ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Fic Kuroko no Basket ] มิติพิศวงของยัยจอมมึน (All x Oc )

    ลำดับตอนที่ #21 : มิติพิศวงที่ 19 [Re]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.99K
      404
      24 ส.ค. 63

     

     

     

     

    มิติพิศวงที่ 19

     

     

     

    อมีเรียปัดผมของตนเองให้กลับเข้าทรงเดิมแล้วสะบัดสีฟ้าอ่อนของตนใส่ชายหนุ่มผู้ตั้งใจจะมา ‘จีบ’ ผู้จัดการสาวแต่ดูเหมือนเขาจะได้นกไปรับประทานแทน เขายืนนิ่งพร้อมแผ่นหลังที่มีหมอกมืดมนเข้ามาปรกคลุมอย่างชัดเจนเหมือนในการ์ตูนที่เคยเห็นทั่วไป – อมีเรียปรือตาของตนมองไปยังสกอคะแนนแล้วกรอกตาไปมาเมื่อคุโรโกะเข้ามาประชิดตัวเธอตั้งแต่เมื่อไหร่

    “...อมีเรียจังตัวร้อนขึ้นนะครับ” คุโรโกะขมวดคิ้ว

    ก่อนหน้าที่เขาจะลงไปแข่ง อุณหภูมิร่างกายของผู้จัดการทีมสาวลดลงไปบ้างแล้ว จนคาดว่าน่าจะอาการดีขึ้นแต่พอเขายกมือแตะหน้าผากเนียนอีกครั้ง ก็ต้องเด้งมือออกทันที

    ตัวของเธอร้อนกว่าเดิมจะบอกว่ายาที่ทานเข้าไปไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหรอ..?

    “รู้แล้วละ..เพราะงี้ไงเลยไม่อยากกินยานรกนั่น” อมีเรียจิ๊ปาก “ฉันเป็นพวกดื้อยา”

    “.....”

    “ร่างกายจะต่อต้านยาเคมีเหล่านี้จนร่างกายมีอุณหภูมิสูง..” ขาเรียวไขว่ห้างอย่างมีจริตแล้วใช้สายตามองคุโรโกะอย่างประเมิน “ไม่เหนื่อยหรอ?”

    “ไม่เท่าไหร่ครับ”

    “อื้อ..เอ๊ะ...”..ทำไมตาลาย... 

    อมีเรียเบิกตากว้างด้วยความตกใจแต่ก่อนจะได้เปิดปากพูดอะไรหรือได้ให้สมองประมวณผล ร่างกายของเธอก็อุณหภูมิสูงเพิ่มมากขึ้นจนรับรู้ได้เลยว่าเลือดภายในกายของเธอกำลังเดือดพล่าน มือเล็กไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวอย่างไร้ทิศทางก่อนจะสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อของใครบางคนเข้า...แต่นั้นก็สายเกินไปแล้ว

    ตุบ!

    “!!!”

    คุโรโกะตกใจจนถลาเข้าไปประคองร่างเล็กที่จู่ๆก็ล้มหงายหลังตกม้านั่ง ทันทีที่สัมผัสโดนตัวยิ่งทำให้ใจอันจืดชืดร้อนรน อมีเรียตัวร้อนมากแถมยังหมดสติไปแล้ว! ภายนอกสนามเกิดความวุ่นวายทันทีที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้น แน่นอนว่าภายในสนามก็ไม่ต่างกัน ตามด้วยริโกะที่ขอเวลานอกแทบจะทันทีที่เห็นเหตุการณ์ คางามิถึงกลับวิ่งตรงมาช้อนร่างบางอุ้มทันทีแล้วใช้เท้าเตะผ้าคลุมของร่างบางให้ตะวัดขึ้นมาคลุมแล้วออกตัววิ่งไปนอกสนามอย่างไว

    “เห้ย! คางามิ!”

    คิโยชิตะโกนเรียกรุ่นน้องแล้วหันไปประสานงานกับเจ้าหน้าที่สนาม ให้ช่วยเรียกรถพยาบาลมารับคนป่วยที่จู่ๆก็หมดสติไป ริโกะรีบปรับสีหน้าตกใจของตนเองให้กลับมาเป็นปกติก่อนจะหันไปสั่งการสมาชิกทีมบาสเซย์รินให้รีบเก็บข้าวของตามไปโรงพยาบาล ส่วนคุโรโกะ..

