ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [สีแดง!] บทความของสีแดงทุกคนค่ะ

    ลำดับตอนที่ #8 : [รอบที่ 5] Climax

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 210
      0
      18 มี.ค. 52

    ตอนที่ 2

    เมื่อความสงบกลับคืนสู่ชุมชนอีกครั้ง...

    ชาวเมืองที่เห็นว่าเริ่มปลอดภัยจึงค่อย ๆ ทยอยออกมาจากที่ซ่อน ทุกคนพากันไม่เชื่อสายตาตนเองว่า ยักษ์ตัวใหญ่ร่างมหึมาเพียงนั้นจะถูกปราบลงได้โดยผู้ชายเพียงคนเดียว

    ชาวเมืองพากันออกตามหาชายปริศนาในชุดรุ่มร่ามสีขาวซึ่งสามารถโค่นยักษ์อัปลักษณ์ลงได้ แต่หาอย่างไรก็คงจะไม่พบ เพราะจอมขมังเวทผู้นี้ได้ไปหลบซ่อนตัวในตรอกแคบๆเสียแล้ว ซ้ำยังมีนาคหนุ่มผู้มีเรือนผมสีเขียวถูกลากตามมาอย่างไม่เต็มใจนัก

    ข้าว่าเรารีบเผ่นกันก่อนเถอะ บังเอิญข้าไม่ชอบอะไรที่เอิกเกริกนัก ทิวาบอกกับนาคหนุ่ม พร้อมกับคว้าข้อมือแล้วพากระโดดหนีขึ้นไปบนหลังคาบ้าน ซ้ำยังกระโดดต่อไปยังหลังคาบ้านถัดไป หลังแล้วหลังเล่า... โดยไม่คิดสนใจเลยว่ามือของวชิรนาคแทบจะขาดจากร่างอยู่แล้วถ้าเขายังดึงอยู่แบบนี้

    อ้าก! หยุดก่อน เดี๋ยว...อ้ากๆ !” วชิรนาคร้องเสียงหลงจนทิวาตกใจรีบหยุดตามคำขอทันที แถมไม่หยุดเปล่ายังเผลอปล่อยมืออีกต่างหาก นาคหนุ่มจึงล้มกลิ้งขลุกๆ ไหลไปตามหลังคาแล้วร่วงหล่นสู่พื้นเบื้องล่าง

    อ๊ะ... ทิวาหลุดอุทานก่อนจะรีบกระโดดตามลงไปดูอาการของวชิรนาค ข้าขอโทษ เจ้าเป็นอะไรไหม

    จะฆ่ากันใช่ไหม วชิรนาคตอบติดตลกพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะที่กระแทกกับตัวบ้าน ร่างกายของเขาต่างจากมนุษย์ทั่วไป มิเช่นนั้นเขาคงขึ้นสวรรค์ตั้งแต่เจอยักษ์แล้ว

    ถ้าไม่เป็นไรก็ยืนขึ้นเร็ว พอถึงทางข้างหน้านี้ก็จะออกจากเมืองแล้ว ทิวากล่าวพร้อมกับยื่นมือมาให้ วชิรนาค มือเรียวของจอมขมังเวทดึงนาคจำแลงออกวิ่งต่อด้วยความรวดเร็วปานสายลม สุดท้ายนาคหนุ่มก็ก้าวตามไม่ทันและโดนลากไถไปกับพื้นในที่สุด...

    ในที่สุดชายหนุ่มทั้งสองก็ออกจากเมืองแห่งนี้ได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งคู่ตั้งใจจะวิ่งหนีเข้าไปในป่า แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นเท่าใดนัก เมื่อขาเจ้ากรรมของนาคจำแลงดันไปสะดุดกับเถาวัลย์เลื้อย ทว่ามือใหญ่กลับไวกว่าคว้าตัวทิวาไว้ หวังใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยว แต่กลับดึงชายหนุ่มให้ล้มลงมาด้วย

    เฮ้ยยย!!ได้ยินเพียงเสียงร้องของทิวาก่อนที่เขาทั้งคู่จะกลิ้งล้มไปด้วยกัน แต่สัมผัสที่ได้กลับนิ่มแทนที่จะเจ็บ และเมื่อลืมตาขึ้นมาจึงรู้ว่า...

    เขากำลังคร่อมทับร่างของทิวาอยู่...

    ใบหน้าที่ชิดใกล้จนลมหายใจเป่ารดกัน ทำให้เขาเผลอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีอำพันคู่สวยด้วยความลืมตัว นัยน์ตาคมคล้ายกับแมว...ดูลึกลับและน่าหลงใหลอย่างประหลาดจนเขามิอาจจะละสายตาไปไหนได้ จนกระทั่ง...

    เฮ้ย! เจ้าจะทำอะไรน่ะทิวาอุทานก่อนผลักอกของเขาออก ชันตัวลุกขึ้นแล้วรีบจ้ำเดินหนีโดยไม่คิดจะรอเขาเลยแม้แต่น้อย วชิรนาคซึ่งตั้งสติได้ทีหลังจึงผุดลุกขึ้นเดินตามไปอย่างไม่เข้าใจท่าทีของร่างโปร่ง เขารีบไล่ตามแล้วคว้าแขนของทิวาเอาไว้

    เป็นอะไรหรือเปล่า!?” นาคหนุ่มถามด้วยความกลัวว่าทิวาอาจจะเจ็บเพราะเขา หากร่างนั้นกลับสะบัดหน้ามาจ้องเขาเขม็ง ดวงหน้านั้นขึ้นสีแดงจัดอย่างชัดเจน ด้วยฤทธิ์ความโกรธหรือเพราะอะไร วชิรนาคก็ไม่อาจหยั่งรู้ถึง

