมาจากพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ของเธอ ตอนแรกเขาไม่ยอมให้ลูกหมากับผมหรอกเพราะคิดว่าผมจะเอามันไปให้ชูแต่ผมก็ตอบเขาด้วยความสัตย์จริงว่าผมไม่ได้เอาไปให้นายน้อยชูแต่เอาไปให้เอ็ดการ์เพื่อนของเขาแทน พ่อบ้านคนนั้นก็ยังปฏิเสธเหมือนเดิมแล้วจะนำมันไปปล่อยทิ้งตามที่คาดการณ์เอาไว้

     

     

    ผมก็เลยเล่นตุกติกกับความคิดภายในหัวของเขานิดหน่อยจนเขายอมยกลูกหมานั่นให้ผมแต่โดยดี คาดว่าหลังจากที่อีกฝ่ายกลับมาเป็นปกติหลังจากที่โดนใครบางคนแก้มนตร์สะกดแล้วจึงนำเรื่องนี้ไปฟ้องเบียทริกซ์ถึงแม้ว่ามันจะช้าไปสองอาทิตย์แล้วก็ตามทีและมันก็เป็นอย่างที่ผมคาดการณ์เอาไว้จริงๆ

     

     

    เพราะว่าเจ้าหล่อนแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยยามที่ผมถูกคอร์เดเลียสาดน้ำชาร้อนๆ ใส่เข้าอย่างจัง

     

     

    ซ่า!!

     

     

    "ตายจริง! ดูเหมือนว่ามือฉันจะลื่นไปหน่อยจนทำน้ำชาหกใส่เสื้อเธอแบบนี้น่ะดีนะที่ไม่โดนหน้าเธอน่ะไม่งั้นคงดูไม่ได้เลยทีเดียวนะ เบียคุยะ..." ผู้หญิงผมสีม่วงยาวกล่าวพร้อมยกยิ้มจนเห็นเขี้ยวของเธออย่างเห็นได้ชัดเจน หล่อนจงใจสาดน้ำชาใส่หน้าผมแบบไม่ทันตั้งตัวแต่เพราะผมหลบได้อย่างเฉียวฉิวทำให้น้ำชาร้อนๆ โดนเสื้อผ้าที่ผมใส่แทน

     

     

    เด็กแฝดสามคนมองอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าแม่ของพวกเขาจะสาดน้ำชาใส่แล้วยิ้มเยาะด้วยความสะใจผมออกหน้าออกตาแบบนี้ ทางด้านชูกับเรย์จิมองคอร์เดเลียจากนั้นหันกลับมามองแม่ของพวกเขาหวังว่าหล่อนจะตำหนิคอร์เดเลียเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร

     

     

    แต่ที่ไหนได้เบียทริกซ์ยกยิ้มมุมปากพอใจกับการกระทำของคอร์เดเลีย

     

     

    คนสุดท้าย สุบารุเมื่อเห็นผมโดนสาดน้ำชาใส่เขากัดฟันกรอดด้วยความโกรธที่ผู้หญิงไร้ยางอายอย่างคอร์เดเลียมาทำร้ายผมผู้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ ของเขาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะผมส่งสายตาเป็นเชิงปรามอีกฝ่ายไม่ให้อาละวาดห้องรับประทานอาหาร เขาจึงทำได้แต่กำมือแน่นจนสั่นระริกคล้ายควบคุมตนเองไม่ให้อาละวาดทำลายข้าวของในห้องทั้งหมด

     

     

    ผมน่ะไม่อยากให้ห้องรับประทานอาหารกลายเป็นสมรภูมิรบหรอก มันไม่มีอะไรมากก็แค่ขี้เกียจทำความสะอาดเฉยๆ เท่านั้นเองแหละและอีกอย่างผมไม่ยอมให้มันเป็นไปตามเกมของคอร์เดเลียหรอก

     

     

    แทนที่ผมจะร้องโอดโอยหรือโกรธเคืองคอร์เดเลียผมกลับทำสิ่งตรงข้ามแทน...

     

     

    "เฮ้อ...เสื้อผ้าผมเปียกหมดเลยแถมทำจากขนแกะคุณภาพดีซะด้วย น่าเสียดาย...ดีนะ ที่ท่านคอร์เดเลียไม่ 'ซุ่มซ่าม' ทำน้ำชาหกใส่ผมสูงกว่านี้ไม่เช่นนั้นท่านคาร์ลไฮนซ์คงดุผมแน่เลยว่าทำนาฬิกาพกที่ท่านมอบให้พัง" ผมแสร้งทำเป็นกลุ้มอกกลุ้มใจรู้สึกเสียดายเสื้อผ้าราคาแพงเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจและยังมิวายยอกย้อนอีกฝ่ายกลับไปด้วย 

     

     

    ไม่รู้ว่าเพราะความอดทนหล่อนต่ำเกินไปหรือว่าผมยอกย้อนกลับไปแทงใจดำเข้าอย่างจังกันแน่ จากใบหน้าแสยะยิ้มรู้สึกภูมิใจที่เอาคืนผมได้ของหญิงสาวผมสีม่วงตรงหน้านั้นกลับกลายเป็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแทน

     

     

    "แกกล้าดียังไงถึงมาด่าฉัน?! คิดว่าตัวเองเป็นคนโปรดของคาร์ลแล้วมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้อย่างงั้นเหรอ? แกมันก็แค่แวมไพร์ชั้นต่ำที่ถูกคาร์ลเก็บมาเลี้ยงเหมือนเก็บหมาข้างถนนมาก็เท่านั้นแหละ ไอ้แวมไพร์โสโครก!" คอร์เดเลียตวาดด่าผมลั่นเสียงดังทันทีเมื่อผมสวนกลับหล่อน

     

     

    อันที่จริง...ไอ้ตำแหน่ง 'คนโปรด' ของไอ้แก่ตัณหากลับสองพันปีนั่นผมไม่ได้อยากได้มันเลยซักนิดถ้าตำแหน่งมันยกให้กันได้ผมก็ยินดีใส่พานถวายให้พวกคุณเลย

     

     

    แต่พอคิดดูอีกทีการเป็นที่รักของราชาแวมไพร์วิปลาสนั่นมันไม่ต่างอะไรกับการตกนรกทั้งเป็นดังนั้นแล้วการเป็นที่เกลียดชังย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ เลย

     

     

    จากบรรยากาศที่ว่าแย่แล้วกลับมาแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกจนสาวใช้คนอื่นพากันถอยหนีไปหมดด้วยความกลัวอำนาจของหญิงสาวผู้มีฐานะเป็นบุตรสาวของเดม่อนลอร์ดที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ราชันย์แวมไพร์อย่างคาร์ลไฮนซ์จากเป็นพันธมิตรร่วมกันทำสงครามกับพวกเฟิร์สบลัดหรือพวกต้นตระกูลเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว

     

     

    ที่ผมรู้ไม่ใช่เพราะว่าผมอ่านประวัติศาสตร์โลกปีศาจหรอก แต่เป็นเพราะผมกับคริสต้าเกิดอยู่ในช่วงนั้นพอดีเลยตะหาก ทำให้ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ผมจะรู้จักกับ 'บูไร' พ่อของคอร์เดเลียหรือปัจจุบันคือเดม่อนลอร์ดของเผ่าวีโบล่า และพวกต้นตระกูลคนอื่นๆ อย่างเช่น กีสบาค โครเน่ เมเน่ คาร์ลา ชิน และคนอื่นที่มีบทบาทสำคัญในการทำสงคราม

     

     

    และนั่นคือสาเหตุที่ผมคิดจะปลดปล่อยพวกเขาออกมาจากการถูกคุมขังภายในปราสาทของพวกเขาเองใช้ความโกรธแค้นทุกข์ทรมานของอีกฝ่ายที่ต้องถูกจองจำและปล่อยทิ้งให้ตายด้วยโรคแห่งจุดจบเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อโค่นล้มอำนาจของราชันย์แวมไพร์อย่างคาร์ลไฮนซ์แต่เผอิญเขารู้ทันผมก็เลยจัดการลงโทษผมไปตามระเบียบ

     

     

    ตอนผมถูกจับได้ เดม่อนลอร์ดแห่งวีโบล่าที่รู้เรื่องนี้เข้าก็แทบจะฆ่าผมให้ตายคามือในฐานะก่อการกบฎต่อเขาและราชันย์แวมไพร์รวมไปถึงโลกปีศาจ แต่ผมก็ได้คาร์ลไฮนซ์ปกป้องเอาไว้ทำให้ผมยังอยู่ครบสามสิบสองจนมาถึงปัจจุบันนี้ 

     

     

    ถึงแม้ว่ามันน่าหงุดหงิดที่ต้องไปติดหนี้คนอย่างคาร์ไฮนซ์น่ะนะ...