    เขาหอบกระเป๋าทั้งของตัวเอง คางามิและอมีเรียวิ่งตามหลังคู่หูเรือนผมแดงของเขาไปก่อนทุกคนแล้ว.....

    และนั้นก็จะเป็นครั้งแรกที่ทีมบาสเซย์รินตกอยู่ในสถานะการณ์วุ่นวาย...

    และอาจจะมีครั้งต่อไปถ้าหากผู้จัดการสาวยังคงไม่หายป่วย...

     

    .

    .

    .

     

     

    อมีเรียถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนก่อนที่ร่างกายเธอจะแย่ไปมากกว่านี้ โชคยังดีที่อมีเรียจดบันทึกถึงประวัติโรคประจำตัวต่างๆไว้ในสมุกบันทึกของเธอ คางามิจึงสามารถตอบหมอและลงบันทึกประวัติให้ญาติสาวได้ก่อนที่เขาจะขอตัวออกไปโทรศัพท์เพื่อแจ้งญาติผู้พี่ที่อยู่อเมริกาให้ได้รับรู้

    เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก.. เพราะ อาการป่วยที่สมควรจะหายของอมีเรียกลับรุนแรงมากยิ่งกว่าเดิม

    แถมสาเหตุก็มาจากสารบางอย่างในยาที่ไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวของอมีเรียให้มันรุนแรงจนส่งผลให้ร่างกายเกิดการต่อต้านแบบนี้ พวกนั้นล้วนถูกบันทึกลงในสมุดประจำตัวของอมีเรียทั้งสิ้น – คางามิเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องในส่วนนั้นตอนที่อ่านเพื่อตอบคำถามของพยาบาล

    ....ถ้าหากเขารู้ล่วงหน้า...บางที เขาอาจจะไม่บังคับเธอให้กินยาก็ได้

     

    คุโรโกะนั่งเฝ้าอมีเรียที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงสีขาวของโรงพยาบาล ใบหน้าที่ชอบตีมึนเหมือนเขาผ่อนคลายลงไม่น้อยในยามหลับ หน้าอกที่ดูใหญ่เกินขนาดร่างกายขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจเข้าออกของเธอ ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่มองอมีเรียสายตาเขาชอบเลื่อนไปจ้องหน้าอกไซส์ใหญ่นั้น 

    ดูเหมือนว่าจะติดอาโอมิเนะคุงมาซะแล้วซิ...ไอ้นิสัยลามก...

    คุโรโกะนั่งเฝ้าได้ไม่นานทีมเซย์รินคนอื่นๆก็มาถึง แต่ดูเหมือนจะมีสมาชิกที่ไม่คาดว่าจะมาดันแฝงมาด้วยอย่างแนบเนียน  “มิโดริมะคุงมาได้ยังไงครับ” คุโรโกะเอ่ยถามมือชู้ตของชูโตคุแล้วเลื่อนสายตาไปมองทีมชูโตคุคนอื่นๆที่มายืนอออยู่บริเวณหน้าประตูห้องคนป่วย

    “คุณคิโยชิบอกกับพวกเราว่า อมีเรียจังป่วยนะ” โอสึโบะเป็นคนตอบคำถามพร้อมชะเง้อคอมองร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียง “ดูท่าคุณผู้จัดการสาวจะอาการหนักจริงๆ”

    “ครับ...” คุโรโกะพยักหน้าเล็กน้อย “หมอบอกว่าร่างกายของอมีเรียจังต่อต้านยาที่ทานเข้าไปเลยทำให้อาการป่วยที่ควรจะดีขึ้นกลับทรุดตัวลงอย่างที่เห็นนี่แหละครับ” เขาบอกตามที่ได้ยินจากที่หมอสนทนากับคางามิที่มีศักดิเป็นญาติเพียงหนึ่งเดียวในญี่ปุ่นตอนนี้

    “แล้วคางามิละ?” ริโกะเอ่ยถามด้วยความสงสัย

    หลังจากกวาดสายตาดูทั่วห้องแล้วก็ไม่เจอเจ้าหนุ่มผมแดงญาติคนสนิทของสาวเจ้า

    “คางามิคุงขอตัวกลับไปเก็บเสื้อผ้ามานอนเฝ้าอมีเรียจังครับ”