    ระหว่างทางเขาสังเกตเห็นทิวาคอยเก็บกิ่งไม้เล็กใหญ่ไปตลอดทาง ในที่สุดจึงต้องเอ่ยถาม หากชายหนุ่มกลับบอกให้เขาช่วยเก็บเสียเอง... เมื่อออกห่างตัวเมืองได้สักพักแล้ว พวกเขาทั้งสองจึงตัดสินใจหยุดพัก โดยเลือกนั่งใกล้ ๆ บริเวณน้ำตกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง รอบด้านเป็นป่าไม้เขียวชะอุ่มดูอุดมสมบูรณ์

     ข้ามีเรื่องตั้งมากมายอยากจะถามเจ้า... ทิวากล่าวพลางวางย่ามสะพายลง นำไม้ที่เก็บจากตลอดทางมาวางกองรวมกันไว้ และก่อเป็นกองไฟขึ้นมา... วชิรนาคจึงพึงเข้าใจในทันที

    แต่ตอนนี้ข้าหิวแล้ว คงต้องหาอะไรมาใส่ท้องเสียก่อน

    หิว? หมายถึงความต้องการอาหารหรือ วชิรนาคเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

    เจ้าไม่เคยหิวเช่นนั้นรึ?

    ไม่ ข้าไม่เคยหิว

    จ๊อก...

    เสียงท้องร้องขัดจังหวะการสนทนา ดังมาจากท้องของวชิรนาคผู้ซึ่งกล่าวว่าตนไม่เคยหิวนั่นเอง...เรียกให้หมอผีหนุ่มต้องหลุดยิ้ม

    อะไรกัน เวลาข้าอยู่เมืองบาดาลข้าอิ่มทิพย์นะ

    ฮะๆ ข้าว่าเจ้าคงจะอิ่มทิพย์เฉพาะตอนอยู่เมืองบาดาลกระมัง ทิวายกมือขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะ วชิรนาคจึงได้แต่เกาศีรษะแก้เก้อ ระหว่างรอย่างกิ้งก่าที่ทิวาจับมา ทั้งคู่ก็เริ่มสนทนากันไปพลาง

    นึกถึงตอนที่เจ้าถมน้ำลายใส่ยักษ์ตนนั้นแล้วข้าอดขำไม่ได้ ตอนนั้นเจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ทิวาเอ่ยถามพลางหัวเราะคิกคัก

    ข้าตั้งใจจะพ่นพิษ...เดี๋ยวก่อน เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้าดูข้าสู้อยู่ตลอดสิ วชิรนาคถามกลับ ดวงตาสีแดงเพลิงจ้องไปที่ชายหนุ่มอย่างต้องการคำตอบ

    ใช่ ข้ามาถึงตั้งแต่ตอนที่เจ้าวิ่งไปช่วยเด็กคนนั้นแล้ว เพราะข้าเองก็กำลังจะทำเช่นเดียวกับเจ้า แต่ถูกเจ้าตัดหน้าไปเสียก่อน ทิวากล่าวพลางพลิกไม้ให้ไฟรมทั่วถึง

    วชิรนาคพยักหน้ารับ รู้สึกมั่นใจขึ้นไปอีกว่า จอมขมังเวทผู้นี้เป็นคนดีจริง ๆ

    ว่าแต่พิษของเจ้า มันร้ายกาจขนาดที่เจ้าต้องยอมเสี่ยงไต่ขึ้นไปพ่นใส่หน้ายักษ์เชียวรึ ทิวาเอ่ยถามอย่างสงสัย

    พิษของข้ามีฤทธิ์คล้ายกับสายฟ้าฟาด หากถูกเข้าแม้เพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าเลยทีเดียว วชิรนาคอธิบายถึงสรรพคุณฤทธิ์ของตน

    แล้วนาคร้ายกาจอย่างเจ้าทำไมถึงขึ้นจากเมืองบาดาลมายังเมืองมนุษย์ล่ะ

    ข้ามาเพื่อตามหาสตรีนางหนึ่ง ซึ่งข้าตกหลุ่มรักนางตั้งแต่แรกพบ

    แสดงว่านางงดงามมากสินะทิวาว่าพลางกลอกตาจินตนาการถึงนางในฝันของนาคหนุ่ม หากภาพที่ปรากฎกลับเป็นภาพนางกากีที่เขาเพิ่งอ่านเจอมาในหนังสือเสียอย่างนั้น

    ใช่ ข้าไม่อาจหักห้ามใจได้อีก จึงดั้นด้นจากเมืองบาดาลมาเมืองมนุษย์เพื่อออกตามหานาง วชิรนาคเอ่ย ดวงตาสีแดงสว่างทอดมองกองเพลิงตรงหน้า... ก่อนกล่าวต่อ

    แต่หากข้ายังออกตามหานางเพียงลำพัง ข้าคงไม่อาจค้นหานางเจอได้แน่

    เจ้าหมายถึง... ทิวาเว้นช่วงไว้เป็นเชิงรู้ นาคหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา และกล่าวด้วยความหนักแน่น

    ใช่ ได้โปรดเดินทางไปกับข้าเถอะ

    เอ่อ... ทิวามีท่าทีลังเลเล็กน้อย เขาเงียบไปสักพักเหมือนกำลังคิด ...คงได้กระมัง

    ขอบคุณมาก ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลย วชิรนาคถึงกับก้มลงไปกราบแทบเท้าของจอมขมังเวท

    เฮ้ย... ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทิวาตกใจจนเผลอกระโดดหนีไม่ให้นาคหนุ่มกราบโดนเท้าตัวเอง

    หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว ทิวาก็หยิบแว่นขยายออกมาจากย่าม เป็นแว่นขยายที่ใช้ส่องขยายไม่ได้ เพราะเลนส์นั้น มองผ่านลงไปเห็นแต่เพียงแต่สีดำสนิทเท่านั้น

    เจ้ารู้ชื่อของนางรึเปล่า

    เอ่อ...ไม่รู้

    ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่มั่นใจเสียแล้วว่าจะหาเจอไหม ทิวากล่าวก่อนจะหลับตาลงและเริ่มบ่นพึมพำคล้ายกับท่องมนต์ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วเป่ามนต์ใส่แว่นขยายนั้น แต่ไม่ปรากฏสิ่งใดขึ้นเลย

    สงสัยจะใช้แว่นวิเศษหาไม่ได้กระมัง ทิวากล่าวอย่างผิดหวังเล็กน้อย และเก็บแว่นวิเศษนั่นเข้าย่ามไป ก่อนจะเริ่มก่อกองไฟขึ้นใหม่ ซึ่งชายหนุ่มก็แอบสงสัยในใจว่าทำไมไม่ใช้กองไฟเก่าเมื่อครู่ แต่ก็ไม่ได้ท้วงติงอะไร

    แบมือสิ ทิวาหยิบขวดแก้วออกมาจากย่ามแล้วเทผงที่อยู่ในขวดนั่นใส่มือของนาคหนุ่ม

    ให้เจ้าจินตนาการถึงภาพนางในฝันของเจ้า แล้วโยนผงนั่นเข้ากองไฟไปเสีย

    วชิรนาคทำตามที่จอมขมังเวทกล่าว จินตนาการถึงภาพของหญิงสาว แพขนตายาวงอนทาบสนิทตรงแก้มใส  ริมฝีปากอวบอิ่ม ใบหน้ากลมอ่อนเยาว์เลียบล้อมไปด้วยเส้นผมสีดำขลับ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ภาพของนางก็ยังคงตราแน่นในใจ... เมื่อนึกภาพแล้วนาคหนุ่มก็โยนผงประหลาดในมือเข้าใส่กองไฟไป

    เมื่อผงประหลาดนั่นถูกโยนเข้าไฟไปแล้ว ก็เกิดเสียงท่อนไม้ลั่นเปรี๊ยะๆ ดังไม่หยุด วชิรนาคยืนดูด้วยความตื่นเต้นว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง

    ตูม!!

    หากกองไฟเกิดระเบิดขึ้น ควันไฟฟุ้งโขมงไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มทั้งสองเผลอสูดควันเข้าไปจนไอสำลักกันไม่หยุด พอควันไฟจางลง ใบหน้าของทิวาและวชิรนาคก็ดำเมี่ยมทั้งคู่จนดูไม่จืด

    “…ฮะๆ ...สงสัยหยิบผิดขวด ทิวาหัวเราะแห้งก่อนจะยิ้มแก้เขิน

    ...ฮะๆ วชิรนาคเห็นดังนั้นก็เลยหัวเราะตาม...

    จอมขมังเวทและนาคหนุ่มนิ่งเงียบไป ต่างฝ่ายก็จ้องมองใบหน้าที่ดำเมี่ยมไปด้วยเขม่าควันของอีกฝ่าย ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงชั่วครู ก่อนจะ...

    ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ !!”

    ทั้งคู่ระเบิดหัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง ทิวาพยายามจะยกมือของป้องปากตัวเองไว้ แต่มือนั้นกลับไร้เรี่ยวแรงที่จะทำแบบนั้นได้ ส่วนวชิรนาคนั้นถึงกับลงไปขำกลิ้งกับพื้น

    ไม่นาน ชายหนุ่มทั้งสองต้องกลับไปตั้งสติ เช็ดหน้าเช็ดตาให้สะอาด ก่อนจะกลับมาเริ่มต้นก่อกองไฟใหม่ ทิวาเทผงประหลาดใส่มือของวชิรนาคอีกครั้ง

    แน่ใจนะว่าคราวนี้ถูกขวด นาคหนุ่มเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

    แน่ใจ เชิญเจ้าทำแบบเมื่อครู่อีกครั้งเลย เมื่อได้ยินคำยืนยัน วชิรนาคจึงเริ่มจินตนาการถึงภาพนางอีกครั้ง ก่อนจะโยนผงประหลาดในมือเข้ากองไฟไป เกิดเสียงท่อนไม้ลั่นเปรี๊ยะๆ ดังไม่หยุดคล้ายกับเมื่อครู่ วชิรนาคสังหรณ์ใจไม่ดีจึงยกแขนขึ้นกำบังตัวเอง

    ต่อมาไม่นานก็บังเกิดควันไฟสีเทาพวยพุ่งออกจากกองไฟ ควันนั่นพุ่งออกมาเรื่อยๆ และก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายกับสิ่งก่อสร้าง ...หอคอยระฆังขนาดใหญ่? ควันไฟก่อตัวเป็นรูปร่างไม่นานก็ค่อยๆ จางหายไป

    ...ข้ารู้ที่อยู่ของนางในฝันของเจ้าแล้ว ทิวากล่าว

    หา? แต่ข้าไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย วชิรนาคกล่าวอย่างงงงวย แค่ภาพหอคอยระฆังก็ระบุสถานที่ได้แล้วเช่นนั้นหรือ

    ข้ารู้จักเมืองที่มีหอคอยระฆังยักษ์นี่ เดี๋ยวข้าพาไปเอง แล้วจอมขมังเวทก็เดินนำเข้าไปในป่า โดยมีนาคหนุ่มตามเข้าไปติดๆ

     

    ชายหนุ่มทั้งสองเดินทางกันต่อจนกระทั่งถึงเวลาอาทิตย์อัสดง...

