ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อนุตัวร้าย

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 3/1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 60.14K
      2.24K
      14 ก.ค. 66


     

    บทที่ 3/1

                    ยามอู่ [11.00 - 12.59]

                    ท่ามกลางความวุ่นวายของตลาดในเมืองหลวง เหล่าบรรดาพ่อค้าทั้งหลายต่างที่แข่งกันอวดสินค้าของแต่ละคนและเหล่าคุณหนูจากตระกูลใหญ่จนถึงชาวบ้านธรรมดาที่เดินเลือกซื้อของ ลู่เอินก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน นับตั้งแต่นางลอบเข้าไปในเรือนของจิ้นเหอในคืนนั้นดูเหมือนว่าทุกอย่างเริ่มจะดีขึ้น ตอนที่นางไปหาเขาก็ไม่มีพ่อบ้านจงมาดักทางเช่นทุกครั้ง แต่ก็ใช่ว่าจะได้พบเขาทุกเมื่อไป มีบ้างที่เขายังไม่กลับมาจากทำงานจริงๆ และเมื่อเช้านางไปดักรอเขาทันจึงได้ขออนุญาติออกมาข้างนอกได้ นางเพิ่งเดินตลาดในยุคสมัยนี้เป็นครั้งแรก ยอมรับว่าชื่นชมและชอบตลาดที่นี่เป็นอย่างมาก ของต่างๆที่วางขายทั้งของกินและของใช้ช่างแปลกตาดูแล้วไม่น่าเบื่อซักนิด แล้วยังจะมีอากาศที่ไม่ร้อนอบอ้าวดังเช่นตลาดในเมืองไทยของนางนั้นอีก นางถูกใจที่นี่เป็นที่สุด

                    “วันนี้ข้าได้ยินว่าโรงเตี๊ยมเซียวซือมีอาหารใหม่มาลองขาย เจ้าได้ยินหรือไม่”เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลจากที่ลู่เอินยืนอยู่ซึ่งสามารถเรียกความสนใจจากหญิงสาวได้เป็นอย่างดี นางทำทีเดินไปหยุดเลือกซื้อของตรงร้านเครื่องประดับแถวนั้น

                    “ได้ยินสิ ข้าว่าจะไปอยู่นี้แหละ”และมีอีกเสียงหนึ่งตอบกลับมา

                    “พวกเจ้าจะทันรึ ข้าได้ยินจากพวกที่เพิ่งกลับมาโอญครวญกันว่าไปไม่ทันเพราะอาหารหมดแล้ว”เป็นเฒ่าแก่ร้านเครื่องประดับที่นางยืนอยู่ตอบกลับไป

                    “จริงหรือ ช่างน่าเสียดาย”

                    “นี่ ๆ ข้าไปทันนะ อาหารที่ลองขายนั้นข้าจำชื่อไม่ได้แต่มันอร่อยมาก”เสียงของสตรีวัยกลางคนข้างๆลู่เอินเอ่ยพรางยิ้มภูมิใจ

                    “ใช่ๆ อาหารที่โรงเตี๊ยมเซียวซือมีหรือจะไม่อร่อย”และมีอีกหลายเสียงที่ทั้งเสียดายและโอ้อวดว่าตนได้ไปกินมาแล้ว พร้อมทั้งเสียงชมว่าอาหารอร่อย

                    โรงเตี๊ยมเซียวซือ 

                    แน่นอนว่าลู่เอินเองก็รู้จัก ในนิยายกล่าวไว้ว่า หากโรงเตี๊ยมจิ้นทงเป็นสวรรค์ของผู้คนชั้นสูง โรงเตี๊ยมเซียวซือนับได้ว่าเป็นสวรรค์ของผู้คนชั้นปานกลางจนถึงชั้นล่าง ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมเซียวซือจะเป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่ คุณชายเซียวฉิน พระเอกของเรื่องและเป็นอริตลอดกาลของสามีนางอย่างไรเล่า นางได้อ่านเนื้อเรื่องเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมเซียวซือมาไม่มากนัก รู้เพียงว่า เพิ่งก่อตั้งเพียง 5 ปี โดยพระเอกของเรื่อง และ อาหารอร่อย ! จริงๆนะ นางก็รู้อยู่เท่านี้ แม้นางจะอ่านนิยายแต่นางก็ข้ามเนื้อเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพี่เหอไปหลายตอนเช่นกันทำให้นางรู้เพียงแค่หางอึ่ง ว่าอาหารอร่อย นางรู้เพราะอ่านผ่านและพอได้ยินคำยืนยันจากผู้คนในยุคนี้แล้ว นางก็อยากไปลิ้มลองสักครั้ง เผื่อสมองนางแล่นคิดหาวิธีที่จะช่วยพี่เหอเช่นไรดี