    “...อ่อ”

    ทั้งทีมเซย์รินและชูโตคุยืนเฝ้ารอให้ญาติผมแดงของสาวเจ้ามาถึง พร้อมกับสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไปด้วย ทันทีที่คางามิมาถึงห้องผู้ป่วย เขาก็ต้องเลิกคิ้วมองบรรดาผู้คนในห้องพิเศษที่อัดแน่นจนห้องดูคับแคบในทันที เขาอยากจะเอ่ยปากถามว่าพวกชูโตคุมาได้ยังไงแต่ก็ต้องสงบปากเมื่อคุโรโกะชี้ไปที่เตียงของอมีเรีย ผู้นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว – เขาวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนโซฟาแล้วทำท่าทางไล่คนออกจากห้องอย่างไม่ไว้หน้า

    ชิ้วๆ ออกไป เหม็นเหงื่อ

    คางามิคิด แต่ท่าทางของเขาดันบอกความหมายชัดเจนยิ่งกว่าจนมิโดริมะอยากศอกใส่ทักทีด้วยความหมั่นไส้ ริโกะมองท่าทางเหมือนไล่หมาไล่แมวของคางามิแล้วหยิบเจ้าเบอร์สองออกมาชูตรงหน้า จนคางามิตกใจร้องลั่นห้องก่อนที่เขาจะรีบหุบปากจนเผลอกัดลิ้นตัวเอง

    “อัก...” เจ็บ!

    “สมน้ำหน้าครับ” คุโรโกะมองแล้วรับเจ้าเบอร์สองมาใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมกลับบ้าน

    ต่อให้เขาเป็นห่วงร่างบางที่นอนบนเตียงเพียงใด แต่จะให้อยู่เฝ้าทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำและยังไม่ให้อาหารเจ้าเบอร์สองมันก็ยังไงอยู่ คนอื่นๆก็คิดเช่นเดียวกันเมื่อพวกเขาเห็นว่าญาติของสาวเจ้ามาถึงแล้ว จึงต่างพากันแยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อนจากการแข่งในวันนี้

    จึงได้แต่ภาวนาให้ร่างบางหายป่วยโดยไว 

    พวกเขาไม่ได้เห็นแก่กินจริงๆน่ะ! แต่รสมือของผู้จัดการเซย์รินสาวอร่อยมากจริงๆ

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    อมีเรียฝันอีกแล้ว...

    คราวนี้เป็นฝันที่เธอนั้นยืนมองดูภาพตนเองในอดีต

    เธอในตอนนั้นที่กำลังยืนมองบิดาและมารดาผู้ให้กำเนิดดิ้นทุรนทุรายอยู่ในห้องกระจกใสด้วยแววตาว่างเปล่า เธอไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกเสียใจ ไม่รู้สึกเศร้าไม่มีแม้กระทั้งความโหยหา มันคงไม่แปลกหากแววตานั้นเป็นของเธอในวัยเกือบสี่สิบ – แววตาที่สื่อออกมาอย่างไร้ความรู้สึกนั้นคือแววตาของเธอในอดีต

    เธอในวัยเพียง 14 ปี

    ‘น้องหนู...ไม่คิดจะช่วยพวกเขาหน่อยหรอ?’ เสียงของผู้เป็นนายชีวิตดังขึ้นเหนือหัวดึงความสนใจของเด็กหญิงตัวน้อยให้ละสายตาไปจากภาพเบื้องหลังกระจก เธอมองรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของชายคนนั้นด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    ‘ไม่ค่ะ’

    ‘เอ๋..ทำไมละคะ?’ 

    ดูท่าปฏิกิริยาที่ตายด้านของเธอจะเป็นในสิ่งที่เขาคาดเดาได้ เขาก้มตัวเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วค่อยหันหน้าเล็กๆให้ไปมองสีหน้าเจ็บปวดของสองสามีภรรยาผู้ให้กำเนิดเธอมา

    ‘ดูสิพวกเขาทรมานมากเลยนะ น้องหนูไม่คิดจะช่วยหรอ?’

    ‘....’