    พักที่นี่ก่อนเถอะ ทิวากล่าวเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงริมแม่น้ำบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ที่ดูท่าจะพอกันฝนได้บ้างในเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มมืด 

    ชายหนุ่มล้วงมือลงไปในย่ามคู่ใจ  ก่อนจะจัดแจงปูเสื่อเสียเรียบร้อย  ฝ่ายนาคหนุ่มที่ปิดปากเงียบสนิทไม่พูดอะไรมานาน  พอเห็นมีคนจัดแจงจัดที่นอนให้เสียดิบดีก็จัดการล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อย  ต่างกับคนที่อุตส่าห์ปูเสื่อเสียสบาย เหงื่อที่ไหลโทรมกายทั้งวันทำให้รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก แม้ในยามนี้จะมีลมเย็นๆพัดผ่านบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ก็ตาม แต่ความรู้สึกสบายตัวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับทิวาสักเพียงนิด

    เมื่อหันไปมองข้างๆ ก็เห็นชายหนุ่มที่แปลงกายกลับเป็นนาคดังเดิมขดตัวหลับสนิทดีแล้ว ทิวาก็ค่อยๆลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ  จัดแจงหยิบอุปกรณ์ที่จำเป็นออกจากย่าม  แล้วเดินเลาะไปตามริมฝั่งแม่น้ำ  จนถึงระยะที่ค่อนข้างไกลจากนาคหนุ่มที่ยังคงอยู่ในห้วงแห่งความฝัน

    ดวงจันทร์ข้างขึ้นเกือบเต็มดวงส่องสว่างให้เห็นร่างของชายหนุ่มที่กำลังปลดผ้าคลุมหัวออกช้าๆ  ชุดสีขาวถูกถอดออกหมดจนเห็นผิวเนียนใต้ร่มผ้า  มือทั้งสองกวักน้ำเย็นมาล้างหน้าจนผมสีดำเปียกมะล่อกมะแล่ก 

    ก่อนดวงตาสีอำพันจะจ้องนิ่ง เพื่อมองเงาของตัวเองในน้ำ 

    ดวงหน้าบนผิวน้ำติดเค้าจะสวยมากกว่าจะคม  แถมยังดูเรียวกว่าดวงหน้าในชายหนุ่มในยามนี้  คิ้วหนาดูบางกว่าความเป็นจริง  ริมฝีปากก็ยังดูอวบอิ่มกว่า  รวมถึงไหล่บางนั่น  และทรวดทรงองค์เอวที่ดูมีน้ำมีนวลมากกว่าร่างที่เก้งก้าง

    ราวกับเป็น... สตรีเพศ

     

    ภายใต้สายฝนที่โหมกระหน่ำยามราตรี...

    มีเพียงแสงกองไฟที่ส่องลอดออกมาจากถ้ำเล็ก ๆ ใต้ผาหินแห่งหนึ่ง ซึ่งพอจะสร้างความอบอุ่นให้พวกเขาทั้งสองได้แม้น้อยนิดก็ตาม

    นี่มันอะไรหรือ... วชิรนาคถามพลางจ้องมองไปยังไม้ที่เสียบอะไรบางอย่าง ผิงไว้เหนือเปลวไฟด้วยความประหลาดใจ

    กบน่ะ เวลาฝนตกจะมีเยอะทิวาเอ่ยพลางพลิกไม้ให้เนื้อโดนไฟทั่วถึง บางคนอาจสะอิดสะเอียนไม่กล้าทาน แต่ความจริงรสชาตินั้นก็ไม่เลวทีเดียว

    วชิรนาคพยักหน้ารับ ดวงตายังคงจ้องมองไปที่ กบย่างด้วยความพิศวงไม่หาย จนกระทั่งทิวาได้หยิบไม้ออกมาจากกองไฟและส่งให้เขา

    ขอบคุณ นาคหนุ่มเอ่ยและรับมากัดทันที!

    ร้อน!!” เขากับทิวาร้องออกมาพร้อมๆกัน ซึ่งจอมขมังเวทหนุ่มคงตั้งใจจะเตือนแต่หากไม่ทันเสีย

    เดี๋ยวสิ! ต้องเป่าก่อน มันร้อน ชายหนุ่มขึ้นเสียงราวกับดุวชิรนาคที่ผละปากออกมาพลางร้องโอดโอย

    ปากพองไหมนั่น ทิวาดึงไม้ออกมาจากมือเขา ก่อนจะจัดการเป่าให้แทน ชอบทำตัวเป็นเด็ก ๆ

    วชิรนาครับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังถูกคนข้าง ๆ ดุจึงทำหน้าสลด... ซึ่งพอทิวาเงยหน้าไปเห็นก็ต้องผลักหัวนาคหนุ่มเบา ๆ

    เจ้ามันเด็กจริง ๆ พอเห็นรอยยิ้มของทิวา นาคหนุ่มจึงเข้าใจว่าร่างโปร่งไม่ได้โกรธเคืองเขาจึงคลี่ยิ้มบางให้กลับ

    ไม่นานชายหนุ่มยื่นไม้เสียบกบย่างนั้นคืนให้วชิรนาค ซึ่งเขาก็รับมาด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ และพอเนื้อสัมผัสกับปากอีกครั้งกลับไม่มีความร้อนเหลือแล้ว