                    นางเป็นเพียงเด็กสาววัย 17 ปี ไม่ใช่เชฟผู้มีพรสวรรค์ในการทำอาหาร จะให้นางทำอาหารใหม่ ๆ ให้โรงเตี๊ยมของเขานะหรือ โรงเตี๊ยมจิ้นทงต้องเจ๊งก่อนเวลาอันควรแน่นอน ความรู้และความสามารถทางด้านอาหารของนางแทบเป็นศูนย์ ที่ทำเป็นนะหรือ ก็แค่ไข่เจียว รสชาติที่ทำก็ไม่ได้อร่อยมากมายนัก แค่พอกินได้เท่านั้น หรือจะให้นางเดินไปบอกเขาโต้งๆดี ว่าอีกไม่นานโรงเตี๊ยมของเขาจะต้องถูกปิดกิจการอย่างถาวรส่วนตัวเขาก็จะตาย ครานี้ละ เขาคงไม่ใช่พาดดาบไว้บนไหล่นางเล่นๆหรอก เขาจะต้องปาดคอนางแล้วสับนางเป็นชิ้น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แค่คิดน้ำตาก็พาลจะไหล

                    “นายหญิงเจ้าคะ”ลู่เอินดึงความคิดกลับมาหันมองหน้าซิ่วหลินเพื่อครุ่นคิด นางจะไปลิ้มลองอาหารอร่อยๆหรือจะกลับจวนดี

                    “อืมม...”ลู่เอินเม้มปากคำนวณข้อได้ข้อเสียของการไปโรงเตี๊ยมเซียวซือของนางในครั้งนี้

                    ข้อได้....แน่นอนว่านางได้กินอาหารอร่อย

                    ข้อเสีย...นางไม่รู้ว่ามีใครรู้จักนางบ้าง หากรู้จักคงไม่ดีแน่เพราะนางเป็นอนุของพี่เหอแต่ดันเข้ามากินอาหารในโรงเตี๊ยมเซียวซือทั้งๆที่สามีของนางก็มีโรงเตี๊ยมเช่นเดียวกัน คงจะถูกครหาไปในทางที่ไม่ดีแน่ เว้นเสียแต่.....จะไม่มีใครรู้จักนาง 

                    จะไม่มีใครรู้จักนาง....อาจจะเป็นไปได้เพราะในเนื้อหาตอนแนะนำตัวลู่เอินนางเป็นบุตรีคนเล็กของพ่อค้าเล็ก ๆ ในเมืองฉิวหว่างที่ต้องการมีเส้นทางการค้าที่มากขึ้นโดยการส่งลูกสาวมาเป็นอนุของจิ้นเหอ ย่อมเป็นไปได้สูงว่าใน 1 ปีที่ลู่เอินเป็นอนุของจิ้นเหอจะไม่มีใครรู้จักลู่เอิน

                    “ซิ่วหลิน”ลู่เอินหันไปเรียกซิ่วหลิน

                    “เจ้าคะ”

                    “ตั้งแต่ข้าแต่งเข้าตระกูลจิ้นข้าออกนอกจวนกี่ครั้ง”ซิ่วหลินงุนงงเมื่อได้ฟังคำถามของนายหญิงของนางแต่บ่าวมีหน้าที่ตอบคำถามไม่ใช่ตั้งคำถาม

                    “สามครั้งเจ้าค่ะ ครั้งแรกออกมาซื้อของขวัญให้นายท่าน ครั้งที่สองซื้อของขวัญให้ฮูหยินเฒ่า และนี้ก็ครั้งที่สามเจ้าค่ะ”ลู่เอินยิ้มสมใจ สองครั้ง เท่านั้นเองหรือ นางคิดว่ามากกว่านี้เสียอีก ถ้างั้นข้อเสียก็คงไม่มีกระมัง