    ‘ไม่ช่วยจริงๆนะ’

    อมีเรียมองตัวเองสลับกับรอยยิ้มของบอสที่ดูจะไม่คล้ายกับว่ายิ้มอย่างมีความสุข รึ ยิ้มเพราะมีแผนในหัวกันแน่ ก่อนที่เธอจะหันไปมองร่างของผู้ให้กำเนิดทั้งสองที่นอนดิ้นทุรนทุราย – ตอนนั้นเธอทดลองผลิตไวรัสร้ายชนิดหนึ่งขึ้นมาแต่ด้วยเพราะหาเหยื่อทดลองได้ยาก ไม่รู้ว่าบอสไปได้พวกเขามาได้ยังไงสองคนนั้นเลยกลายมาเป็นหนูทดลองของเธอ

    การทดลองไวรัสชนิดใหม่ที่จะถูกนำไปใช้เป็นอาวุธให้กับสมาพันธ์ใต้ดินตามคำสั่งของบอส

    ในคราแรกที่เห็นเธอก็แค่เพิ่งสงสัยแต่ก็ไม่มีสิทธิ์เอ่ยถามอะไรทั้งนั้น จึงได้แค่ฉีดไวรัสนั่นเข้าเส้นเลือดพวกเขาแล้วมานั่งดูผลของมัน ถึงจะเป็นการทดลองแรกแต่มันก็ได้ผลดีเกินคาด ในระยะที่ฟักตัวจะทรมานทุรนทุรายอย่างเมื่อสักครู่แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็จะสงบเพราะไวรัสปรับตัวเข้ากับสภาพร่างกายมนุษย์ได้แล้ว

    ภาพตัดไปยังห้องทึบที่ไม่มีหน้าต่างไม่มีโต๊ะ มีเพียงเตียงและประตูเท่านั้น

    บนเตียงคือร่างของชายผู้หนึ่งในภาพผอมแห้งถูกมัดติดกับเตียงอยู่ นี่เป็นระยะสองของการฟักตัวไวรัสจะเริ่มกัดกินเซลล์ต่างๆเริ่มจากเม็ดเลือด ไขกระดูก เซลล์สมองจนกระทั่งมันเริ่มกัดกินอวัยวะภายในในระยะที่สาม – ระยะที่สองเป็นระยะที่สงบสำหรับพวกเขาและนั้นก็เป็นครั้งแรกที่อมีเรียรู้สึก...

    ส่วนลึกในจิตใจของเธอไม่ยินดีกับการทำเช่นนี้...

    ...เธอไม่ยินดีเลยแม้แต่น้อย..และไม่รู้ทำไมเธอถึงเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาแบบนี้

    ‘อมีเรีย’

    เสียงเรียกจากชายกลางคนผู้เป็นบิดาแท้ๆของเธอเองดังขึ้น เขามองมาที่เธอด้วยแววตายินดีพร้อมน้ำตาที่ไหลริน

     

    เธอไม่เข้าใจ!

     

    ชายคนนี้ยินดีกับการได้เจอเธองั้นเหรอ ยินดีกับการที่ตนเองต้องมาทรมานกลายเป็นหนูทดลองงั้นหรอ?! เธอไม่เข้าใจความคิดและสมองของชายผู้เป็นพ่อแม้แต่น้อย และก็ไม่มีวันอยากที่จะเข้าใจเลยสักนิดเดียว

    ‘พ่อรู้ว่าเราอาจไม่ให้อภัย’

    ‘….’

    ‘พ่อดีใจที่ได้เจอลูก...แม้ลูกจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม – ดีใจจริงๆนะ’

    อมีเรียเม้มปากแน่นในวันนั้น เธอยังจดจำได้ว่าตนเองไม่ได้สนใจใยดีรอยยิ้มอันอบอุ่นนั้นเลย นอกจากจดบันทึกแล้วเดินออกไป แต่มาวันนี้ที่หวนฝันถึง มันกลับทำให้เธอรู้ว่ารอยยิ้มของเขามันอบอุ่นแค่ไหน เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เจิดจ้าเหมือนของบอสแต่เป็นรอยยิ้มที่จริงใจมากที่สุดที่เคยสัมผัสในเศษเสี้ยวความทรงจำวัยเด็ก

    รอยยิ้มของบิดาที่มอบให้แก่เธอ ณ ตอนนี้เธอก็ไม่เข้าใจจริงๆ บิดาของเธอทำไมถึงได้ดีใจอย่างโง่งม

    โง่งมจนไม่น่าเชื่อ...