    อร่อยวชิรนาคเอ่ยชมสั้น ๆ ก่อนหันไปมองทิวาซึ่งนั่งทานอยู่เหมือนกัน เมื่อชายหนุ่มหันมาสบตากับเขาก็รีบหลบตาทันที

    ห...หนาวหรือเปล่าทิวาเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงที่ฟังดูขัด ๆ ก่อนหันไปหยิบผ้าสีดำออกมาจากย่ามสะพายสองผืน โยนให้เขาและห่มกายตัวเองไว้หนึ่งผืน

    ขอบคุณ... วชิรนาคกล่าวอีกครั้งก่อนยิ้มให้ ไม่ทันสังเกตว่าผู้ถูกขอบคุณนั้นก้มหน้างุดซ่อนแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อไว้ เวลาผ่านไปเพียงชั่วขณะ พวกเขาทั้งคู่ก็อิ่มแปล้พร้อมหนังตาที่เริ่มหย่อน อีกเพราะเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันด้วย

    เพียงเวลาไม่นาน วชิรนาคก็จมสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด หากทิวากลับไม่...แม้จะพยายามข่มตาให้หลับ แต่เขาก็ยังคงตาสว่าง ชายหนุ่มโยนฟืนเข้ากองไฟก่อนเหลือบไปมองใบหน้านาคหนุ่มที่หลับสนิท

    ชายหนุ่มฉวยโอกาสยื่นหน้าเข้าไปสำรวจใบหน้าคมนั้นชัดๆ...คิ้วโก่งเรียว รับกับจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเฉียบแถมมีคมเขี้ยวนิดๆ...ดูอย่างนี้แล้วก็เหมือนเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

    นานเข้า...รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาแปลกๆอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    พลัน...ร่างที่เขาถือโอกาสสำรวจเงียบ ๆ ก็พลิกมาคว้าตัวเขาไว้แล้วกดลงกับพื้น ก่อนจะเบียดริมฝีปากประกบจูบกับเขาโดยไม่ให้เวลาตั้งตัว!

    อื้อ...!” ทิวาซึ่งอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกครางประท้วง หากชายหนุ่มตรงหน้าก็ยังคงระดมจูบเขาจนไม่อาจเปล่งเสียงร้อง จากจูบที่เนิบนาบ... แปรเปลี่ยนเป็นบดขยี้อย่างโหยหา รู้สึกตัวอีกทีเขาก็เผลอรับจูบของนาคหนุ่มไปด้วยความลืมตัว

    ไม่นานวชิรนาคก็ผละริมฝีปากออก เอ่ยข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและเผ่วเบา...

    นางผู้เป็น...ที่รักของข้า...เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนร่างสูงจะหลับใหลไปอีกครั้งโดยที่ยังกอดเขาไว้อยู่ ทิวาซึ่งใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกเหมือนอกจะระเบิดออกมาจนทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่ปล่อยให้นาคหนุ่มกอดตนไว้ และเข้าใจในไม่ช้าว่า...

    วชิรนาคเพียงแค่ละเมอเห็นเขาเป็นนางผู้นั้น...

     

    ตัวเมืองขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตใจกลางของเมืองยิบย่อยรอบนอก...

    ผู้คนมากมายล้วนถูกดึงดูดให้เข้ามายังเมืองใหญ่แห่งนี้ ความเจริญรุ่งเรืองของมันก็เปรียบได้กับแม่เหล็กใหญ่ที่ดูดเศษเหล็กชิ้นเล็กให้เข้าหา

    นี่คือเมืองที่นางอยู่...

    ความคิดของนาคหนุ่มย้อนกลับไปเมื่อยามได้พบนางครั้งแรก ดวงหน้าแม้นยามนิทราก็ยังงามจนสะกดลมหายใจให้ขาดห้วง ความงามของนางยากจะหาคำใดมาเปรียบเปรย แม้อยากจะลบเลือนสักเพียงใดก็คงมิอาจทำได้สำเร็จ

    ทิวาเหลือบมองวชิรนาคก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ จอมขมังเวทหนุ่มกวาดสายตามองไปทั่วเมือง ก่อนที่ดวงตาสีอำพันนั้นจะไปหยุดอยู่ตรงบ่อน้ำที่ตั้งอยู่ตรงหน้า เขาสะกิดนาคหนุ่มพร้อมเอ่ยคำ

    ข้าว่าหากนางที่รักของเจ้างามขนาดที่ว่าจริง...ต่อให้ไม่เคยเห็นหน้าก็คงหาตัวได้ไม่ยากนัก เพราะฉะนั้นถ้าเราแยกกันหาก็คงจะเร็วกว่า อีก 1 ชั่วโมงค่อยมาพบกันที่บ่อน้ำนั่นก็แล้วกัน

    นั่นสินะ นาครับคำก่อนที่จะเริ่มแยกย้ายกัน

    ...ทว่าไม่ว่าจะเพียรหาเท่าไรก็กลับหาไม่พบ

    ด้วยความรู้สึกอับจนหนทางนาคจึงได้ขอให้เพื่อนร่วมทางช่วยตนอีกครั้ง แต่คำตอบที่ได้มากลับเป็นความว่างเปล่า เพราะแว่นวิเศษของทิวา ไม่เพียงแต่จะส่องหาจิตของนางไม่ได้ กลับยังโดนพลังอะไรบางอย่างปิดกั้นเอาไว้อีกต่างหาก

    แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดแสงลงมา ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มอันเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าวันนี้ใกล้จะหมดลงแล้ว

    เงาของคนสองคนทอดยาวไปตามผืนดิน นาคซึ่งเดินตามหานางในฝันด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม บัดนี้กลับรู้สึกท้อแท้ลงทั้งกายและใจ อิทธิฤทธิ์ของทิวาเองก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ การที่เขาลองส่องหาจิตของนางด้วยเครื่องมือวิเศษแต่กลับถูกบดบังด้วยพลังอันแกร่งกล้ากว่า...แสดงให้เห็นถึงความหวังอันริบหรี่เต็มทน

    จะมีผู้ใดบ้างที่มีฤทธิ์แก่กล้า ถึงขนาดสามารถบดบังจิตของผู้อื่นได้กัน?