     

     

    เรื่องที่หล่อนอ้างสิทธิ์ในฐานะบุตรสาวของเดม่อนลอร์ดทำอย่างกับว่าผมจะสนอย่างงั้นแหละ? แค่พ่อใหญ่มันไม่ทำให้คนที่อาศัยบารมีพ่อตนเองอย่างรคอร์เดเลียใหญ่ตามไปด้วยหรอก ถ้าหล่อนกล่าวอ้างว่าตนเองนั้นมีศักดิ์เป็นบุตรีของเดม่อนลอร์ด ผมเองก็กล่าวอ้างว่ามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของราชันย์แวมไพร์ได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะถูกบังคับให้ปิดบังสถานะตนเองตามคำสั่งของราชันย์แวมไพร์ที่ผมกล่าวอ้างมาก็ตาม

     

     

    เอาเป็นว่าถ้าเทียบแล้วพลังผมพอจัดการกับหล่อนได้แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำเพราะไอ้คำสั่งบ้าๆ ของคาร์ลไฮนซ์นั่นแหละทำให้ผมไม่สามารถจัดการสั่งสอนคอร์เดเลียได้น่ะสิ 

     

     

    น่าเสียดายชะมัด...ไอ้แก่สองพันปีนั่นทำเอาผมเสียอารมณ์ได้ตลอดเวลาเลย

     

     

    "ผมมิบังอาจด่าท่านผู้มีศักดิ์เป็นภรรยานายเหนือของผมได้หรอกขอรับ เพราะกระผมได้รับการสั่งสอนมาอย่างดีจากท่านคาร์ลไฮนซ์โดยตรงเลยขอรับ"

     

     

    "หืม...อย่างนั้นเหรอ? แล้วคาร์ลสอนอะไรเธอบ้างล่ะ?" หล่อนเลิกคิ้วถามผม

     

     

    "เขาสอนผมมาว่า..." ผมเอียงคอเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลจนน่าตบสำหรับอีกฝ่ายแล้วจากนั้น...คำพูดอันไม่พึงประสงค์ก็ออกมาจากปากผมแทงใจดำคอร์เดเลียซ้ำสอง!

     

     

    "สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลขอรับ"

     

     

    เพล้ง!

     

     

    พอพูดจบจานกระเบื้องสีขาวเนื้อดีของคอร์เดเลียก็ลอยมาทางผมแต่เผชิญว่าผมโชคดีหลบมันได้ทำให้จานสวยงามราคาแพงฉู่ฉี่โดนกำแพงห้องจนแตก(ถึงแม้สำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นแค่เศษเงินแต่มันก็อดเสียดายไม่ได้) เมื่อผมดูเวลาจากนาฬิกาพกพบว่ามันใกล้เลยเวลางานของผมแล้วดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องต้องมาต่อล้อต่อเถียงผู้หญิงคนนี้รวมไปถึงเบียทริกซ์ด้วย

     

     

    "ผมขอตัวก่อนนะขอรับ" ผมส่งยิ้มเล็กน้อยโค้งคำนับคอร์เดเลียและเบียทริกซ์ก่อนสั่งสาวใช้ที่เหลือเก็บกวาดเศษจานที่แตกเดินออกจากห้องไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายของคอร์เดเลียหรือสายตาไม่พอใจของเบียทริกซ์ที่ใช้คอร์เดเลียกำราบผมแต่ก็ล้มเหลว

     

     

    สำหรับผมแล้วงานบ้านและลูกๆ ของคาร์ลไฮนซ์สำคัญกว่าผู้หญิงน่ารำคาญสองคนนั้นเยอะเลย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาต้องมาถูกกักบริเวณพร้อมกับชู

     

     

    ถึงแม้ว่าจะอยู่กันคนละห้องแต่เด็กชายผมสีม่วงประกายดำเชื่อว่าชูต้องโดนทำโทษกักบริเวณอยู่แน่ ส่วนเหตุผลง่ายๆ สำหรับการกักบริเวณวันนี้คือพ่อบ้านผมขาวคนนั้น 'นางามิตสึ เบียคุยะ' แวมไพร์ที่ท่านพ่อของเขาเก็บมาเลี้ยงเมื่อหลายปีก่อนที่พวกเขาและพี่น้องคนอื่นจะเกิดซะอีก และก็เพราะพ่อบ้านคนนี้นี่แหละทำให้ชูพี่ชายไม่เอาถ่านและไม่มีอะไรดีเลยของเขาเริ่มต่อต้านและไม่เชื่อฟังท่านแม่มากขึ้น

     

     

    มากเสียจนท่านแม่ของเขารู้สึกเครียดและกลุ้มอกกลุ้มใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว...

     

     

    พ่อบ้านผมขาวคนนั้นเป็นจอมแหกกฎโดยธรรมชาติของแท้ เป็นอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ หย่อนยานในกฎระเบียบอันเคร่งครัดหลายข้อมากไปกว่าครึ่ง ทำตัวไม่สมกับเป็นพ่อบ้าน ที่สำคัญเขาไม่เชื่อฟังและทำตามคำสั่งท่านแม่และภรรยาคนอื่นๆ ของท่านพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว จนเบียทริกซ์ท่านแม่ของตนนั้นหัวเสียมากถึงขนาดสั่งคนรับใช้ของเธอทุกคนว่าห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับเบียคุยะเด็ดขาด

     

     

    หลังลับตาผู้คนเขามักจะเห็นร่างของท่านแม่ผู้สูงส่งและสง่างามนั้นอารมณ์เสียไม่พอใจอยู่หลายครั้งจนไม่เหลือเค้าโครงใบหน้าที่เรียบนิ่งอย่างที่เคยเป็น บางครั้งถึงแม้ว่าใบหน้าของเธอนั้นจะดูนิ่งเรียบไร้อารมณ์เหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแต่เด็กชายผมสีม่วงเข้มเกือบดำผู้มีศักดิ์เป็นบุตรชายคนที่สองของผู้หญิงคนนี้สัมผัสได้ถึงอารมณ์เบื้องลึกในจิตใจที่เหมือนพายุโหมกระหน่ำของเธอ

     

     

    รอบตัวท่านแม่รายล้อมไปด้วยคมมีดล่องหนคอยแทงข้างหลังอยู่ตลอดเวลาในเรื่องการเป็นภรรยาคนที่สองของท่านพ่อทว่ากลับให้กำเนิดบุตรก่อนภรรยาคนแรกอย่างคอร์เดเลียถึงสองคนทำให้ผู้หญิงน่าสมเพชนั่นคอยหาเรื่องรังควานท่านแม่อยู่บ่อยครั้งรวมไปถึงความสนใจของท่านพ่อเทไปให้พ่อบ้านคนนั้นจนหมดไม่แทบไม่เหลือเยื่อใยระหว่างสามีภรรยาด้วยกัน ถ้าหากพ่ายแพ้เมื่อไหร่นั่นคือจุดตกต่ำของพวกเขาทั้งหมด

     

     

    ไม่มีวันไหนเลยที่ท่านแม่รู้สึกอยู่ได้อย่างสงบสุขแม้แต่วันเดียว...

