"ภพอมฤต" หนึ่งในวรรณกรรม ผสมผสานแบบใหม่ อันทรงคุณค่าทางภาษา ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา และชาตินิยม.
เริ่มแรก อาตมา มีเพื่อนเกลอที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันมากว่าสิบปี เธอเป็นเพศที่สาม แต่ถ้าจะให้เล่ารายละเอียดคงจะนอกเรื่องจากบทวิจารณ์เป็นแน่ แต่สาเหตุที่ได้เข้ามาอ่านนวนิยายเรื่องนี้ก็มาจากเพื่อนคนนั้นนั่นแหละ เขาได้แนะนำอาตมามา เพราะอาตมาเองก็ชอบอ่านวรรณคดีร้อยกรองเป็นปกติอยู่แล้ว เลยบอกได้คำเดียวว่าในเรื่องประสบการณ์การอ่านหนังสือทั้งไทยและเทศ ก็ออกตัวได้ว่าไม่เป็นรองใครแน่นอน
เมื่อได้เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ในบทแรก ให้อารมณ์แปลก ๆ เหมือนกับอ่านวรรณคดีอยู่ เพราะเปิดบทนำมา ก็เกริ่นเรื่องได้น่าตื่นเต้นด้วยบทร้อยกรอง ที่มีลักษณะคล้ายการกล่าวปฏิญญาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็ทำให้เข้าใจได้ว่าคนประพันธ์เรื่องนี้ย่อมเป็นนักอ่านชั้นเลิศแน่นอน ทั้งมีความรู้ทางด้านภาษาที่ค่อนข้างอยู่ในระดับศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว ในตอนแรกที่อาตมารู้ว่านักเขียนอายุ 24 ปี เท่านั้น! ก็แทบไม่อยากเชื่อว่าเด็กยุคนี้จะมีความสามารถได้ถึงขนาดนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงปฏิเสธไม่ได้เพราะเขาได้แสดงความสามารถของเขาผ่านทางเรื่องราวออกมาได้อย่างละเอียดลออไม่เป็นรองศิลปินแห่งชาติเลยทีเดียว
เจาะประเด็นแรก ที่รู้สึกได้ชัดเจนของเรื่องนี้ คือนวนิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายที่มี "ตัวละครเอกเล่าเรื่อง" แต่บางครั้งบางทีที่ได้อ่าน ถ้าเกิดฉากไหนที่ตัวละครเอกผู้เล่าเรื่องไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ผู้ประพันธ์ก็จออกโรงมาเล่าเรื่องแทนตัวละครเอกเอง... ดูคล้ายกับผู้ประพันธ์ต้องการให้คนอ่านได้เข้าใจว่า ตัวละครเอกนั้น แม้จะเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เพียงใด แต่ก็ไม่ใช่ผู้เหนือกฎแห่งวัฏสงสารที่จะล่วงรู้เหตุการณ์ภายนอกไปได้, และการเล่าเรื่องแบบนี้ยังเป็นที่นิยมกันในนวนิยายต่างประเทศอีกหลายต่อหลายเรื่อง ดูทำให้เกิดความตื่นเต้นได้ในหลายฉากติดต่อกันไป และยังสรุปได้ว่า มันสมจริงมากขึ้นแม้จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ
ประเด็นที่ 2 คือ เนื้อหาของเรื่อง ที่แม้จะเข้าใจยากสำหรับผู้ที่ไม่ชอบนิยายหลากรส แต่ก็ทำให้คนเข้ามาอ่านได้จำนวนครึ่งพัน แม้จะเป็นเรื่องแรกที่กวีแต่ง แต่ก็รู้สึกนิยมในเนื้อหาอันทรงคุณค่าทางภาษา ที่ใช้คำตามสมัยนิยม และคำโบราณมาผสมกัน ซึ่งจะทำให้เด็กยุคนี้เข้าใจในภาษาไทยโบราณได้มากขึ้น แม้บางคำจะต้องใช้ความชำนาญด้านภาษามาตีความ แต่นั้นก็ทำให้ผู้อ่าน ได้ไปศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิว่าคำเหล่านั้นมีความหมายว่าอย่างไร อันจะทำให้มีความรู้ประดับสมองมากขึ้น, ส่วนเนื้อหาของแก่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์ ก็ยอมรับได้ว่าละเอียดจริงๆ ในเรื่องของความเชื่อของไทย ที่นำพุทธกับพราหมณ์มาผสมกันจนแยกไม่ออก เพราะศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่ทำให้เกิดศาสนาพุทธ ดังนั้นความสำคัญของพราหมณ์จึงมีค่ามากตามประวัติศาสตร์สังคมไทย และความรู้ที่นักเขียนใส่เข้าไปในแต่ละไดอะล็อคก็ทำให้ได้ความรู้ในเรื่องของประเพณีโบราณ รวมถึงเนื้อหาทางการทหาร ที่จะทำให้คนอ่านได้สำนึกในบุญคุณของบรรพบุรุษผู้ปกป้องแผ่นดินไทยไว้ด้วยชีวิต แม้บางค่านิยมผิด ๆ จะมาทำให้คนมองสถาบันทั้งสามเปลี่ยนไป แต่ถ้าได้อ่านนิยายเรื่องนี้แล้ว โยมทั้งหลาย จะทราบซึ้งในบุญคุณแห่งแผ่นดินที่คุ้มกะลาหัวมาตั้งแต่สมัยน่านเจ้าได้เต็มภาคภูมิ
ส่วนประเด็นสุดท้าย คือประเด็นเรื่องความรัก ที่อาตมามองว่า รักคือความดีที่ค้ำจุนโลก รักเป็นเสมือนลมหายใจที่ทำให้โลกหมุนต่อไป รักมอบให้ได้ไม่จำกัดเพศ เชื้อชาติ ศาสนา สังคม และฐานะ, ทั้งนี้ ภพอมฤตยังเป็นนิยายที่มีตัวละครเอกเป็น "ชายรักชาย" มาแต่กำเนิด (ตรงนี้อาตมามองว่า แม้ความรักจะไม่จำกัดเพศ แต่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะให้ผู้ที่มีกำเนิดเป็น Heterosexuality มารักเพศเดียวกันเอง เพราะความเป็นไปได้คือศูนย์ นอกเสียจากว่าคนคนนั้นจะเป็นไบเซ็กชวลหรือแพนเซ็กชวลมาตั้งแต่กำเนิดเท่านั้น ถึงจะสามารถรักเพศเดียวกันได้ตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติและมนุษย์วิทยา) ต่างจากนวนิยายแนววายเรื่องอื่น ๆ ที่มักจะให้ผู้ที่รักได้แต่เพศตรงข้ามมาแต่กำเนิด หันมาชอบเพศเดียวกันเองเพียงเพราะความพอใจ ซึ่งมันไร้เหตุผลที่เป็นความจริง ผิดจากนิยายเรื่องนี้และนิยายวายต่างประเทศที่ระบุเหตุผลอันเป็นวิทยาศาสตร์ไว้ชัดเจนถึงสาเหตุที่ชายต้องมารักชาย หรือหญิงต้องมารักหญิง ว่ามันเป็นเพราะเขาคนนั้นเป็นไบเซ็กชวล หรือเป็นโฮโมเซ็กชวลอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นนิยายวายเรื่องอื่น จึงหาสาระไม่ได้ต่างจากเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง,
นวนิยายเรื่องนี้รวมความรักไว้หลายแบบ ทั้งความรักของชายรักชาย ทั้งความรักของชายกับหญิง "แต่ความรักใด ๆ ในโลกนี้ ก็ไม่สู้ความรักต่อแผ่นดินเกิด" ซึ่งตัวละครเอกของเรา ได้แสดงผ่านชีวิตอมตะของเขาได้อย่างชัดเจนเห็นภาพและซาบซึ้งถึงใจผู้อ่านเช่นอาตมา.