                    “ซิ่วหลิน”ลู่เอินเรียกซิ่วหลินเสียงหวานหยดย้อย

                    “เจ้าคะ”ซิ่วหลินเห็นรอยยิ้มนั้นพลันขนแขนของนางก็ลุกกรู  นางเสียวสันหลังแปลกๆกับรอยยิ้มหวานของนายหญิง

                    “รู้จักโรงเตี๊ยมเซียวซือหรือไม่”

                    “ย่อมรู้จักเจ้าคะ”ซิ่วหลินมองรอยยิ้มบนใบหน้าของนายหญิงของนางอย่างระมัดระวัง

                    “พาข้าไปที”ซิ่วหลินแทบจะเอาหัวโขกพื้นเมื่อเห็นแววตาออดอ้อนของนายหญิง 

                    “ไม่ได้นะเจ้าคะ หากนายท่านรู้....”ซิ่วหลินพูดด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้า

                    “ก็อย่าให้รู้สิ”

                    “อย่างไรก็ไม่ได้เจ้าค่ะ”

                    “ไม่มีใครรู้จักข้าหรอก เจ้าไม่ได้ยินที่คนเหล่านั้นคุยกันหรือว่าอาหารที่โรงเตี๊ยมเซียวซือนั้นอร่อยนัก ข้าเพียงอยากลิ้มลองอาหารอร่อยบ้าง แม้ที่จวนจะมีอาหารอร่อยแต่คิดดูเถิดข้ากินแต่รสมือเดิมๆ เจ้าคิดว่าข้าไม่เบื่อหรือ แต่หากเจ้าลำบากใจที่จะพาข้าไปก็มิเป็นไร เรากลับจวนกันเถิด”ลู่เอินพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยแอบเหล่ตามองหน้าซิ่วหลิน

                    ฝ่ายซิ่วหลินเองเมื่อเห็นสีหน้าแสนเศร้าของนายหญิงก็พลันรู้สึกสงสาร ยอมพยักหน้ารับ

                    “นายหญิง...ไปโรงเตี๊ยมเซียวซือกันเถิดเจ้าค่ะ”ลู่เอินยิ้มมุมปาก สำเร็จ ! หญิงสาวหันไปมองหน้าซิ่วหลิน ตีสีหน้าลำบากใจเสียเต็มประดา

                    “เจ้าไม่กลัวนายท่านของเจ้ารู้หรือ”ลู่เอินหลุบตามองพื้นคล้ายเศร้าใจแต่เรียวปากกลับยิ้มสมใจ

                    “กลัวสิเจ้าคะ แต่บ่าวกลัวนายหญิงเศร้าใจมากกว่า”ลู่เอินฟังจบแล้วอยากจะหอมแก้มสาวใช้ผู้น่ารักของนางเสียจริง 

                    “งั้นไปกันเลย”ลู่เอินเงยหน้าเผยรอยยิ้มร่า ทำให้ซิ่วหลินที่เห็นสีหน้าเศร้าสร้อยเมื่อครู่ของนายหญิงแทบหลั่งน้ำตา                โรงเตี๊ยมเซียวซือเป็นโรงเตี๊ยมที่มีขนาดใหญ่ ใหญ่จริงๆ เทียบกับโรงเตี๊ยมที่นางเคยเห็นในหนังจีนนับว่าที่นี้ใหญ่โตกว่ามาก โรงเตี๊ยมเซียวซือตกแต่งภายนอกเรียบง่ายทว่าสวยงาม จากสายตาของนางคาดว่าน่าจะมีสองชั้น

                    ลู่เอินมองทางเข้าโรงเตี๊ยมที่มีผู้คนเข้าออกอยู่ไม่ขาดสาย สีหน้าของพวกเขาที่ออกมาดูอิ่มเอมมีความสุข ไม่รอช้าหญิงสาวก็เดินไปยังทางเข้าโรงเตี๊ยมทันที

                                      ทว่า.....

                                      พลั่ก !

                    นางคงเดินเร็วเกินไปจนชนคนข้างหน้า

                                     ชิ่ง   ชิ่ง !