     

     

    'เรย์จิ อย่าไปยุ่งกับพ่อบ้านสกปรกคนนั้นเด็ดขาด แม่ไม่อยากให้ลูกทำตัวเหลวไหลไม่เชื่อฟังแม่ตามพี่ชายของลูกไปอีกคน'

     

     

    การแหกกฏไม่เชื่อฟังคำสั่งของท่านแม่เป็นสิ่งที่เรย์จิไม่ทำอย่างเด็ดขาด เขาเชื่อว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ได้รับความรักจากท่านแม่ เขาอยากเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเวลาเขาทำตัวเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังคำสั่งของเธออย่างที่เธอต้องการ เขาอยากเห็นเธอเอ่ยว่าเขาเป็นลูกที่ท่านภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เขาอยากเห็นเธอชมเขาและยกย่องเขาเหนือกว่าชูพี่ชายคนโตของเขา

     

     

    แต่สุดท้ายท่านแม่กลับไม่เห็นค่าอะไรเขาเลย สายตาของผู้หญิงคนนั้นน่ะมีแต่ชูพี่ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น...

     

     

    เพราะเด็กชายผมสีม่วงดำจมจ่ออยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของตนเองและหนังสือเล่มหนาที่เขากำลังอ่าน ทำให้เขาไม่ทันสังเกตเลยว่าตัวผมนั้นวางถ้วยชาคาโมมายล์บนโต๊ะที่มีหนังสือหลายเล่มตั้งไว้อยู่พร้อมกับสโคนทาแยมสตอเบอร์รี่สองสามชิ้นด้วยกัน ทันทีที่ผมวางจานสโคนบนโต๊ะดวงตาสีแดงอมม่วงหลังกรอบแว่นดำมองมายังผมที่ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มละมุน

     

     

    "พักซักหน่อยก็ได้นะขอรับ นายน้อยเรย์จิ"

     

     

    "ขอบคุณ" เด็กชายนามว่าเรย์จิเอ่ยเสียงเรียบก่อนจิบชาคาโมมายล์จากนั้นกลับไปอ่านหนังสือราวกับผมไม่เคยมาที่นี่เลยและผมก็เกือบคิดอย่างนั้นจริงๆ ถ้าผมไม่ได้ทำชาและสโคนมาให้เขากิน เรย์จิน่ะชอบอ่านหนังสือตลอดเวลาและมีบางครั้งที่เขาลืมเวลาอาหารจนผมรู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้จึงมักจะทำของว่างอย่างพวกขนมหรือไม่ก็แซนด์วิชไปให้เขาทานเป็นประจำแต่ปฏิกิริยาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเมื่อก่อน 

     

     

    เขาทำตัวเฉยชากับผมทุกครั้งที่ผมมาจนผมคิดว่าหลานชายคนนี้ไม่ได้ชอบผมเหมือนที่ผมชอบเขา...

     

     

    ผมลอบถอนหายใจเล็กน้อย เปิดฝานาฬิกาพกดูเวลาและเมื่อดูเวลาเรียบร้อยแล้วผมตัดสินใจทำบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนโดยการหยิบหนังสือออกมาจากบนชั้นกองหนังสือของเรย์จินั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามของอีกฝ่าย

     

     

    เรย์จิกระพริบตาปริบๆ ด้วยความไม่เข้าใจในการกระทำของผมก่อนหลบสายตาและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ระคนสงสัย "คุณทำอะไรของคุณ? เบียคุยะ"

     

     

    "ปรัชญาการเมืองและการปกครองอย่างนั้นเหรอ? ทำให้นึกถึงตอนสมัยเด็กอยู่เหมือนกันนะ..." ผมหยิบหนังสือวางบนตักสัมผัสปกหนังสืออย่างแผ่วเบาหลับตาพริ้มนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กตอนที่ผมอ่านหนังสืออย่างหนักและมีคริสต้าคอยเย็บปักถักร้อยอยู่ข้างๆ 

     

     

    วันนั้นเป็นวันที่มีความสุขอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว...

     

     

    "เคยอ่านอย่างนั้นเหรอ?" เรย์จิถาม ดูเหมือนผมไปจุดประเด็นบางอย่างเข้าให้แล้วเหมือนอย่างทุกทียามเมื่อเอ่ยชื่อของหนังสือที่น่าสนใจภายในสายตาของเรย์จิ

     

     

    "ตอนที่ท่านพ่อกับท่านแม่ยังอยู่น่ะนะ..." เมื่อนึกถึงตอนนั้นมันก็ใจหายอยู่เหมือนกันที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเพียงเพราะคำว่า 'สงคราม' เพียงแค่คำเดียว ท่านพ่อของผมนั้นเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีบทบาทในการทำสงครามกับพวกเฟิร์สบลัดสู้รบเคียงข้างกับคาร์ลไฮนซ์สุดท้ายแล้วท่านพ่อก็จบชีวิตตนเองเพื่อปกป้องอีกฝ่ายส่วนท่านแม่นั้นก็ตรอมใจตายตามท่านพ่อไปเหลือแค่พวกเราพี่น้องสองคนเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่

     

     

    จากนั้นไม่กี่วันหลังสงครามจบลงด้วยชัยชนะของราชันย์แวมไพร์และพันธมิตรของเขา คาร์ลไฮนซ์รับเลี้ยงพวกเราโดยเขาให้ผมคอยอยู่รับใช้ใกล้ชิดกับเขาที่ปราสาทเอเดนส่วนคริสต้าก็ให้สุภาพสตรีแวมไพร์ที่เก่งกาจตนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาดูแลที่คฤหาสน์ของตระกูล

     

     

    และก็นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นความวิปริตของคาร์ลไฮนซ์...

     

     

    "คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยว่าคุณมาทำอะไรที่นี่? ไม่ใช่ว่าคุณมีงานต้องทำหรอกเหรอ?"

     

     

    "ผมมาที่นี่ก็เพื่อนายน้อยเรย์จิขอรับ" ผมตอบไปตามความสัตย์จริง ดวงตาสีแดงอมม่วงของเขาเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนกลับมาเป็นปกติตามเดิม เขาไม่ได้พูดอะไรต่อและอ่านหนังสือต่อไปคล้ายตั้งใจเมินเฉยใส่ผม

     

     

    นี่ผมโดนหลานตัวเองไม่ชอบหน้าอีกแล้วเหรอ...?

     

     

    บางทีอาจจะเป็นเพราะชูสนใจผมมากจนเบียทริกซ์สั่งให้เขาไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับผมอย่างเด็ดขาดเหมือนที่หล่อนสั่งคนรับใช้ทำให้ผมกับพ่อบ้านแม่บ้านของเบียทริกซ์ไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับผมเลย ถึงขั้นขนาดมีงานเลี้ยงหรืองานต้อนรับใหญ่พวกเขาปล่อยให้ผมทำคนเดียวกับคนรับใช้คนอื่นที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับผู้หญิงคนนั้นแล้วไปทำงานอื่นที่ไม่มีผมมาเกี่ยวข้องแทน 

     

     

    แต่อย่างน้อยผมก็มีความสามารถพอรับมือกับเหตุการณ์แบบนี้ได้น่ะนะ...

     

     

    ผมเข้าใจความรู้สึกของเรย์จิดี ที่เด็กชายผมม่วงประกายดำตรงหน้านี้ทำไปเพราะอยากได้รับความรักและความสนใจจากแม่ของเขาซึ่งทั้งสองสิ่งนี้มันเทไปให้ชูหมดด้วยเหตุผลงี่เง่าอย่างการที่ชูเป็นลูกชายคนโตของบ้านปล่อยทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำพังตัวคนเดียว  การถูกคนที่รักทอดทิ้งน่ะมันทรมาน...

