คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : White Rose 05 : พังทลาย [Re]
White Rose 05
พังทลาย
"มนุษย์นั้นคงอยู่ด้วย 'ความศรัทธา' หากไร้ซึ่งความศรัทธาในบางสิ่งแล้วก็มิอาจอยู่ได้อีกต่อไปถึงแม้ว่ามันจะเป็นความศรัทธาอันจอมปลอมก็ตามเพราะคนบางคนทั้งชีวิตของเขานั้นมีอยู่เพียงเท่านี้"
TW : Blood (เลือด) , Violence (ความรุนแรง) , Physical abuse (การทำร้าย การใช้ความรุนแรงทางร่างกาย) , Emotional abuse (การทำร้าย การใช้ความรุนแรงทางด้านอารมณ์) , Mental abuse (การทำร้าย การใช้ความรุนแรงทางจิตใจ) , Mental illness (อาการป่วยทางจิต) , Depression (ตัวละครมีอาการซึมเศร้า) , Toxic relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายด้อยค่า เหนื่อยกายเหนื่อยใจ ไม่มีความสุข) , Attempted suicide (การพยายามฆ่าตัวตาย) , Character death (มีตัวละครตาย) ,Massacre (การสังหารหมู่) , Homicide (การฆาตกรรม) , Mentioned domestic Violence (มีการความรุนแรงในครอบครัว) , Mentioned child Neglet (มีการกล่าวถึงการทอดทิ้ง การปล่อยปละละเลยเด็ก) , Possessive Behavior (พฤติกรรมแสดงความเป็นเจ้าของหรือต้องการครอบครองอีกฝ่าย) , Obsessive Behavior (พฤติกรรมการหลงใหลในบางคนหรือบางอย่างเป็นอย่างมาก)
ทุกย่างก้าวบนทางเดินยาวนั้นมีแต่ความเงียบ...
อิมิเลียยังคงนิ่งเงียบผมเองก็เช่นกันทำให้บรรยากาศรอบด้านอึดอัดราวกับมีอะไรมากดทับจนน่ากลัวพิลึกแต่ถึงกระนั้นมืออันอ่อนนุ่มของเธอยังคงกอบกุมมืออันเย็นเยียบปราศจากความอบอุ่นของผมอย่างมั่นคงเดินตามผมอย่างไม่ลังเลราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นไม่อาจสั่นคลอนศรัทธาในตัวผมได้เลยทั้งที่ผมทำเอาทั่วบริเวณนั้นแทบจะราบเป็นหน้ากลองเลย
น่าแปลกดีนะ...คนปกติหวาดกลัวจนตัวสั่นกล่าวหาว่าผมเป็นปีศาจร้ายโหดเหี้ยมอำมหิตไร้ซึ่งความเมตตาทว่าเธอคนนี้ตรงกันข้าม
หลังจากเหตุการณ์ในสวนครั้งนั้นนิโคลัสถูกจับโยนออกนอกปราสาทและสั่งห้ามไม่ให้กลับมาที่นี่อีก ยามคอร์เดเลียรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดหล่อนโกรธมากที่อีกฝ่ายทำลายงานเลี้ยงอันแสนสำคัญของคาร์ลไฮนซ์ผู้เป็นสามีอีกทั้งกล่าวหาว่าร้ายสามีของหล่อนว่าเขาไม่เคยรักหล่อนมาตั้งแต่แรก
หล่อนยิ้มเยาะให้กับความน่าสมเพชของอีกฝ่ายจากนั้นก็กลับเข้างานเลี้ยงรื่นเริงอีกรอบ ทางด้านเบียทริกซ์นิ่งสงบไม่แสดงอารมณ์ใดทว่าใจในคงขุ่นเคืองเป็นอย่างมากเพราะราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ของตนนั้นโดนหมิ่นเกียรติถึงที่แบบนี้
ซึ่งอันที่จริง มันเป็นเรื่องจริงล้วนๆ ทั้งนั้นเลย
คาร์ลไฮนซ์น่ะไม่เคยรักใครนอกจากตนเอง ต่อให้ใครถวายหัวใจยอมยกทุกอย่างให้แก่เขาก็ตามแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความว่างเปล่า ความโศกเศร้า และความเจ็บช้ำ
น้องสาวของผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน...
ถ้าไม่นับเรื่องคริสต้าน้องสาวผมที่ถูกคาร์ลไฮนซ์หลอกให้รัก โดยส่วนตัวแล้วจะจริงหรือไม่จริงผมก็ไม่สนหรอกอย่างน้อยลดจำนวนผู้ชายน่ารำคาญของคอร์เดเลียลงไปได้หนึ่งคนแล้วและเขาคนนี้ก็ไม่มายุ่งกับอายาโตะหลานชายของผมอีกต่อไปนั่นแหละที่สำคัญ
ผมหันซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง การที่มนุษย์มาอยู่กลางดงแวมไพร์นั้นอันตรายมากโดยเฉพาะกับเด็กสาวที่อยู่ข้างกายผม เอ็ดการ์นั้นมีชูคอยดูแลและด้วยฐานะลูกชายคนโตของคาร์ลไฮนซ์ยังพอคุ้มครองเขาได้คงไม่มีใครโง่พอหักหน้าราชันย์แวมไพร์ด้วยการยุ่งกับลูกชายของเขาหรอก
แต่กับอิมิเลียนั้นตรงกันข้ามกับเอ็ดการ์อย่างสิ้นเชิง...
อยู่ๆ อิมิเลียก็โผล่มาได้อย่างไรผมเองก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่นอนที่สุดคือตัวเธอนั้นตัวคนเดียวง่ายต่อการถูกแวมไพร์ฆ่าตายยิ่งเป็นถิ่นของแวมไพร์ยิ่งแล้วใหญ่เหมือนลูกแกะหลงเข้ามาในดงหมาป่า แต่อย่างน้อยเธอยังคงโชคดีที่ผมมาช่วยทันเวลาอย่างเฉียดฉิว
ส่วนต่อจากนี้ไปคือของจริง...
"เข้ามา" เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วจึงเปิดประตูให้เด็กสาวในชุดเต้นรำสีฟ้าอ่อนตัดกับสีกุหลาบทัดผมของเธอเข้าไปข้างในซึ่งเธอยอมทำตามผมอย่างง่ายดาย มือสีขาวนวลเนียนน่าสัมผัสกระชับเสื้อนอกสีดำของผมก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้ามองสำรวจภายในคร่าวๆ ก่อนนั่งลงบนเตียงผม
เหตุผลที่ผมพาเธอเข้าห้องนี้เพราะมันปลอดภัยที่สุดตราบใดที่ผมไม่อนุญาตใครก็ไม่อาจเข้ามาในห้องผมได้แต่ก็ยกเว้นเจ้าของปราสาทซึ่งตอนนี้หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ทั้งที่เห็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงแต่ก็อย่างว่าราชันย์แวมไพร์เป็นคนคาดเดาใจยากขนาดผมเองยังคาดเดาใจเขาไม่ได้เลยจะนับประสาอะไรกับคนอื่น
เอาเป็นว่าหลังจากคนในงานเลี้ยงซาลงแล้วพาอิมิเลียหนีออกจากปราสาททีหลังก็แล้วกัน
"นานแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน...เบียคุยะ" ขณะผมกำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเปื้อนเลือดออกอย่างช้าๆ เสียงราวกับกระดิ่งดังขึ้นจากข้างหลัง ผมหยุดชะงักเล็กน้อยแต่ก็ยังคงปลดกระดุมเสื้อตนเองต่อ
"นั่นสินะ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กน้อยหัวดื้อในวันนั้นจะโตขึ้นมาเป็นสาวสวยได้ขนาดนี้ สำหรับมนุษย์เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วดีเหมือนกันนะ"
"สำหรับคุณมากกว่าค่ะ แต่สำหรับฉันมันยาวนานเหมือนกันเวลาที่ไม่ได้พบคุณล่าสุดตอนที่ฉันอยู่กับคุณก็ตอนอายุ 17 ปีใช่ไหม?"
"ไม่หรอก..." ผมตอบกลับเป็นเชิงว่าสองปีมานี้มันไม่ได้หนักหนาอะไรสำหรับผม
ล่าสุดที่เธอกับผมไม่ได้พบหน้ากันนั้นเมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่เธออายุ 17 ปี ฤดูสุดท้ายที่เจอคือฤดูหนาวเป็นฤดูเดียวกับที่ผมเจอเธอครั้งแรกตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักเหมือนภูตหิมะตัวจิ๋วในนิทานกล่อมนอนที่ผมมักเล่าให้คานาโตะฟังยามเขานอนไม่หลับ
ถ้าไม่ใช่ลูกคนโตหรือลูกคนเล็ก ลูกคนกลางมักจะถูกครอบครัวละเลยง่ายเสมอโดยเฉพาะกับครอบครัวนี้ความสัมพันธ์ค่อนข้างย่ำแย่เลยทีเดียว
ต่างฝ่ายต่างอยู่ ต่างฝ่ายต่างแข่งขัน
สิ่งที่ผมภาวนาอย่างลึกมากถึงสุดคืออย่าให้ต่างฝ่ายต่างฆ่ากันเองเลย แวมไพร์อย่างพวกเราฆ่าแกงกันได้อย่างง่ายดายมากจนน่าใจหายขนาดผมเองยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมแวมไพร์นั้นมีสัญชาตญาณที่โหดร้ายทารุณฆ่ากันเองได้หน้าตาเฉยยิ่งเป็นครอบครัวเดียวกันผมก็ยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่
ถึงแม้จะมีมนุษย์ที่สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งครอบครัวเดียวกันก็ตามเมื่อเทียบกับแวมไพร์แล้วแวมไพร์ถือว่าน้อยกว่าอยู่ดี
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ต่างกันกับผมที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนที่จะกลายมาเป็นแวมไพร์นี่นะทำให้สามัญสำนึกของมนุษย์เอามาใช้กับพวกเขาไม่ได้ผล
อาจจะฟังดูแปลกว่าผมแปลกใจที่แวมไพร์ฆ่ากันเองได้อย่างง่ายดายแต่ทำไมผมถึงอยากฆ่าคาร์ลไฮนซ์เหมือนกับแวมไพร์ที่สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งสายเลือดของตนพวกนั้นซะเองล่ะ? ทำไมผมถึงกลืนคำพูดตัวเองแบบนั้นได้?
ความจริงตอนแรกผมไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียวต่อให้ผมไม่ชอบหรือเกลียดคาร์ลไฮนซ์มากแค่ไหนก็ตามสุดท้ายแล้วเขาก็คือครอบครัวคนหนึ่งของผม ผมเคยพยายามโน้มน้าวกล่อมเขาให้ยกเลิกแผนการบ้าๆ นั่นซะแล้วหาหนทางที่ดีกว่าแผนการนั้นหาเหตุผลร้อยแปดที่ทำให้อีกฝ่ายไม่ใช้ครอบครัวตนเองเป็นเครื่องสังเวยและหาทางช่วยเหลือคริสต้าให้ออกจากความสัมพันธ์อันแสนวิปลาสนี้
แต่สุดท้ายแล้วคาร์ลไฮนซ์ก็ยังคงดำเนินแผนการนี้ต่อไปอย่างบ้าคลั่งสร้างโลกในอุดมคติของตนเองโดยการสังเวยชีวิตคนอื่นมองครอบครัวตนเองเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่
ผมทนเขาทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงแม้ว่ามีโอกาสหยุดโรคแห่งจุดจบอันน่าหวาดหวั่นนี้ได้แต่เพื่อการนั้นถึงกับสังเวยชีวิตคนอื่นรวมไปถึงครอบครัวของตนเองเลยหรือ? หลอกใช้ความรักของคอร์เดเลียภรรยาคนแรกกับคริสต้าน้องสาวของผม พอหมดประโยชน์แล้วก็ทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีราวกับเครื่องมือที่ชำรุดเสียหายยากที่จะซ่อมแซม หลานของผมต้องมารับกรรมทำหน้าที่เป็นอดัมแทนตัวเองที่ไม่สามารถเป็นอดัมได้
และนั่นก็คือจุดแตกหักของผมกับคาร์ลไฮนซ์...
หลังจากผมหยิบเสื้อตัวใหม่ในตู้มาสวมติดกระดุมเสร็จเรียบร้อยแล้วผมเดินเข้ามาหาเด็กสาวที่อยู่ข้างหลังผมนั่งบนเตียงเดียวกันกอบกุมมือเธอพยายามคลายความหวาดกลัวที่ยังหลงเหลืออยู่ ยามคนตรงหน้าสงบลงแล้วผมจึงเอ่ยถามหาคำตอบที่ผมยังคงคาใจตั้งแต่วินาทีแรกที่พบเธอในปราสาทแห่งนี้ว่า...
"อิมิเลีย เธอมาที่นี่ได้อย่างไร? โลกปีศาจกับโลกมนุษย์หากไม่ผ่านประตูทางเข้าก็ไม่มีใครเข้าออกมาได้หรอกนะ มีใครบางคนพาเธอมาหรือเปล่า?"
เธอเม้มปากแน่นพยักหน้าเบาๆ จากนั้นขยับปากเอ่ยตอบคำถามของผมออกมา "ฉัน...อยู่ที่งานเลี้ยงแล้วบังเอิญพบท่านผู้วิเศษที่รักษาโรคร้ายของฉันให้หายเป็นปกติ ฉันตามเขาเข้าไปในสวนเขาวงกตพอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว"
ผู้วิเศษ? โรคร้าย?
ผมรู้ว่าอิมิเลียป่วยเป็นโรคร้ายรักษาไม่หายและตัวผมเองไม่มีความสามารถทางด้านการแพทย์หรือพลังรักษาอาการบาดเจ็บรวมไปถึงรักษาโรคให้คนอื่นนอกเสียจากเปลี่ยนคนผู้นั้นให้เป็นแวมไพร์แบบเดียวกันกับผมเพื่อรักษาโรคนี้
แต่ใครกันล่ะสามารถรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาได้? ใครกันที่มีพลังอำนาจแบบนั้น?
ที่สำคัญทำไมเขาต้องพาอิมิเลียมาที่นี่ด้วย...
"พอจำหน้าได้ไหม?" ผมถามอีกครั้งแต่เธอส่ายหน้า เธอบอกว่าเธอรู้แค่ว่าเขาคนนั้นเป็นผู้วิเศษที่รักษาโรคร้ายของเธอทว่าเธอกลับจำหน้าของเขาไม่ได้เหมือนมีม่านหมอกปกคลุมใบหน้าของเขาเท่าที่เธอรู้ก็แค่ว่าคนๆ นั้นเป็นผู้ชายผมขาวที่มีพลังอันน่าหวาดหวั่นเท่านั้น
เรื่องนี้มันต้องมีเบื้องหลังอะไรบางอย่างแน่นอน...
อยู่ๆ ก็มีชายปริศนาอ้างตัวว่าเป็นผู้วิเศษรักษาโรคร้ายให้อิมิเลียหายเป็นปกติราวกับปาฏิหาริย์ พ่อของเธอที่มีตำแหน่งใหญ่โตนั้นเลื่อมใสศรัทธาในตัวชายคนนี้ยกให้เขามีบทบาทสำคัญในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะการเมืองจนคนหวาดระแวงไปทั่วถึงขั้นมีข่าวลือว่าเหล่าชนชั้นสูงกับประชาชนบางส่วนรวมกลุ่มกันพยายามลอบสังหารผู้ชายคนนี้แต่สุดท้ายแล้วไม่ประสบความสำเร็จอีกทั้งยังโดนตอบโต้กลับอย่างเจ็บแสบอีกด้วย
คนๆ นั้นไม่แตกต่างอะไรกับรัสปูตินเลย การที่อีกฝ่ายปรากฏตัวมารักษาโรคร้ายของอิมิเลียให้หายขาดจากนั้นเข้ามามีบทบาทแทรกแซงทางด้านการเมืองการปกครองครอบงำความคิดและการกระทำบุคคลระดับสูงจนบ้านเมืองระส่ำระส่ายแทบจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองอยู่รอมร่อแล้ว
ถึงผมไม่รู้ว่าเป้าหมายเขาคืออะไรกันแน่ แต่ผมมั่นใจว่าชายปริศนาผู้อ้างตนเองว่าเป็นผู้วิเศษคนนี้ไม่ได้คนดีอย่างแน่นอน การที่เขารักษาอิมิเลียให้หายนั้นก็เพื่อซื้อความเชื่อใจของพ่อเธอใช้เขาเป็นเครื่องมืออย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้ายการกระทำเพียงเล็กน้อยดังกล่าวเหล่านี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
ถ้าหากยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ต่อไปแล้วล่ะก็มันอาจจะซ้ำรอยกับเหตุการณ์การปฏิวัติรัสเซียในปี 1917 ก็เป็นได้...
สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ตามมาคือ 'หายนะ' อย่างแน่นอน
สงครามกลางเมือง ความวุ่นวาย การก่อจราจล เปลวไฟแห่งสงคราม เสียงกรีดร้องระงมด้วยความหวาดกลัวร่ำไห้ สุดท้ายชีวิตของผู้บริสุทธิ์นับพันที่ดับสูญสังเวยให้แก่ความโกลาหล
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ถ้าหากไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำของผู้วิเศษนิรนามคนนั้น
ไม่ได้...ผมปล่อยให้อิมิเลียและครอบครัวตายไม่ได้อย่างเด็ดขาด ผมต้องเตือนเธอเรื่องนี้
ผมจับบ่าทั้งสองข้างของเธอแน่น ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลสวยงามพลันเบิกกว้างตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผมยามยิ่งสบตาผมยิ่งตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียวเพราะเธอไม่เคยเห็นผมทำหน้าเคร่งเครียดจริงจังจนน่ากลัวแบบนี้มาก่อน
"อิมิเลีย ฟังให้ดีนะอย่าเชื่อใจผู้วิเศษคนนั้นและพยายามอย่าให้เขามีบทบาทสำคัญโดยเฉพาะบทบาททางการเมืองการปกครองอย่างเด็ดขาด ถ้าเรื่องมันเลยเถิดไปไกลมีเค้าลางว่ากำลังจะเกิดสงครามกลางเมืองแล้วล่ะก็เตรียมตัวหนีออกจากประเทศอย่ากลับจนกว่าเหตุการณ์สงบลงถ้าเป็นไปได้อย่ากลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยยิ่งดี"
"ละ แล้วเบียคุยะล่ะ...?" เธอเอ่ยถามเสียงสั่น
"ผมอยู่โลกปีศาจไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากโลกมนุษย์หรอก"
"แต่แบบนั้น...ฉันก็ไม่ได้เจอคุณอีกแล้วน่ะสิ คุณบอกว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกอย่างมากสุดแค่หมู่บ้านใกล้ๆ นี้ไม่ใช่เหรอ?" น้ำตาเธอเริ่มคลอหยดลงมาทีละเล็กทีละน้อย
ผมเอื้อมมือเช็ดมันอยู่ซักพักก่อนตัดสินใจพูดจาร้ายกาจออกมาขยี้หัวใจเธอเละไม่เป็นชิ้นดี
"ออกจากประเทศนี้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ซะ อิมิเลีย"
เหมือนสายฟ้าฟาดกลางหัวใจดังเปรี้ยง เด็กสาวที่ได้ยินจากที่สะอึกสะอึกเล็กน้อยกลายเป็นร้องไห้อย่างหนักพร่ำบอกว่าฉันไม่ไปอย่างเดียววนซ้ำไปซ้ำมาตัวสั่นราวกับลูกนกน่าสงสารเรียกร้องหาแม่ของมันไม่ว่าใครต่างอดสงสารลูกนกตัวน้อยที่ขาดความอบอุ่นตัวนี้ไม่ได้
ทว่าผมไม่ใช่แม่นกดังนั้นผมไม่อาจใจอ่อนยอมลูกนกผู้น่าสงสารตรงหน้านี้ได้
เพราะหากให้ความรักความอบอุ่นมากเกินพอดี ลูกนกจะเคยตัวคิดว่าแม่นกคอยอยู่ดูแลตลอดเวลาจนไม่อาจอยู่ได้ด้วยตนเองและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรีอีกต่อไป
...ผมไม่อยากจองจำเธอด้วยคำว่า 'รัก' จนเธอไม่อาจก้าวเดินไปข้างหน้าได้อีก
"ไม่ได้...ฉันลืมคุณไม่ได้ จะให้ฉันลืมรักแรกของฉันได้อย่างไร คุณเป็นคนที่ฉันรักตลอดและรักเสมอมา ฉันทิ้งคุณให้เผชิญกับความโหดร้ายเพียงลำพังไม่ได้..."
อิมิเลียก็ยังคงเป็นเด็กน้อยหัวดื้อเหมือนในวันวานไม่มีผิด
เพราะอ่อนโยนและศรัทธาในแสงสว่างมากทำให้เธอเจ็บปวดมากยามความอ่อนโยนและความศรัทธาของเธอไม่อาจสามารถทำให้คนที่ตนรักหลุดพ้นบ่วงแห่งความทุกข์ไปได้โดยเฉพาะผม ยิ่งอิมิเลียรับรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวผมมากเท่าไรเธอยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น
เจ็บปวดที่ตนเองเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจทำอะไรเพื่อผมได้มากเท่าที่ใจเธอต้องการ
เพราะเธอมองว่าผมเป็นคนที่สมควรได้รับความรักความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าของเธอมากที่สุดแต่ทว่าความรักความเมตตาเหล่านั้นไม่เคยมาเยือนผมเลยนอกจากความเจ็บปวดรวดร้าวที่ต้องก้าวเดินบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความทุกข์ทรมานเพียงลำพัง
เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นเพราะเธอ 'รัก' ผมด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์
และเพื่ออิมิเลียผมจำต้องสวมหน้ากากคนใจร้ายใส่เธอ ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเพื่อไม่ให้เธอเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวังไปมากกว่านี้
"แต่ผมไม่เคยคิดกับเธอแบบนั้น เธอน่ะเป็นเพื่อนคนสำคัญของผมและผมไม่ยอมให้เพื่อนคนสำคัญของผมเป็นอะไรไปหรอก" ผมตอบปฏิเสธเธอพยายามทำเหมือนไม่สนใจใยดีอีกฝ่าย เน้นย้ำความสัมพันธ์ตอกย้ำตนเองด้วยคำโป้ปดทำร้ายหัวใจทั้งของผมและของเธอแต่ถึงกระนั้นผมยินยอมให้คำโกหกเล่านั้นเป็นจริง
เพราะผมรู้ดีว่าผมไม่สามารถมอบความรักและความสุขที่แท้จริงให้แก่อิมิเลียได้
แต่ถึงกระนั้นเด็กสาวที่หลงรักผมมาหลายสิบปีก็ยัง...
"โกหก...คุณรู้หัวใจของตนเองดี คุณโกหกฉันได้แต่คุณโกหกตนเองไม่ได้หรอก เบียคุยะ..."
...รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของผมเข้าใจทั้งอารมณ์และความคิดของผมอยู่เสมอ
อิมิเลียก็ยังคงเป็นอิมิเลีย เด็กน้อยที่ผมช่วยชีวิตในคืนเหมันต์อันโหดร้ายครั้งนั้น ดวงตาอันซื่อตรงที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาอันแสนบริสุทธิ์ต่อแสงสว่างซึ่งผมเคยหมดศรัทธาไปกับมันเมื่อนานมาแล้ว
และเพื่อปกป้องแสงแห่งศรัทธานั้นต่อให้ผมถูกมองว่าเป็นปีศาจร้ายทำลายหัวใจของคนที่รักตนเองผมก็ยอม
ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเมินเฉยต่อความรู้สึกของอิมิเลีย...
"ผมขอตัวไปดูงานเลี้ยงก่อนนะ อยู่แต่ในนี้ห้ามออกไปไหนถ้าเสียงกระดิ่งดังขึ้นให้รีบไปซ่อนตรงในตู้เสื้อผ้าผมโดยเร็วที่สุดผมร่ายมนตร์เอาไว้เรียบร้อยแล้วต่อให้มีคนมาเปิดดูเขาก็มองไม่เห็น พยายามอยู่ให้นิ่งเงียบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ล่ะ" ผมพูดตัดบทสนทนาเปลี่ยนประเด็นทันทียามเธอร้องขอความจริงจากผมจากนั้นลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องนี้ทว่ายังไม่ทันที่ผมเปิดประตูเธอพุ่งเข้ามากอดผมแน่นจากทางด้านหลัง
ผมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นของน้ำตาจากเสื้อสีดำตัวนอกที่ผมสวมใส่อยู่มันทำให้ผมหยุดชะงักลงเอามือออกจากลูกบิดประตูทันที
"ฉันรักคุณมาตลอด...จนกระทั่งใกล้วาระสุดท้ายของชีวิตฉันก็ยังคงรักคุณ..."
อิมิเลียเล่าเรื่องที่เธอป่วยหนักใกล้ตายให้ผมฟัง ยามผมรู้ว่าสองปีที่ผ่านมาอิมิเลียต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนจากโรคร้ายที่กำลังกลืนกินชีวิตของเธอ หัวใจของผมพลันหนักอึ้งคล้ายมีอะไรมาถ่วงน้ำหนักตามด้วยความเจ็บปวดอันแสนอึดอัดภายในอกซ้ายคล้ายมีมือที่มองไม่เห็นบีบรัดหัวใจของผมถึงแม้ว่าหัวใจของผมนั้นไม่เต้นแล้วก็ตามที
เพราะเธอรักผมทำให้เธอไม่เลือกที่จะแต่งงานกับผู้ชายคนไหนเลยถึงแม้พ่อของเธอหาคู่หมั้นหมายที่เหมาะสมให้เพื่อตัวเธอเองแต่อิมิเลียก็ยังปฏิเสธอยู่ร่ำไปต่อให้มีคนรักเธอจากใจจริงก็ตามที
จนกระทั่งใกล้วาระสุดท้ายเธอยังคงรักผมอยู่...
"อิมิเลีย..." ผมเอ่ยชื่อของเธอแกะมือของเธอออกถึงแม้ว่าเธอจะกอดผมแน่นแต่ด้วยเรี่ยวแรงของแวมไพร์นั้นสามารถคลายมือเล็กๆ ของเด็กสาวตัวน้อยที่หลงรักปีศาจร้ายอย่างผมมาหลายสิบปีออกได้อย่างง่ายดาย ผมหันสบตามองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดั่งคาราเมลอันหอมหวาน มืออันเย็นยะเยือกไร้ซึ่งความอบอุ่นวางลงบนแก้มเนียนนุ่มซึ่งบัดนี้ชุ่มด้วยน้ำตา
ต่อให้ผมรักใครหรือใครมารักผมมากแค่ไหนสุดท้ายแล้วก็ต้องพบกับความเจ็บปวดอยู่ดี...
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำอีกผมจำต้องปล่อยเธอเป็นอิสระเหมือนดั่งผีเสื้อโบยบินหายไปกับสายลมให้ผีเสื้อตัวนั้นสัมผัสถึงอิสระแห่งชีวิตที่แท้จริง ถึงแม้ว่าการกระทำของผมนั้นทำให้ทั้งผมทั้งเธอต่างเจ็บปวดรวดร้าวเพราะความรักที่เป็นไปไม่ได้นี้ก็ตาม
"ผมรักเธอ...แต่เธอไม่ใช่ของผม..."
เธอหยุดนิ่งเงียบราวกับกำลังฟังที่ผมกำลังพูดอยู่
"ความรักสำหรับผมแล้วมันคือการเรียนรู้ทำความเข้าใจระหว่างกัน ก้าวข้ามขอบเขตความต้องการสนองตนเอง ไม่นำความปรารถนาของตนเองเป็นที่ตั้งจำกัดขอบเขตแห่งอิสรภาพของผู้ที่ตนรักให้เป็นไปตามใจตนเหมือนนกในกรงที่ปราศจากเจตจำนงเสรี"
เธอยังคงนิ่งเช่นเคยทว่าสิ่งที่ต่างกันคือดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอเริ่มมีความกล้าสบตามองผมทำให้ ผมมั่นใจความสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อนั้นสื่อเข้าไปถึงคนๆ นี้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่ามันเป็นดวงตาอันแสนเศร้าก็ตามที...
"ผมไม่อาจเห็นแก่ตัวครอบครองเธอ ไม่อาจเปลี่ยนเธอให้เป็นแบบผม และไม่อาจนำชีวิตของเธอมาแขวนบนเส้นด้ายระหว่างความเป็นความตายได้ นั่นแหละคือความรักของผมที่มีต่อเธอ ความรักของผมนี้ยังคงอยู่กับเธอเสมอตราบใดที่เธอระลึกถึงความสุขในวันวานที่ผ่านมา เพราะอย่างนั้น..." ผมเว้นช่วงไว้ชั่วอึดใจหนึ่งจากนั้นยกมือประคองใบหน้าอันอ่อนเยาว์ที่แต่งแต้มเครื่องสำอางค์แบบอ่อนๆ ประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนของเธอ
เด็กสาวที่ผมหลงรัก เด็กสาวผู้นำความศรัทธามาให้ผม และเด็กสาวผู้จุดประกายแห่งความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไปของผมทั้งหมดทั้งมวลนี้คือตัวตนของเด็กสาวที่ชื่อ 'อิมิเลีย'
ยามผละจากหน้าผากอันขาวนวลของเธอพลันนั้นแขนอันเย็นเยียบทั้งสองข้างของผมโอบกอดร่างอันบอบบางอย่างทะนุถนอมสูดดมกลิ่นหอมของดอกกุหลาบผสานกับกลิ่นดอกลิลลี่และดอกฟรีเซียสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยรักอันแสนซื่อตรงและบริสุทธิ์ที่ผมมีต่อเธอ
"เพราะอย่างนั้น...ได้โปรดเก็บความรักของผมเป็นหนึ่งในความทรงจำอันแสนสุขด้วยเถอะนะ"
ผมกดจูบลงข้างหูของเธอผละออกไป อิมิเลียนั้นนิ่งเงียบดูสงบมากขึ้นหลังถึงแม้ยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งน้ำตาอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลหลุบต่ำลง กลีบปากทรงกระจับสีพีชสวยงามขยับเปรยคำพูดออกมา "งั้นเหรอ...มันความรักที่เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ..."
"ผมขอโทษที่ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งที่เธอต้องการได้" ผมกล่าวขอโทษเธอ เธอเพียงแค่ส่งยิ้มบางส่ายหน้าอย่างเชื่องช้าคล้ายบอกว่าไม่เป็นไรถึงแม้ว่ามันเจ็บปวดมากก็ตามที
"ถ้าอย่างนั้น...ได้โปรดเต้นรำกับฉันเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม?"
ผมส่งยิ้มตอบตกลงอย่างไม่ลังเลก้มโค้งคำนับให้แก่อิมิเลียเพื่อการให้เกียรติเต้นรำส่วนเธอนั้นจีบกระโปรงย่อตัวลงอย่างสง่างามราวกับสุภาพสตรีชั้นสูงไม่ปานนั้น ผมจับมือเรียวสวยของเธอยกขึ้นส่วนอีกข้างวางใต้ไหล่โอบประคองด้วยรูปลักษณ์อันสะโอดสะองงดงามสมวัยที่ไม่ว่าชายหนุ่มคนใดต่างพากันหลงใหลในเสน่ห์อันอ่อนเยาว์ของเด็กสาวคนนี้
มือของเธอสัมผัสกับมืออันเย็นเยือกปราศจากความอบอุ่นของผมถึงแม้ว่ามันเย็นจนน่าหวาดหวั่นทว่าคนตรงหน้านี้กลับยินดีไม่คิดที่จะปล่อยมือผมไป มืออีกข้างวางบนไหล่ของผมทำให้แขนเรียวงามวางพาดบนเสื้อนอกสีดำของผมที่เปลี่ยนใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ดวงหน้างดงามระคนอ่อนหวานส่งยิ้มอย่างมีความสุขออกมาอย่างถึงที่สุดเพราะตัวเธอรู้ดีว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธออยู่กับผมก่อนที่จะลาจากไป
ผมเองก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขไม่แพ้เธอเช่นกันเพราะผมเองก็รู้สึกแบบเดียวกับเธอ มันจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมเอ่ยคำว่า 'รัก' แก่เธอผ่านการกระทำทั้งหมดของผมนี้
ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตของผม ทำให้ผมกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่งหลังจากอยู่อย่างตายทั้งเป็น...
ยามแสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างห้องแห่งนี้มีความลับ เป็นความลับระหว่างปีศาจร้ายผู้มีหัวใจของมนุษย์และมนุษย์ผู้หลงรักปีศาจร้ายอย่างหมดหัวใจ ทั้งสองนั้นไม่อาจอยู่ร่วมกันได้แต่ทว่าทั้งสองนั้นช่างมีความสุขเหลือเกินที่ได้ใช้ช่วงเวลาอยู่ด้วยกันทั้งหมดในวันวานที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้
และแล้วการร่ายรำท่ามกลางแสงจันทร์ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายจบลงอย่างงดงาม...
.
.
.
.
.
.
หลังจากงานเลี้ยงเต้นรำในวันนั้นผมก็ไม่ได้เจออิมิเลียอีกเลย...
หลายวันมานี้ ผมยอมรับว่ามันเจ็บมากที่ต้องจากลากันกับคนที่ตนรักแต่ถึงกระนั้นผมเชื่อว่าอิมิเลียก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็งมั่นคง ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับครอบครัวของเธอ บางทีเผลอๆ อาจจะพบรักครั้งใหม่ที่สามารถรักและอยู่เคียงข้างเธอได้อย่างแท้จริงก็เป็นได้
ถือว่าเป็นการอวยพรล่วงหน้าให้แล้วกันเพราะสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้มีเพียงแค่นั้นจริงๆ
บางทีผมก็คิดนะว่าการที่ผมเกิดมาในฐานะมิไฮนซ์นั้นมันเหมือนคำสาปไม่มีผิด ไม่อาจมีอิสระเสรีดั่งใจต้องการ ถูกพันธนาการด้วยพันธะหน้าที่ เผชิญหน้ากับโชคชะตาอันโหดร้ายที่ถาโถมเข้ามาจนเกือบสิ้นศรัทธาในตนเองและแสงสว่างจนกระทั่งอิมิเลียโผล่เข้ามาทำให้ผมกลับมายืนหยัดอดทนได้อีกครั้ง
แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องจากผมไปอยู่ดีถึงกระนั้นผมก็มีความสุขที่ได้รู้จักเธอ
ฉับ...ฉับ...!