                    ไม่ทันที่นางจะกล่าวขอโทษคู่กรณี ดาบสองเล่มก็พาดมาบนไหล่ทั้งสองข้างของนาง

                          ดาบ ! ดาบอีกแล้ว

                    และไม่ใช่ดาบแค่เล่มเดียวกลับมีถึงสอง กลัวนางไม่ตายหรือไร ถึงแถมให้นางอีกหนึ่งเล่มนะ ไม่คิดว่าที่นี้จะมีโปรโมชั่นได้หนึ่งแถมหนึ่งด้วย 

                    ลู่เอินหันมองเจ้าของดาบทั้งสองเล่มสลับกัน

                    บุรุษทั้งสองหน้าตาเหมือนกันใส่เสื้อผ้าสีดำเหมือนกันบุรุษทางซ้ายยกยิ้มมุมปากคล้ายเจอเรื่องสนุก บุรุษทางขวาทำหน้าเบื่อหน่ายคล้ายรำคาญ  เขาสนุกและรำคาญสิ่งใด ? แต่ชั่งเขาเถอะ เพราะสิ่งที่นางรู้สึกได้มันสำคัญกว่า

                    นางรู้สึกว่า.....พวกเขาทั้งคู่ อันตราย !!! 

                    “พะ...พี่ชายทั้งสองชักดาบอะ....ออกมาละ...เล่นทำไมเจ้าคะ”ลู่เอินเม้มปากแน่นกลั้นเสียงสะอื้น นางไม่แน่ใจว่าบุรุษสองคนนี้เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้แสนไพเราะ[?]ของนางแล้วเขาจะเก็บดาบอย่างเช่นพี่เหอหรือเก็บนาง ฉะนั้น วิธีร้องไห้ออกมาไม่ใช่วิธีของคนฉลาดเช่นนาง 

                    “แม่นางกำลังบอกว่า ไม่ได้ตั้งใจเข้าหานายท่านงั้นหรือ”คำพูดและสีหน้าเหยียดหยันของบุรุษทางซ้ายมือทำให้ลู่เอินงงงวยไปชั่วขณะ

                    “หึ”ตามด้วยเสียงหัวเราะหยันของบุรษทางขวามือ

                    เขาหมายถึง....นางจะมาอ่อยเจ้านายเขาหรือ ?เห!!! นายท่านของเขาหล่อลากเดือยแบบพี่เหอหรือ ?

    ใยนางต้องไปอ่อยด้วย ประสาท!!! 

                    “ขะ...ข้าจะเข้าหานายท่านของพี่ชายได้เยี่ยงไร ในเมื่อ ข้าไม่รู้จักเขา”

                    ซิ่วหลินเองช่วยพูดสำทับ”จริงๆเจ้าคะ นายหญิงของข้าน้อยเพียงต้องการมากินอาหารอร่อยเท่านั้น”

    แต่ดูเหมือนบุรุษทั้งสองจะไม่เชื่อยังคงยิ้มเหยียดมองลู่เอินด้วยสายตาดูถูกอยู่เช่นเดิม

                    “หืม แม่นางไม่รู้จักเจ้าของโรงเตี๊ยมเซียวซือ”

                    เจ้าของโรงเตี๊ยมเซียวซือ ! ลู่เอินตกตะลึง

                    นางจะไม่รู้จักได้อย่างไรเขาคือ เซียวฉิน พระเอกของเรื่องเล่า ในเรื่องเขาทั้งโหด เย็นชา ใจร้าย ตาย ! นางตายแน่คราวนี้ 

                    นางคิดถึงพี่เหอเป็นที่สุด

                    ข้าน้อยขออภัยคุณชายเซียว ขะ....ข้าน้อยตื่นเต้นที่จะได้ลิ้มลองอาหารอร่อยจน....ไม่ทันระวัง เดินชนท่าน ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจ”ลู่เอินกล่าวเร็วจนลิ้นแทบพัน ขอเถอะให้เขาฟังนางรู้เรื่อง

                    .........”บุรุษเจ้าของแผ่นหลังกว้างนั้นปลายตามองนางทำให้นางได้เห็น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไร้ความรู้สึก เสี้ยวหน้าที่เฉยชาคล้ายไม่สนใจสิ่งใด หากให้นางเลือกระหว่างใบหน้าเรียบเฉยนี้กับใบหน้ายียวนของพี่เหอ นางขอโมโหตายกับใบหน้าเปื้อนยิ้มแสนยียวนของพี่เหอจะดีเสียกว่า

                          นางจะตายไหมหนอ

                    ลู่เอินข่มความกลัวสบตาสีน้ำตาลเข้มของเขา หากต้องตายนางก็ขอสู้ให้ถึงที่สุด สู้ด้วยกำลังไม่ได้ก็สู้ด้วยสายตานี้ละ สุภาษิตไทยได้กล่าวไว้ว่า ยามเจอเสือร้ายให้ทำใจดีเข้าสู้ แต่นางเจอพระเอกนิยายแสนร้ายก็ขอสบตาสู้พระเอก คงไม่ต่างกัน....มั้ง

                    โชคดีแล้วที่นางตื่นขึ้นมาในร่างของตัวประกอบเช่นลู่เอิน  เพราะหากนางตื่นขึ้นมาในร่างของนางเอกในเรื่องละก็.....