     

     

    "ต่อให้จงเกลียดจงชังหรือใจร้ายกับผมมากแค่ไหน ผมไม่มีทางโกรธนายน้อยเรย์จิหรอกครับ..." เด็กชายขมวดคิ้วคล้ายสงสัยและไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดว่าทำไมผมถึงพูดแบบนั้นคล้ายกับว่าเขาทำอะไรผิดต่อผม ดวงตาสีอะเมทิสต์ของผมสบกับดวงตาสีมาร์เจนต้ามองไปยังข้างในด้วยความอ่อนโยนทว่ามั่นคงหนักแน่น ปราศจากการเสแสร้ง

     

     

    "นายน้อยเรย์จิไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกขอรับถึงแม้ว่านายน้อยจะเกลียดชังผมเหมือนที่ท่านเบียทริกซ์เกลียดชังผมก็ตาม ผมเข้าใจเรื่องนั้นดีแต่ผมอยากบอกให้นายน้อยเรย์จิทราบอยู่เรื่องหนึ่ง ผม..." ผมเว้นไว้ชั่วอึดใจหนึ่งกล่าวกับอีกฝ่ายผู้มีศักดิ์เป็นหลานของผมด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

     

     

    "...ยังรักและเอาใจใส่นายน้อยเรย์จิทุกเมื่อถึงแม้ว่านายน้อยเรย์จิจะไม่ต้องการผมก็ตาม"

     

     

    ดวงตาสีมาร์เจนต้าพยายามปิดบังความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมาด้วยหนังสือเล่มหนา เขาไม่กล้าสบตามองดวงตาอัญมณีสีม่วงนี้สำหรับเขาแล้วดวงตาของเบียคุยะนั้นงดงามเลอค่าทว่าสั่นคลอนจิตใจของผู้พบเห็น เรย์จิเกลียด...เกลียดดวงตานี้มากที่สุด ดวงตาที่เหมือนจะทะลุมองเห็นจิตใจของเขาได้เหมือนเปิดหนังสืออ่าน 

     

     

    เขาไม่อยากเห็นดวงตาและใบหน้าของชายตรงหน้านี้อีกอย่างน้อยไม่ใช่ตอนนี้...

     

     

    ความรู้สึกของเขาต้องปกปิดเอาไว้ ปกปิดไม่ให้ใครเห็นโดยเฉพาะคนตรงหน้าและมันก็เป็นอย่างที่เขาต้องการจริงๆ 

     

    และด้วยความสามารถในการปกปิดอารมณ์ของตนเองที่สืบทอดมาจากมารดาของตนทำให้คนตรงหน้าไม่อาจรับรู้ความรู้สึกนึกคิดแม้แต่น้อย

     

     

    ผมมองเรย์จิที่แสดงสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ทำให้ผมไม่อาจทราบความคิดของเขาได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังคิดอย่างไรกับผมกันแน่แต่จากการกระทำแบบนี้ทำให้ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าเด็กชายตรงหน้านี้ไม่ชอบผมอย่างแน่นอน ผมยอมรับว่าผมเจ็บอยู่เหมือนกันที่ถูกหลานตนเองรังเกียจซึ่งมันทำให้ผมเข้าใจบางอย่างว่าต่อให้ผมเพียรพยายามเพื่อเขามากแค่ไหนสุดท้ายแล้วเกลียดก็คือเกลียดสินะ

     

     

    แต่ถึงกระนั้น...ผมก็หยุดรักเขาในฐานะครอบครัวเดียวกันไม่ได้

     

     

    "นายน้อยเรยจิ ความรักมักจะต้องควบคู่กับความศรัทธาและผมศรัทธาในตัวนายน้อยถึงแม้ว่านายน้อยเรย์จิจะไม่ศรัทธาในตนเองก็ตาม แต่อย่างน้อยผมอยากบอกให้นายน้อยเรย์จิรับรู้ว่าไม่ว่านายน้อยจะเป็นอย่างไรผมเชื่อว่านายน้อยมีเส้นทางเป็นของตนเอง เป็นเส้นทางหนึ่งเดียวที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมาแทนที่นายน้อยเรย์จิได้และผมก็รักนายน้อยเรย์จิที่เป็นแบบนั้นขอรับ"

     

     

    ผมเอ่ยกล่าวความรู้สึกของตนเองออกมาโดยไม่สนใจว่าเขาจะเมินเฉยหรือไม่ สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็พูดออกมาหมดแล้วเพราะจากนี้ไปผมตัดสินใจแล้วว่าจะถอยระยะห่างออกมาสถานะเหลือเป็นเพียงแค่นายบ่าวในสายตาของเรย์จิเท่านั้น เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจที่ไม่ต้องเห็นรอยด่างพร้อยในสายตาของเบียทริกซ์ผู้เป็นมารดาป้วนเปี้ยนรอบตัวเขาบ่อยเกินไปจนน่ารำคาญถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวดสำหรับผมก็ตาม

     

     

    ขณะกำลังวางหนังสือกลับบนกองชั้นหนังสือที่เดิมผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระตุกวูบตรงหน้าอกซ้ายหลังจากนั้นผมเปิดตลับฝานาฬิกาพกอีกครั้ง นัยน์ตาของผมกระตุกวูบไปครู่หนึ่งก่อนกลับมาเป็นปกติดังเดิมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

     

    ราชันย์แวมไพร์กลับมาแล้ว คาร์ลไฮนซ์ต้องการให้ผมไปพบที่ห้องของเขาตอนนี้...

     

     

    ผมไม่รู้ว่าคาร์ลไฮนซ์เรียกผมไปพบเรื่องอะไรแต่ผมพนันได้ว่าร้อยทั้งร้อยเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะดี ไม่สิ...ไม่ดีเอามากๆ แน่ชนิดที่ว่าผมยอมไปตายในทะเลทรายร้อนระอุหรือพายุหิมะโหมกระหน่ำดีกว่าต้องเจอกับอีกฝ่าย ผมปิดตลับฝานาฬิกาพกที่คาร์ลไฮนซ์มอบให้ผมหลังจากนั้นผมออกจากห้องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยที่ผมไม่เคยรับรู้เลยว่าดวงตาสีมาร์เจนต้าหลังกรอบแว่นและหนังสือเล่มหนานั้นสั่นคลอเพียงใด

     

     

    "อย่าไป..." เรย์จิเริ่มสะอื้นดวงตาสีแดงอมม่วงเริ่มมีน้ำคลอออกมา

     

     

    ความรู้สึกของเด็กชายนั้นเอ่อล้นทะลักออกมาตั้งแต่ที่พ่อบ้านผมสีขาวยาวสยายอันงดงามนั้นเอ่ยบอกรักเขา แต่เด็กชายเลือกที่จะปิดบังความรู้สึกตนเองเหมือนที่เบียทริกซ์แม่ของตนทำเพราะเขาไม่ต้องการให้ใครเห็นด้านที่อ่อนแอของเขา เรย์จิแค่ต้องการให้ท่านแม่ของเขานั้นรู้สึกภาคภูมิใจและเอาใจใส่เขาที่เป็นเด็กดีตั้งใจเรียนอย่างหนักทำตามทุกอย่างที่สั่งถึงแม้ว่าเธอจะไม่เห็นค่าของมันก็ตาม

     

     

    โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเขาทำร้ายความรู้สึกของคนตรงหน้าที่มอบความรักให้ตนมาโดยตลอดแม้แต่นิดเดียว...