    แม้แต่ในวันที่เธอแหกกฎเพื่อช่วยชีวิตเขา เขายังโง่งมยืนส่งยิ้มให้แก่เธอ – โง่งมยืนบังกระสุนที่ควรจะเจาะร่างเธอจนตัวเองต้องตาย โง่งมปฏิเสธยารักษาและขจัดไวรัสที่เธอดั้นด้นคิดค้นให้เขา โง่งมที่แม้แต่วันสุดท้ายของชีวิตก็ยังยิ้มอวยพรให้แก่เธออยู่อย่างงั้น 

    โง่!

    เขามัน ชายโง่!!

    แต่ถึงกระนั่น..ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าทำไม หยาดน้ำตาของเธอถึงได้รินไหลออกมาแบบนี้..

     

     

     

    คางามิสะดุ้งตื่นในเช้ามืดเมื่อเขารู้สึกถึงแรงสั่นเล็กน้อยจากร่างที่กำลังหลับใหลอยู่ เขาชะโงกหน้ามองก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ – อมีเรียร้องไห้!?

    เขารีบกระวีกระวายหาผ้าและทิชชูมาซับน้ำตาที่ไหลรินออกมาให้ร่างบางอย่างเบามือก่อนที่เขาจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงละเมอเรียกหาใครบางคน

     

    “พ่อ”

    “...”

    “ทำไม ไม่หนีไป....”

    “....”

    “...พ่อคะ”

     

    เธอเคยเจออะไรมากันแน่....

    อมีเรียยังคงนอนอยู่โรงพยาบาลโดยที่ไม่มีทางทีจะฟื้นขึ้นมาแต่อย่างใด ยิ่งทำให้ทีมบาสเซย์รินเริ่มเป็นห่วงแต่คางามิก็บอกทุกคนตามที่หมอบอกเขาว่า เนื่องจากร่างกายค่อนข้างอ่อนแอและยังดื้อยาอีก จึงทำให้ต้องใช้ระยะเวลาสักพักถึงจะฟื้น ทว่าคางามิไม่ได้บอกทุกคนในเรื่องที่หมอสงสัย – หมอที่ดูแลอาการป่วยของอมีเรียบอกแก่เขาว่ามีบางอย่างผิดปกติราวกับว่า....ร่างกายของอมีเรียเคยถูกนำไปทดลองอะไรสักอย่างมา

    เพราะหมอตรวจพบสารบางอย่างในร่างกายที่ไม่ควรมีและมีชิปขนาดเล็กฝังอยู่ที่ก้านสมอง...

    เรื่องนี้คางามิเครียดหนักมาก เขาส่งเมลล์รายงานพี่ชายใหญ่ในสิ่งที่หมอพูดแล้วก็ได้รับเมลล์ตอบกลับมาว่าเขาจะเร่งเดินทางกลับญี่ปุ่นให้เร็วที่สุดพร้อมทีมแพทย์มือหนึ่งของที่นั้น และด้วยเหตุฉะนั้นคางามิเลยมีสีหน้าดีขึ้น เมื่อต้องมาสนามแข่งโดยปล่อยให้คนป่วยนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลต่อไป

    คนป่วยก็ป่วยไป แต่เขาที่เป็นเอซของทีมจะต้องลงแข่ง!!

    การแข่งในครั้งนี้เซย์รินจะต้องเจอกับชูโตคุอีกครั้งและพวกเขาจะต้องชนะเพื่อให้สถานะในการแข่งวินเทอร์คัพมั่นคงให้มากที่สุด คางามิวางสายจากโรงพยาบาลที่โทรแจ้งเข้ามาว่าอมีเรียมีอาการตอบสนองแล้วและคาดว่าจะฟื้นในตอนเย็นรึอาจจะเร็วกว่านั้น

    เขาเอ่ยขอบคุณพยาบาลแล้วตัดสายไปแม้จะเป็นเรื่องสำคัญแต่ให้ทุกคนในทีมจดจ่อกับการแข่งคงจะดีกว่าแต่ไม่รู้ว่าฟ้าฝนเป็นใจรึเปล่า ในตอนที่ชนะครั้งนั้นฝนก็ตกเหมือนครั้งนี้เพียงแต่ไม่มีผู้จัดการทีมมากเล่ห์และมากเสน่ห์อย่างอมีเรียมาเฝ้าก็เท่านั้นเอง