         คงต้องหัวใจวายเข้าสักวันเมื่อพบเจอพระเอกผู้นี้

                        ขอบคุณสวรรค์ !!!

                              ขวับ  ขวับ !

                    เสียงเก็บดาบเข้าฝักและแรงกดดันที่สลายไปทำให้ลู่เอินพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ยังไม่วายเหลือบตาไปมองบุรุษทั้งสามด้วยความหวาดระแวง

                    “ขะ..ขอบคุณคุณชายเซียว เป็นพระคุณยิ่งเจ้าค่ะ”ลู่เอินขบริมฝีปาก

                    เป็นพระคุณที่นางไม่มีวันลืมเลยเชียว

                    ......”เห็นเขาไม่รับคำหรือตอบสนองอะไรลู่เอินก็คิดว่านางควรจะไปได้แล้ว 

                    “ลาเจ้าค่ะ”ลู่เอินย่อตัวคารวะเขาอย่างเร่งรีบหันไปพยักหน้ากับซิ่วหลินแล้วตั้งท่าหมุนตัวกลับ

                    “ไม่เข้าไปลิ้มลองอาหารอร่อยแล้ว...”เสียงทุ้มห้าวของเซียวฉินทำให้ลู่เอินที่ตั้งท่าหมุนตัวชะงักหันหน้าไปมองหน้าเขาอย่างตกตะลึง

                    บุรุษที่พูดน้อยที่สุดในเรื่อง กลับ......

                    แต่ดูท่าเขาจะไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของตัวเอง

                    “เอ่อ....คือ...ข้าน้อยเพิ่งนะ....นึกได้ว่า...เอ่อ ว่าต้องรีบกลับจวนไปทะ...ทำอาหารให้สามีแล้ว ลาอีกครั้งเจ้าค่ะ”ลู่เอินพูดจบก็หมุนตัวจูงมือซิ่วหลินเดินกลับไปทางเดิมด้วยความเร็วในการเดิน นางคาดว่าเร็วที่สุดโดยไม่หันมองด้านหลังอีก

                    หากหญิงสาวหันกลับมามองสักนิดคงจะได้เห็นว่ามุมปากหนาของบุรุษนามว่าเซียวฉินกดลึกลง ดวงตาที่เคยมองว่าเย็นชากลับมีประกายความรู้สึกอยู่

                    สือจวนและสือจางเองที่เป็นองครักษ์ของเซียวฉินมานับ 10 ปีก็หันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ นายท่านของพวกเขาหากเอ่ยสิ่งใดแล้วไม่ได้กำไร เขาย่อมไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใด แต่....กลับเอ่ยถามคำถามที่พวกเขาคิดว่าไร้สาระกับสตรีนางหนึ่ง พร้อมทั้งรอยยิ้มที่มุมปากและดวงตาเป็นประกายนั้นอีก 

                    ฝ่ายเซียวฉินเองมองแผ่นหลังบางของสตรีประหลาดไปจนลับสายตา นางเป็นสตรีประหลาด

                เหมาะกับนางแล้ว......สตรีใดเล่าที่อ่อนแอแต่ไม่ยอมแสดงออกมาให้เห็น

                    นางไม่ยอมหลั่งน้ำตาให้เขาเห็นทั่งๆที่น้ำตาคลอหน่วยตา นางไม่ยอมให้เขาได้ยินเสียงสะอื้นทั้งๆที่เสียงสั่น สตรีใดเล่ารู้ว่าสู้ไม่ได้แต่ยังสู้

                สู้ด้วยกำลังมิได้แต่นางสู้กับเขาด้วยสายตา นี่ใช่สตรีประหลาดหรือไม่ ?