    เท้าสองคู่ก้าวย่ำจนมาจบอยู่ ณ ศาลาริมแม่น้ำ ร่างของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ริมฝั่ง เรือนผมสีดอกเลายาวตรงถึงกลางหลัง ถูกมัดไว้ด้วยเศษอาภรณ์สีแดงสดซึ่งมีขลิบทองราวกับเป็นของสำคัญ ใบหน้าที่แม้นแสดงถึงวัยที่เข้าเลขสี่ไปแล้ว แต่ยังคงมีเค้าความสวย ดวงเนตรสีดำสนิทฉาบแววเศร้าหมองคลอด้วยน้ำใสชวนให้ผู้มองรู้สึกรันทดใจยิ่งนัก

    ท่านมีความทุกข์อะไรอยู่หรือแม่นาง?” เสียงถามไถ่ด้วยความหวังดีจากทิวา สตรีแปลกหน้าไม่แม้นจะหันมามอง นางยังคงก้มลงมองสายน้ำที่ต้องแสงสะท้อนของตะวันยามโพล้เพล้จนเป็นสีส้มเกลี่ยกับสีของผืนน้ำเช่นนั้นต่อ ครั้นเวลาผ่านไปสักพักนางถึงเอื้อนตอบชายหนุ่มด้วยเสียงสั่นระริก

    สามีของข้าเป็นทูต ได้ออกเดินทางไปกับบุตรสาวโดยเรือสำเภาลำหนึ่ง... น้ำเสียงของนางขาดห้วงลง ฝ่ามือทั้งสองกำผ้าถุงแน่น

    ทั้งคู่ไปยังต่างแดน...ไปยังแผ่นดินอื่นด้วยกิจของสามีของข้า...แต่แล้ว เรือสำเภานั้นกลับอับปางลง เคราะห์ยังดีนักที่ลูกสาวข้ารอดมาได้...

    คำว่าเรืออับปางชวนให้นาคหนุ่มเริ่มเอะใจ เดี๋ยวก่อนท่าน ลูกสาวท่านนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไรงั้นหรือ ด้วยเพราะคำถามที่ถามแทรกแลจะผิดมารยาทอยู่ ทิวาจึงส่งสายตาปรามเพื่อนร่วมทาง แต่เมื่อเห็นสีหน้าจึงพอเข้าใจ

    ลูกสาวข้าน่ะหรือ?”

    ใช่ครับท่าน ช่วยบอกลักษณะของนางตอนที่ออกเดินทางออกไปกับเรือที่ล่มจะได้หรือไม่ ทิวารับคำแทน ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงข้าง ๆ พร้อมขยับมือเรียกให้นาคมานั่งด้วย                                                                                                                          

    ลูกสาวของข้า... นางงามนัก งามยิ่งกว่าคำใดๆจะมาเปรียบเปรยได้ ใบหน้าของสตรีวัยกลางคนเริ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ

    เรือนผมสีดำขลับยาวสลวย ดวงหน้ารูปไข่มีผิวสีนวล ดวงเนตรสีดำที่ดูมีเสน่ห์ วันนั้นข้ายังจำได้ วันที่นางออกเดินทาง...ชุดที่นางใส่ อาภรณ์สีม่วง กับเครื่องประดับทอง แลดูโดดเด่นผิดกับเด็กสาวทั่วไปนัก

    ...แล้วนางรอดมาได้อย่างไร?” นาคหนุ่มวสาวความต่อ

    นางเองก็ไม่รู้...นางเล่าให้ข้าฟังว่าจำได้เพียงแสงไฟในน้ำสีแดงกำลังใกล้เข้ามา ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งนางก็อยู่บนหาดทรายเสียแล้ว

    ใช่นางจริง ๆ... วชิรนาคกระซิบเสียงกับทิวา จอมขมังเวทหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้

    แต่เรื่องยังไม่จบ โชคร้ายยังคงมี เคราะห์กรรมในอดีตคงส่งผลให้ตัวข้าต้องทนทุกข์เช่นนี้

    เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือท่าน?”

    ความยินดีปรากฏได้ไม่กี่วัน แต่แล้วมันกลับหายไป

    นั่นคือธรรมดาของมนุษย์ มีทั้งทุกข์และสุขปนเข้าด้วยกัน...ท่านระบายมันออกมาเถิด ดีกว่าเก็บไว้เพียงผู้เดียว หญิงวัยกลางคนหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับทิวา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วปาดน้ำตาทิ้ง

    พวกมันมากันเยอะนักจากทางทิศตะวันตก ฤทธิ์ก็มากยิ่ง ไม่มีใครต่อกรกับมันได้แม้นผู้เดียว ใครอาจหาญไปเผชิญหน้า ย่อมถึงคราววิบัติแก่ชีวิต แต่ลูกสาวข้า...กลับเป็นที่ถูกใจของมัน น้ำเสียงของนางเบาลง ก่อนจะกล่าวถึงผู้พรากลูกสาวตนไป

     รักตปักษ์ ครุฑที่จับลูกข้าไป มัลลิกาบุตรีของข้า...