     

    “พวกนั้นไม่ใช่พวกเดียวที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดของการพ่ายแพ้ซักหน่อย” ฮิวงะพูดเปิดปลุกกำลังใจทีมเหมือนอย่างเคย

    คิโยชิส่งยิ้มให้เพื่อสนิทพร้อมขานรับ “อ่า นั้นสินะ”

    “ความพ่ายแพ้นั้นน่ะแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว คนที่กระหายชัยชนะน่ะ” คางามิลุกขึ้นยืนพร้อมแววตามุ่งมั่น 

    เขาจะไม่แพ้!ยิ่งในตอนที่ยัยตัวแสบดันนอนป่วยให้เป็นห่วงแบบนี้อีก

    “ทางนี้ก็เหมือนกันครับ” คุโรโกะสวมที่มัดมือคู่ประจำเขาปรายตามองคางามิทีหนึ่งแล้วกลับมามองรอยปักชื่อของเขาที่มีใครบางคนทำให้ ใครบางคนที่นอนป่วย

    ในตอนนี้เซย์รินและชูโตคุพร้อมสำหรับแมตท์ล้างตาของพวกเขาแล้ว! นักกีฬาลงสนามด้วยท่าทางมั่นใจพร้อมเสียงเชียร์ที่ดังตลอดข้างสนาม แต่ดูเหมือนความเป็นพันธมิตรจะถูกระงับชั่วคราวเมื่อคางามิและมิโดริมะดันเล่นจ้องตากัน ทว่าสำหรับผู้ใหญ่อย่างกัปตันทีมชูโตคุและคิโยชิพวกเขากลับแลกเปลี่ยนข่าวสารอย่างร่าเริงแบบไม่สนบรรยากาศๆทั้งสิ้น

     

    “คุณผู้จัดการคนสวยเป็นไงบ้าง”

    “นอนยังไม่ฟื้นเลยล่ะ กะว่าจะเอาชัยชนะไปฝาก”

    “หวาก็อยากจะให้นะ แต่บางคนในทีมดันกระหายชัยชนะซะงั้น”

    “โอ้.. เกรงใจครับ”

    “55555”

    “55555”

     

    ฮิวงะแทบอยากจะตบหน้าผากหลังจากฟังบทสนทนาของทั้งสองคน แต่เอาเถอะในตอนนี้ยังไงก็ต้องชนะเท่านั้นเพื่อผู้จัดการและเพื่อทีมของเขาด้วย แต่ดูเหมือนคนในทีมจะสนใจชนะเพื่อผู้จัดการคนเดียวยกตัวอย่างคิโยชิและคุโรโกะเป็นต้น....

    ไอ้พวกมีความรัก!!!

    ฮิวงะบ่นในใจได้ไม่นานก็ต้องเตรียมตั้งรับกับการแข่งที่ถูกให้สัญญาณเริ่ม!

    ปรี้ด!!

    เฮ!

     

     

     

     

     

     

    “ชัยชนะนี้เซย์รินขอนะ..” คางามิ

     

    …………………………………………………………………………………………

    รีไรท์ทีละนิดทีละหน่อยนะคะ อาจจะมาลงให้วันละตอนหรือสองตอน จนกว่าจะถึงตอนล่าสุดที่อัพลงให้นะคะ ปล.ไรท์สอบเสร็จแล้วค่ะ

     

    ทุกท่านสามารถโดเนทสนับสนุนด้านค่าเน็ตและค่าไฟให้แฟรร์ได้นะคะ

    วิธีโดเนท

    โอนเงินจำนวนแล้วแต่รีดฯเข้ามาได้ที่นี่ :: เลขบัญชี 046-8-34907-8 (ธนาคารกสิกรไทย) และ เบอร์ 0960075277 ( True Money Wallet )

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ //โค้ง

     

    1 คอมเม้นท์ = 100 กำลังใจ

    สามารถติหรือชี้แนะไรท์ได้ ไรท์จะรออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนนะคะ

     

    ติดตามข้อมูลข่าวสารและการอัพเดทต่างๆได้ที่เพจ Fairy-แฟรี่กะ จิ้มๆเลย//ชี้

     

    By. ภูติสีเทา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×