เสียงกรรไกรคมตัดกิ่งกุหลาบขาวดังขึ้นพร้อมกับเสียงหลุดอุทานเล็กน้อยของผม เพราะเหม่อลอยคิดถึงใครอีกคนทำให้พลาดโดนหนามกุหลาบตำนิ้วมือ
ผมขมวดคิ้วยุ่งมองหยดเลือดสีแดงบนปลายนิ้วด้วยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อยก่อนนำนิ้วมืออมเข้าปากของตนเลียหยดเลือดที่ไหลย้อยออกมาอาบปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงรสชาติของเลือดอันหอมหวานสำหรับแวมไพร์ทว่าคาวคลุ้งดั่งสนิมเหล็กสำหรับมนุษย์
ตอนผมยังเป็นมนุษย์ไม่เข้าใจหรอกว่าแวมไพร์ดื่มของแบบนั้นได้อย่างไรทั้งคาวทั้งเค็มแต่พอผมเกิดใหม่เป็นแวมไพร์เสียเองผมถึงเข้าใจว่าทำไมแวมไพร์ติดใจรสเลือดนักหนา
ถ้าไม่ใช่อาหารสำหรับแวมไพร์มันก็คือยาเสพติดชั้นดีนี่เอง
ยามรสชาติของเลือดเริ่มจางหายผมนำนิ้วมือออกจากปากของตนจ้องมองยังปลายนิ้วอีกครั้งหนึ่งพบว่าบาดแผลบนปลายนิ้วนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ความจริงงานแบบนี้มันควรเป็นของคนรับใช้ระดับล่างหรือไม่ก็งานคนสวน งานของพ่อบ้านโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นการสั่งการควบคุมดูแลคนรับใช้ระดับล่างเสียคอยรับใช้เจ้านายอย่างใกล้ชิดมากกว่าลงมือทำงานแบบนี้ด้วยตนเองซึ่งไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ผมต้องมาทำงานพวกนี้ด้วยซ้ำ
แต่เพราะมันเป็น 'กุหลาบขาว' ผมถึงต้องตัดแต่งมันด้วยตนเอง...
กุหลาบขาวที่ผมทั้งรักทั้งชัง...
ผมหยิบดอกกุหลาบสีขาวพิสุทธิ์ขึ้นมา ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์จ้องมองมันด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ดำดิ่งไปในภวังค์สุดลึกครุ่นคิดถึงบางอย่างก่อนนำกุหลาบขาวดอกนั้นใส่ในแจกันเป็นดอกสุดท้ายก่อนวางแจกันประดับโถงทางเดินออกไปทำหน้าที่ต่อ
...และทิ้งกุหลาบขาวที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงของเลือดบนหนามแหลมดอกนั้นไว้อย่างเดียวดาย
2 ชั่วโมงต่อมา...
ผมกลับมาทำงานเตรียมอาหารว่างง่ายๆ อย่างสโคนบลูเบอร์รี่ภายในครัวอีกครั้งหลังจากคอยดูแลอายาโตะยามเรียนหนังสืออย่างหนัก มีบ้างที่มีปากเสียงกับคอร์เดเลียในเวลาเรียนของเขาแต่สุดท้ายหล่อนก็อยู่ได้ไม่นานออกไปหาผู้ชายของหล่อนทิ้งลูกชายตนเองไว้เบื้องหลังกองหนังสืออีกตามเคย
หน้าที่หลักของผมคือคอยชงชาเสิร์ฟของหวานง่ายๆ อย่างเค้กช็อกโกแลตให้อายาโตะเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนหนังสือติดต่อกัน ถึงแม้ว่าครูที่จ้างมานั้นถูกแม่ของเด็กชายกำชับมาว่าให้เข้มงวดกับอีกฝ่ายไม่ให้มีการหยุดพักจนกว่าจะจบชั่วโมงเรียนไม่อย่างนั้นตนจะนำเรื่องนี้ไปรายงานให้คอร์เดเลียทราบ
แต่ใครสนล่ะ? คอร์เดเลียน่ะไม่เคยอยู่ในสายตาของผมอยู่แล้ว
ต่อให้หล่อนจะฟ้องราชันย์แวมไพร์ผู้เป็นสามีให้มาลงโทษผมแต่คนอย่างเขาไม่เสียเวลากับภรรยาที่ถูกทิ้งอย่างหล่อนหรอกเผลอๆ บางทีอาจจะไม่พอใจคอร์เดเลียเสียด้วยซ้ำด้วยเหตุผลสุดบัดซบว่าผมเป็นของเขาและเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ออกคำสั่งหรือลงโทษผมได้คนอื่นนั้นไม่มีสิทธิ์ในตัวผมรวมไปถึงหลานชายทั้งหกคนของผมด้วย
คาร์ลไฮนซ์ท่าจะบ้า แม้แต่ลูกชายตนเองก็ยังไม่เว้น...
ยิ่งคิดแล้วยิ่งอนาถใจ เรื่องอื่นก็ทำตัวมีเหตุผลประหนึ่งผู้ใหญ่ผ่านโลกมาไม่ปานนั้น(ถ้านับตามอายุก็เป็นผู้ใหญ่จริงๆ นั่นแหละ)แต่พอเป็นเรื่องผมกับแผนการบ้าๆ นั่นก็ดันทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผลเอาแต่ใจเหมือนเด็กซะไม่มี
แต่ช่างเถอะ คิดไปก็เท่านั้นมันก็เปลี่ยนความจริงอันเลวร้ายเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้อยู่แล้ว
ผมเปิดฝาตลับนาฬิกาพกดูเวลารอเวลาจนกระทั่งสโคนบลูเบอร์รี่ที่อบไว้ในเตาอบนั้นสุกจนมีสีเหลืองนวลสวยกำลังดีส่งกลิ่นหอมออกมา ผมเก็บนาฬิกาพกหยิบถาดออกจากเตารอให้สโคนผลไม้สดนั้นเย็นตัวลงจากนั้นหันไปทำน้ำเชื่อมด้วยการนำน้ำตาลไอซ์ซิ่งผสมกับน้ำเพื่อให้ขนมมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานจากบลูเบอร์รี่สดกับน้ำเชื่อมไอซ์ซิ่งทานกับชาร้อนที่ยังคงเหลือค้างไว้อยู่ในครัว
ของหวานนี้ไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากหลานชายคนโตกับหลานชายคนรองของผม
จากเหตุการณ์นั้นหลายวันมาแล้วที่ชูเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปไหน ถ้าจะออกมาก็เป็นช่วงรับประทานอาหารกับเวลาเรียนเท่านั้นแต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่สามารถเข้าหาเขาได้อยู่ดีเพราะโดนพ่อบ้านของเบียทริกซ์กันเอาไว้และเป็นความตั้งใจของชูเองที่ไม่ต้องการพบผมในตอนนี้
ตอนแรกผมคิดว่าหลานชายคนโตของผมรู้สึกผิดที่ตนเองดื้อรั้นใส่ผมจนผมโกรธเขากลับแต่จากเหตุการณ์นั้นก็ปาไปเป็นเดือนแล้ว ชูไม่ยอมมาเจอหน้าผมเลยสักครั้งถึงแม้ว่าเจอกันแต่ก็หลบหน้าตลอดซึ่งลางสังหรณ์ของผมบอกว่ามันต้องมีเรื่องมากกว่านั้นแน่นอนเลยใช้เรื่องขนมหวานเป็นข้ออ้างในการเข้าหา
ส่วนทางด้านเรย์จิหลานชายคนรองนั้นไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษมากไปกว่าการอ่านหนังสือจนลืมเวลาเหมือนอย่างเคย
ผมจัดวางสโคนบลูเบอร์รี่ราดน้ำเชื่อมไอซ์ซิ่งลงบนชั้นวางขนมพร้อมกับชุดน้ำชาลงในรถเข็นเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งสองคันจากนั้นสั่งปีศาจรับใช้ที่วางตัวเป็นกลางกับผมนำขนมเหล่านั้นไปให้นายน้อยทั้งสอง
ความจริงก็แอบเล่นตุกติกด้วยมนตร์สะกดกับปีศาจรับใช้ทั้งสองตนนิดหน่อยเพื่อให้พวกเขานำข่าวสารเกี่ยวกับหลานชายทั้งสองมาให้ผม
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้วผมจะออกไปตรวจตราตรงหมู่บ้านใกล้ๆ ในโลกมนุษย์สักครู่หนึ่ง ช่วยนำขนมนี้ไปให้นายน้อยชูกับนายน้อยเรย์จิด้วยนะ ถ้าพวกเขาพูดอะไรถึงผมแล้วล่ะก็รายงานให้ผมทราบด้วยนะ”
“รับทราบครับ ท่านเบียคุยะ”
ผมพยักหน้าเบาๆ เดินออกไปจากห้องครัวพร้อมถุงที่ภายในนั้นมีสโคนบลูเบอร์รี่ประมาณหกชิ้นนำเป็นของฝากให้เอ็ดการ์ในระหว่างกำลังทำหน้าที่ตรวจตราอาณาเขตระหว่างโลกมนุษย์กับโลกปีศาจ
ความจริงผมอยากจะเปลี่ยนรูปลักษณ์แปลงกายเป็นปีศาจรับใช้นำขนมไปให้หลานชายของผมอยู่หรอกแต่หลังจากที่ผมทิ้งหน้าที่ของตนเองออกไประหว่างงานเลี้ยงในตอนนั้นทำให้ผมถูกคาร์ลไฮนซ์ทำโทษโดยการโยนภาระงานเพิ่มขึ้นและห้ามปฏิเสธงานที่เขาให้เป็นอันขาด
แวมไพร์นั้นมีความสามารถพิเศษหลากหลายอย่างจนน่าตกใจถ้าให้ยกตัวอย่างก็พละกำลังมหาศาล เคลื่อนย้ายตนเองหรือถ้าเรียกให้สั้นหน่อยก็เทเลพอร์ต แปลงร่างเป็นค้างคาว สามารถบินบนท้องฟ้าได้ในคืนพระจันทร์เต็มดวงซึ่งเป็นเวลาที่พลังของแวมไพร์เพิ่มมากขึ้น
ถ้าสูงขึ้นมาก็...การปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเอง
ผมไม่แน่ใจว่าแวมไพร์ตนอื่นนั้นการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์เหมือนกันไหมแต่ที่แน่นอนว่ามีอยู่คนหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือคนแก่ ก็สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองได้หมด
คนๆ นั้นคือคาร์ลไฮนซ์ ราชันย์ของเหล่าแวมไพร์นั่นเอง...
มันไม่น่าแปลกใจเท่าไรนักที่ลูกพี่ลูกน้องอันแสนน่าชิงชังของผมนั้นมีความสามารถเช่นนี้แต่ไม่นึกว่าความสามารถแบบนี้จะเผื่อแผ่มาถึงตัวผมได้
ถึงแม้ว่ามันน่าหงุดหงิดที่มีส่วนหนึ่งของเขาติดมาด้วยแต่มันก็ทำให้อะไรหลายๆ อย่างสะดวกขึ้น
ผมสามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ตามที่ใจต้องการได้เช่นเดียวกับคาร์ลไฮนซ์ทว่าต่างกันตรงที่ผมมีเวลาจำกัดอยู่แค่ 3 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ถ้าเกินเวลาที่กำหนดหรือยกเลิกกลางคันก็กลับมาใช้ไม่ได้อีกนานเลยทีเดียวเพราะแบบนั้นผมถึงไม่ค่อยได้ใช้มันถ้าไม่จำเป็น
ความจริงผมทำได้มากกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะราชันย์แวมไพร์ผู้ยิ่งใหญ่มากด้วยพลังวิเศษจำกัดพลังของผมเอาไว้ในยามปกติด้วยพันธะโลหิตที่เขาทำกับผมทำให้ความสามารถด้านต่างๆ ของผมด้อยลงไปเยอะเลยแต่ถึงกระนั้นก็ยังมากพอที่จะจัดการกับแวมไพร์ตนอื่นที่อยู่ระดับล่างกว่าผม
มีสักครั้งไหมที่คาร์ลไฮนซ์ไม่ใช้พันธะโลหิตเล่นงานผม?
ก็มี ตอนที่ผมกำลัง 'ฆ่า' เขาอย่างไรล่ะ...
มันเป็นข้อตกลงระหว่างเขากับผมว่าช่วงเวลาแห่งการฆ่านั้นคาร์ลไฮนซ์จะไม่ใช้พันธะโลหิตเล่นงานผมเป็นการชั่วคราวเพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบผมระหว่างการฆ่า ถึงแม้ว่าผมไม่ชอบใจที่คาร์ลไฮนซ์มองว่าการฆ่าเหมือนเป็นการละเล่นเด็กๆ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการที่ผมไม่มีโอกาสฆ่าอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าผมฆ่าเขาสำเร็จผมและครอบครัวก็เป็นอิสระจากแผนการ
แต่ถ้าไม่สำเร็จ...ผมต้องยินยอมรับ 'บทลงทัณฑ์' อันแสนโหดร้ายทารุณของเขาเป็นการชดเชยในฐานะก่อการกบฎต่อราชันย์แวมไพร์ผู้เปรียบเสมือนพระเจ้าของตระกูลค้างคาว
“หวังว่าชูกับเรย์จิจะชอบสโคนบลูเบอร์รี่กับชาดาร์จีลิงนะ”
.
.
.
.
.
.
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"ท่านชูขอรับ ผมนำของว่างมาให้อนุญาติเข้าไปข้างในด้วยขอรับ"
ปีศาจรับใช้วัยกลางคนมายืนหยุดที่หน้าห้องของชูเคาะประตูสองสามครั้งเอ่ยขออนุญาตเข้าไปข้างใน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วปีศาจรับใช้ตนนั้นก็เปิดประตูเข็นรถเข็นคันเล็กเข้ามาข้างในซึ่งห้องพักของชูในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากห้องอายาโตะมากนักเพราะมันมีแต่ตู้หนังสือเต็มไปหมดผิดกับครั้งก่อนที่พอมีตู้หนังสือบ้างแต่ก็ไม่ได้เยอะมากมายเมื่อเทียบกับตอนนี้
แค่นั้นไม่พอบนโต๊ะก็มีหนังสือวางเรียงกันเล่มหนาแทบจะทุบเปลือกวอลนัทแตกได้แล้วโดยไม่ต้องพึ่งนัทแครกเกอร์เลยด้วยซ้ำ
"ขออนุญาตนะขอรับ" ปีศาจรับใช้วัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมวางจานสโคนบลูเบอร์รี่บนโตะพร้อมเสิร์ฟน้ำชาให้แก่นายน้อยคนโตของตระกูลที่ยังคงนั่งอ่านหนังสือบนโซฟาอย่างเคร่งเครียดจนอดนึกถึงเรย์จิน้องชายของชูไม่ได้เลยจริงๆ
ยามกลิ่นสโคนโชยออกมาเด็กชายผมบลอนด์ตรงหน้าผมสูดดมกลิ่นสองสามทีจากนั้นเอ่ยถามออกมา "เบียคุยะเป็นคนทำขนมมาให้เหรอ?"
"ขอรับ ท่านเบียคุยะเป็นห่วงนายน้อยชูมากจึงให้ผมนำขนมเอามาให้นายน้อยชูขอรับ" ปีศาจรับใช้วัยกลางคนตอบ
"แล้วคุณไม่เกลียดเบียคุยะหรอกเหรอ?" ชูถามด้วยความสงสัย
"เรียกว่าไม่สนใจดีกว่าขอรับ ผมเป็นข้ารับใช้ของท่านเบียทริกซ์เจ้านายสั่งว่าอย่างไรผมต้องว่าอย่างนั้น" ปีศาจรับใช้ผมสีดอกเลาตรงหน้าเด็กชายกล่าวอย่างสุขุม ปีศาจรับใช้ของนายหญิงเบียทริกซ์โดยส่วนใหญ่นั้นไม่อยากเสวนาหรืออยู่ใกล้กับพ่อบ้านคนนั้น บางคนที่เป็นพวกประจบสอพลอนายหญิงเบียทริกซ์ก็พากันรังเกียจพ่อบ้านคนนั้นกันหมด
ส่วนตนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกชอบหรือเกลียดอะไรอีกฝ่ายเป็นพิเศษออกจะวางตัวเป็นกลางอาจจะมีปฏิสัมพันธ์กันบ้างแต่ก็แค่เรื่องงานเท่านั้น ความจริงตนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายมากนักหรอกแต่ไม่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างมาดลใจให้ทำตามคำขอของอีกฝ่าย
เป็นบางอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะมีสติสัมปชัญญะทุกอย่างก็ตาม...
"งั้นเหรอ..." ใบหน้าของชูหมองลง ดวงตาสีฟ้าหลุบต่ำเอาหนังสือปิดบังใบหน้าตนเองคล้ายต้องการปกปิดความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้
"ถ้าอย่างนั้นฝากบอกเบียคุยะด้วยว่าผมเสียใจที่พูดแบบนั้นออกไป ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายความรู้สึกของเบียคุยะ ผมจะพยายามเชื่อฟังท่านแม่และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับเบียคุยะอีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะขอรับ นายน้อย” ว่าแล้วปีศาจรับใช้วางมือขวาบนหน้าอกซ้ายก้มโค้งคำนับด้วยความอ่อนน้อมแล้วเดินออกจากไปห้องของเด็กชายผมบลอนด์ผู้เป็นนายน้อยคนโตของตระกูลค้างคาวอย่างเงียบเชียบ
เพื่อนำถ้อยคำพูดทุกอย่างที่ได้ยินนั้นมอบให้กับนางามิตสึ เบียคุยะ พ่อบ้านผมขาวคนโปรดของนายน้อยชูนั่นเอง
อีกด้านหนึ่ง...
ทำไมป่านนี้ 'เขา' ถึงไม่มานะ...?