     

     

    คนที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา เบียคุยะไม่เคยคิดจะพังกำแพงในจิตใจของเขาเข้ามาเลยกลับกันเขานั่งพิงกำแพงพูดคุยกับเขาและรอวันที่เขาจะเปิดประตูมารับเอง 

     

     

    เบียคุยะไม่เคยโกรธหรือเกลียดเรย์จิเลยที่ทำตัวเย็นชาห่างเหินใส่แม้แต่นิดเดียว กลับกันเขาทำตัวปกติเหมือนเดิมมีเว้นระยะห่างบ้างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้รู้สึกเหมือนถูกก้าวก่ายมากเกินไปคอยชงน้ำชาทำของว่างมาให้เป็นประจำยามเมื่อที่ตนนั้นอ่านหนังสือจนเลยเวลารับประทานอาหารบางครั้งก็สนทนาเกี่ยวกับหนังสือที่คนธรรมดายากที่จะเข้าใจ

     

     

    การกระทำเหล่านั้นมันทำให้ความรู้สึกของเรย์จิที่มีต่อนางามิตสึ เบียคุยะ ตีรวนกันด้วยความสับสนว่าจะหยิบยื่นมิตรภาพหรือจงเกลียดจงชังอีกฝ่ายต่อไปในเมื่ออีกฝ่ายนั้นแทบไม่มีความผิดเลยถ้าจะมีความผิดเดียวของพ่อบ้านคนนั้นก็คือการที่เข้าไปอยู่ในวังวนการแย่งชิงอำนาจก็เท่านั้นถึงแม้ว่าทางนั้นจะไม่เต็มใจที่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยก็ตาม

     

     

    และเพราะความสับสนภายในใจแบบนั้นทำให้กำแพงในใจเริ่มทลายลงทั้งที่อีกฝ่ายก็แค่นั่งคุยกับเขาผ่านกำแพงรอวันที่เขาเปิดประตูต้อนรับเท่านั้น

     

     

    กว่าจะรู้ตัวก็สายไป เบียคุยะคิดว่าตนนั้นถูกเขารังเกียจเข้าเสียแล้ว...

     

     

    เมื่อเรียกแล้วร่างสูงอันคุ้นเคยไม่โผล่มา เด็กชายผมทำได้แต่นั่งกอดเข่าซบใบหน้าลงไปพยายามปิดบังน้ำตาที่ไหลออกมาซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ให้คนอื่นที่ไม่ใช่เบียทริกซ์แม่ของตนเองยามที่เธอนั้นให้ความรักความสนใจไปที่ชูจนหมดสิ้นไม่เหลือให้แก่เขาเลยแม้เศษเสี้ยวธุลี

     

     

    "เบียคุยะ ผมขอโทษ ได้โปรด...อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว"  

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าห้องทำงานของคาร์ลไฮนซ์...

     

     

    หลังประตูไม้แกะสลักสวยงามนี้เป็นอะไรที่ผมรู้สึกกังวลแทบหายใจไม่ทั่วท้องเอามากๆ จนผมไม่กล้าที่จะเคาะประตูเข้าไปข้างใน ความจริงผมอยากจะอยู่กับเรย์จิมากกว่านี้แต่ถ้าผมไม่ไปหาคาร์ลไฮนซ์ตามที่เขาเรียกมาแล้วล่ะก็เขาคงต้องทำอะไรเหนือความคาดหมายผมแน่ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้นเลย

     

     

    ผมพยายามทำใจอยู่นานซักพักหนึ่งก่อนเคาะประตูขออนุญาตเข้าข้างในทว่ายังไม่ทันที่มือของผมจะเคาะประตู ราชันย์แวมไพร์ผมขาวกลับเปิดประตูออกมาต้อนรับผมด้วยตนเองราวกับว่าเขารู้ความคิดของผมอย่างใดอย่างนั้น

     

     

    "เชิญเข้ามาเลย 'เบียคุยะ' คุง" ชายผมยาวกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มบางมีเสน่ห์น่าหลวงใหลทว่าสำหรับผมแล้วรอยยิ้มนั่นเป็นรอยยิ้มที่น่ารังเกียจมากที่สุดในสายตาของผม ไม่มีใครยิ้มได้น่ารังเกียจเท่าผู้ชายตรงหน้านี้อีกแล้ว

     

     

    ผมตอบรับอีกฝ่าย เข้าไปในห้องของเขาซึ่งเป็นห้องทำงานที่เต็มด้วยเอกสารและหนังสือกองระเกะระกะมากมายไม่เป็นระเบียบทั้งที่โต๊ะทำงานและพื้นห้อง ตามไปด้วยอุปกรณ์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่วางอยู่บนโต๊ะอีกโตะหนึ่งทางด้านขวาของผมที่วางเอาไว้ค่อนข้างรกรุงรังพอสมควรราวกับยกห้องทำงานเอามาไว้ที่ห้องนอนอย่างใดอย่างนั้น

     

     

    สำหรับคนธรรมดาอาจจะมองว่าห้องนี้เหมือนห้องของพวกนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ชื่นชอบและหลงใหลคลั่งไคล้การทดลอง แต่สำหรับผมแล้วมันคือใจกลาง 'นรก' และจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์อันบ้าคลั่งของผมกับคาร์ลไฮนซ์...

     

     

    เจ้านั่นจงใจให้ผมมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรกันแน่...?

     

     

    "ท่านต้องการสิ่งดะ...!" ผมถามผู้มีศักดิ์ตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมาในฐานะ 'นางามิตสึ เบียคุยะ' ทว่านิ้วชี้เรียวยาวแตะลงบนริมฝีปากของผมคล้ายบอกให้ผมหยุดฟังวาจาที่เขาจะเอ่ยกล่าวต่อไปนี้

     

     

    "เลิกเสแสร้งได้แล้ว ที่แห่งนี้มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นตัวตนของ 'นางามิตสึ เบียคุยะ' ไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว มิไฮนซ์คุง" คาร์ลไฮนซ์กระตุกยิ้มมุมปาก เรียวนิ้วที่แตะลงบนริมฝีปากผมแปรเปลี่ยนเป็นมือคว้าจับบนสันกรามอย่างแผ่วเบา บังคับให้ผมต้องเงยหน้าเผชิญกับใบหน้าร้อยเล่ห์ของราชันย์แวมไพร์ 

     

     

    เขาก้มลงกระซิบข้างใบหูผมด้วยเสียงทุ้มเปี่ยมเสน่ห์น่าหลงใหลราวกับมนตร์สะกด มือข้างที่ว่างโอบเอวผมเข้ามาแนบชิดสูดดมกลิ่นหอมจาง แน่นอนว่าผมพยายามดิ้นรนขัดขืนออกจากอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของคาร์ลไฮนซ์มองเขาด้วยสีหน้ารังเกียจขยะแขยงและเดือดดาลถึงขีดสุดอย่างปิดไม่มิด

     

     

    ทว่าผมสู้แรงของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ถึงแม้ว่าผมกับคาร์ลไฮนซ์จะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็จริงแต่ว่าฝ่ายนั้นเป็นถึงราชาของเหล่าแวมไพร์แถมเคยเอาชนะกีสบาคผู้นำของพวกต้นตระกูลได้เมื่อพันปีที่แล้ว ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่ผมสู้เขาโดยตรงไม่ได้เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงอย่างใดอย่างนั้น 

     

     

    ผมยอมรับว่าถ้าไม่ใช้วิธีสกปรกหรือขี้ขลาดในสายตาของคนอื่นผมก็ไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้เลยจริงๆ

     

     

    "ต้องการอะไร?" ในเมื่อตัวผมในฐานะ 'นางามิตสึ เบียคุยะ' ไม่จำเป็นสำหรับที่นี่แล้วตัวตนที่แท้จริงของผมก็ปรากฏออกมา ดวงตาสีม่วงอัญมณีที่แสนอ่อนน้อมแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาประกายสีม่วงคมกริบดุจดั่งใบมีดพร้อมเฉือดเฉือน คลื่นอารมณ์รุนแรงเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดดั่งสัตว์ร้ายทวีขึ้นเป็นเท่าตัว

     

     

    ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับสร้างความพึงพอใจและความสำราญแก่ราชันย์แวมไพร์เป็นอย่างมากสำหรับเขาแล้วไม่ว่าคนตรงหน้าเป็นแบบไหนก็ยังคงน่ารักน่าเอ็นดูสำหรับเขาเสมอ

     

     

    "ถ้าฉันบอกว่าฉันคิดถึงเธอล่ะ เธอคิดว่าอย่างไร?" คาร์ลไฮนซ์ตอบด้วยรอยยิ้มละมุนถามหยั่งเชิงมองผมด้วยสายตาเพลิดเพลินยามที่ผมแสดงตัวตนที่แท้จริงของผมออกมา

     

     

    หมอนี่มันโรคจิตหรือเปล่า? ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วนี่ว่าผมจะตอบแบบไหน ยิ่งคิดแล้วยิ่งอยากขย้อนของที่อยู่ในกระเพาะออกมาให้หมดตรงหน้าซะจริง

     

     

    "เหอะ! ทำอย่างกับว่าผมไม่อยู่แล้วจะตายให้ได้หรือยังไงกัน? ท่านราชาแวมไพร์" ผมพูดประชดประชันอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันมองคาร์ลไฮนซ์แบบไม่วางตา จากนั้นเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น เขามองผมด้วยสายตาเอ็นดูซึ่งผมรังเกียจและไม่อยากจะได้รับมันมากที่สุด 

     

     

    สายตาเอ็นดูแบบนั้นน่ะมันคล้ายกับสายของเจ้าของเวลาเอ็นดูสัตว์เลี้ยงของตนเองเหมือนท่านพ่อของผมไม่มีผิดแต่ว่าผมรู้สึกรังเกียจมันมากกว่าสายตาของท่านพ่อเป็นหลายขุมเลย

     

     

    เขาผละตัวถอยห่างออกจากตัวผมซึ่งแน่นอนว่าผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าที่เคยเกรี้ยวกราดกลับมาสงบนิ่งอีกครั้งหนึ่งทว่าเป็นใบหน้าอันแสนเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งมองคนตรงหน้าแบบไม่วางตาด้วยสายตาดุร้ายไม่เป็นมิตร

     

     

    "มีอะไรก็ว่ามา ผมไม่อยากเสียเวลาทุกวินาทีที่อยู่กับคุณหรอกนะ" ผมกอดอกเอ่ยถามเสียงห้วนพยายามสุภาพต่ออีกฝ่ายถึงแม้ว่าผมอยากจะฆ่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นให้ตายคามือก็ตามที

     

     

    "มิไฮนซ์คุง ไม่น่ารักเอาซะเลยนะทั้งที่ตอนเด็กๆ เธอยังเรียกฉันว่า 'ท่านพี่' คอยติดตามฉันอยู่เลย ช่างน่าน้อยใจเหลือเกิน..." คาร์ลไฮนซ์ยิ้มหัวเราะหยอกล้อผมด้วยความสนุกสนานระคนเอ็นดูจากนั้นแสร้งตัดพ้อด้วยความน้อยใจ เขาแอบหรี่ตามองดูปฏิกิริยาของผมซึ่งตอนนี้ผมโกรธและโมโหอีกฝ่ายด้วยความเหลืออดกับความเสแสร้งแกล้งทำของคาร์ลไฮนซ์เต็มทนแล้ว

     

     

    และนั่นทำให้เส้นความอดทนของผมขาดผึงทันทีบอกกับตัวเองในใจดังๆ ว่า 

     

     

    ไม่ต้องทนมันแล้ว!

     

     

    "ฉันไม่เคยนับแกเป็นพี่ตั้งแต่วันที่แกทำเรื่องระยำต่ำช้าเอาไว้จนพวกเราต้องตกนรกทั้งเป็นแล้ว! มีอะไรก็รีบพูดมา!!"

     

     

    "หึหึ ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งเกรี้ยวกราดนักสิ รู้ไหมว่าเวลาเธอโมโหน่ารักเหมือนแมวขนฟูไม่มีผิดเลยนะ"

     

     

    คาร์ลไฮนซ์หัวเราะคิกคักทำหน้าเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร สายตาแสดงถึงความสนุกสนานบ่งบอกว่าตนนั้นมีความสุขเต็มประดาที่หยอกเย้าผมเล่นคล้ายหยอกสัตว์เลี้ยงตนเองไม่ปานนั้น

     

     

    "มันไม่น่าตลกเลยซักนิดเดียว" ผมกัดฟันกรอดมองหน้าอีกฝ่าย

     

     

    "ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นก็มาเข้าเรื่องกันเลยนะ" ดวงตาสีทองที่หรี่ยิ้มผันเปลี่ยนเป็นดวงตาเรียบเฉยทว่าเย็นเยียบมองผมราวกับดวงตาอันคมกริบของสัตว์นักล่าที่กำลังจ้องมองเหยื่ออันโอชะของตนเอง

     

     

    จากนั้นเสียงทุ้มเย็นเอ่ยออกมาจากปากของคาร์ลไฮนซ์ว่า "เธอทำผิดกฎ"

     

     

    "เรื่องนั้นคุณก็รู้ดี ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องทำตามกฎระเบียบอันเคร่งครัดเท่าไหร่" ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจถึงแม้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงราชันย์แวมไพร์ก็ตามที

     

     

    แต่ที่เรื่องมาก็เพราะเรื่องแค่นี้หรือผมแหกกฎมามากกว่าครึ่งแต่ก็ไม่เคยโดนเรียกมาเลยสักครั้งเดียวแล้วคราวนี้เกิดผีบ้าอะไรเข้าสิงขึ้นมาล่ะเนี่ยถึงได้เรียกผมมาทำโทษแบบนี้

     

     

    ไม่สิ...บางทีอาจจะมีอะไรมากกว่านั้นเพราะถ้าเป็นเรื่องแหกกฎระเบียบนี่ผมคงโดนตั้งแต่วันแรกที่อยู่ในฐานะพ่อบ้านที่ชื่อ นางามิตสึ เบียคุยะ ไปนานแล้ว ไหนจะเรื่องที่ไม่เคารพเชื่อฟังคำสั่งของภรรยาของเขาอย่างเบียทริกซ์กับคอร์เดเลียอีกและนี่ยังไม่รวมวีรกรรมล่าสุดที่ผมเคยก่อไว้กับพ่อบ้านของเบียทริกซ์เลยนะ

     

     

    "หอคอยสูง...กุหลาบขาว...โอคาริน่า...สถานที่ลับ...เพียงเท่านี้เธอก็น่าจะรู้นะว่าเธอทำผิดกฎของฉันเรื่องอะไร?"

     

     

    วินาทีนั้น ทุกอย่างถูกหยุดนิ่งไปราวกับต้องสาป

     

     

    เขารู้เรื่องนั้นแล้วหรือ...?

     

     

    ดวงตาสีม่วงอัญมณีของผมเบิกกว้างทว่าร่างกายกลับขยับไปไหนไม่ได้ราวกับถูกโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นพันธนาการเอาไว้ ดวงตาสีเหลืองอำพันจดจ้องมองร่างของผมราวกับดวงตาอสรพิษของปีศาจร้ายสาปผู้มองมันให้กลายเป็นหิน

     

     

    คาร์ลไฮนซ์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?! ในเมื่อเขาแทบจะไม่ได้อยู่ในปราสาทตลอดเวลาเลยนี่นา!!