    ครั้นเล่าจบนางก็ก้มหน้าร่ำไห้ ทั้งคู่มองนางด้วยความรู้สึกเห็นใจยิ่ง จอมขมังเวทจงล้วงมือเข้าไปในถุงย่าม ก่อนจะคว้าสร้อยขึ้นมาหนึ่งเส้นแล้วยื่นให้กับนางผู้นี้

    ท่านรับไว้เถอะ ถือเป็นเสมือนเครื่องรางนำโชค ชายหนุ่มกล่าวเมื่อเห็นสีหน้าของคู่สนทนา

    ...ขอบคุณสำหรับสิ่งของนี้ และขอบคุณที่รับฟังเรื่องราวของข้านะพ่อหนุ่มทั้งสอง

    ข้าเชื่อว่าลูกสาวของท่านจะปลอดภัยนาคจำแลงว่า ก่อนจะกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ราวกับจะถ่ายทอดความเชื่อมั่นออกไป

    นัยน์เนตรสีดำขลับของหญิงวัยกลางคนจ้องมองเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม มีเพียงความหวังดีจากนัยน์ตาสีเพลิงเท่านั้นที่ส่งกลับมา นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดชายหนุ่มทั้งสองถึงได้เป็นห่วงเป็นใยนางนัก หากแต่การกระทำเหล่านี้ก็ชวนให้รู้สึกถูกชะตากับคนทั้งสองเหลือเกิน

    นายหญิงเจ้าคะ ท่านควรจะกลับเรือนได้แล้วเดี๋ยวน้ำค้างลงจะไม่สบายเอาหญิงสาวผู้หนึ่งวิ่งมาอย่างเร่งรีบก่อนจะนั่งลงข้างนายหญิงของตน แล้วกล่าวคำพูด

    ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนายหญิง พยักหน้าให้ชายหนุ่มเล็กน้อยเป็นสัญลักษณ์ว่าเธอคงต้องไปแล้ว และคงต้องทิ้งให้ทั้งคู่นั่งอยู่กันตามลำพัง

    นางผู้นั้น ต้องเป็นคนที่เจ้าตามหาแน่

    ข้าเองก็เชื่อเช่นนั้น แปลว่าที่เจ้าไม่สามารถส่องหาจิตนางได้เพราะนางโดนครุฑบดบังจิตไว้สินะ

    ทิวาทำเพียงแค่นยิ้มแทนคำตอบ...

    นาคกับครุฑ สองเผ่าพันธุ์ที่เป็นศัตรูกันแต่ช้านาน...

    แต่ไม่เคยเลยที่นาคจะชนะครุฑได้...

    ข้าจะไปช่วยนาง ถ้อยคำที่ไม่คาดคิดดังขึ้นข้างกาย นาคหนุ่มลุกขึ้นยืน ใบหน้าจับจ้องไปยังทิศทางที่จันทราลอยเด่น ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง แต่คนข้างกายกลับรู้สึกว่าเป็นเพียงการนำชีวิตไปทิ้งเปล่า ๆ

    เจ้าจะไปกับข้าไหมทิวา?”

    เจ้าไม่กลัวหรือ?” จอมขมังเวทถามแทนคำตอบ ดวงตาสีทองสบกับสีแดง แม้นเวลานี้จะมืดแล้ว แต่แสงจากจันทร์กับดาวยังคงส่องสว่างอยู่ ทั้งคู่ถูกสีเงินของแสงจันทร์ฉาบร่าง ทิวาค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้น พร้อมถามย้ำอีกครั้ง

    เจ้าไม่กลัวหรือ เจ้าเป็นเพียงนาคนะ ริหาญจะไปรบกับครุฑเชียวหรือ?” นาคไม่ตอบ เขากลับหมุนตัวหันไปทางแม่น้ำแทน

    น้ำ...เป็นเสมือนที่อยู่ของข้า เป็นที่พักพิง หาใช่ที่อยู่ของครุฑไม่" วชิรนาคเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาสบตากับชายหนุ่มที่มองมาก่อนเอ่ยต่อ

    "และฟ้าก็เป็นที่อยู่ของครุฑ ไม่ใช่ที่อยู่ของเผ่าพันธุ์อื่นเช่นกัน แต่กับผืนดิน...ผืนแผ่นดินแห่งนี้…”

    คือพรมแดนกั้นระหว่างแผ่นฟ้ากับผืนน้ำทิวาสาวความต่ออย่างรู้ทัน ชายหนุ่มพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าถูกต้อง

    แผ่นดินกั้นระหว่างครุฑกับนาคา เป็นเกราะอันแข็งแกร่งที่ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ใดๆทั้งราชันย์แห่งฟ้า หรือเจ้าแห่งผืนน้ำก็ไม่ควรไปแสดงอำนาจความเป็นเจ้าของ"

     ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องตอบไม่เหมือนคนปกติ รอยยิ้มบางคลี่ออกบนใบหน้าจอมขมังเวท

    เจ้าคงคิดว่าข้าควรจะกลับสินะ

    ...ใช่ เจ้าอย่าจำใจสู้เลยทิวาตอบตามตรง ดวงตาสีอำพันที่เคยทอประกายกล้ากลับมีแววไหววูบอย่างชัดเจน

    คิดผิดแล้วทิวา ต่อให้ไม่ได้เป็นการช่วยนาง แต่ข้าเองก็คิดว่าเหล่าครุฑนั้นไม่ควรมารุกรานผืนดินเช่นนี้ หากเป็นเจ้า ก็คงคิดเหมือนข้า

                    ทิวาไม่ตอบรับ เขากะไว้เช่นนั้นอยู่แล้ว หากเพื่อความสงบสุขของเหล่าผู้คนแล้วล่ะก็...

