ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Fic Kuroko no Basket ] มิติพิศวงของยัยจอมมึน (All x Oc )

    ลำดับตอนที่ #28 : มิติพิศวงที่ 26 [Re]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.96K
      419
      1 ต.ค. 63

     

     

     

    มิติพิศวงที่ 26

     

     

     

    หลังจากที่มีการซ่อมแป้นบาสเสร็จการแข่งก็ถึงเริ่มดำเนินอีกครั้ง แต่การแข่งในครั้งนี้ดูเหมือนบรรยากาศจะน่ากลัวแบบแปลกๆแผ่กระจายออกมาจากในสนามจนรู้สึกได้ชัดเจน อมีเรียย่นคิ้วเล็กน้อยกับสัมผัสของตัวเองที่รับรู้ได้ถึงบางอย่าก่อนผินหน้าไปมองบรรยากาศมาคุที่ชวนให้ขนลุกที่แผ่ออกมาจากนักกีฬาฝั่งโรงเรียนโยเซ็น

    เด็กสาวแอบรู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อยกับบรรยากาศน่ากลัวนั่น แต่ไม่รู้ทำไมในใจกลับเต้นระรัวเสียเหลือเกิน

    เธอตื่นเต้นเหรอ...?

    นัยน์ตามณีสองสีหรี่ลงเล็กน้อยยามจ้องมองสังเกตการณ์ทุกอย่าง – ผู้จัดการเซย์รินคนสวยอย่างเด็กสาวเรือนผมสีฟ้ามิ้นท์ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเหมือนทุกครั้ง

    เพียงแต่...ในวันนี้ด้านหลังของเธอมีชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสองคนยืนขนาบซ้ายขวาอยู่

    ริโกะแอบหัวเราะเสียงแห้งกับภาพนั้นเล็กน้อย เพราะการที่ผู้จัดการคนงามดันพุ่งเข้าไปในสนามตอนเกิดอุบัติเหตุ เลยทำให้บอดี้การ์ดของเธอที่คุณพี่ชายส่งมา ต้องมายืนเฝ้าระวังและคุมประพฤติอยู่ด้านหลังแบบนี้ – อมีเรียคล้ายจะไม่ใส่ใจสักเท่าไหร่แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหล่มองชายสองคนด้านหลังตนเอง

    เหมือนโดนจับตามองมากกว่าคุมประพฤติเสียอีก

    “...อมีเรียจัง” คุโรโกะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงลังเล

    ตั้งแต่เกมเริ่มผู้จัดการทีมของเขาคนนี้เอาแต่กวาดสายตามองไปทั่วโดยไม่พูดอะไรเลย

    อมีเรียสังเกตเห็นอะไรบางอย่างรึเปล่า....?

    “หืม?” อมีเรียเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแต่ก็ยังไม่หันมามองซิกแมนข้างกาย

    “ไม่คิดจะไปคุยกับคางามิคุงหน่อยหรอครับ?” ไม่ว่าเปล่ายังชี้ไปยังญาติคนสนิทของเธอ ที่ยืนนิ่งสุขุมอย่างน่าประหลาดใจอยู่ไม่ไกลจากเธอมากนัก “...เขาเงียบผิดปกติน่ะครับ” พูดจบใบหน้าที่เรียบเฉยก็ปรากฎรอยยิ้มบางเบาขึ้นมา

    “ไม่ค่ะ” อมีเรียหันมามองคุโรโกะก่อนเอ่ยต่อว่า “ปล่อยเขาไว้อย่างงั้นแหละค่ะ....”

    “.....”

     

     

    เมื่อเริ่มการแข่งขันต่อจากก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ มุราซากิบาระก็ทำคะแนนนำโด่งโดยที่ตัวเขาแทบไม่พึ่งเพื่อนร่วมทีมเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นแผนแบบไหนหรือผู้เล่นมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางที่เซย์รินจะหยุดมุราซากิบาระได้เลย สักนิดก็ไม่มีแถมยังอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุรอบสองขึ้นระหว่างเกมอีกก็เป็นได้ เพราะอย่างงั้นอมีเรียจึงได้แต่จ้องมองแม้สภาพร่างกายของรุ่นพี่คิโยชิที่จะเริ่มอ่อนแรง

    จนกระทั่งเขาเหมือนจะโดนมุราซากิบาระพูดอะไรบางอย่างใส่นั่นแหละ อมีเรียจึงได้สังเกตเห็นความผิดปกติชัดเจนยิ่งกว่าเดิม 

    ไม่ใช่แค่ด้านความสูง พละกำลังของมุราซากิบาระยังเหนือกว่ารุ่นเดียวกันเสียอีก

    จะไม่ให้เธอประหลาดใจได้อย่างไร...?

    “รุ่นพี่คิโยชิโดนหิ้วแขนจนตัวลอยเลยค่ะ”

    อมีเรียตาโตด้วยความทึ้ง และตกใจกับความต่างชั้นด้านสมรรถภาพของนักกีฬา แต่ดูเหมือนท่าทางตื่นตกใจของอมีเรียจะแสดงออกมามากไปหน่อย คุโรโกะที่นั่งพักอยู่ข้างตัวจึงได้ยกมือขึ้นจิ้มแก้มเด็กสาวเรือนผมฟ้ามิ้นท์เบาๆ เพื่อเรียกสติของเธอให้กลับคืนมา

    จึก จึก

    “...อย่าทำตาแบบนั้นสิครับ” 

    อมีเรียกะพริบตาหนึ่งครั้งก่อนหันมามองคนจิ้มแก้มตัวเอง “....”

    คุโรโกะยังคงค้างนิ้วที่กำลังจิ้มแก้มของผู้จัดการสาวอยู่ ด้วยใบหน้าที่มึนเบื่อของซิกแมนหนุ่มยิ่งทำให้อมีเรียไม่ได้รู้ถึงความคิดของเขา ก่อนที่เขาจะกลับไปสนใจการแข่งต่อแม้ในใจจะแอบรู้สึกว่า สัมผัสที่ปลายนิ้วเมื่อสักครู่มันช่างนุ่มนิ่มแถมยังเนียนมากด้วย จนเขาเผลอลากนิ้วบนแก้มเนียนอยู่ครู่หนึ่งก่อนผละออก

    ต่างจากอมีเรียผู้ถูกลวนลามแบบไม่รู้ตัวที่ยังคงทำหน้ามึนใส่เขาอยู่

     

    แอ้ด!!!