เป็นครั้งที่เท่าไรไม่ทราบที่เรย์จิมักเผลอยื่นมือมาที่โต๊ะของตนหมายหยิบชาร้อนมาดื่มทว่าพบเพียงความว่างเปล่าของธาตุอากาศ ดวงตาสีมาเจนต้าหลังกรอบแว่นตามองพื้นที่ว่างเปล่าบนโต๊ะด้วยสายเรียบนิ่งทว่าซ่อนอารมณ์ขุ่นเคืองไว้ข้างใน
เป็นดวงตาที่ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกับมารดาแท้ของตนไม่มีผิดเพี้ยน
ถึงแม้ว่าชูพี่ชายคนโตของตนนั้นได้รับหน้าตาที่คล้ายท่านแม่มากที่สุดทว่าบรรยากาศและอารมณ์นั้นตกมาอยู่ที่เขาผู้เป็นน้องชายของอีกฝ่าย
อันที่จริงเด็กชายไม่อยากนับญาติกับชูผู้เป็นพี่ชายของตนเลยด้วยซ้ำ...
ทั้งที่เป็นลูกชายคนโตของท่านแม่ทว่ากลับไม่เอาอ่าว ชอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก คบหาเพื่อนมนุษย์ซึ่งเป็นปศุสัตว์ชั้นต่ำข้างนอกปราสาท ไม่เคยใส่ใจและไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลย และที่สำคัญ...
ทำไมคนที่ไม่มีอะไรดีเลยอย่างชูกลับได้รับความรักจากเขาคนนั้นเหมือนตนด้วย
แบ่งความรักให้กับพี่น้องคนอื่นเด็กชายผมสีม่วงประกายดำนั้นยังพอทนเพราะพวกนั้นไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับท่านแม่ ทว่ากลับชูมันไม่ใช่เลย...มันเป็นเรื่องเดียวที่ต่อให้ตายเขาไม่ยินยอมอย่างเด็ดขาด การที่อีกฝ่ายเจียดความรักความสงสารให้พี่ชายคนโตของตนนั้นมันไม่ต่างอะไรจากการสุมกองไฟในอกที่มันร้อนรุ่มด้วยจิตริษยาอยู่แล้วให้มันร้อนรุ่มแผดเผาภายในอกมายิ่งขึ้นเข้าไปอีก
ทำไมดวงตาสีม่วงอัญมณีสวยงามของเขาคนนั้นต้องมีภาพสะท้อนชูออกมาด้วยแค่ตนคนเดียวไม่พอหรือ?
เรย์จิรู้ดีว่าความรักที่ 'นางามิตสึ เบียคุยะ' ให้มานั้นบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีและปราศจากความเห็นแก่ตัว เป็นความรักความอบอุ่นที่เหล่าพี่น้องนั้นต้องการมากที่สุดเพราะพวกเขาไม่เคยได้รับมันเลยโดยเฉพาะจากมารดาแท้ๆ ของตนเอง
ทว่าเขาอดอิจฉาไม่ได้โดยเฉพาะสายตาที่มองพี่ชายของตนด้วยความรักใคร่เอ็นดูเขายิ่งอยากจะเอามีดกระหน่ำแทงภาพเหล่านั้นซ้ำๆ จนมันเละไม่เป็นชิ้นดี
ก๊อก! ก๊อก!
เขามาแล้ว...! เบียคุยะมาหาเขาแล้ว!
"เข้ามาได้" เรย์จิเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยอ่านหนังสือต่อทว่าภายในดวงตาและใบหน้าอันเรียบเฉยนั้นซ่อนประกายความยินดี เขาเชื่อว่าเบียคุยะต้องไม่ลืมเขาอย่างแน่นอนถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมาช้าหรือมาสายก็ตามแต่นั่นยืนยันว่าดวงตาสีอะเมทิสต์คู่งามนั้นยังคงมีภาพของเขาอยู่
ทว่าเด็กชายผมม่วงดำกลับต้องสลดลงเมื่อคนที่เปิดประตูนั้นไม่ใช่คนที่ตนต้องการ...
"ท่านเรย์จิขอรับ กระผมนำสโคนบลูเบอร์รี่กับชาร้อนมาให้ขอรับ" เด็กชายซ่อนสีหน้าสลดหดหู่อย่างรวดเร็วแทนที่ด้วยใบหน้าอันเรียบนิ่งแสนเย็นชา ปีศาจรับใช้สูงวัยผมสีดอกเลาท่าทางเคร่งขรึมสมกับเป็นปีศาจรับใช้ของเบียทริกซ์แม่ของเด็กชายเข็นรถเข้ามาวางจานสโคนบลูเบอร์รี่กับชาร้อนบนโต๊ะ
"นางามิตสึ เบียคุยะอยู่ที่ไหน?" เรย์จิถามดวงตาจับจ้องอยู่แต่หนังสือ
"ออกไปตรวจตราหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดในโลกมนุษย์ขอรับ"
เพล้ง!
พลันนั้นถ้วยชากระเบื้องที่เคยอยู่ในมือร่วงตกลงมาแตกกระจายอยู่บนพื้นเมื่อได้ยินคำตอบอันไม่น่าอภิรมย์ออกมาจากปากของปีศาจรับใช้ของเบียทริกซ์ เรย์จิรู้ดีว่าพ่อบ้านผมขาวคนนั้นก็แค่ทำตามหน้าที่ของตนเองทว่าเมื่อนึกถึงหมู่บ้านอยู่ใกล้ปราสาทมากที่สุดในโลกมนุษย์มันเป็นหมู่บ้านของเจ้าปศุสัตว์ชั้นต่ำที่ล่อลวงพี่ชายของตนให้ตกต่ำจนกลายเป็นความน่าอับอายของตระกูล
“นายน้อย ให้ผมทำความสะอาด...”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวผมจัดการเองออกไปได้แล้ว” ไม่ทันจะพูดจบเรย์จิก็ตัดบทปีศาจรับใช้สูงวัยด้วยใบหน้าอันเฉยชา น้ำเสียงเรียบนิ่งคล้ายผืนน้ำเงียบสงบไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ออกมาทำให้ตัวปีศาจผมสีดอกเลานั้นไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่อยู่ภายในใจนายน้อยคนรองแห่งตระกูลค้างคาวได้
เมื่อเห็นว่าไม่ได้อะไรไปมากกว่านี้แล้วปีศาจรับใช้วางมือขวาบนหน้าอกซ้ายก้มโค้งคำนับด้วยความอ่อนน้อมแล้วเดินออกจากไปห้องของเรย์จิอย่างเงียบเชียบนำถ้วยคำและสิ่งที่ประสบพบเจอรายงานให้กับพ่อบ้านผมขาวคนนั้นตามคำร้องขอ
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังชักนำเด็กชายผู้ริษยาทุกสิ่งก้าวไปสู่ความบ้าคลั่งและโศกนาฏกรรมที่ไม่มีวันลืมเลือน
.
.
.
.
.
.
“อย่างนั้นเหรอ...ขอบคุณมากที่นำเรื่องนี้มาบอกผมนะ”
ผมกล่าวขอบคุณปีศาจรับใช้ทั้งสองตนก่อนโบกมือเป็นเชิงอนุญาตให้ออกจากห้องได้หลังจากได้รับรายงานเกี่ยวกับชูกับเรย์จิ สิ่งที่ผมได้ยินออกจากปากของทั้งสองคนทำให้ผมกลับมานั่งกุมมือประสานจรดกลางหน้าผากด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดตรงโต๊ะทำงานอย่างช่วยไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เครียดก็คงไม่พ้นเรื่องชูเป็นส่วนใหญ่
เรื่องหลบหน้าผมเพราะกลัวว่าผมยังคงโกรธเรื่องเอ็ดการ์อยู่ผมเข้าใจแต่ว่าไอ้การเชื่อฟังเบียทริกซ์นี่คืออะไร? ปกติชูเป็นพวกดื้อเงียบแอบต่อต้านแม่ตัวเองเล็กน้อยทำไมวันนี้กลับบอกว่าจะพยายามเชื่อฟังเบียทริกซ์ด้วยล่ะ
งานเลี้ยงในวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ตอนที่ผมไม่อยู่กันแน่? ถึงจะได้ยินว่าเอ็ดการ์ไปสร้างความวุ่นวายภายในงานก็เถอะ
ถ้าเกิดเรื่องจริงแล้วทำไมตอนนั้นชูไม่เรียกผม?
ผมขบคิดอยู่นานว่าทำไมหลานชายคนโตของผมนั้นมีท่าทีแปลกไปจากเดิม หันมาตั้งใจเรียนหนักมากขึ้นกว่าเดิม ไม่พบปะกับใครโดยเฉพาะผมแค่เห็นหน้าก็เบือนหนีแล้ว อีกทั้งพ่อบ้านรวมไปถึงคนรับใช้ของเบียทริกซ์คอยกันผมมากกว่าเดิมบอกว่าชูเป็นคนสั่งให้กันเขากับผมเอาไว้
คนที่มีอิทธิพลทำให้ชูเปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคนมีอยู่แค่สองคนเท่านั้น...
สองคนที่ว่านั้นคือ...'เบียทริกซ์' กับ 'เรย์จิ' นั่นเอง
กับเบียทริกซ์ไม่ค่อยกังวัลเท่าไหร่นักถึงแม้ว่าในฐานะแม่เบียทริกซ์นั้นสอบตกแต่หล่อนก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังลูกตนเองเมื่อเทียบกับบรรดาแม่ของพี่น้องคนอื่นแต่กลับกันเรย์จินั้นตรงกันข้ามกับเบียทริกซ์เพราะอีกฝ่ายเปิดเผยให้เห็นว่าตนนั้นจงเกลียดจงชังชูมากแค่ไหน
เพราะอะไรกันพี่น้องถึงได้เกลียดชังแบบต่อให้ตายก็ไม่มีวันญาติดีกับแบบนี้
พอถามแบบนั้นไปมันรู้สึกเหมือนย้อนเข้าตัวแต่สำหรับผมแล้วมันก็สมควรที่จะเกลียด ผมเกลียดคาร์ลไฮนซ์แบบไม่เผาผีเพราะสิ่งเลวร้ายที่เขาทำกับผมและครอบครัวต่อให้อีกฝ่ายบอกรักผมมากแค่ไหนก็ตาม ผมก็ไม่มีวันเชื่อว่าทุกสิ่งที่กระทำนั้นมันมาจากความรักที่มีต่อผม
แต่ในทางกลับกัน ชูกับเรย์จินั้นพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งเลวร้ายอะไรเลยไม่เหมือนกับพ่อของพวกเขาแต่ทำไมถึงเกลียดกันได้ขนาดนี้?
ไม่สิ...เรย์จิเป็นฝ่ายเดียวตะหากที่เกลียดชู
เพราะความรักที่ไม่เท่าเทียมกันของเบียทริกซ์? ความอิจฉาริษยาในสิ่งที่ตนควรจะได้รับกลับมาอยู่ที่คนๆ เดียวหมด? ความไม่พอใจในตัวคนที่ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างของเขาที่ไม่สามารถตอบรับความต้องการของคนที่ตนรักได้?
ผมไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของความเกลียดชังในหมู่พี่น้องแต่ผมรู้ดีว่าความรักนั้นไม่ใช่ 'โล่รางวัล' ที่ต้องเพียรพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา
การสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมาสนองความต้องการและความพึงพอใจของตนเองนั้นสำหรับผมแล้วไม่เรียกว่า 'รัก' แล้วแต่มันคือ 'ความเห็นแก่ตัว'
ทำไมครอบครัวของผมนั้นบิดเบี้ยวอย่างนี้...
ต่อให้ผมมอบความรักความอบอุ่นแก่พวกเขามากแค่ไหนแต่สุดท้ายมันก็กลับมาอยู่ในวังวนเดิมเสมอ ต้องเจ็บปวดซ้ำไปซ้ำมา ดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความบ้าคลั่ง วนเวียนอยู่กับความทุกข์ทรมานในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ก่อขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ผมเคยกล่าวกับตนเองว่าตราบใดที่ผมยังคงมีศรัทธาในตนเองและศรัทธาในแสงสว่างของโลกผมสามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่สั่นคลอนศรัทธานั้นไปได้
แต่ตอนนี้ผมรู้สึกมืดบอดไปหมดราวกับว่ามันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ...
ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ความเกลียดชังและความริษยาของเรย์จิที่มีต่อชูพี่ชายแท้ๆ ของตนเองนั้นหายไปหรือถ้าจะมีก็ขอให้ไม่ถึงกับฆ่าแกงกันอย่างง่ายดายเหมือนอย่างผมกับคาร์ลไฮนซ์เพราะพวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงอะไรเลย
พวกเขาเพียงแค่เกิดมาในครอบครัวที่บิดเบี้ยวก็เท่านั้น พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากมลทินไม่เหมือนผมกับพ่อของพวกเขาที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยบาป
ผมเคยภาวนาหลายครั้งว่าผมไม่อยากฆ่าเขาเพราะคาร์ลไฮนซ์เป็นครอบครัวที่ผมกับคริสต้าเหลืออยู่ถึงแม้ว่าผมไม่ยอมรับเรื่องผิดศีลธรรมระหว่างเขากับคริสต้าก็ตาม ภาวนาให้เขาหยุดการกระทำที่ทำร้ายครอบครัวของตนเองแต่สุดท้ายแล้วคาร์ลไฮนซ์ไม่เคยฟังผมเลยหนำซ้ำกระทำย่ำยีผมอย่างบ้าคลั่งดุจดั่งสัตว์ร้ายกระหายเลือด
ทำให้ผมแปดเปื้อนมลทินมีตราบาปติดตัวไปชั่วชีวิตยากที่จะลบเลือน
ผมเอนหลังพิงเบาะเก้าอี้พลางหลับตาถอนหายใจคล้ายปลงกับปัญหาที่ไม่มีทางแก้เหล่านี้ สิ่งที่ผมต้องทำต่อจากนี้ไปก็คงเหลือเพียงแค่พยายามประคับประคองสายสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างพี่น้องด้วยกันเองเท่านั้น
“หวังว่าต่อจากนี้ไปคงไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับพวกเขานะ”
ในขณะเดียวกัน...
เพล้ง! เพล้ง! โครม!!
“ทำไม...ทำไมกัน! ทำไมคนไร้ค่าไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างาอย่างชูกับเจ้าปศุสัตว์ชั้นต่ำนั่นถึงได้รับความรักความเมตตาเหมือนกับผมด้วย?! จะบอกว่าในสายตาของคุณแล้วผมกับเจ้าพวกนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษเหนือไปกว่ากันอย่างนั้นเหรอ!!”
"ทำไม? นางามิตสึ เบียคุยะ ทำไมดวงตาของคุณมีแค่ผมคนเดียวหรือใครสักคนที่สำคัญเพียงคนเดียวไม่ได้ล่ะ ทำไมต้องมีทุกคนรวมถึงชูอยู่ในนั้นด้วย?!"
เรย์จิว่าแล้วระบายเกรี้ยวกราดออกมาผ่านทางสิ่งของรอบตัวทั้งหมด จากจานและถ้วยชากระเบื้องก็ต่อด้วยโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองหนังสือถูกเด็กชายผู้เกรี้ยวกราดล้มคว่ำลงจนหนังสือล้มลงกองกับพื้นระเนระนาดด้วยความเหลืออดเต็มที
ยิ่งคิดแล้วเปลวไฟแห่งจิตริษยาที่ถูกสั่งสมมานานยิ่งลุกโชนโหมกระพือพร้อมแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน เด็กชายนัยน์ตาสีมาเจนต้าในตอนนี้ไม่สนภาพลักษณ์ของตนเองในตอนนี้อีกต่อไป ความขุ่นเคืองและความเกรี้ยวกราดที่เคยเก็บกดมันไว้ข้างในนั้นถูกส่งผ่านทางสิ่งของรอบตัวจนหมด
...และในที่สุดหนังสือทั้งหมดรวมไปถึงชุดน้ำชาที่เขารักและหวงแหนมากที่สุดพังไม่เป็นชิ้นดี
ถ้าหากปีศาจรับใช้ตนนั้นยังคงอยู่ที่นี่ดวงตาคงจะเบิกกว้างตกตะลึงในการกระทำอันเกรี้ยวกราดของนายน้อยผู้สุขุมเยือกเย็นมากที่สุดในตระกูลเป็นอย่างมาก คงไม่มีใครคาดคิดหรือนึกไม่ถึงเลยว่าเด็กชายผู้เย็นชาและเคร่งครัดในกฎระเบียบอย่างเรย์จินั้นสามารถโกรธเกรี้ยวจนทำลายทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งสิ่งที่ตนรักได้มากถึงขนาดนี้
"ทำไมกันล่ะ...แค่รักผม มองผม ดูแลผมเพียงคนเดียว มันยังไม่พออีกเหรอ?! ทำไมต้องมอบมันให้คนอื่นด้วย หรือว่าคุณต้องการความรักของพวกเราเป็นการตอบแทน ความรักของคนๆ เดียวมันไม่พอสำหรับคุณใช่ไหม?”
เพราะการที่คุณมอบความรักให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันมันก็ไม่ต่างอะไรกับไม่เคยรักใครอย่างลึกซึ้งเลยไม่ใช่เหรอ?
แบบนี้มันเหมือนการทำทานให้หมาแมวที่ถูกทิ้งด้วยความสงสารเวทนาชัดๆ
"คุณมันโลภมาก นางามิตสึ เบียคุยะ ได้ยินไหม? คุณเป็นปีศาจโลภมากเห็นแก่ตัวที่สุด!!"