     

     

    "หืม...คิดว่าฉันโง่หรืออย่างไร มิไฮนซ์ ที่นี่คือปราสาทของฉันหูตาของฉันยังคงอยู่เอเดนตลอดถึงแม้ว่าตัวฉันจะไม่อยู่ก็ตาม เพราะฉะนั้นทุกการกระทำของเธอฉันดูออกหมดตั้งแต่แรกแล้วต่อให้เธอปิดบังมันได้แนบเนียนมากแค่ไหนก็ตาม" ราชันย์แวมไพร์กล่าวน้ำเสียงเนิบนาบทว่าดวงตากลับไม่เหมือนที่พูด

     

     

    ถ้าอย่างนั้น คืนเดือนมืดเมื่อคราวนั้นที่คาร์ลไฮนซ์รุนแรงกับผมมากกว่าปกติก็เพราะแบบนี้เองหรือ

     

     

    "อย่าเข้าใจผิดเรื่องคืนเดือนมืดเมื่อคราวนั้นมันก็แค่ข้อตกลงระหว่างฉันกับเธอก็เท่านั้น เธอน่ะไม่ผิดในเรื่องที่เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของตนเองให้สุบารุลูกชายสุดที่รักได้รับรู้โดยไม่ได้ตั้งใจแต่ความจริงที่ว่าเธอเป็นเพียงคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างสุบารุทำให้เด็กน้อยผู้โดดเดี่ยวคนนั้นเกิดความคิดที่จะต่อต้านฉันและแย่งเธอไปจากฉันนั่นน่ะเป็นความผิดของเธอเต็มๆ เลย มันทำให้ฉันไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากเมื่อรวมกับความผิดของเธอที่ฉันพยายามหลับตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด ฉันคิดว่าคงถึงเวลาต้องสั่งสอนเด็กดื้ออย่างเธอซะให้เข็ดจนไม่กล้าทำผิดซ้ำอีก" น้ำเสียงทีเล่นทีจริงทว่าเต็มไปด้วยอำนาจและอันตรายแฝงเร้นอยู่ประกาศกร้าวขึ้น ดวงตาสีทองอำพันงดงามเย็นเยียบในคราวแรกแปรเปลี่ยนเป็นความขุ่นมัวแสดงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

     

     

    เผยสันดานที่แท้จริงออกมาแล้วสินะ คาร์ลไฮนซ์

     

     

    "บางทีเธอก็ทำตัวไม่น่ารักเลยนะ ลืมจุดยืนของตนเองแล้วหรือ? มิไฮนซ์คุง"

     

     

    "ทำไม...จะฆ่าผมงั้นหรือ? ร้อยวันพันปีคุณเพิ่งคิดได้เหรอว่าผมน่ะเป็นตัวเกะกะแผนการอันยิ่งใหญ่ของคุณที่สมควรจะถูกกำจัดทิ้งไปตั้งแต่แรก"

     

     

    "โธ่...มิไฮนซ์ที่รัก เฮเลลของฉัน คิดว่าฉันจะฆ่าเธอได้ลงคอเชียวเหรอ? สู้ทำอย่างอื่นดีกว่าอย่างเช่น...ลงโทษสุบารุลูกชายสุดที่รักของฉันในฐานะพยายามแย่งเธอไปจากฉันยังไงล่ะ"

     

     

               "อย่านะ! ถ้าจะลงโทษสุบารุมาลงโทษผมแทน สุบารุไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ!"   

     

     

    ทันทีที่คำพูดนั้นเอ่ยขึ้นมา ผมตอบอีกฝ่ายอย่างทันควันคล้ายพยายามวิงวอนร้องขอไม่ให้เขาทำอันตรายสุบารุลูกชายคนเดียวของคริสต้าและหลานชายของผมจากการที่ผมอยู่กับเขามานานทำให้ผมรู้ดีว่าคาร์ลไฮนซ์ทั้งอำมหิตและเลือดเย็นมากแค่ไหนต่อให้เป็นลูกถ้าหากหมดประโยชน์หรือไม่สามารถใช้งานได้แล้วก็กำจัดทิ้งได้อย่างง่ายดาย ทั้งศักดิ์ศรีและความถือดีของผมที่มีต่อคาร์ลไฮนซ์ตอนนี้พังทลายลงมาแทบเท้าของอีกฝ่ายจนไม่เหลือชิ้นดีเลย

     

     

    ณ ตอนนี้ความหยิ่งทระนงหรือศักดิ์ศรีใดๆ มันไม่สำคัญแล้วถ้าหากเทียบกับชีวิตของสุบารุแล้วตอนนี้

     

     

    จะทำร้ายหรือย่ำยีผมอีกกี่ครั้งก็ได้แต่อย่ามาทำร้ายกับหลานชายผมเด็ดขาด! ผมจะต้องปกป้องสุบารุตามคำขอของคริสต้าน้องสาวของผมให้ได้!!

     

     

    ชายผมขาวผู้มีศักดิ์เป็นราชาของเหล่าแวมไพร์หัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดียามรู้ว่าผมยอมจำนนต่อเขาแล้ว อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาผมด้วยรอยยิ้มพึงพอใจที่ผมอยู่ภายใต้อาณัติของเขาพลางลูบไล้แก้มของผมพร้อมเชยคางผมขึ้นเล็กน้อย

     

     

    "เฮเลลที่รัก เธอเป็นของใคร?"

     

     

    "...ของคุณ" ผมเม้มปากแน่นกัดฟันตอบอย่างไม่เต็มใจ

     

     

    "หืม...พูดอีกทีสิ ฉันไม่ได้ยินเสียงเธอเลย" อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินผมยิ้มหน้าระรื่นราวกับต้องการให้ผมตอกย้ำสถานะตนเองอีกครั้ง

     

     

    "ผมเป็นของคุณ คาร์ลไฮนซ์" 

     

     

    "เด็กดี..." ผมหลับตาแน่นแทบจะเบือนหน้าหนีความจริงที่กำลังเกิดขึ้นทว่ามือของคาร์ลไฮนซ์ที่ยังคงอยู่บนใบหน้าผมบังคับกลายๆ ไม่ให้ผมหันหนีไปไหน ไม่นานนักผมรู้สึกถึงความชื้นของลิ้นและสัมผัสอันแผ่วเบาอ่อนโยนก่อนที่มันจะเริ่มร้อนแรงขึ้น

     

     

    ริมฝีปากเย็นทาบทับไล่เลียต้อนลิ้นไปมาทั่วโพรงปากผม มือของร่างสูงลูบไล้เรือนร่างของผมอย่างอยู่ไม่สุขดันผมให้ถอยหลังเดินไปตามที่อีกฝ่ายต้องการจนในที่สุดคาร์ลไฮนซ์ดันผมติดกับโต๊ะทำงานจนผมต้องจำใจขึ้นนั่งบนโต๊ะในขณะที่เขาคลอเคลียบนลำคอผมจากนั้นเขาผลักผมนอนราบบนโต๊ะ มือสองข้างถูกรวบมัดเอาไว้เหนือหัว เรียวขาถูกจับแยกออกด้วยแทรกตัวเข้ามาของอีกฝ่าย

     

     

    สภาพผมตอนนี้มันคงน่ารังเกียจเสียจนดูไม่ได้เลยทีเดียว ทั้งเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่และริมฝีปากที่บวมหลังจากการจูบของเขา สัมผัสน่ารังเกียจขยะแขยงนี่ต่อให้ผมพยายามลืมมันมากแค่ไหนแต่สุดท้ายผมก็ต้องเผชิญกับมันหลายครั้งอยู่ดี สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่สายตาสาปส่งและคำสาปแช่งด้วยความเกลียดชังที่มีต่อร่างสูงผู้มีศักดิ์เป็นราชาของเหล่าแวมไพร์

     

     

    "ผมเกลียดคุณ คาร์ลไฮนซ์..."