     

    เสียงสัญญาณเปลี่ยนตัวดังขึ้นพร้อมร่างของชายหนุ่มเรือนผมฟ้าข้างตัวเธอที่ลุกเดินไปอยู่ข้างสนาม

    อมีเรียพยักหน้าให้ชายทั้งสองข้างหลังได้รู้ตัว ก่อนที่พวกเขาจะหันไปคุยอะไรสักอย่างกับหน่วยแพทย์ที่เรียกมาเป็นพิเศษเพื่อดูแลอาการของคิโยชิโดยเฉพาะ

    ทันทีที่ถูกเปลี่ยนตัวออก คิโยชิก็ถูกแพทย์สนามพิเศษพุ่งเข้าล็อคตัวแล้วลากเขาไปตรวจดูอาการอยู่นอกสนามทันที ชายหนุ่มผู้ที่เพิ่งจะเครียดเพราะความอ่อนแอของตนเอง ถึงกับมีสีหน้าเหลอหลาราวกับทำตัวไม่ถูกและตั้งตัวไม่ทันกับการโดนล็อคออกนอกสนามแบบนี้ – คางามิมองรุ่นพี่หนุ่มที่ถูกล็อคหามตัวออกไปด้วยสายที่สื่อความหมายเพียงแค่ว่า ‘เล่นงี้จริงดิ?’ ฮิวงะเองก็ทำสายตาเช่นเดียวกับคางามิแต่ กัปตันหนุ่มก็ตั้งตัวได้ทันแล้วกลบเกลือนท่าทางของตัวเองเมื่อครู่โดยไว

    ในฐานะกัปตันเขาจะมาแสดงอาการตกใจเหลอหลาได้ยังไงละ

    อายคนอื่นเขาตายพอดี!

    ทางด้านคิโยชิที่ทั้งตกใจ ทั้งมึนงง ทั้งตื่นกลัว ก็มีท่าทีจะสลัดตัวให้หลุดออกจากกลุ่มแพทย์พิเศษเสียเดี๋ยวนี้ หากไม่เพราะหางตาดันเหลือบไปเห็นใบหน้าเรียบเฉยของรุ่นน้องสาวเสียก่อน เพียงแค่เสี้ยวหน้าของรุ่นน้องสาวเขาก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว – แต่พอจะหันไปขอความช่วยเหลือจากบรรดาสมาชิกทีมบาสเซย์ริน เขาก็ได้แค่เพียงแววตาสงสารและเห็นใจจากทั้งรุ่นน้องและเพื่อนๆ

    ไม่ใช่แค่นอกสนามเท่านั้นหรอก...แม้แต่ในสนามก็ยังส่งสายตามาให้

    ทว่าแววตาของผู้จัดการทีมคนสวยเท่านั้นละมั้งที่เด่นสะดุดตาเขาสุด – แววตาที่มึนงงและว่างเปล่าเหมือนปกติ แม้จะมีรอยยิ้มประดับหน้า พร้อมมือขาวเนียนของเด็กสาวที่กำลังโบกผ้าเช็ดหน้าส่งมาให้

    .....

    เดี๋ยวนะ! ....ทำไมภาพมันเหมือนภรรยาส่งสามีไปตาย(?)!

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    คิโยชิไม่รู้หรอกว่า ความคิดของเขานั้นได้ไปตรงกับใครหลายคน

    ส่วนอมีเรียหลังจากโบกผ้าเช็ดหน้าส่งลาคิโยชิเสร็จแล้ว เธอก็หันกลับไปสนใจการแข่งบนสนามอีกครั้ง ในตอนนี้เซย์รินกลับมาทำคะแนนได้อีกครั้งเมื่อการเล่นผสานของคุโรโกะและคางามิเริ่มเห็นผล แต่นั้นก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดฝั่งโยเซ็นได้อย่างเต็มรูปแบบเลย และยิ่งโดยเฉพาะกับมุราซากิบาระผู้กำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่างจนเอาจริงแบบนั้น

    ถึงจะมีท่าทางเอื่อยเฉื่อย แต่เมื่อเริ่มเอาจริง..

    มุราซากิบาระก็ทำได้ดีกว่าที่เธอคาดเดาเอาไว้เสียอีก

    และแล้วเสียงเป่านกหวีดก็ดังขึ้นเมื่อคุโรโกะใช้ความจืดจางของตนเองทำให้มุราซากิบาระฟาวส์ แต่สะกอคะแนนก็ต่างกันไกลอยู่ดี ถึงแม้จะได้แต้มจากการเล่นฟาวส์มาหนึ่งแต้มก็เถอะทว่าคะแนนระหว่างโยเซ็นกับเซย์รินในตอนนี้ก็ยังคงห่าง

    แต่อย่างน้อยการฟาวส์ในครั้งนี้ก็ทำให้เซย์รินเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง...

    คิดว่านะ...

     

     

     

    เมื่อเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อยเซย์รินก็พร้อมตอบโต้เกมของอีกฝ่าย ด้วยลูกชู้ตสามแต้ม

    ลูกชู้ตของฮิวงะคือจุดเริ่มต้นแผนการโต้กลับในแบบของเซย์ริน ที่ผ่านการฝึกมาอย่างหนักจนออกมาอย่างสมบูรณ์ ถูกเรียกในชื่อว่า ‘สคีสท์ ฟูสคอร์ต แมน-ทู-แมน ดีเฟ้นซ์’ มันเป็นการเล่นรูปแบบใหม่ ที่ได้มาจากการฝึกร่วมกันอย่างหนักผสานกับความไว้วางใจระหว่างคนในทีม

    แม้ในตอนแรกอมีเรียจะคิดว่าแผนโต้กลับนี้มันมีโอกาสเสียสมดุลง่าย แต่เมื่อมันกำลังฉายอยู่บนสนามจริงเบื้องหน้าเธอ อมีเรียก็อดที่จะรู้สึกทึ้งไปกับความสามารถของพวกเขาไม่ได้

    ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาคงฝึกหนักมากกว่าที่เธอเห็นเสียอีก...

    ถึงอมีเรียจะเห็นและรับรู้ถึงตารางฝึกของพวกเขา เพราะเธอเองก็เป็นส่วนหนึ่งในคนที่ออกแบบตารางฝึกพิเศษให้แต่ละคนโดยเฉพาะเองแหละ – แต่อย่างงั้นอมีเรียก็อดชื่นชมพวกเขาไม่ได้จริง

    ทางด้านการเล่นรูปแบบใหม่นั้น จะเป็นการเล่นที่จะเปลี่ยนคู่ประกบไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันนั้นก็จะใช้ความสามารถด้านความจืดจางของคุโรโกะมาผสมให้เข้ากับทีม มันเป็นการเล่นที่เน้นความเร็วเป็นหลักเพื่อทำคะแนน แม้จะเป็นดีต่อทีม ทว่ามันก็เป็นเสียต่อศักยภาพคนในทีมเหมือนกัน...