เด็กชายผมสีม่วงเข้มประกายดำผู้มีศักดิ์เป็นลูกชายคนรองของบ้านกล่าวว่าอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกระโชกแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดและความบ้าคลั่งดั่งพายุโหมกระหน่ำทำลายทุกสิ่งทว่าลึกภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บเจียนตายไม่ปานนั้น
ขอแค่เขาคนนั้น ขอแค่เบียคุยะเป็นข้อยกเว้นจากทุกอย่างไม่ได้เลยเหรอ?
ถึงแม้ว่าเรย์จิชอบเก็บงำความรู้สึกตนเองด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเย็นชาแต่ถึงกระนั้นตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากพี่น้องคนอื่นที่ต้องการความรักความเอาใจใส่จากมารดาแท้ๆ ของตนทว่ามารดาของพวกเขานั้นไม่เคยยิบยื่นมันมาให้เลย มีเพียงแค่ผู้ชายที่ชื่อ 'นางามิตสึ เบียคุยะ' อยู่เคียงข้างพวกเขา
ความรัก ความอ่อนโยน และความอบอุ่น เป็นสิ่งที่เรย์จิได้รับจากเขาคนนั้นถึงแม้ว่าตนเองพยายามจงเกลียดจงชัง ทำตัวเย็นชาห่างเหินเพื่อไขว่คว้าความรักความพึงพอใจจากท่านแม่ พร่ำบอกตนเองต่อหน้ากระจกทุกครั้งยามสับสนว่าไม่ควรให้ค่าอีกฝ่ายที่เป็นเพียงแค่คนนอกที่ไม่มีสายเลือดเดียวกันมากแค่ไหน
แต่สุดท้ายลึกเข้าไปข้างในแล้วเขาก็ทำใจเกลียดอีกฝ่ายไม่ลงจริงๆ
หนำซ้ำเป็นเขาเสียเองที่ถลำลึกหลงใหลในแสงสว่างจนกระทั่งความอิจฉาริษยาที่มีต่อชูพี่ชายแท้ๆ ของตนรวมไปถึงความปรารถนาที่ต้องการเป็นเพียงที่หนึ่งในใจของเบียทริกซ์มารดาบังเกิดเกล้าบังตาจนก่อเกิดเป็นความเกลียดชังผลักไสทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายมอบให้
แย่งความรัก ความเอาใจใส่ และความคาดหวังจากท่านแม่ไปทั้งหมดจนไม่เหลืออะไรเลยจนต้องหันมาพึ่งนางามิตสึ เบียคุยะ การที่ตัวเขานั้นต้องการความรักความอบอุ่นดั่งแสงตะวันเพื่อถมช่องว่างข้างในจิตในแบบมันช่างน่าสมเพชจริงๆ
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเรย์จินั้นต้องการให้อีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ไม่หนีไปไหน...
แสงสว่างท่ามกลางความมืดของเขา ดอกไม้ที่เบ่งบานท่ามกลางซากศพของเขา และคนที่อยู่เคียงข้างเขาในยามที่เขาอยู่ตัวคนเดียวไม่เหลือใคร
ถึงแม้ภายในใจเรย์จิรู้ตัวดีว่าความรักที่เบียคุยะมีให้นั้นไม่ได้มีเพื่อตนเพียงคนเดียวแต่มีเพื่อพี่น้องทุกคน เพื่อที่ไม่ให้พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางความมืดมิดอันหนาวเหน็บภายในปราสาทเอเดนแห่งนี้
แต่อีกฝ่ายจะรู้ไหมว่าการกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้ตัวเขาหรืออาจจะรวมไปถึงพี่น้องทั้งหมดนั้นบ้าคลั่งและบิดเบี้ยวมากกว่าเดิม
กลายเป็นสัตว์ร้ายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อครอบครองและกักขังแสงสว่างนั้นเอาไว้
"ฮะ...ฮะ...ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!"
หลังจากระบายอารมณ์กับข้าวของภายในห้องจนสภาพเละเทะไม่เป็นชิ้นดี เรย์จิระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่นยกมือปิดใบหน้าข้างหนึ่งเหลือดวงตาสีม่วงแดงเรืองรองหลังกรอบแว่นสีดำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประกายอันแสนบ้าคลั่งอันตรายและบิดเบี้ยวเกินกว่าสายตาที่เด็กธรรมดาคนหนึ่งควรจะมี
รักและเอ็นดูชูกับเจ้าปศุสัตว์ชั้นต่ำนั่นมากใช่ไหม...
ได้...ในเมื่อชูได้ทุกอย่างทั้งความรัก ความเอาใจใส่ และความคาดหวังจากท่านแม่รวมไปถึงความรักความเอ็นดูจากคุณแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ชายคนโตได้รับเขาจะทำลายมันทิ้งให้หมดไม่เหลืออะไรเลย!
เริ่มจากอะไรดีนะ...
ใช่แล้ว...เจ้ามนุษย์คนนั้น ปศุสัตว์ชั้นต่ำที่ริอาจเทียบเคียงกับพวกตนทำให้ท่านแม่ต้องหนักใจทุกครั้งยามที่คนไม่ได้เรื่องอย่างชูออกนอกลู่นอกทางอย่างไรเล่า
แค่กำจัดมันซะ พี่ชายผู้โง่เขลาของตนจะได้รู้ตัวเสียทีว่าตนเองนั้นอ่อนแอไร้ค่ามากแค่ไหน ทำให้อีกฝ่ายตระหนักรู้ว่าคนไร้ค่าไม่มีอะไรดีเลยไม่คู่ควรที่จะเอื้อมมือไขว่คว้าแสงสว่างอันอบอุ่นมาครอบครอง
บ้าจริง...ตนนั้นกลายเป็นคนบ้าคลั่งวิปริตได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
คำตอบน่ะหรือ...ถ้าไม่ใช่เพราะ 'เขา' แล้วมันเพราะใครกันล่ะ?
นางามิตสึ เบียคุยะ
จุดเริ่มต้นและจุดศูนย์กลางของความบ้าคลั่งและสายสัมพัมธ์อันแสนบิดเบี้ยวยากที่จะลืมเลือน...
"ฮะๆ...เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของคุณด้วย คุณไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับผมเลยแม้แต่นิดเดียว เบียคุยะ คุณไม่น่ายุ่งเลยจริงๆ..."
เพราะดอกไม้ที่เบ่งบานท่ามกลางซากศพอย่างคุณนั้นมันดึงดูดความบ้าคลั่งอันแสนวิปริตอย่างเขาเข้ามาอย่างไรล่ะ...
หลังจากเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งเรย์จิกลับมาสงบนิ่งพูดพึมพำคล้ายพูดกับตนเองไม่ปานนั้นก่อนหยิบหนังสือกลับเข้าที่เหมือนดังเคยราวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
ใช่แล้ว...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาของความบ้าคลั่งเท่านั้นเอง
"ผมรักคุณนะ...เบียคุยะ รักมากจนอยากที่จะทำลายเลยล่ะ"
เรย์จิยังคงหัวเราะคิกคักพลางขยุ้มมือกับเสื้อตนเอง รอยยิ้มของเด็กชายที่ควรจะดูสดใสกลายเป็นรอยยิ้มน่าสยดสยองชวนหวาดหวั่น
วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่บดขยี้ทำลายตัวตนของชูผู้เป็นพี่ชายของตนเอง เรย์จิมั่นใจอย่างนั้นและไม่มีทางที่คนฉลาดอย่างเขาวางแผนอะไรแล้วไม่ได้ผลตอบแทนกลับมาซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนนั้นย่อมมีประโยชน์ต่อตัวเขาทั้งสิ้นรวมไปถึงเรื่องของเขาคนนั้น
...แต่สิ่งหนึ่งที่เขาคำนวณพลาดไปและเป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรง
เพล้ง!!
"ว่าอย่างไรนะ! เบียคุยะหนีออกจากปราสาทอย่างนั้นเหรอ?!"
ครั้งแรกที่ได้รับแจ้งข่าวจากปีศาจรับใช้นั้น เรย์จิรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดผ่ากลางศีรษะแล่นผ่านจรดลงปลายเท้า ร่างทั้งร่างเย็นเยียบนิ่งค้างราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน ปลายนิ้วชาจนเผลอทำถ้วยชากระเบื้องชั้นดีตกแตกกระจายบนพื้นไม่เป็นชิ้นดีเหมือนเป็นการตอกย้ำสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวันนี้
เบียคุยะหนีจากเขาไปแล้ว!
ไม่! ไม่! ไม่! เป็นไปไม่ได้! แผนการของเขานั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ชูเอาแต่โทษตัวเองเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกมา สร้างกำแพงขวางกั้นตัวเองกับคนรอบข้างถอยห่างจากทุกคนรวมไปถึงเบียคุยะ ทั้งยังไม่ปริปากบอกเรื่องที่เขาเป็นคนเผาหมู่บ้านนั่นเพราะอีกฝ่ายยังคงเห็นเขาเป็นน้องชายอยู่และที่สำคัญไม่ต้องการให้เบียคุยะเกลียดเขาอีกด้วย
แต่ทำไมกันล่ะ? ทำไมเบียคุยะถึงหนีออกจากปราสาทไป!
หรือว่าเบียคุยะจะรู้เรื่องที่เขาไปเผาหมู่บ้านตนเลยรังเกียจเขาไปแล้ว?!
ไม่! เบียคุยะไม่มีวันเกลียดเขาอย่างแน่นอน
เบียคุยะน่ะเป็นเหมือนแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด เขาคนนั้นไม่มีทางทิ้งเขารวมไปถึงพี่น้องคนอื่นให้เผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายในความมืดเพียงลำพังอย่างแน่นอน แต่การที่ละทิ้งหน้าที่ของตนหนีออกไปนอกอาณาเขตที่กำหนดไว้แล้วถือว่าเป็นโทษที่ร้ายแรงเทียบเท่ากับโทษประหารเลยแล้ว
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเบียคุยะจะต้องถูกท่านพ่อตามจับกุมตัวไปพบเพื่อลงโทษฐานที่ละเลยหน้าที่แน่นอน!
ยามนี้จิตใจของเรย์จินั้นปั่นป่ววนแทบจะอยู่ไม่สุขแล้ว พยายามคิดเข้าข้างตนเองว่าเบียคุยะอาจจะออกไปอาณาเขตปราสาทชั่วคราวเดี๋ยวก็กลับมาเองเหมือนทุกครั้งทั้งที่ลึกภายในใจรู้ดีว่าอีกฝ่ายหนีออกนอกอาณาเขตไปอยู่ที่อื่นเรียบร้อยแล้ว
ถ้าถูกท่านพ่อจับกุมตัวเพื่อนำไปสอบสวนอยู่เรื่องที่อีกฝ่ายละเลยในฐานะผู้พิทักษ์เขตแดนของแวมไพร์ถ้าหากอีกฝ่ายหาเหตุผลหรือข้อแก้ต่างไม่ได้ปลายทางที่อยู่ตรงหน้าเห็นเพียงจะมีแค่ความตายเท่านั้นที่รออยู่
เขาคนนั้นนอกจากจะเป็นพ่อบ้านและข้ารับใช้ประจำตัวท่านพ่อแล้วเขาก็ยังเป็นผู้พิทักษ์อาณาเขตของแวมไพร์ในโลกมนุษย์อีกด้วย หน้าที่ของเบียคุยะคือป้องกันไม่ให้มนุษย์คนใดมาล่วงล้ำอาณาเขตของแวมไพร์เพราะแบบนั้นประตูทางเชื่อมไปยังโลกปีศาจในโลกมนุษย์ถึงมีสัตว์ร้ายอยู่เต็มไปหมดและสัตว์ร้ายไม่ใช่ของใครที่ไหนนอกจากของเบียคุยะเอง
แต่จะว่าเป็นสัตว์ร้ายของอีกฝ่ายก็ไม่ถูกเพราะเดิมทีมันเป็นของคาร์ลไฮนซ์ท่านพ่อของเขาเลี้ยงเอาไว้แล้วต่อมาก็ยกให้เบียคุยะอีกที นอกจากนี้พวกสัตว์ร้ายมันเลี้ยงไม่ค่อยเชื่องทำให้บางครั้งมันออกมาทำร้ายและฆ่ามนุษย์ที่บังเอิญผ่านมาที่อาณาเขตพอดีจนมีเหตุให้เบียคุยะต้องออกไปช่วยมนุษย์ตอนกำลังจะถูกฆ่าตาย
บางครั้งเรย์จิไม่พอใจในการกระทำของอีกฝ่ายที่เห็นค่าปศุสัตว์ชั้นต่ำเหล่านั้น พวกนั้นไม่มีดีอะไรเลยสักอย่างเดียวทั้งอ่อนแอ น่าสมเพช โกหกหลอกลวง ละโมภโลภมาก เห็นแก่ตัว ฆ่าได้แม้กระทั่งพวกเดียวกันเองเพื่อสนองความต้องการอันมักมากของตน
คิดว่าตัวเองเป็นพ่อพระมาจากไหนกัน...
ถึงแม้ว่าการกระทำเหล่านี้มันน่าหงุดหงิดชวนโมโหมากแค่ไหนแต่ก็เพราะแบบนั้นมันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและสบายใจอย่างน่าประหลาดเลยทีเดียวแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ถ้าถูกท่านพ่อสอบสวนจริงอีกฝ่ายจะต้องพบบทลงโทษอะไรบ้างก็ไม่รู้
บทลงโทษของผู้พิทักษ์เขตแดนนั้นร้ายแรงมาก...
โดยเฉพาะละทิ้งหน้าที่ตนเองหนีออกจากอาณาเขตในความคุ้มครองจนมนุษย์สามารถล่วงล้ำเข้ามาได้หรือไม่ก็ทรยศหักหลังนายเหนือหัวของตนสมคบคิดกับมนุษย์ฆ่าพวกเดียวกัน สองข้อนี้คือโทษที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับการเป็นผู้พิทักษ์เขตแดน
และการลงโทษสูงสุดของการกระทำความผิดร้ายแรงนั้นคือการประหารชีวิตนั่นเอง...
พี่ชายผู้ไม่เอาไหนของตนนั้นไม่เคยรู้อะไรเลย การพามนุษย์มาในเขตของแวมไพร์นั้นมันส่งผลร้ายต่อเบียคุยะมากแค่ไหนถึงแม้ว่ามนุษย์คนนั้นจะได้รับอนุญาตจากชูให้เข้ามาได้ก็ตามทีเพราะหน้าที่ของเขาคือป้องกันไม่ให้มนุษย์ธรรมดาเข้ามาอาณาเขตของพวกตนยิ่งเห็นชูมีความสุขมากเท่าไรเขายิ่งเกลียดชูมากเท่านั้น
โดยเฉพาะความสุขที่ได้มาจากการสร้างความเดือดร้อนให้กับเบียคุยะเขาเกลียดยิ่งกว่าสิ่งใด
เพราะแบบนั้นเขาถึงต้องทำให้เจ้าปศุสัตว์ต้องอับอายขายขี้หน้าจนไม่กล้าเหยียบที่นี่ ตอกย้ำให้ชูรู้สึกตัวว่าตนเองนั้นช่างอ่อนแอไร้ค่ามากเพียงใด
เด็กชายเจ้าแผนการพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองหวังภาวนาขอให้เบียคุยะกลับมาที่ปราสาทโดยเร็วที่สุดโดยที่ท่านพ่อไม่สามารถจับอีกฝ่ายได้หรือถ้าหากถูกจับได้ก็ขอให้รอดพ้นจากโทษประหารด้วย แต่นั่นแหละคือหนึ่งในข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรงของเรย์จิ
การที่เขาคิดเข้าข้างตนเองนั้นก็คือหนึ่งในความผิดพลาดที่ร้ายแรงทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเพราะการเผาหมู่บ้านนั้นคือข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงยิ่งกว่าซึ่งส่งผลทำให้เกิดความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด
และความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของเรย์จิคือ...
การที่เขาไม่เคยรู้เลยว่า นางามิตสึ เบียคุยะ นั้นมีคนรักเป็นมนุษย์อยู่ข้างนอกปราสาทท่ามกลางไฟสงครามนั่นเอง...
.
.
.
.
.
.
ไม่คิดว่าไฟสงครามมันจะมาเร็วขนาดนี้...
เพราะผลกระทบจากชายนิรนามทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอยลง คนยากจนนั้นยิ่งยากจนข้นแค้น ส่วนคนรวยนั้นบางคนยิ่งร่ำรวยจากเลือดเนื้อที่สูบจากประชาชนธรรมดาบางคนยิ่งล้มละลายเพราะบริหารธุรกิจไม่เป็นจนโดนคนที่คดโกงกลืนกินทรัพย์สินทั้งหมด
หลังจากรู้ว่าหมู่บ้านของเอ็ดการ์เกิดไฟไหม้ขึ้นผมจึงรีบออกจากปราสาทข้ามมาโลกมนุษย์ทันทีพยายามช่วยเหลือคนในหมู่บ้านนั้นให้ได้มากที่สุดพร้อมสอดส่องหาเอ็ดการ์ไปด้วยแต่ก็ไร้วี่แวว
ขณะผมไปช่วยผมก็ได้ยินชาวบ้านกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวว่า 'สงครามมาแล้ว' หรือไม่ก็ 'ทำไมสงครามกลางเมืองลามมาถึงที่นี่ได้?' นั่นทำให้ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าสงครามกลางเมืองนั้นมาแล้วซึ่งมันก็เป็นไปตามที่ผมทำนายจริงๆ ว่าผู้วิเศษปริศนาที่อิมิเลียกล่าวถึงจะนำหายนะมาสู่บ้านเมืองและประเทศชาตินี้
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือผมมารู้ทีหลังว่าอิมิเลียกับครอบครัวยังไม่หนีออกจากประเทศนี้ไปเลย!