     

                    เรือนจวี๋ฮวา ยามอุ้ย [ 13.00 - 14.59 ]

                    ร่างบอบบางของลู่เอินทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความอ่อนล้า ดวงตาบวมปูดจากการร้องไห้มานาน ใช่ !นางร้องไห้ตั้งแต่เดินออกจากโรงเตี๊ยมเซียวซือจนถึงจวน 

                    ซิ่วหลินที่เดินตามเข้ามาเห็นท่านอนของนายหญิงก็ถอนหายใจ นี่คือปกติของนายหญิง แขนทั้งสองข้างของนางกางออก ขาทั้งสองข้างยังห้อยคาอยู่ข้างเตียง หากเป็นปกติซิ่วหลินคงเดินไปปลุกให้นายหญิงนอนดีๆแล้ว แต่วันนี้นางเห็นว่านายหญิงเหนื่อยล้าจากการร้องไห้มาตลอดทางแล้ว นึกถึงตอนนายหญิงร้องไห้แล้วทำให้นางหลุดหัวเราะเบาๆ

                    'ฮึก ชีวิตข้าทำไมถึงได้เจอแต่เรื่องหวาดเสียวนักนะซิ่วหลิน วันก่อนก็ถูกตัวร้ายเอาดาบจี้คอ มาวันนี้ก็ถูกองครักษ์ของพระเอกเอาดาบจี้คออีก ฮือ'นายหญิงพูดไปก็ร้องไห้ไป มือทั้งสองข้างผลัดกันเช็ดน้ำตาราวกับเด็ก ปากบางเบะน้อยๆ ดูแล้วคล้ายเด็กน้อยนัก แต่อย่างไรเสียหากเป็นนางที่ถูกดาบจี้คอเช่นนั้นคงไม่อดทนเช่นนายหญิงเป็นแน่

                    ยามซวี [ 19.00 - 20.59 ]

                    จิ้นเหอก้าวลงจากรถม้าเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนจวี๋ฮวาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมบรรยากาศกดดันที่มาพร้อมเขาทำให้บ่าวรับใช้ที่เห็นนายท่านของตนเดินผ่านต้องก้มหน้าหลบสายตา จิ้นเหอเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมองใครเช่นกัน ตอนนี้เขาต้องการพบหน้าของนาง อนุของเขาเท่านั้น เขาอยากรู้ว่านางไปโรงเตี๊ยมเซียวซือด้วยเหตุใด แม้นว่าเขาจะมิได้รักนางแต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของเขาและเขาคงรับไม่ได้หากเขาจะถูกทรยศอีกครั้ง !

                    “นะ...นายท่าน”เป็นบ่าวรับใช้ของลู่เอินที่มองเขาด้วยสีหน้ากังวล 

                    “ลู่เอินอยู่ที่ใด”

                    “เอ่อ..นายหญิงกำลังพักผ่อนเจ้าค่ะ”

                    จิ้นเหอพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปหมายจะเปิดประตูแต่ถูกเสียงตระหนกของบ่าวรับใช้ของลู่เอินกล่าวขัด

                    “ให้บ่าวไปปลุกนายหญิงก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”

                    “ทำไม”จิ้นเหอขมวดคิ้วสงสัยท่าทีของสาวใช่นางนี้

                    “เอ่อ....”คราวนี้ชายหนุ่มไม่สนใจฟังเขาผลักประตูเข้าไปเดินผ่านห้องโถงไปยังห้องนอนของลู่เอิน

       เขามองร่างบอบบางที่นอนหงาย กางแขนอยู่บนเตียงส่วนขาทั้งสองข้างของนางห้อยคาอยู่ข้างเตียง 

                    นี่หรือ....บุตรสาวผู้เพียบพร้อมที่บิดาของนางกล่าว

                    “บ่าวปลุกนายหญิงให้เจ้าค่ะ”เขาพยักหน้าเมื่อบ่าวรับใช้ของลู่เอินอาสาปลุกนางเอง

                    “นายหญิงเจ้าคะ”ซิ่วหลินแตะแขนนายหญิงเขย่าเบาๆ

                    “อื่อ....”แต่นายหญิงปัดมือของนางทิ้ง

                    ซิ่วหลินหันกลับไปมองชายหนุ่มเห็นเขาหมุนตัวนางก็หยุดปลุกแล้วลุกขึ้นเดินตามเขาไป ทว่า....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×