    การเร่งสปีทของตัวเองให้ประสานเข้ากับเพื่อนร่วมทีม ค่อนข้างเป็นสิ่งที่ยากและสร้างภาระให้ไม่น้อย

     

     

     

     

    จนกระทั่งถึงช่วงพักสองนาที.. 

    อมีเรียที่นั่งมองการแข่งอยู่ตลอดไม่แม้แต่จะละสายตาจากมันเพื่อจดบันทึกใดๆ ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้กับแต้มที่ทำได้ก่อนหมดเวลา ทว่ากรรมการกลับไม่นับมันเสียนี่...เนื่องจากลูกบาสลงหลังจากหมดเวลาไปแล้วนั่นเอง...

    เด็กสาวลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเองเพื่อสละให้นักกีฬาที่กำลังเดินออกจากสนามเพื่อมาพัก ก่อนไปหยิบเอาบรรดาขวดน้ำกับผ้าที่เตรียมเอาไว้ในถังออกมาส่งให้ตัวสำรองคนอื่นๆช่วยกันแจกให้ตัวจริงที่เพิ่งออกมาจากสนาม มือเล็กส่งผ้าขนหนูขาวในมือให้กับฮิวงะก่อนจะทำเมินคำพูดของคางามิที่กำลังเสนอแผนการเล่นของตัวเองอยู่ – คางามิเหล่ตามองญาติสาวของตัวเองเล็กน้อยก่อนแอบเนียนยกมือขึ้นไปดีดปอยผมในจังหวะที่อมีเรีบก้มหน้าตรวจสภาพกล้ามเนื้อขาของแต่ละคน

    นัยน์ตามณีสองสีตวัดหันไปมองญาติหนุ่มเล็กน้อยพร้อมคิ้วที่ย่นขมวดเข้าหากัน

    เมื่อกี้เขาทำอะไร...?

    ริโกะสะกิดให้คางามิเลิกแกล้งอมีเรีย ก่อนที่เธอจะหันกลับไปทำหน้าที่โค้ชในการบอกแผนทั้งหมด ส่วนคิโยชิก็ได้กลับมานั่งร่วมฟังแผนกับทุกคนด้วย เนื่องจากทางทีมแพทย์อนุญาตให้เขามานั่งรวมได้ แต่ก็ยังสั่งห้ามพร้อมกำชับอีกว่า สภาพกล้ามเนื้อขาของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถลงเล่นได้อีก หากยังไม่อยากให้มันเกิดอาการย่ำแย่ลง

    แต่เมื่อชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยเสนอตัวให้ตนเองกลับลงสนามอีกครั้ง...ฮิวงะก็เปิดปากเอ่ยห้ามในทันที

    อมีเรียมองคิโยชิที่กำลังร้องไห้ให้กับทีมที่เขาเฝ้าปกป้องมาโดยตลอด..

    ในตอนนี้ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่กำลังปกป้องทีม...แต่มันเป็นทีมต่างหากที่กำลังปกป้องเขาอยู่

    “....ก็บอกไปแล้วไงค่ะ ว่าบาสนะไม่ได้เล่นคนเดียวสักหน่อย” 

    อมีเรียเอ่ยเสียงเนิบนาบก่อนหยิบเอาน้ำแข็งก้อนเล็กในกระติกออกมา นัยน์ตามณีสองสีกวาดสายตาสำรวจว่าตนเองควรจะเอาน้ำแข็งยัดลงตรงไหนดีก่อนจะตัดสินใจยัดลงหลังคอเสื้อคางามิ – ทันทีที่น้ำแข็งสัมผัสกับผิวเนื้อของชายหนุ่ม คางามิที่กำลังเครียดถึงกับชะงักไปครู่ หลังเหยียดตั้งตรงพร้อมความรู้สึกสั่นสะท้านจากอะไรบางอย่างที่ลื่นๆเปียกๆตรงหลังเขา

    คางามิหันไปมองญาติตัวเล็กเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยคำถามเช่นเดียวกับรอยยิ้มแสนใสซื่อของอมีเรียที่ส่งมาให้ ก่อนเอ่ยถามเสียงหวาน “เย็นรึเปล่าคะ?” 

    “เย็น” คางามิตอบเสียงนิ่ง 

    เย็นหลังก็เย็น หมั่นไส้รอยยิ้มญาติตัวเล็กก็หมั่นไส้ อยากฟาดสักทีก็อยากฟาด

    ดูเอาเถิด...แกล้งเขาด้วยรอยยิ้มใสซื่อกับน้ำเสียงหวานเลี่ยน มันน่าจับตีรึเปล่าละ?

    สองชายหญิงเขม่นกันผ่านทางแววตาอยู่สักครู่ ก่อนที่คางามิจะยกยิ้มส่งให้ญาติสาวในขณะที่อมีเรียเองก็ยักคิ้วส่งให้เขาเช่นเดียวกัน การสื่อสารผ่านทางสายตาของทั้งคู่เป็นเช่นนั้นอยู่สักพักก่อนที่คางามิจะเป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน อมีเรียเลยได้ผละตัวออกไปจัดเตรียมอย่างอื่น -- หลังจากทุกคนมาล้อมวงเรียกกำลังใจกันเสร็จ อมีเรียที่นั่งทำหน้ามึนอยู่นอกสนามก็โบกผ้าเช็ดหน้าให้กับทุกคนเหมือนตอนที่ทำให้กับคิโยชิ ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังจ้องมองมาทางเธอ

    หากมีน้ำตาไหลออกมาสักนิด...

    ท่าทางของอมีเรียตอนนี้คงไม่ต่างจาก บอกลาคนรักที่กำลังลงสนามรบ อย่างแน่นอน

    คางามิเป็นคนแรกที่ตั้งสติทัน เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ่อนยกมือลูบหน้าตัวเองด้วยความเหนื่อยใจ “...ใครไปสอนอะไรแปลกๆให้มีเรียอีกละเนี่ย..”

    ตอนนี้เขาไม่รู้จะสนใจสิ่งไหนก่อน ระหว่างอมีเรียกับสถานการณ์ในสนาม

    ญาติของเขาคนนี้ก็ดั้นเป็นคนที่ชอบทำในเรื่องที่คาดไม่ถึง...