ผมเตือนเธอเรื่องนี้แล้วแต่ทำไมเธอกลับไม่หนีกันล่ะ?!
ใจจริงผมอยากจะไปช่วยเธอเลยในตอนนั้นทว่าผมโดนคาร์ลไฮนซ์จับตาดูอยู่หลายเดือนแล้ว เขารู้เรื่องที่มนุษย์เข้ามาในปราสาทซึ่งไม่ใช่ใครนอกจากเอ็ดการ์ทำให้ผมถูกทำโทษที่ละเลยหน้าที่ปล่อยให้มนุษย์เข้ามาสร้างความวุ่นวายตามกฎระเบียบของผู้พิทักษ์เขตแดน ทว่ามันก็เป็นโทษที่ลดหลั่นลงมาเพราะเอ็ดการ์นั้นเป็นมนุษย์ที่ได้รับการอนุญาตจากชูให้เข้ามาข้างในปราสาทเองโทษเลยไม่ได้ร้ายแรงมากนักส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคาร์ลไฮนซ์ในตอนนี้ทำใจฆ่าผมไม่ลง...
โทษที่ผมควรจะได้รับคือความตายอันแสนเจ็บปวดทรมานทว่าราชันย์แวมไพร์ผู้นั้นกลับเลือกไว้ชีวิตเขามาแล้วถึงสองหนด้วยกัน...
ครั้งแรกคือการก่อกบฎโดยการยืมมือพวกต้นตระกูลมาฆ่าเขาถึงแม้ว่าผมไม่สามารถปลดปล่อยพวกต้นตระกูลออกมาได้สำเร็จก็ตาม
ครั้งที่สองคือการที่เขาละเลยหน้าที่ผู้พิทักษ์เขตแดนจนมนุษย์ล่วงล้ำเข้ามาสร้างความวุ่นวายาภายในอาณาเขตของแวมไพร์
ผมไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีที่ได้รับการไว้ชีวิตจากชายที่ผมอยากจะฆ่าถึงแม้ว่ามันทำให้ผมมีโอกาสในการฆ่าเขาหลายครั้งทว่าผมต้องเจอกับบทลงโทษที่บดขยี้ทำลายศักดิ์ศรีของผมไม่เป็นชิ้นดีคอยตอกย้ำว่าตัวเองนั้นสกปรกโสมมมากเพียงใดยามร้องครวญครางอยู่ใต้ร่างของผู้ชายคนนั้นทำราวกับผมเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาที่มีหน้าที่ระบายความใคร่อันโสมมเท่านั้นไม่ใช่ครอบครัวที่มีสายเลือดเดียวกับกันเขาแต่อย่างใด
และครั้งนี้ถ้าคาร์ลไฮนซ์จับได้อีกผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยังคงไว้ชีวิตผมอยู่หรือเปล่า...
ผมกระชับผ้าคลุมแน่นเคลื่อนย้ายตัวเองแอบลอบเข้าไปในเมืองด้วยพลังของแวมไพร์เพราะทางข้างหน้านั้นมีด่านตรวจอยู่ ผมเป็นคนนอกและไม่มีหลักฐานรับรองทำให้ผมไม่สามารถเข้าไปในเมืองที่กำลังเกิดสงครามกลางเมืองนี้ได้ทำให้ผมไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากอาศัยพลังของตนเองเข้าไปข้างใน
ผมมาโผล่ตรงตรอกแคบๆ ภายในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยเด็กจรจัดข้างถนนรวมไปถึงเด็กกำพร้าจากไฟสงครามที่เกิดขึ้น ดวงตาของพวกเขาเหม่อลอยไร้แววเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง บ้างก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว บ้างก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
แต่โดยรวมแล้วมันก็คือความสิ้นหวังอยู่ดี...
"อึก! อ่อก...!!"
ผมชะงักชักครู่ก่อนความเจ็บปวดแล่นริ้วทั่วร่างสร้างความทรมานจนแทบทรุดลงกับพื้น เลือดที่ผมพยายามกลืนหลายต่อหลายรอบนั้นกระอักไอออกมาเป็นเลือดสีแดงอย่างเห็นได้ชัดเจนเป็นการบ่งบอกว่าหากผมใช้พลังของแวมไพร์แบบนี้ต่อไปผมมีสิทธิ์ตายได้
สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะผมฝ่าฝืนคำสั่งออกมานอกเขตแดนนั่นเอง...
เพื่อป้องกันไม่ให้ผมปลดปล่อยพวกต้นตระกูลเพื่อก่อการกบฎโค่นล้มบัลลังก์ราชันย์โลกปีศาจอีก คาร์ลไฮนซ์จึงมอบคำสาปพร้อมตำแหน่งผู้พิทักษ์เขตแดนให้แก่ผมเพื่อกักบริเวณไม่ให้ผมหนีออกนอกสายตาของเขาไปติดต่อกับพวกต้นตระกูลและกบฎกลุ่มอื่นอีก
ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนเขาเมตตาผมทว่ามันเป็นความเมตตาที่มาพร้อมกับความโหดร้าย...
เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมนึกอยากลองคำสาปจึงออกมานอกเขตแดนดูเพียงแค่ไม่กี่ก้าวที่เดินออกเท่านั้นความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วร่างราวกับถูกรุมทึ้งด้วยสัตว์ร้ายกระหายเลือด หัวใจเหมือนถูกบีบรัดแน่นด้วยลวดหนามที่มองไม่เห็น ทรมานเทียบเท่าพันธะโลหิตที่คาร์ลไฮนซ์ยัดเยียดให้ผมหรืออาจจะยิ่งกว่านั้นอีก
ทุกครั้งยามใช้พลังของแวมไพร์ยิ่งอาการเหล่านั้นยิ่งหนักกว่าเดิมจนกระทั่งกระอักเลือดออกมากองอยู่ตรงหน้าจนน่าหวาดกลัวใครเห็นก็ต้องกรีดร้องทันที เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถ้าผมอยู่ข้างนอกนานกว่านี้ผมมีสิทธิ์ตายได้
ผมไม่อยากตาย ถ้าผมตายคริสต้าต้องเหลือตัวคนเดียวเผชิญหน้ากับชะตากรรมอันโหดร้าย
ผมไม่ยอม ผมไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้ซ้ำรอยอีกแล้ว...
แล้วตอนนั้นผมได้ซมซานกลับเข้ามาในเขตแดนเหมือนเดิมอย่างน่าสมเพชราวกับหมาข้างถนนที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บไม่มีผิด ถึงแม้ว่ามันน่าเจ็บใจแต่ผมสัญญากับตนเองว่าตราบใดที่ผมฆ่าเขาไม่สำเร็จผมจะไม่ออกมาจากเขตแดนที่ราชันย์แวมไพร์น่าตายนั่นกำหนดไว้อย่างเด็ดขาด
แต่สุดท้ายแล้วผมก็ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับตนเองจนได้...
"พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรด...หากท่านเมตตาต่อผู้แสวงหาพระองค์จริงขอให้อิมิเลียยังมีชีวิตอยู่รอผมด้วยเถอะนะ..." ผมกล่าววิงวอนร้องขอซึ่งเป็นการขอความเมตตาต่อสิ่งที่ผมเคยเสื่อมศรัทธามาครั้งหนึ่งแล้วกลับมาศรัทธาใหม่อีกครั้งหนึ่งเพราะอิมิเลีย
และครั้งนี้ผมต้องการมันมากยิ่งกว่าครั้งใดที่เคยผ่านมา
ผมยันตัวพยายามฝืนสังขารที่อ่อนระโหยโรยแรงจากความทรมานที่เกิดขึ้นเป็นระยะเดินลัดเลาะเข้าไปในตรอกทางเดินหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกทหารหรือชาวบ้านที่ก่อเหตุความวุ่นวายนั้นพบเจอ แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดยามพบเห็นหรือได้ยินเสียงของความตายทุกที่ที่ผมย่างก้าวเพื่อสิ่งเดียว
ถึงแม้มันจะดูเห็นแก่ตัวแต่ก็เพราะว่าผมเห็นแก่ตัวนั่นแหละมันทำให้ผมรู้ว่าสิ่งใดสำคัญกับตนเองมากที่สุดในชีวิต
...และเพื่อสิ่งสำคัญนั้นผมไม่ลังเลเลยที่จะเลือกมันเป็นอย่างแรก
อิมิเลีย อิมิเลียของผม แสงสว่างของผม เด็กน้อยที่น่ารักของผม ได้โปรด...
"...อย่าตายนะ"
ผมกล่าวคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนเสียสติย้ำคิดย้ำทำการกระทำของตนเองมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์บ้านของอิมิเลียด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
ทว่าความหวังของผมนั้นกลับริบหรี่ลงดั่งเปลวเทียนใกล้ดับเข้าเสียแล้ว...
"นะ นี่มันอะไรกัน...?"
เมื่อผมมาถึงคฤหาสน์บ้านทั้งบ้านนั้นกลายเป็นบ้านร้างไปหมด ข้าวของเครื่องเรือนมีค่าหายไปหมดมีบางส่วนที่ยังคงเหลือทว่ามันเป็นเครื่องเรือนที่ใช้การไม่ได้แล้วเพราะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ยามผมเข้าไปในตัวบ้านดวงตาสีม่วงอัญมณีของผมนั้นประสบพบบางสิ่งทำให้ร่างกายหยุดนิ่งราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นจับตรึงให้อยู่กับที่ ผงะถอยก้าวออกมาเล็กน้อยด้วยความไม่เชื่อในสายตาตนเอง
ทำไมมนุษย์สมัยนี้ถึงได้โหดร้ายกันขนาดนี้...?
'ไปตายทั้งครอบครัวซะ! ไอ้คนขายชาติ'
'ไอ้คนบาปหนา ฉันขอสาปแช่งให้พวกแกทุกคนตกนรกหมกไหม้ยิ่งกว่าพวกเรา'
'เจ้าของบ้านนี้และลูกสาวคือตัวหายนะนำพาไอ้พ่อมดชั่วเข้ามาทำลายประเทศของพวกเรา'
'ลงนรกไปพร้อมกับผู้วิเศษของพวกแกซะ!'
ถ้อยคำหยาบคายสาปส่งถูกเขียนด้วยสีแดงบนกำแพงรวมไปถึงกำแพงบ้านประฌามเจ้าของคฤหาสน์และครอบครัวด้วยความผิดที่ผมเขาไม่ได้ก่อ ผมรู้ดีว่าพ่อของอิมิเลียนั้นไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้สิ่งที่เขาต้องการนั้นเพียงแค่ได้อยู่กับลูกสาวของตนเองนานขึ้นก็เท่านั้น
ไม่! ไม่! ไม่! พวกเขาไม่ผิด พวกเขาถูกหลอกใช้ พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกแกเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาว่าพวกเขาแบบนี้?!
ผมอยากจะกรีดร้องเสียงดังด้วยความบ้าคลั่ง อยากจะตะโกนก้องออกไปว่าพวกเขานั้นไม่ได้มีความผิดอะไรเลยแต่ทำไมกลับมาโทษกันแบบนี้ ตัวผมรู้ดีว่ามนุษย์นั้นเวลาเผชิญกับความเลวร้ายจะพยายามสรรหาวิธีทำให้ตนเองนั้นสบายใจขึ้นหลายวิธีและหนึ่งในนั้นคือการโทษคนอื่น
หากคนเราไม่สามารถโทษต้นเหตุที่แท้จริงได้ก็จะโทษอีกคนหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผล
แต่ถึงอย่างนั้นผมยอมรับมันไม่ได้...
อิมิเลียกับครอบครัวไม่สมควรจะโดนแบบนี้เสียด้วยซ้ำเพราะพวกเขาไม่ได้ผิดอะไรเลยนอกจากเป็นแค่เครื่องมือถูกผู้วิเศษนิรนามหลอกใช้เท่านั้น
ขณะผมกำลังจะออกไปจากตัวคฤหาสน์ ผมสะดุดตากับกล่องไม้เก่าๆ ใบหนึ่งที่หลบซ่อนอย่างมิดชิดภายในห้องนอนขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนไม่มีค่าอะไรแต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างสะกิดใจผมอยู่เกี่ยวกับกล่องใบนั้น ผมจึงเดินไปหยิบมันมาเปิดมันดูพบจดหมายฉบับหนึ่งถูกปิดด้วยครั่งสีแดงจ่าหน้าถึงผมอยู่
และที่สำคัญมันถูกเขียนด้วยลายมืออันแสนคุ้นเคย...
ไม่รอช้าผมจึงเปิดซองจนหมายกวาดสายตาพยายามอ่านให้เร็วที่สุด
'ถึง เบียคุยะที่รักยิ่งของฉัน
หากคุณพบจดหมายนี้แสดงว่าฉันกับท่านพ่อหนีไม่ทันและอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ส่วนเหตุที่ฉันนั้นยังคงไม่หนีออกจากประเทศนี้ก็เพราะท่านพ่อยังคงอยู่ในประเทศด้วยความศรัทธาในตัวของผู้วิเศษคนนั้นเลยจุดที่ฉันจะสามารถเรียกสติท่านพ่อกลับคืนมาได้แล้วแต่ถึงกระนั้นฉันก็ไม่อาจทอดทิ้งครอบครัวคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของฉันได้ลงคอ
ผู้วิเศษคนนั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก...คำพูดของเขานั้นหากถูกกล่าวออกไปแล้วผู้คนที่ศรัทธาในตัวเขาคนนั้นยิ่งทวีความบ้าคลั่งราวกับถูกล้างสมอง ส่วนผู้หวาดกลัวนั้นยิ่งหวาดหวั่นดุจดั่งปีศาจร้ายน่าหวั่นเกรงพยายามลอบสังหารทว่าล้มเหลวหลายครั้ง
วางยาพิษ ถูกแทง ถูกยิง จับแขวนคอ แต่ผู้วิเศษคนนั้นก็ยังไม่ตาย...
เหล่าฝ่ายค้านนั้นถูกเหล่าผู้ศรัทธากำราบเสียจนไม่มีใครกล้าต่อกรกับผู้วิเศษคนนั้นอีก ความยากจนข้นแค้นเริ่มตามมาจนในที่สุดมันก็หยุดไม่ได้เสียแล้ว ประชาชนที่ว่ายากจนแล้วยิ่งยากจน ชนชั้นสูง นักการเมืองรวมไปถึงเจ้าของกิจการธุรกิจที่คดโกงยิ่งร่ำรวยจากเลือดเนื้อประชาชน ส่วนคนที่อยู่ในชนชั้นเดียวกันกับข้างต้นที่ไม่อาจตามเกมทันนั้นยิ่งล้มละลายตามเล่ห์เหลี่ยมคนไม่ทัน
และชื่อที่พวกเราเรียกผู้วิเศษที่นำพาหายนะมาว่า...'
"ทริสเมจิส..." ผมเอ่ยชื่อนั้นในจดหมายก่อนอ่านมันต่อด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
'ตอนแรกฉันนึกอยากขอบคุณท่านผู้นั้นที่รักษาโรคร้ายให้แก่ฉันเพื่อที่ฉันจะได้พบและอยู่เคียงข้างคุณอีกครั้งรวมไปถึงท่านพ่อ ทว่าเมื่อคิดกลับกันแล้วถ้าหากฉันรู้ว่าทริสเมจิสต้องการนำพาหายนะมาให้แก่ประเทศนี้โดยหลอกใช้ความรักของท่านพ่อที่มีต่อฉันแล้วล่ะก็ฉันไม่น่าวิงวอนขอให้ตนเองมีชีวิตอยู่เลย...
เพราะฉัน...เพราะฉันทำให้ท่านพ่อเลือกทำสัญญากับปีศาจนั่น ทำให้ท่านกลายเป็นคนหลงงมงายอยู่ในศรัทธาอันจอมปลอม ทำให้ท่านกลายเป็นหุ่นเชิดถูกใช้แล้วทิ้งเช่นเดียวกับตัวฉัน
ฉันผิดเอง ที่โลภมากอยากอยู่กับท่านพ่อและคุณให้นานกว่านี้
บ้าจริง...ฉันน่าจะรู้ดีว่าคุณไม่สามารถออกมาข้างนอกได้ตามใจต้องการ น่าจะรู้ดีว่าคุณอาจไม่มีวันได้อ่านจดหมายฉบับแรกและฉบับสุดท้ายของฉันด้วยซ้ำแต่ฉันก็ยังอยากเขียนจดหมายถึงคุณอยู่ดีแม้ว่ามันจะดูสิ้นหวังมากเพียงใดก็ตาม
ขณะฉันเขียนจดหมายนี้เวลาเริ่มถูกนับถอยหลังเรียบร้อยแล้วได้แต่หวังภาวนาลมๆ แล้งๆ ว่าคุณจะพบจดหมายนี้ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เคยเสียใจเลยที่พบคุณในคืนพายุหิมะโหมกระหน่ำในครั้งนั้นแต่กลับรู้สึกอิ่มใจด้วยซ้ำว่าครั้งหนึ่งที่หัวใจของฉันนั้นยังมีความรักอยู่
คุณเป็นสีสันที่งดงามมากที่สุดยิ่งกว่าสีสันใดๆ บนโลก คุณนำพาโลกแห่งอิสระเสรีเข้ามาสู่หัวใจของฉัน ใช้วันเวลาร่วมกันมอบความสุขให้กับเด็กผู้หญิงใกล้ตายคนหนึ่ง มันเป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยได้รับมันมา ดั่งสรวงสรรค์ประทานพรโดยแท้...