     

     

    "ไม่เอาน่า มิไฮนซ์คุง...เมื่อตอนนั้นเธอออกจะน่ารักดีนะ"

     

     

    "ไปตายซะ" ผมสบถสาปส่งอีกฝ่ายทว่าเขากลับยิ้มหัวเราะด้วยความเอ็นดูผมเต็มประดาราวกับผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กแต่สำหรับผมแล้วเหมือนเขาเอ็นดูผมในฐานะสัตว์เลี้ยงเสียมากกว่า

     

     

    "ถ้าฉันตายเธอก็ต้องลงนรกไปพร้อมกับฉันด้วย ฉันรักเธอนะ...มิไฮนซ์ที่น่ารัก เฮเลลของฉัน" ว่าแล้วคาร์ลไฮนซ์จึงเริ่มลงมือมอบบทลงทัณฑ์อันแสนสาหัสแก่ผมเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมายามเมื่อผมฆ่าร่างสูงตรงหน้าไม่สำเร็จหรือไม่ก็ฝ่าฝืนคำสั่งทำให้ร่างสูงโกรธเคืองหรือไม่พอใจในตัวผม

     

     

    หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ผมทำอะไรไม่ได้ได้แต่ปล่อยให้ตนเองถูกอีกฝ่ายย่ำยีกลายเป็นตุ๊กตาไร้จิตใจที่ถูกจัดท่าทางตามที่อีกฝ่ายต้องการ

     

     

    ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ที่ผมกรีดร้องใต้ร่างอีกฝ่ายจนลำคอแห้งผากทว่าไร้ซึ่งคำวิงวอนขอความเมตตา 

     

     

    ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ที่ทั้งรอยกลีบกุหลาบแดง ทั้งรอยเขี้ยวจากการดื่มเลือด และรวมไปร่องรอยจากการถูกบีบเค้นทั่วร่างที่เคยหายไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมาอีกครั้งและไม่มีทีท่าว่าจะหายเอาง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน

     

     

    และ...ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่คาร์ลไฮนซ์พร่ำบอกรักผมแสดงความเป็นเจ้าของผมผ่านการกระทำที่บ้าคลั่งและวิปริตด้วยความรักแบบปีศาจที่บ้าคลั่งและรุนแรงเหมือนพายุโหมกระหน่ำทำลายอีกฝ่ายให้ย่อยยับแบบนี้...

     

     

    "เธอเป็นของรักของฉัน อย่าให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องเธอเด็ดขาด..."

     

     

    "มีแค่ฉัน...มีแค่ฉันคนเดียวที่ทำร้ายเธอได้ มีแค่ฉันคนเดียวที่รักเธอได้นะ มิไฮนซ์"

     

     

    "มิไฮนซ์ ฉันรักเธอมากเลยนะ...เฮเลลที่รักของฉัน..."

     

     

    เฮเลล...เป็นชื่อเล่นของผมที่คาร์ลไฮนซ์ตั้งเอาไว้ เป็นภาษาฮิบรูในหนังสืออิสยาห์มีความหมายว่า 'ผู้ส่องแสง' ซึ่งปรากฏเพียงครั้งเดียวในคัมภีร์ฮิบรูทว่าในคัมภีร์ไบเบิลฉบับวัลเกตนั้นถอดเสียงออกมาเป็น 'ลูซิแฟร์' หมายถึง 'ดาวประกายพรึก' หรือ 'ผู้ส่องแสง'

     

     

    ต่อมาภายหลังชาวคริสต์นิยมใช้ภาษาละตินเรียกคำๆ นั้นว่า 'ลูซิเฟอร์'

     

     

    น่าขำสิ้นดี คาร์ลไฮนซ์คิดว่าตนเองเป็นพระเจ้าหรืออย่างไรถึงได้ทำเรื่องบ้าๆ อย่างการทดลองนั่นรวมไปถึงตั้งชื่อเล่นให้ผมแบบนี้ แต่เมื่อลองคิดดูแล้วถ้าคาร์ลไฮนซ์อุปโลกน์ตนเองเป็นพระเจ้าตำแหน่งลูซิเฟอร์คงไม่มีใครเหมาะสมเท่าผมอีกแล้ว

     

     

    ลูซิเฟอร์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทูตสวรรค์ที่พระเจ้าทรงรักและเอ็นดูมากที่สุดในหมู่ทูตสวรรค์ด้วยกันทว่าสุดท้ายแล้วเขาทรยศต่อพระองค์จนก่อเกิดสงครามบนสวรรค์ ทางฝั่งลูซิเฟอร์นั้นมีทูตสวรรค์ที่อยู่ข้างตนมากกว่าครึ่ง ทางฝั่งพระเจ้าที่มีผู้นำทัพอัครทูตสวรรค์มิคาเอลพร้อมกับทูตสวรรค์จำนวนหนึ่งเข้าต่อสู้ถ้าดูจำนวนแล้วไม่ว่ายังไงลูซิเฟอร์ต้องชนะ

     

     

    แต่ทว่าโชคชะตาไม่เป็นแบบนั้น ฝ่ายที่ชนะคืออัครทูตสวรรค์มิคาเอลหรืออีกนัยหนึ่งคือฝ่ายพระเจ้าเป็นผู้ชนะ

     

     

    เข้าใจคิดดี ไม่นึกว่าราชันย์แวมไพร์อย่างเขามีอารมณ์ขันแบบนี้ด้วย เขาเปรียบเปรยว่าผมเป็นลูซิเฟอร์ผู้ทรยศความรักและความเอ็นดูของเขาที่มีต่อผม มองว่าผมเป็นกบฎผู้ทรยศหักหลังและตั้งใจทำลายเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้า

     

     

    แต่ถ้าหากเขาคือ 'พระเจ้า' ผู้สรรค์สร้างทุกสรรพสิ่งด้วยความรักอันบิดเบี้ยวนี้...

     

     

    ผมจะเป็น 'ลูซิเฟอร์' ผู้ต่อต้านเจตนงค์ด้วยการทรยศหักหลังความรักที่มีเขามีต่อผมให้แก่เขาเอง

     

     

    สุดท้ายสติสัมปชัญญะของผมหลุดลอยหายไปราวกับตัวผมที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้าลงมายังพื้นดินดั่งทูตสวรรค์ผู้ร่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์อันงดงาม...

     

     

    ....................................................

     

    Let's Talk with Writer : 

    สำหรับเนื้อหาในตอนนี้ถ้าใครรู้สึกทริกเกอร์หรือทนไม่ได้ก็กรุณาปิดหรือเลื่อนหนีออกไปได้เลยค่ะนังคาร์ลไฮนซ์มันน่ากระทืบให้ตายจริงๆ ที่กล้าเอาลูกตัวเองไปเป็นตัวประกันข่มขู่มิไฮนซ์แบบนั้น(แต่ไรต์เตอร์เป็นคนแต่แบบนี้เองนี่หว่า?) อย่าได้แปลกใจเลยว่าทำไมคาร์ลไฮนซ์ถึงบ้าได้ขนาดนี้เพราะว่ามันนี่แหละเป็นคนทำให้ขุ่นแม่คอร์เดเลียแม่ของแฝดสามนั้นมีนิสัยแบบนั้น คนที่เสี้ยมให้ขุ่นแม่เป็นแบบนั้นก็คือคาร์ลไฮนซ์ สรุปก็คือความเลวร้ายของคอร์เดเลียทั้งหมดทั้งปวงก็มาจากมันนี่แหละ

    สำหรับข้อมูลเรื่องเกี่ยวกับคริสต้าที่เราหามาได้นั้นบอกว่าคริสต้ามีอายุหลายศตวรรษแปลว่าคริสต้าอายุ 100+ ขึ้นไปแต่เรื่องนี้เราขอปรับสเกลเป็นเกือบๆ 1,000 ปีให้สอดคล้องกันกับเหตุผลที่มิไฮนซ์ไปยืมมือต้นตระกูลมาฆ่าคาร์ลไฮนซ์

    เรื่องนี้เราจะไม่เอาคิโนะมานะคะเพราะแค่ปัญหาสามตระกูลก็อีรุงตุงนังปวดหัวแทบแย่อยู่แล้วถ้าเพิ่มมาอีกนี่ความฉิบหายวายป่วงคงเพิ่มมากแน่

    เอาเป็นว่าพอไว้แค่นี้ก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ ^^
     
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×