    ในขณะที่คางามิกำลังกุมหน้าด้วยความเหนื่อยใจกับญาติสาว ซิกแมนหนุ่มกลับยืนกะพริบตาปริบๆ ทำหน้ามึนงงตอบกลับผู้จัดการสาวที่กำลังโบกผ้าเช็ดหน้าอยู่ข้างสนาม ทั้งฝ่ายเซย์รินและฝ่ายโยเซ็นต่างก็พากันไม่เข้าใจในความหมายการโบกผ้าของเด็กสาว – แม้จะตงิดใจอยู่บ้างก็เถอะว่า มันสื่อถึงคำลามากกว่าอวยพร 

    หากเป็นคนอื่นพวกเขาก็ยังพอจะเข้าใจว่าเจตนาทำเช่นนั้น...

    แต่พอเป็นชาวต่างชาติอย่างอมีเรียแล้ว....พวกเขาชักจะลังเลแล้วสิว่า...

    ....เจตนา หรือ ไม่รู้เรื่อง....

     

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    ตลอดการแข่งขันที่กำลังดุเดือดไปเรื่อยๆและยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอีก ทว่าอมีเรียกลับไม่ได้จดจ่ออยู่ที่การแข่งขันบนสนามเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเธอในตอนนี้กำลังอ่านเอกสารผลการตรวจสภาพร่างกายภายนอกเบื้องต้นของคิโยชิอยู่ ทีมแพทย์เฉพาะกิจเพิ่งจะเอามาให้เธอเมื่อสักครู่นี้เอง – ตลอดเกือบสามสิบปีที่หมกตัวอยู่แต่ในห้องแลปและการวิจัยหลายอย่างของอมีเรีย มันไม่ได้ยากเลยที่เธอจะสามารถอ่านลายมือของแพทย์ที่ว่า ‘อ่านยากที่สุด’ ได้อย่างง่ายๆ 

    เพียงกวาดสายตาอ่านศัพท์เฉพาะทางกับภาษาที่แพทย์ใช้กันแค่แวบเดียว..

    คิ้วของเด็กสาวขมวดเข้าหากันจนจะผูกเป็นโบได้อยู่แล้ว เนื่องจากผลการตรวจร่างกายภายนอกเบื้องต้นนั้น แม้จะไม่ได้เป็นการตรวจที่ละเอียดเหมือนที่ตรวจที่โรงพยาบาลแต่อาการของเขาก็ดันชัดเจนจนมองได้ง่ายๆ – ตามเอกสารที่ทีมแพทย์ส่งมาให้บอกว่า..

    สภาพกล้ามเนื้อขาของคิโยชิอ่อนล้ามากเกินไป บางจุดก็เกิดอาการอักเสบอย่างรุนแรงอีกต่างหาก

    เพราะอย่างงั้นแหละอมีเรียถึงได้ขมวดคิ้วเสียจนยุ่งเนี่ย...

    เธอชักจะไม่เข้าใจเลยเนี่ยว่า รุ่นพี่คนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ทุ่มเทขนาดนั้นทั้งที่รู้ร่างกายตัวเองดีว่าไม่ไหว ทำไมเขาถึงได้ทุ่มเทให้กับบาสไปขนาดนั้นโดยไม่ได้สนใจเลยว่า อนาคตของตัวเองจะไม่มีโอกาสกลับมาเล่นบาสได้อีกต่อไปหากเขายังฝืนร่างกายตัวเองแบบนี้ แต่...

    ต่อให้ถามเหตุผลหรือหาสาเหตุมาร้อยแปด ยังไงอมีเรียก็ไม่มีทางเข้าใจอยู่ดี

    ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดในฐานะผู้จัดการทีมแล้ว....

    เธอจำเป็นจะต้องดูแลสภาพขาของเขาจนกว่าจะหายดี

     

    เจ้าของเรือนผมสีฟ้ามิ้นท์หันไปมองรุ่นพี่หนุ่มที่นั่งซับน้ำตาอยู่ ก่อนที่เธอจะกดส่งข้อความไปให้พี่ชายใหญ่ที่ตอนนี้น่าจะกำลังประชุม หรืออาจจะกำลังเคลียร์เอกสารงานของเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี่แหละ

    “...รบกวนช่วยเสาะหาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดให้หน่อยนะคะ” อมีเรียเอ่ยเสียงเนิบนาบขณะสายตาก็มองไปยังการแข่งอยู่ มือเล็กส่งเอกสารในมือให้กับบอดี้การ์ดชายที่ยืนอยู่ด้านหลังก่อนเอ่ยต่อ “แล้วช่วยส่งเอกสารอาการป่วยของคิโยชิ เทปเปย์ไปด้วยนะคะ”

    “ตามแต่ประสงค์ครับคุณหนู” 

    “...”

     

    บอดี้การ์ดชายรับเอกสารที่ว่าจากเจ้านายตัวน้อยมาถือ เขากวาดสายตาอ่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอยหลังเดินออกจากหน้าที่หลัก แต่ก็ไม่วายหันไปส่งซิกให้เพื่อนร่วมงานของตัวเองคอยอยู่ดูแลเจ้านายตัวน้อยด้วย ก่อนที่เขาจะเดินออกจากโรงยิมเพื่อที่จะไปจัดการตามคำวานของอมีเรีย – เมื่อบอดี้การ์ดหายไปหนึ่งคนจากสองคน ทำให้ริโกะที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่สังเกตเห็นได้พอดีผ่านทางหางตา 

    โค้ชสาวกะพริบตาสงสัยว่าบอดี้การ์ดของรุ่นน้องสาวหายไปไหนหนึ่ง แต่เมื่อเห็นเสี้ยวหน้านิ่งเฉยของอมีเรียแล้ว ความสงสัยที่ทวีเพิ่มพูนก็มลายหายไปตามสายลมในทันที เธอยังไม่อยากถูกรุ่นน้องสาวส่งสายตานิ่งๆนั้นมามองหรอกนะ

    ทางด้านอมีเรียก็เอาแต่จ้องไปยังขาของมุราซากิบาระอยู่โดยไม่ได้สนใจว่า ตอนนี้เหลือจำนวนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังกี่คน เนื่องจากในจังหวะหนึ่งเธอดันสังเกตทันว่า จังหวะการกระโดดของมุราซากิบาระมีบางอย่างทีทำให้รู้สึกขัดๆ – ด้วยความสูงที่เกินมาตรฐานอายุในช่วงนี้ของเขา หากเขายังฝืนกระโดดมากไปกว่านี้ด้วยน้ำหนักตัวที่มากตามส่วนสูง มันยิ่งส่งผลให้ขาและเข่าของเขาเสียหายได้ หรือบางทีอาจจะทำให้ต้องรับภาระหนักจนบาดเจ็บขึ้นมาได้