ต่อให้ฉันถูกหาว่าเป็นนางแม่มด เป็นนางมารร้าย และผู้นำหายนะแก่ประเทศแต่ฉันไม่สนคำพูดเหล่านั้นอีกแล้วเพราะอย่างน้อยตัวฉันในความทรงจำของคุณไม่ใช่แบบนั้น แค่คุณมองว่าฉันเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่หลงรักคุณอย่างสุดหัวใจเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้นได้โปรด...จดจำฉันเอาไว้ เก็บฉันเอาไว้ในความทรงจำของคุณด้วยเถอะนะ
แด่...รักแรกและรักสุดท้ายของฉัน
อิมิเลีย นอร์วานสไตน์'
"อย่าเขียนอะไรบ้าๆ สิ! จดหมายฉบับสุดท้ายบ้าอะไรของเธอกัน ยัยเด็กโง่!!"
ผมตวาดใส่ในความโง่เขลาของอิมิเลียอย่างเหลืออด
คิดว่าผมจะปล่อยให้เธอเผชิญกับความโหดร้ายและตายเพียงลำพังโดยที่ไม่ช่วยอะไรเธอเลยเหรอ?! ถ้าเป็นแบบนั้นการที่ผมยอมละเมิดสัญญาเสี่ยงตายออกมาข้างนอกมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลยน่ะสิ
ไม่! ผมไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นหรอก!
ผมรีบออกจากคฤหาสน์ร้างไล่ตามหาอิมิเลียอย่างบ้าคลั่งไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม ค้นหาบริเวณที่น่าจะเป็นไปได้ทั้งบ้านเรือนย่านสลัมหรือแม้กระทั่งคุกคุมขังนักโทษเทียวไปเทียวมาระหว่างฝ่ายประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านกับฝ่ายรัฐบาลที่นำโดยเหล่าชนชั้นสูง
...ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่พบอิมิเลียเลยแม้แต่นิดเดียว
อยู่ไหน? อยู่ไหน? อยู่ที่ไหนกัน?
ได้โปรด! ขอร้องล่ะ ขอไปให้ทันทีเถอะ!!
ติ้งงงงงง! ติ้งงงงงง! ติ้งงงงงง!
เท้าผมชะงักครู่หนึ่ง เสียงโทนต่ำก้องกังวานดังเข้าโสตประสาทสัมผัสอันยอดเยี่ยมเหนือมนุษย์อย่างรวดเร็ว ระฆังของโบสถ์ดังเหง่งหง่างเสียงทุ้มก้องกังวาลสำหรับมนุษย์อาจจะได้ยินเสียงแผ่วเบาคลอกับสายลมทว่ามันไม่ใช่สำหรับแวมไพร์อย่างผม
เสียงระฆังนั้นมันดังอยู่พอสมควรแต่มันก็น่าประหลาดใจที่แวมไพร์อย่างพวกเรานั้นสามารถแยกแยะเสียงที่ได้ยินได้และรู้ด้วยว่ามันอยู่ไกลมากแค่ไหนกัน
...และเสียงระฆังที่ดังก้องกังวาลนี้มันบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างในบริเวณพื้นที่โบสถ์อันศักดิ์สิทธิ์
เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่โบสถ์จะต้องตีระฆังบอกเวลาอีกทั้งยังอยู่ในช่วงสงครามกลางเมืองแบบนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ผมคาดการณ์เอาไว้แล้วว่ามันเป็นกับดักบางอย่างเพื่อเรียกใครสักคนแต่ลางสังหรณ์ของผมบอกว่าถ้าหากผมไม่ไปที่นั่นผมจะไม่ได้เจอสิ่งที่ตนเองใฝ่หามาตลอดอีกต่อไป
ผมตัดสินใจเคลื่อนย้ายตัวเองไปที่โบสถ์แห่งนั้นทันทีด้วยความเร่งร้อนตามหาอิมิเลียและครอบครัวของเธอซึ่งเตรียมใจเอาไว้ในระดับหนึ่งแล้วว่ามันน่าจะมีกับดักอะไรสักอย่างรอผมอยู่ซึ่งมันก็รอผมอยู่จริงๆ
...แต่ตัวผมนั้นไม่คิดว่ามันเป็นห่ากระสุนจำนวนมากที่รอต้อนรับผมอยู่
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!!
"อัก!" ผมทรุดตัวล้มลงกับพื้นกระอักเลือดออกมา โลหิตสีแดงฉานขยายออกเป็นวงกว้างย้อมเสื้อสีขาวตัวข้างในแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งกุหลาบท่ามกลางหิมะแต่ทว่ามันเป็นกุหลาบมรณะที่เบ่งบานบนร่างที่แทบไม่มีวันตายของผมแทน
ผมพยายามรักษาบาดแผลของตนเองด้วยความสามารถในการฟื้นฟูบาดแผลของแวมไพร์แต่ต้องชะงักค้างเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองทันที
บาดแผลไม่ยอมรักษาตัวเอง?!
บาดแผลที่ควรฟื้นฟูสภาพจนกลับมาเป็นเหมือนเดิมนั้นยังคงอยู่บนร่างกายสร้างความเจ็บปวดให้กับผมและเมื่อรวมกับผลกระทบจากคำสาปของคาร์ลไฮนซ์ที่ฝังเอาไว้ในร่างกายผมแล้วสภาพผมในตอนนี้นั้นร่อแร่ยับเยินจนแทบดูไม่ได้เลย
และเพราะมัวแต่สนใจกับสภาพของตนเองทำให้ไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียวว่าด้ามปืนถูกง้างขึ้นกระแทกเข้าใบหน้าของผมอย่างจัง
ตุบ!
“อัก!” ผมร้องด้วยความเจ็บปวดจากนั้นยกแขนทั้งสองข้างป้องกันใบหน้าและศีรษะของตนเองเพื่อไม่ให้ตัวผมได้รับบาดเจ็บไปมากกว่านี้แต่ก็ไม่หลุดพ้นจากการถูกรุมทำร้ายอยู่ดี
ผัวะ!!
ด้ามปืนฟาดเข้าที่ศีรษะด้านที่ผมไม่ได้ป้องกันเต็มแรงทำให้เลือดอาบ เส้นผมสีขาวปลอดที่อิมิเลียมักชมนักหนาว่าสวยงามราวกับหิมะถูกย้อมไปด้วยเลือดจนมันสกปรกดูแทบไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ตัวผมในตอนนี้นั้นถูกรุมทำร้ายอย่างหนัก ทั้งถูกถีบถูกเตะเอาด้ามปืนกระแทกสารพัดหรือไม่ก็ยิงซ้ำเติมอีกทีจนต้องตัวขดงอเหมือนดั่งทารกในครรภ์มารดาเพื่อลดความเจ็บปวด อีกทั้งยังถูกคนเหล่านั้นด่าทอและสาปแช่งด้วยถ้อยคำอันร้ายกาจมองผมราวกับเป็นสิ่งที่สกปรกน่ารังเกียจที่สุดในโลกใบนี้
"เพราะแก! ไอ้ชาติชั่วแกทำให้ประเทศนี้ต้องล่มสลายเพราะแกคนเดียว!"
"ถ้าไม่มีแกสักคนลูกเมียฉันคงไม่ต้องตายอย่างน่าเวทนาแบบนี้หรอก"
"ชดใช้บาปที่แกก่อไว้ซะ ทริสเมจิส!"
ทริสเมจิส...
คำๆ นี้หลุดออกมาจากปากชายฉกรรจ์คนหนึ่ง อย่างนี้นี่เองสินะ...คนพวกนี้ตั้งใจจะล่อทริสเมจิสมาแต่สุดท้ายแล้วผมกลายมาเป็นแพะรับบาปแทนคนผู้นั้นเพราะผมเชื่อว่าผมจะต้องเจออิมิเลียและครอบครัวที่นี่อย่างแน่นอน
อยู่ที่ไหน...อยู่ที่ไหนกัน...?
เธออยู่ที่ไหน...
"อิมิเลีย..."
ผมเอ่ยชื่อของเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่ามันเด่นชัดพอทำให้คนเหล่านั้นหยุดการกระทำไปครู่หนึ่ง
จากนั้นพวกเขาก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมามองผมด้วยความสมเพชราวกับตัวตลกผู้โง่เขลาทันที
"นี่แกหายหัวไปมายังไม่รู้อีกหรือว่าสองพ่อลูกนั่นน่ะลงนรกไปนานแล้ว!"
วะ...ว่ายังไงนะ?!
อิมิเลียตายแล้วอย่างนั้นเหรอ...?
เหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมา...ยามเมื่อรับรู้ความจริงของสิ่งที่ผมใฝ่หามาตลอดนั้นสูญสลายหายไปตลอดกาลราวกับสายฟ้าฟาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างกายที่คิดว่าหนาวเย็นเยียบไร้ซึ่งความอบอุ่นแล้วกลับสามารถเย็นเยียบได้อีกคล้ายโดนสาดน้ำใส่ในหน้าหนาวจนแทบขยับตัวไม่ได้เลยไม่ปานนั้น
...และแล้วผมรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบริเวณรอบดวงตาและหยาดน้ำที่ไหลรินออกมา
อิมิเลีย ผมขอโทษ...ผมมาช้าเกินไป
ถ้าผมฉุกคิดสักนิดว่าตัวเธอยังคงอยู่ในประเทศนี้...
ไม่สิ...ถ้าผมมีความกล้ามากกว่านี้เรื่องทั้งหมดก็คงไม่ต้องลงเอยเช่นนี้หรอก
ยิ่งเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความรวดร้าวของผมพวกเขายิ่งสะใจ อีกคนหนึ่งในนั้นเฉลยความจริงอันแสนโหดร้ายออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน "สองพ่อลูกนั่นน่ะถูกพวกเรากลุ่มปฏิวัติลากออกไปแขวนคอประจานที่นี่ตั้งสามวันเพื่อล่อแกออกมาแต่จนแล้วจนรอดแกก็ไม่มาจนศพขึ้นอืด พวกเราก็เลยต้องโยนทิ้งลงท่อให้หนูแทะเล่นแต่ไม่นึกเลยว่าวันต่อมาแกก็มาที่หน้าโบสถ์นี่ซะอย่างนั้น คนรักตายแต่แกเพิ่งมา น่าสมเพชจริงๆ!"
"ใช่! น่าสมเพชพอๆ กัยนางแม่มดนั่น ยิ่งนางนั่นสวดมนต์ร้องเรียกพระเจ้าเห็นแล้วอยากจะอ้วก ถุ้ย!"
"แทนที่จะสวดเรียกหาพระเจ้า นางหมูตัวเมียนั่นควรจะร้องขอความเมตตาจากพวกเรามากกว่า"
"เหอะ! ต่อให้สวดเรียกร้องมากแค่ไหนผีห่าซาตานก็ไม่มาช่วยหรอก ขนาดแกยังไม่โผล่หัวมาเลยตอนที่นางนั่นกำลังดิ้นทุรนทุรายตอนถูกแขวนคอเห็นแล้วน่าหัวเราะซะไม่มี"
หยุด หยุดนะ...อย่าว่าร้ายเธอนะ
ได้โปรด...เธอแค่โดนผู้วิเศษจอมปลอมนั่นหลอกใช้เหมือนกับพวกคุณ เธอไม่ได้ผิดอะไรเลย
ผมส่งสายตาวิงวอนร้องขอไม่ให้พวกเขาพูดจาโหดร้ายแบบนั้นทว่าสิ่งได้กลับมาคือด้ามปืนฟาดเต็มแรงหน้าหันไปอีกทางหนึ่ง
ผัวะ!
"ยังจะกล้ามองอีก! ตกนรกหมกไหม้ไปพร้อมกับนางหมูตัวเมียร่านราคะนั่นซะ!!"
คนที่เอาด้ามปืนฟาดหน้าผมว่าแล้วสบถถมน้ำลายออกมายามกล่าวถึงอิมิเลียจากนั้นจึงง้างด้ามปืนขึ้นสูงเพื่อฟาดหน้าผมอีกทีหนึ่ง
ทว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของเขามันทำให้สติของผมขาดสะบั้นทันที
ฉัวะ!!
เสียงฉีกกระชากดังขึ้นตามด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับจะขาดใจเหมือนสัตว์ในโรงเชือดไม่ปานนั้นร้องระงมไปทั่วกลบเสียงระฆังที่ยังคงก้องกังวาล ทุกสรรพสิ่งรอบข้างและพื้นที่โบสถ์อันแสนศักดิ์สิทธิ์ถูกย้อมด้วยสีแดงอันแสนสกปรกโสมมและน่ารังเกียจ
นี่เป็นรอบที่สองแล้วที่ผมผิดสัญญากับตนเอง...
สัญญาอันแสนสำคัญที่ว่าผมจะไม่พรากชีวิตผู้ใดเลยยกเว้นเขาคนนั้น เขาคนนั้นคือข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวของผมที่ผมไม่อาจให้อภัยในสิ่งที่เขากระทำลงไปได้
คาร์ลไฮนซ์...
ราชันย์แวมไพร์ผู้ชั่วร้ายที่เข้ามาทำลายชีวิตและครอบครัวของผมให้ตกนรกทั้งเป็น
แต่ว่าพวกชั่วทำร้ายผู้บริสุทธิ์ปราศจากมลทินอย่างอิมิเลียเด็กน้อยของผมนั้นนับว่าเป็นมนุษย์ไหม?
คำตอบคือ...ไม่
พวกที่ต่ำกว่า 'เดรัจฉาน' น่ะผมไม่นับว่ามันเป็นมนุษย์หรอก อยู่ไปก็เปลืองอากาศหายใจบนโลกเสียเปล่าๆ
สำหรับผมแล้วเศษขยะน่ะยังมีค่ามากกว่าคนพวกนี้อีก
ดวงตาสีอะเมทิสต์สวยงามทว่าว่างเปล่าจับจ้องไปยังกลุ่มที่เหลือรอดก่อนโยนศีรษะที่ถูกผมกระชากออกมาทิ้งอย่างไม่ใยดี พวกเศษเดนต่างหวาดกลัวบ้างก็หนีตายบ้างก็หันปลายกระบอกปืนใส่ทว่าสุดท้ายแล้วคนพวกนี้มีค่าไม่ต่างกัน
ทำลาย ทำลาย ทำลาย ทำลาย...
ฉีกมัน กระชากมัน จงทรมาน จงย่อยยับ จงพังพินาศ...
ความโกรธเกรี้ยว ความเกลียดชัง และความเศร้าโศกเอ่อล้นออกมาท่วมท้นวิญญาณความเป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่จนหมดสิ้น ตัวผมในตอนนี้ถูกสัญชาตญาณอันบ้าคลั่งและกระหายเลือดของแวมไพร์เข้าครอบงำกลืนกินตัวตนทั้งหมดของผมจนกลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไม่หยุดอยู่เพียงแค่สองสามศพเข้าเสียแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่นั้นคือความบ้าคลั่งมีชีวิตที่มีความต้องการเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ...
ความต้องการคร่าชีวิตของพวกเศษเดนทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่คนเดียว!
ความคิดอันบ้าคลั่งและกระหายเลือดกู่ร้องภายในใจอันแสนปวดร้าวของผมว่าต้องกำจัดพวกคนบาปหนาสารเลวให้หมดเพื่อไม่ให้พวกนั้นต้องฆ่าผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป ทุกย่างก้าวที่ผมเดินนั้นโลหิตอันอุ่นร้อนสาดกระจายดุจดั่งดอกไม้แดงที่เบ่งบานท่ามกลางซากศพที่ล้มตายทำให้โบสถ์สีขาวพิสุทธิ์แห่งนี้แปดเปื้อนมลทินด้วยเลือดของคนบาปหนา
ผมฆ่า ผมฆ่าพวกมันจนกระทั่งเสียงกรีดร้องนั้นหายไปแทนที่ด้วยเสียงระฆังของโบสถ์ที่ดังก้องกังวาลทำให้ตัวตนที่ถูกความโกรธเกรี้ยว ความเกลียดชัง และความเศร้าโศกกลืนกินไปจนหมดสิ้นเริ่มกลับมาอีกครั้ง
ผมมองยังร่างที่ถูกฉีกเป็นชิ้น เป็นเศษเนื้อกองบนพื้น ใบหน้าของพวกเขาในวาระสุดท้ายจ้องมองผมด้วยความหวาดกลัวระคนแค้นลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของพวกเขาก่อนที่จิตวิญญาณนั้นจะหลุดออกจากร่างไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
แล้วน้ำตาของผมก็ไหลออกมา...