                    ให้ข้าไปกับเจ้านะทิวา นาคเอ่ยด้วยสายตามุ่งมั่น

                    เขาไม่ได้สู้เพียงเพื่อรัก...

    ถ้าเช่นนั้น... เราก็เตรียมเดินทางกันเถอะ

    เมื่อตะวันของวันใหม่ฉายแสง ม่านราตรีถูกม้วนปิดให้รุ่งอรุณเรืองรองอย่างเต็มที่ ทั้งคู่ก็ออกเดินทางมุ่งไปทางทิศตะวันตก โดยหาจุดที่โดนฤทธิ์ของครุฑบดบังไว้ไปเรื่อย ๆ การเดินทางครั้งนี้เร่งรัดยิ่งกว่าเดิม เวลาในการพักและแวะข้างทางนั้นแทบจะไม่มี...

    พลัน...เสียงหัวเราะก็ดังสนั่นก้องรอบด้านจากทั่วเวหา เรียกให้ชายหนุ่มหนุ่มไหวตัว ส่องสายตามองไปยังต้นเสียงซึ่งปรากฎร่างใหญ่ยักษ์ของฝูงครุฑ ถลาเข้ามาบินร่อนอยู่เหนือหัวพวกเขา

    อย่างเจ้าน่ะหรือ จะไปต่อกรกับนายข้า เสียงนั้นว่าพลางหัวเราะลั่นอย่างเย้ยหยัน

    ถ้าข้าตอบว่าใช่ล่ะ หากนาคหนุ่มกลับสาวความตอบแข่งกลบเสียงของเหล่าครุฑ พวกมันหยุดหัวเราะก่อนพากันมองหน้าเขาด้วยแววตาเหยียดหยาม

    เป็นมนุษย์ที่กล้าหาญนัก แต่น่าเสียดาย...ที่เจ้าจะต้องตายวันนี้เนี่ยแหละ!” ทันทีที่คำรามจบ ฝูงครุฑพุ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายนาคหนุ่มให้ตายภายในโฉบเดียว! 

    พลันปรากฎหมอกควันแผ่กระจายออกมาบังร่างของเขาไว้ ป้องกันการโจมตีจากเหล่าครุฑได้ทันท่วงที ทิวารีบร่ายคาถาสร้างเขตอาคมใหม่อีกครั้ง ก่อนเอ่ยบอกอย่างรวดเร็ว

    เดี๋ยวข้าจัดการทางนี้เอง เจ้ารีบไปเถอะ

    แต่ว่า...

    รีบไปสิ!” ไม่ทันที่วชิรนาคจะได้แย้งอะไร จอมขมังเวทก็สรุปเองอย่างเด็ดขาด เมื่อเขาได้ยินดังนั้นจึงต้องจำใจพยักหน้ายอมรับแม้ในใจจะเป็นห่วงก็ตาม

    ...ฝากด้วยนะ ทิวา

     

    กาลเวลาล่วงเลยผ่านไป...จนหนทางเดินมาหยุดลงที่ผาแห่งหนึ่งในยามเย็น

    แม้นว่าแสงตะวันควรจะสาดเข้าเต็มหน้าเขา แต่กลับมีเพียงเงาขนาดใหญ่บดบังร่าง นาคก้าวออกไปข้างหน้า ให้ใกล้กับที่มาของเงาใหญ่นั่นยิ่งขึ้น...

    ร่างใหญ่ลอยอยู่กลางเวหา ค่อย ๆ ร่อนกายลงมาอย่างเชื่องช้าแต่น่าหวาดหวั่น ปากนกแลแหลมคม กายเป็นสีแดงฉานหุ้มอาภรณ์ชิ้นล่างด้วยสีอัสดง เครื่องประดับทองประดับประดาอยู่ทั้งส่วนหัวและลำตัว ดวงเนตรสีทองดุดันจับจ้องมายังนาคหนุ่ม แม้นกายท่อนบนจะแลเป็นมนุษย์แต่ท่อนล่างกลับเป็นปักษา ซ้ำที่แขนทั้งสองยังติดปีกที่กางกว้างราวกับจะอวดบารมีตนอยู่

    ถึงภาพลักษณ์จะคลึงคล้ายกับฝูงครุฑที่เขาเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่นี้...หากร่างตรงหน้ากลับแลดูน่าเกรงขามและทรงอำนาจเสียยิ่งกว่าครุฑทั่วไป... จนเขารับรู้ได้ทันทีว่า...ร่างนี้คือพญาครุฑ

    เจ้าเป็น...นาคสินะ น้ำเสียงของครุฑดังก้องสนั่นด้วยความน่าเกรงขามและทำให้รู้สึกสยดสยองไม่น้อย

    มีธุระอะไรบนผืนดินแห่งนี้เล่า... คำถามที่ไม่คล้ายคำถามส่อเจตนาแฝงไว้อย่างชัดเจน

    ข้า...วชิรนาค มานี่เพื่อจะช่วยมัลลิกา คำประกาศแลดูไร้ค่า เพราะขนาดกายยังแสดงถึงความทรงพลังได้ถึงเพียงนี้

    สายลมหนาวพัดแรงขึ้นเหมือนกับจะเร่งรัดให้เกิดการประหัตประหารกันโดยไว... ราวกับเป็นสัญญาณแรกเริ่มให้กับการต่อสู้ที่จะมาถึงในไม่ช้า...

    กล้ามากที่มาหาเรื่องข้าถึงนี่ ไม่กลัวข้าจับไปทำลูกชิ้นนาคหรือไร

    แม้ข้าจะกลัว แต่นี่คือสิ่งที่ข้าต้องทำ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×