    การที่ต้องเล่นโดยที่ฝ่ายโยเซ็นมีครบทั้งเอซและเซนเตอร์อยู่ถึงสอง

    ทำให้เซย์รินกลับมาเป็นฝ่ายตามอีกครั้ง

    แม้มันจะน่าปวดหัวที่สถานการณ์ฝั่งเซย์รินกลับมาแย่อีกครั้ง แต่อมีเรียก็ยังไม่ได้เอาแผนที่วางเอาไว้ออกมาใช้เลยสักนิดเดียว เนื่องจากตอนนี้เธอดันเห็นว่าคางามิ ญาติของเธอนั่นกำลังจะเริ่มเสียศูนย์ท่ามกลางการแข่งอีกแล้วทว่ายังดีที่ได้คิเสะช่วยพูดดึงสติให้คางามิได้เสียก่อน

    ไม่อย่างงั้น... อมีเรียอาจจะได้ขอให้คางามิกลับออกมานั่งพักอย่างแน่นอน

    แต่ถึงยังไงอมีเรียก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี...

    คิเสะพูดอะไรกับคางามิถึงทำให้คนใจร้อนสงบลงได้แบบนั้น...?

     

    “มีเรียจัง”

    “คะ?” อมีเรียขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนหันไปมองริโกะที่นั่งอยู่ข้างๆ “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

    “ไม่ไปพูดอะไรหน่อยเหรอ..?” 

    คิ้วที่เพิ่งคลายก็กลับมาขมวดอีกครั้ง พร้อมใบหน้ามึนงงของเด็กสาว

    “ทำไมต้องพูดด้วยละคะ?”

    “ก็...” ริโกะอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังจัดลำดับความคิดของตัวเองอยู่ “คางามิไง! ใช่ๆ ถ้าคางามิยังเป็นแบบนั้นต่อทีมเราได้แย่แน่เลย”

    “อ่อ” 

    “...”

    “ตอนนี้คงไม่เป็นไรแล้วละค่ะ ไม่ต้องห่วง” 

     

    ริโกะมองรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ให้ความรู้สึกว่างเปล่า ก่อนจะหันไปมองสนามอีกครั้งก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่อมีเรียบอก ‘ไม่ต้องห่วง’ เพราะคางามิสามารถกลับมาสงบนิ่งแถมยังดูคล้ายคลึงกับช่วงที่จะเข้าโซนอีกด้วย

    หรือเธอจะเชื่อที่อมีเรียบอกดีนะ...?

    อมีเรียที่สังเกตเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนจึงเข้าใจได้ทันทีว่า โค้ชสาวข้างกายเธอนั้นกำลังกังวลกับการตัดสินใจของเธออยู่ – ถึงจะคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรจะต้องไปใส่ใจแต่ถึงกระนั่น..ปากของเธอกลับพูดออกไปสวนทางกับความคิดอย่างชัดเจน

    “ไทกะเขาแค่อยากกลับเข้าโซนอีกครั้งให้ได้เพื่อทีมนะคะ”

    เธอจะพูดทำไม..?

    ถึงแม้จะไม่เข้าใจการตอบสนองของตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อมีเรียก็ยังเลือกที่จะพูดต่อให้จบเพื่อให้รุ่นพี่สาวได้เข้าใจและเลิกกังวลเสียที

    “...แค่มองจังหวะการเล่นที่แปลกไป ไหนจะสีหน้าของเขาที่ตึงเครียดแบบนั้น”

    “...”

    “...เท่านี้ก็รู้แล้วละคะ ว่าไทกะกำลังคิดที่อยากจะเข้าไปในสิ่งที่เรียกว่า โซน อีกครั้ง”

     

     

    ในขณะที่ข้างสนามอมีเรียกำลังอธิบายความคิดของคางามิอยู่ ชายผู้มีเรือนผมสีแดงกลับกำลังเม้มปากแน่นพร้อมหัวที่กำลังคิดไม่หยุด ตั้งแต่จังหวะการเดินเกมเสียหายเขาก็เอาแต่คิดที่จะเข้าสู่โซนอีกครั้งให้ได้ โซนเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้ทีมชนะและมีแค่เขาเท่านั้นที่จะทำแบบนั้นได้ 

    เขาจำเป็นต้องทำ!

    ทว่า..

    ฉันไม่รู้จัก เจ้ากระจอกที่เล่นบาสโดยยึดติดกับอะไรพรรค์นั้นหรอก

     

    คำพูดของคิเสะกลับทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ เขากำลังกดดันตัวเองมากเกินไป 

    อย่าว่าแต่ชนะเลย..แม้แต่การหยุดมุราซากิบาระก็คงทำไม่ได้หรอกถ้ายังเป็นแบบนี้...

    แต่มันก็ไม่มีเวลาคิดอีกต่อไปแล้ว เมื่อเซนเตอร์ของฝั่งโยเซ็นได้บอลและกำลังพุ่งขึ้นมาทำคะแนนอีกครั้ง ในจังหวะที่มุราซากิบาระกำลังจะส่งลูกให้กับทัตสึยะเพื่อชู้ตทำแต้ม คางามิก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง คิเสะไม่ได้พูดเพื่อยั่วอารมณ์เขาแต่พูดเพื่อเตือนให้เขาได้รู้ตัวต่างหาก

    เตือนว่า ถ้าเขายังยึดติดกับการเข้าโซน พวกเราจะแพ้?!

    “ชิ!น่าหงุดหงิดเป็นบ้าเลยเว้ย!!” 

    แม้จะเข้าใจถึงความนัยแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังหงุดหงิดอยู่ดีที่สิ่งที่ตัวเองยึดติดกลับกำลังส่งผลเสียต่อทีมแบบนี้ ในจังหวะที่ทัตสึยะกำลังตั้งท่าเพื่อชู้ต คางามิก็กระโดดขึ้นสูงแล้วปัดลูกในทันที! 

    นั่นเป็นครั้งแรกที่ลูกชู้ตของทัตสึยะถูกทำลายลงท่ามกลางความตกใจของทุกคนในวินาทีนั้น

    !!!

    เฮ!!