อิมิเลีย...ผมขอโทษ ผมทำให้เธอผิดหวัง
ตัวผมนั้นไม่ได้บริสุทธิ์งดงามหรือเป็นสีสันอันแสนสวยเหมือนอย่างที่เธอคิดเลย ผมมันก็แค่สัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในคราบมนุษย์เท่านั้น เป็นปีศาจร้ายที่กลืนกินชีวิตของคนที่ตัวเองรักจนพวกเขานั้นต้องหายจากไปทั้งจากเป็นและจากตาย
ผมโง่เอง ผมคิดว่าสุดท้ายแล้วจะพบกับความสุขสงบอันแสนน้อยนิดภายในใจ ความสุขที่อยู่เพียงปลายนิ้วเท่านั้นแต่ทว่ามันแตกสลายยามที่ผมสัมผัสกับมัน
ผมทรุดลงกับพื้นกระอักเลือดออกมาและคราวนี้มันมากกว่าปกติจนน่าหวาดกลัว หัวใจของผมถูกบีบรัดจนต้องเอามือวางบนอกซ้ายกำขยุ้มเสื้อผ้าจนยับยู่ยี่ยิ่งรวมกับใจที่ปวดร้าวจากการสูญเสียคนสำคัญในชีวิตแล้วมันยิ่งกว่าโดนเข็มทิ่มแทงพันเล่มเสียอีก
เพราะใช้พลังฆ่าพวกนั้นและด้วยผลของการใช้พลังแวมไพร์มันเป็นเหมือนตัวกระตุ้นคำสาปให้ทำงานมากยิ่งขึ้น ผมพยายามชันตัวลุกขึ้นฝืนยืนให้มั่นคงเดินออกไปจากโบสถ์แห่งนี้เพื่อตามหาร่างของอิมิเลียและครอบครัวในท่อระบายน้ำใต้ดินของเมือง
ถึงร่างพวกเขาจะถูกหนูหรือสัตว์ตัวอื่นๆ แทะจนไม่เหลือชิ้นดีแต่อย่างน้อยผมอยากนำชิ้นส่วนหรือของติดตัวของพวกเขามาฝังไว้ในดินสร้างสุสานเล็กๆ ไม่เป็นทางการในป่าท่ามกลางความสงบก็ยังดี
แต่โชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิตของผู้คนเสมอ...
เปรี้ยง!!
กระสุนปืนไม่รู้ที่มายิงถูกไหล่ขวาของผมจนเซถอยหลังไปจากนั้นฝูงชนต่างหลั่งไหลออกมาพร้อมอาวุธในมือล้อมหน้าล้อมหลังผม ผมจะไม่แปลกใจอะไรเลยหากพวกเขาต้องการแก้แค้นให้กับคนพวกนี้ถ้าหากว่าไม่มีคนของโบสถ์และนักล่าแวมไพร์รวมอยู่ในนี้ด้วย
นี่มัน...เรื่องอะไรกัน?! ทำไมคนของโบสถ์กับพวกนักล่ามาอยู่ที่นี่
"เห็นแล้วใช่ไหม?! มันเป็นปีศาจจากนรกทำให้ประเทศนี้ต้องล่มสลาย ผู้คนอดอยาก พี่น้องล้มตายกันหมด มันต้องถูกไฟชำระแผดเผาให้วอดวายซะ!!"
"แก! แกฆ่าพวกเขา แกฆ่าคนบริสุทธิ์ ไอ้ฆาตกร!!"
"ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามันเหมือนที่มันฆ่าพี่น้องของเรา!"
คำก่นด่าสาปแช่งพุ่งตรงมาที่ผมพร้อมกับห่ากระสุนชุดใหญ่ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมแผลไม่ยอมสมานตัวเองเพราะกระสุนพวกนั้นมันไม่ใช่กระสุนธรรมดาแต่เป็นกระสุนเงินที่ใช้ปลิดชีพแวมไพร์นั่นเอง
การที่พวกเขาใช้กระสุนเงินแบบนี้แสดงว่า...
เปรี้ยง!
เพราะหลบได้อย่างเฉียดฉิวกระสุนเฉียดผมไปเล็กน้อยจนเป็นรอยถากที่แก้มจนเลือดไหลซิบๆ แต่เพราะเป็นกระสุนเงินทำให้แผลที่ควรจะหายมันไม่ยอมหายไปเสียที
ผมมองสลับข้างหลังไปพลางพยายามพาร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดเสียจนดูไม่ได้ของผมหนีออกจากห่ากระสุนเงินที่เปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้นเหล่านั้นเข้าตรอกซอยแคบๆ สลัดคนพวกนั้นทันที
ผมหลบหนี พยายามหนีออกไปให้ไกลมากที่สุดต่อให้พวกเขายังคงตามล่าฆ่าผมก็ตามผมต้องหนีออกไปพ้นจากสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ หากผมยังอยู่คนพวกนั้นคงมิวายกลายเป็นศพนอนจมกองเลือดตนเองเป็นแน่
แค่ผมฆ่าพวกสารเลวพวกนั้นเลือดยังนองพื้นดินมากแทบทาทับย้อมรูปปั้นพระแม่มารีย์ขนาดใหญ่ของโบสถ์ได้แล้ว ถ้าผมฆ่าผู้คนภายในเมืองทั้งหมดเลือดมันจะไม่นองท่วมเมืองนี้เลยหรือ?
ถ้าเป็นตัวผมที่ฆ่าคนพวกนั้นตอนถูกสัญชาตญาณแวมไพร์กลืนกินอาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับแค่ชีวิตมนุษย์อันแสนเปราะบางที่ไม่ต่างกับใบไม้แห้งที่ปลิดปลิวไปตามสายลม แต่หลังจากนั้นล่ะ...หลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้วสุดท้ายคนที่มานั่งเสียใจก็เป็นตัวผมอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ถึงทำแบบนั้นไปสุดท้ายแล้วอิมิเลียก็ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาจากความตายอยู่ดี
ถ้าหากสวรรค์นั้นมีจริงอิมิเลียที่เฝ้ามองผมจากบนสวรรค์คงจะเสียใจ เศร้าโศก และผิดหวังในตัวผมที่กลายเป็นปีศาจอย่างแน่นอน
ผมจะไม่ยอมให้สัญชาตญาณแวมไพร์เข้าครอบงำจนเกิดเหตุการณ์ที่นองเลือดยิ่งกว่านี้อีกแล้ว...
...เพราะอย่างนั้นผมถึงตัดสินใจเลือกที่จะหนีออกไปจากเมืองนี้อย่างไรล่ะ
และแล้วมหกรรมการล่าปีศาจครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้น
.
.
.
.
.
.
...ผมยัง...ไม่ตาย...อย่างนั้นหรือ?
ผมเหม่อมองท้องฟ้าทว่าถูกบดบังด้วยแมกไม้บางส่วนทำให้ไม่สามารถมองเห็นท้องฟ้ายามราตรีได้เต็มที่เหมือนบริเวณโล่ง ร่างกายของผมในตอนนี้คล้ายคนป่วยเป็นอัมพาตขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ดั่งใจนึกแม้กระทั่งกระดิกนิ้วตนเองยังแทบกระดิกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ถ้าหากผมเป็นมนุษย์ผมคงตกหน้าผาตายไปนานแล้ว
เพราะได้เบาะธรรมชาติอย่างต้นไม้ใหญ่ทำให้เวลาร่วงลงมาเลยเจ็บน้อยลงแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ใกล้เคียงกับคำว่าเจ็บมากจนร่างแทบแหลกสลายอยู่ดี
กระสุุนเงินที่ผมเคยเอาออกตอนหลบซ่อนตัวในเมืองบางส่วนถูกแทนที่ด้วยกระสุนเงินชุดใหม่ทำให้บาดแผลที่ควรจะดีขึ้นแล้วกลับมาแย่ลงเหมือนดังเคยหรือเผลอๆ อาจจะแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะพวกนักล่ากับทางโบสถ์ไม่เคยคิดจะปรานีแวมไพร์อยู่แล้วไล่ล่าติดตามยิ่งกว่าวิญญาณพยาบาทเสียอีก
ต่อให้เข้าอาณาเขตที่คาร์ลไฮนซ์กำหนดเอาไว้มันก็ไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นเลย ถึงแม้ว่าผลของคำสาปจะหยุดแต่ทว่าบาดแผลก็ยังคงไม่สมานตัวเองดีไม่ดีผมอาจจะตายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่นาทีข้างหน้าต่อจากนี้เลยด้วยซ้ำ
...หรือบางทีนี่อาจจะเป็น 'จุดจบ' ของผม
คนรักของตนเองก็ปกป้องไว้ไม่ได้แม้แต่ร่างก็ยังหาไม่เจอ ถูกสาปส่งให้ไปตายทั้งที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย โดนตามล่าจากทั้งชาวบ้านธรรมดาและทางโบสถ์ทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน
...และต้องมาตายทั้งที่ทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลังแบบนี้
ผมเกิดใหม่ในฐานะ 'มิไฮนซ์' เพื่ออะไรกันแน่...? เพื่อเผชิญกับความทุกข์ทรมานซ้ำสองเหมือนชาติที่แล้วอย่างนั้นหรือ?
หรือว่าสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นพรจากสวรรค์แท้จริงแล้วมันเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์กันแน่?
ถ้ามันเป็นการลงทัณฑ์จริงมันเป็นการลงทัณฑ์ที่เจ็บปวดมากที่สุดถึงแม้ว่าผมจะเตรียมใจรอรับการลงทัณฑ์จากบาปที่ผมเคยก่อไว้ก็ตาม
ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผมแล้วไม่ใช่ความทุกข์ทางกายแต่เป็นความทุกข์ทางใจ มันคอยผลักดันให้ผมอยากตายเพื่อลืมความเจ็บปวดนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันทว่ายังมีครอบครัวและคนที่รักเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งเอาไว้ทำให้ผมต้องทนขมขื่นมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพวกเขา
และนั่นทำให้ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดสำหรับผม
ผมยังไม่อยากตาย...ผมไม่อยากทิ้งพวกเขา...
ไม่อยากทิ้งครอบครัวคนสำคัญของผมให้เผชิญกับชะตาอันโหดร้ายที่กำลังรอพวกเขาอยู่ข้างหน้านี้เอาไว้เลย...
แซ่ก! แซ่ก! กรรรรรรรรรร...!!
เสียงแซ่กๆ เหมือนมีอะไรแหวกพงหญ้าดังขึ้นและยิ่งดังขึ้นยามระยะห่างระหว่างผมกับเจ้าสิ่งนั้นสั้นลง ต่อให้ผมไม่มองแหล่งที่มาของเสียงก็พอรับรู้ได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชอบแว้งกัดเจ้านายของผมเองสงสัยมันคงตามกลิ่นเลือดมาที่นี่อย่างแน่นอน
เสียงขู่คำรามลอดไรฟันของเจ้าหมาป่าตัวเขื่องดังขึ้นถ้าให้ผมเดานะว่ามันมองผมเป็นก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ที่วางกองอยู่ตรงหน้านี้และในไม่ช้าหมาป่าทั้งฝูงต่างก็มารุมขย้ำฉีกทึ้งร่างผมเป็นชิ้นอย่างแน่นอน ก็มันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของผมนี่นะอีกอย่างผมเคยขู่ฆ่าพวกมันยกฝูงมาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วจะแค้นก็ไม่เห็นแปลกเลย ไม่น่าเชื่อนะว่าความตายมันมาเร็วกว่าที่คิดและไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
พระผู้เป็นเจ้าจะไม่หยุดเมตตาต่อผู้ที่แสวงหาพระองค์อย่างนั้นหรือ...?
บางทีมันอาจใช้ไม่ได้ผลกับผมก็ได้เพราะผมมันคนบาปหนา และคนบาปหนาจะต้องเจอกับความทุกข์ทรมานที่ยิ่งกว่าตกนรกหมกไหม้ ยิ่งกว่าโดนไฟชำระแผดเผา ไม่ว่าเพียรพยายามเท่าใดสุดท้ายเงาหลอนแห่งอดีตก็ตามมารังควานและทำร้ายคนที่เรารักอยู่ร่ำไป
เป็นไปได้ไหมที่ว่าความตายที่โหดร้ายต่อทุกชีวิตบนโลกใบนี้คือความสงบสุขที่แท้จริง?
สติสัมปชัญญะเริ่มดับลง ร่างกายเริ่มหนักอึ้งจนไม่อยากคล้ายเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนยาวนานเสียจนไม่รู้ว่าจะตื่นจากความฝันอันยาวนานนี้หรือไม่ ความมืดรัตติกาลอันเงียบงันเข้ามาแทนที่แสงสว่างอันเรืองรองคอยโอบร่างกายนี้เหมือนกลับเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครั้ง ให้ความรู้สึกเงียบสงัดไร้ซึ่งการรับรู้สิ่งใดเลยทั้งความหนาวเย็นและความอบอุ่น ความทุกข์และความสุข ความยินดีและความโศกศัลย์
ถ้าหากมันถึงเวลาของผมจริงๆ แล้วก็...ตัวผมเองก็ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว...
ผมหลับตารอพญามัจจุราชมาขย้ำฝังเขี้ยวคมลงบนคอกระชากมันออกมาดับชีวิตของผมนี้ซะ ทว่าเวลาผ่านไปเจ้าหมาป่าตัวเขื่องและลูกฝูงของมันนั้นยังคงอยู่นิ่งไม่ขยับไปไหน สิ่งที่พวกมันทำคือมองมาที่ผมเพียงเท่านั้นไม่มีสิ่งอื่นใด
แล้วจากนั้นร่างสูงอันแสนคุ้นเคยของราชันย์แวมไพร์นั้นโผล่ออกมาและโอบอุ้มร่างอันแสนหนักอึ้งเหลือและว่าเปล่าของผมเดินออกจากป่าอันแสนมืดมิดนี้ไป
ทำไม...?
คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของผม ผมอยากจะถามเขาแต่เพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรแล้วทำไมผมไม่สามารถเอื้อนเอ่ยในสิ่งที่ผมต้องการออกมาได้ ทำได้เพียงแต่คำถามคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาภายในใจเท่านั้น
ทำไม? ทำไมกัน? ทั้งที่ผมเกลียดคุณและพยายามฆ่าคุณมาหลายต่อหลายครั้งแล้วทำไมถึงมาช่วยคนอย่างผมกัน ผมน่ะเป็นอุปสรรคต่อแผนการใหญ่ของคุณนะ การที่ไม่มีผมเป็นก้างขวางคอย่อมเป็นผลดีมากกว่าแท้ๆ แต่ทำไม...
ทำไม...คุณถึงช่วยชีวิตผมเอาไว้?
เหมือนคำถามนี้ถูกล่วงรู้ คาร์ลไฮนซ์ก้มลงสบมองดวงตาสีม่วงอัญมณีอันหม่นหมองแทบไม่เหลือประกายแสงสวยงามให้เชยชม ริมฝีปากหยักทรงเสน่ห์ของเขาจรดลงบนหน้าผากมนที่สกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดอย่างไร้ซึ่งความรังเกียจใดๆ
...และเอื้อนเอ่ยในสิ่งที่ผมต้องการออกมา
"เพราะฉันรักเธออย่างไรล่ะ มิไฮนซ์...ฉันรักเธอมากยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้และเพราะแบบนั้นฉันไม่มีวันยอมให้เธอตายจากฉันไปง่ายๆ แบบนี้หรอก"
ราชันย์แวมไพร์ว่าแล้วกระชับอ้อมแขนตนโอบอุ้มผมให้มั่นคงราวกับเป็นการตอกย้ำคำพูดเหล่านั้นให้เป็นความจริงหาใช่เรื่องโป้ปดมดเท็จแต่อย่างใด
'รัก' อย่างนั้นหรือ...?
คำพูดอันแสนสั้นและเรียบง่ายทว่าเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวไหลหลากทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างบ้าคลั่งดั่งสัตว์ร้ายหิวกระหายตลอดเวลาและมันจะไม่หยุดจนกว่าความหิวกระหายเหล่านี้จะได้รับการเติมเต็ม
ความรักของแวมไพร์ช่าง...น่ากลัวเสียจริงๆ
ผมหลับตาลงเอนศีรษะซบลงบนอกของคนที่ผมเกลียดมากที่สุดในชีวิตเป็นครั้งแรก ปล่อยกายปล่อยใจให้ล่องลอยอยู่ในภวังค์นิทราเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันหลงวนเวียนอยู่กับความสุขจอมปลอมที่จินตนาการขึ้นมาเองและมันไม่มีวันเป็นจริงได้อีกแล้ว
ความฝันที่ว่าอิมิเลียเด็กน้อยของผมที่เป็นดั่งของขวัญของพระเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขท่ามกลางแสงสว่างนั่นเอง...
....................................................
Let's Talk with Writer :
สำหรับตอนนี้ขึ้นชื่อว่าโหดหินมากและยาวมากเลยทีเดียวเพราะชื่อตอนคือ 'พังทลาย' ค่ะมันสื่อให้ถึงความสัมพันธ์ที่พังทลายลงมาไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างมิไฮนซ์กับอิมิเลีย ความรักระหว่างมิไฮนซ์กับพี่น้องซาคามากิ เน้นหนักพิเศษคือความสัมพันธ์ระหว่างชูกับเรย์จิที่มันพังแล้วยิ่งพังเข้าไปใหญ่ค่ะ
ตอนนี้ยอมรับว่าทั้งจุกทั้งหน่วงจริงๆ ตอนนี้น้องก็โดนคนตามล่าซึ่งมันจะไปโยงกับตอนที่ 4 ช่วงแรกเลยค่ะ เป็นการอธิบายว่ามันเกิดเหตุอะไรขึ้น? เธอคนนั้นที่มิไฮนซ์กล่าวถึงเป็นใคร? และขอบอกไว้ก่อนเลยว่าตอนต่อจากนี้ก็ยังคงทั้งจุกทั้งหน่วงเหมือนเดิมจนแทบจะปลดล็อกสกิลตับทองคำได้แล้ว
เอาเป็นว่ามารอลุ้นกันว่าตอนหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป สุดท้ายนี้ก็ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^
ความคิดเห็น