    ทัตสึยะหยุดหายใจไปชั่วขณะ ราวกับเวลาเดินช้าลงในตอนที่ลูกบาสถูกปัดได้จนกระดอนลงสู่พื้น เขาหันไปมองน้องชายร่วมสาบานด้วยแววตาตกใจก่อนเบิกตากว้างเช่นเดียวกับเสี้ยวหน้าของเขาที่ฉายความกังวลออกมา

    คางามิกลับเข้าโซนแล้ว....

     

     

     

     

    ในที่สุดแสงของเซย์รินก็เริ่มเปล่งประกายอีกครั้ง เมื่อคางามิเริ่มเข้าโซนและหยุดการบุกของมุราซากิบาระที่เล่นประสานกับทัตสึยะได้ ตามด้วยการบุกและชู้ตสามแต้มอย่างต่อเนื่องโดยที่เขาแทบไม่ต้องพึ่งเพื่อนร่วมทีมอีกด้วย

    ภาพเบื้องหน้าในตอนนี้นั้นทำให้อมีเรียเริ่มย้อนนึกถึงอาโอมิเนะขึ้นมา ราวกับว่าคางามิในตอนนี้กำลังมีอาโอมิเนะมาทับซ้อนเขาอยู่ ถึงแม้จะสงสัยกับระบบการมองเห็นของตัวองแต่เมื่อสถานการณืในสนามกลับมาดีขึ้น อมีเรียจึงกลับมานั่งใจเย็นอีกครั้งจนกระทั่งถึงช่วงพักระหว่างควอเตอร์นั่นแหละ 

    ร่างเล็กขยับลุกออกจากที่นั่งเพื่อหลีกทางให้นักกีฬาได้นั่งพัก

    ....ถึงแม้คางามิจะเข้าไปมาผลักหัวเธอไปทีหนึ่งก็เถอะ

    ยืนแจกจ่ายขวดน้ำกับผ้าขนหนูจนครบทุกคนแล้ว อมีเรียจึงได้เดินแยกไปยังม้านั่งฝั่งโยเซ็นเสียหน่อยพร้อมผ้าขนหนูที่เธอเตรียมาเผื่อพี่ชายร่วมสาบานคนนี้ด้วย แต่เมื่อเดินมาถึงใบหน้าที่เรียบเฉยของผู้จัดการทีมเซย์รินพลันปรากฎม่านน้ำแข็งขึ้นเกาะกุมทันที – มือเล็กปล่อยผ้าขนหนูให้วางแหมะลงบนกลุ่มผมของผู้เป็นพี่ชาย ขณะเดียวกันนัยน์ตามณีสองสีของเธอก็จ้องมองใบหน้าตกตะลึงของมุราซากิบาระไม่วางตา

    ตอนที่กำลังแจกน้ำให้ทุกคนอยู่...เธอดันสังเกตเห็นว่า ทัตสึยะกับมุราซากิบาระ กำลังมีปัญหากัน

    เพราะอย่างงั้นเธอถึงได้เดินข้ามฟากมาหาพวกเขาเนี่ยแหละ

    แถมยังได้เห็นน้ำตาของทัตสึยะพอดิบพอดีเสียด้วย ต่อให้ก่อนหน้านั้นไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน แต่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เสี้ยวหน้าหวานมีม่านน้ำแข็งขึ้นมาเกาะแบบนี้ – ถึงจะไม่เข้าใจในตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่อมีเรียก็รู้แน่ชัดอยู่อย่างหนึ่งว่า... 

    เธอกำลังหงุดหงิดที่เห็นน้ำตาของทัตสึยะ...

    “..นิสัยไม่ดีเลยนะคะ” 

    ประกายความเย็นชาและเยือกเย็นคล้ายกับกำลังแผ่กระจายตัวออกมา ใบหน้าหวานเรียบเฉยในขณะเดียวกันก็เยือกเย็น ทำเอาสมาชิกทีมโยเซ็นต่างพากันถอยออกห่างพร้อมกอดตัวเองเอาไว้ พวกเขารับรู้ได้ถึงความหนาวอันน่าประหลาดนะสิ! ส่วนอมีเรียนั้นก็ไม่สนใจว่าในตอนนี้สายตาของคนรอบข้างจะมองมาที่เธอยังไง เพราะนอกจากมุราซากิบาระแล้วอมีเรียก็ไม่ได้มองไปที่ใครอื่นเลยแม้แต่นิดเดียว  

    “คนที่มีพรสวรรค์แต่กลับทำตัวไร้พรสวรรค์มันน่าโมโหนะคะ แต่ที่น่าโมโหกว่า...” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยเนิบนาบก่อนเว้นไปครู่หนึ่ง “กล้าดียังไงมาทำให้พี่ชายคนสำคัญของดิฉันร้องไห้กันคะ?”

    หากประกายวาวโรจน์ของอมีเรียเป็นอาวุธ..

    ร่างกายของมุราซากิบาระคงอาบย้อมไปด้วยเลือดแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย

    “มีเรีย...”

    ทัตสึยะรีบปาดน้ำตาบนใบหน้าของตนเองทิ้งอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเข้าไปจับร่างบางแทบจะทันทีที่ดวงตาสีแดงของเธอเป็นประกายวาวโรจน์ มันเหมือนมีภาพทับซ้อนมาในครั้งอดีตที่เขาเคยร้องไห้เพราะเรื่องแบบนี้ แววตาที่เหมือนผู้ล่าที่พร้อมจะฉีกกระชากคนให้ตายตรงหน้าของอมีเรียมันน่ากลัวที่สุด

    และในตอนนี้อมีเรียก็กำลังใช้สายตานั้นจ้องมองมุราซากิบาระอยู่

    ร่างบางที่ถูกจับรั้งเอาไว้ไม่ขยับใดๆ นอกซะจากเงยหน้าขึ้นแล้วปรายตามองทัตสึยะนิ่ง ท่าทางที่ราวกับพวกชนชั้นสูงที่มองคนที่ต่ำกว่าตนเองทำเอาทัตสึยะสั่นสะท้านไปแวบหนึ่ง แต่เมื่อได้ยินเสียงเหอะในลำคอของอมีเรียนั่นแหละ เขาถึงได้รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา 

    “มีเรียใจเย็นก่อนนะ” เขาพยายามยิ้มกลบเกลือนคราบน้ำตาของตัวเอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลงผสมเว้าวอน “พี่ไม่เป็นไรแล้วนะครับ กลับไปฝั่งเซย์รินเถอะน่ะถือว่าพี่ขอร้อง” 

    “.....”

    ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า น้องสาวหน้ามึนของเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อดวงตาสองสีของคนตัวเล็กหันมามองเขาพร้อมหรี่ตาลงอย่างน่าหวาดหวั่น

    อมีเรียมองทัตสึยะนิ่งก่อนหลับตาเพื่อข่มอารมณ์ทั้งหมดให้กลับลงไป แล้วจึงได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

    “พี่ทัตสึยะ..หยุดคิดที่จะไล่ตามไทกะโดยการเอาสายสัมพันธ์มาเป็นเดิมพันได้แล้ว” ประกายวาวโรจน์ฉายชัดเพิ่มขึ้นพร้อมเสี้ยวหน้าของเด็กสาวที่เริ่มบึ้งตึง “....มีเรียไม่ชอบ”

    “...พี่”

    “ทุ่มสุดตัวสิ” 

    “.....”

    อมีเรียเงยหน้ามองพี่ชายร่วมสาบานพร้อมใช้นิ้วเรียวเล็กเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของเขา แม้การกระทำแบบนั้นเธอจะต้องเขย่งตัวเองก็ตามที ก่อนเอ่ยต่อเมื่อเห็นประกายในแววตาของชายหนุ่มไร้ซึ่งความกังวลแล้ว “ต่อให้พี่แพ้ ยังไงพี่ก็เป็นพี่ชายของไทกะอยู่ดี กีฬาไม่ใช่เกมเดิมพันหรอกนะพี่ชาย”

    “สนุกไปกับมันจะดีกว่านะคะ...เชื่อมีเรียสิ”

    “.....”

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    ไม่รู้เป็นเพราะน้ำตาแห่งความคับแค้นใจของทัตสึยะ รึเป็นเพราะบรรยากาศอันแสนจะน่ากลัวของผู้จัดการเซย์รินที่เดินไปหาพวกเขาในช่วงพัก ตอนนี้มุราซากิบาระเริ่มเอาจริงและตั้งใจเล่นมากกว่าตอนแรกเสียอีก! ส่วนใครที่จะเข้ามาถามว่าเธอไปคุยอะไรกับพวกเขารึเปล่า?

    อมีเรียก็ไม่คิดจะบอกแถมยังหรี่ตามองพวกเขาด้วยวงหน้าเงียบสงบ

    เพียงแค่นั้นก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามเธอแล้ว....

    ใครเขาจะไปกล้าถามละ...ก็ในเมื่อสายตาของอมีเรียช่างน่ากลัว

    กลับมาที่การแข่งอีกครั้ง ด้วยการเปลี่ยนแปลงของมุราซากิบาระไม่ได้มีแค่บรรยากาศรอบตัวเขา ยังมีผมที่ปล่อยยาวตลอดการแข่งแต่กลับมัดรวบขึ้นจนเปิกเผยโครงหน้าคมเข้มของเขา แถมยังมีสีหน้าจริงจังชัดเจนอีกด้วย – อมีเรียยอมรับเลยว่า มุราซากิบาระในลุคมัดผมเขาดูหล่อจริงๆ..

     

    ทำไมเขาถึงชอบปล่อยผมยาวสีม่วงของเขาตลอดเวลาด้วยนะ...?

    ทั้งที่เวลามัดเขาออกจะดูหล่อดูดีแท้ๆ – อมีเรียชะงักอยู่ครู่ก่อนจะหยิกแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติ ไม่ให้ตนเองเผลอคิดอะไรไปมากกว่านี้ ถึงแม้สิ่งที่เธอคิดนั้นจะเป็นความจริงก็เถอะ...แต่ว่าเมื่อกี้นี้ตัวเธอกลับมีความคิดแวบเข้ามาทั้งที่ตอนที่ยังเป็นนักวิจัย เธอไม่เคยเลยที่จะรู้สึกหรือเห็นใครว่าหล่อเนื่องด้วยโรคประจำตัวของเธอเอง...

    มาตอนนี้...ถึงจะเริ่มเห็นใบหน้าของคนรอบข้างได้บ้างแต่ก็ไม่มีใครเลยที่จะทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น

    อมีเรียชักจะเริ่มไม่แน่ใจและไม่เข้าใจในตัวเองแล้วละว่า..

    ตัวเธอในตอนนี้มีบางอย่างที่แปลกประหลาดอย่างไม่น่าเข้าใจ

    ทั้งที่อมีเรียควรถอยออกห่างจากกลุ่มคุโรโกะ แต่ท้ายที่สุดตัวเธอก็เผลอตัวหลงคิดว่าตัวเองคือคนของโลกนี้อยู่บ่อยครั้งทั้งที่ความจริงไม่ใช่ เธอไม่ใช่คนโลกนี้ นั่นคือความจริงที่ควรตระหนักได้มาตั้งแต่ต้นถึงกระนั่นอมีเรียก็ยังเผลอปล่อยความรู้สึกไปตามสถานการณ์โดยไม่รู้ตัว – เธอที่เป็นนักวิจัยบ้างานไม่เข้าสังคมคนนั้น บัดนี้กลับเป็นคนที่เข้าสังคมเพื่อคนรอบข้าง มันช่างเหมือนกับไม่ใช่ตัวเธอเลย...

    ....เธอต้องหาทางรีบกลับไปโลกของตัวเองได้แล้วก่อนที่ทุกอย่างจะกลับตาลปัตร

     

    กึก กึก กึก

    เสียงกัดเล็บดังมาจากร่างบางที่นั่งก้มหน้าอยู่คนเดียว ถึงแม้อยากจะเอ่ยถามว่าเด็กสาวเป็นอะไรแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปขัดจังหวะร่างบางที่อยู่ในห้วงความคิดแม้แต่คนเดียว พวกเขาพร้อมใจกันมองหน้ากันและกันแล้วเลือกที่จะปล่อยผู้จัดการสาวเอาไว้แบบนั้น 

    อมีเรียนะ ชอบมีความลับซุกซ่อนเอาไว้

    เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงได้แค่มองผู้จัดการสาวด้วยความเป็นห่วงอยู่ห่างๆเท่านั้น

    กว่าที่อมีเรียจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังกัดเล็บอยู่ก็ผ่านไปแล้วเกือบสิบนาที นัยน์ตามณีสองสีหลุบมองเล็บมือของตัวเองที่มีรอยกัดแทะชัดเจนด้วยความรู้สึกหลากหลายไปหมด ก่อนที่เด็กสาวจะถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วใช้นิ้วคลึงหว่างคิ้วเพื่อเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา – การเล่นแบบผสานระหว่างมุราซากิบาระกับทัตสึยะช่างเป็นการเล่นที่หากไม่มีคางามิที่เข้าโซนอยู่ร่วมทีม บางทีเซย์รินก็คงจะหมดหนทางชนะเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว...

     

    อมีเรียเฝ้ามองการผสานของฝ่ายโยเซ็นด้วยความชื่นชม ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อโค้ชอย่างริโกะเดินไปขอเปลี่ยนตัวให้คิโยชิได้ลงไปเล่นบนสนามอีกครั้ง

    ตอนแรกอมีเรียก็แย้งว่าไม่สมควรทำแบบนั้น...

    แต่เมื่อมีทั้งริโกะและคิโยชิมาขอร้อง สุดท้ายอมีเรียเลยหันไปสอบถามหน่วยแพทย์ว่าสามารถส่งคิโยชิลงสนามได้อีกไหม ซึ่งคำตอบก็คือได้แต่ถ้าหากเกินลิมิตที่ขาของคิโยชิจะรับไหวเมื่อไหร่ เขาจะต้องถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลโดยทันทีไม่อย่างงั้นกล้ามเนื้อขาอาจจะรุนแรงยิ่งกว่าที่เป็นในตอนนี้ก็เป็นได้

    เมื่อมีเซนเตอร์ควบพ้อยการ์ดอย่างคิโยชิลงสนาม ตำแหน่งต่างๆของฝั่งเซย์รินจึงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยมีเอซอย่างคางามิที่กำลังเข้าโซนเป็นคนนำบุกขึ้นทำแต้ม

    “เซย์ริน!ไปเลย!!”

    เสียงตะโกนเชียร์จากข้างสนามดังขึ้นพร้อมความหวังที่จุดประกายเฉกเช่นแสงตะวัน

    เมื่อลูกชู้ตสุดท้ายทำแต้มนำภายในเวลา 10 วินาที 

    ตอนนี้เซย์รินกำลังงัดพลังเฮือกสุดท้ายออกมาและทุ่มสุดตัวเพื่อนำชัยชนะมาสู่ทีม ทว่าฝั่งโยเซ็นเองก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกัน เด็กสาวผู้มีนัยน์ตาสองสีทอดมองแววตาที่ดูดีกว่าตอนแรกของทัตสึยะก่อนเผลอยิ้มออกมา เมื่อทั้งคิโยชิและคางามิต่างช่วยกันหยุดการดั้งซ์ของมุราซากิบาระได้สำเร็จ

    ทว่าทุกคนต่างดีใจได้ไม่นานหรอก.....เมื่อมุราซากิบาระดันเข้าโซน

    แต่ก็นั้นแหละการที่เขาเข้าโซนในช่วงสิบวินาทีสุดท้าย มันสายเกินไป เมื่อคางามิทำให้ทุกคนตะลึงด้วยการชู้ตแบบใหม่ที่ไปแอบซุ่มฝึกมา ในขณะเดียวกันการสวนกลับของมุราซากิบาระก็ไม่สำเร็จเนื่องด้วยเข่าของเขาที่รับภาระหนักจนเกินไปมาตั้งแต่ต้นกำลังสำแดงผลของมัน จนเขาไม่สามารถกระโดขึ้นเพื่อดั๊งซ์ลูกได้ และนั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับเงาที่เด่นชัดกลับมาปัดบอล ช่วยจุดประกายความหวังและกำลังใจให้กับทีมจนเสียงสัญญาณสิ้นสุดการแข่งขันก็ดังขึ้น...

     

    ปรี๊ด!!

     

    “ไชโย!!!!”

    เฮ!!

    “....”

     

    เมื่อแต้มคะแนนบนสะกอนิ่งเงียบพร้อมกับเวลาที่ได้หมดลง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของฝ่ายเซย์ริน ในขณะเดียวกันฝั่งโยเซ็นก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับแหละว่าเพื่อชัยชนะเซย์รินทุ่มหมดตัวจริงๆ – อมีเรียถอนหายใจเบาๆก่อนส่ายหน้าเมื่อเห็นท่าทางดีใจจนเกินเหตุของแต่ละคน ก่อนจะลุกเดินตรงไปหาคางามิกับทัตสึยะที่ยังยืนมองหน้ากันอยู่ในสนาม ทั้งที่คนอื่นๆเริ่มทยอยกันเดินออกไปแล้ว...

    ถึงแม้จะย้ำบอกตัวเองว่าควรถอยออกห่าง 

    แต่ไม่รู้ทำไมร่างกายของเธอถึงได้ขยับเดินเข้าไปหาพวกเขาสองคนแบบนั้น กว่าจะได้ยั้งคิดเธอก็มายืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนเสียแล้ว – เอาเถอะ...ลองปล่อยไปตามความรู้สึกอะไรนั่นลองดูละกัน.. มันก็คงจะไม่แย่สักเท่าไหร่หรอกมั้ง....

    เด็กสาวเอียงคอเล็กน้อยก่อนยกมือฟาดเข้าที่กลางหลังทั้งสองคนเสียเต็มแรง

     

    ป้าบ!

    “!!!”

     

    คางามิกับทัตสึยะถึงกับเซถลาไปข้างหน้าเล็กน้อยเนื่องจากไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะพร้อมใจกันหันไปมองว่าใครคือคนที่เข้ามาฟาดหลังพวกเขาสองคน – คางามิถลึงตาใส่อมีเรียในขณะที่ทัตสึยะทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก

    “มันเจ็บนะมีเรีย” คางามิย่นคิ้วไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ที่ตัวเองโดนฟาดหลังแบบนั้น

    ขนาดตัวเล็กแบบนี้..ยังฟาดจนเขารู้สึกแสบหลังไปหมดแล้ว

    “สัญญาอะไรกันเหรอ...บอกเราได้รึเปล่าคะ?”

    รอยยิ้มหวานยังคงอยู่บนใบหน้างามแต่แววตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเหมือนเดิม สร้อยสีเงินที่ห้อยแหวนแกว่งไปมาตามแรงเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ดึงดูดสายตาของทุกคนให้จ้องมองมัน แม้แต่คางามิที่กำลังจะเอ่ยปากว๊ากใส่ญาติสาวเสียหน่อยก็ต้องชะงัก ส่วนทัตสึยะก็ได้แค่เพียงยกยิ้มแห้งๆให้เท่านั้น

    พวกเขาเดิมพันสายสัมพันธ์กันง่ายๆ จนลืมนึกถึงอีกคนที่เป็นหนึ่งในสายสัมพันธ์ระหว่างเรา

    มันก็ไม่แปลกที่คนที่ชอบทำหน้ามึนงงอย่างอมีเรียจะทำหน้าบึ้งตึง หงุดหงิดแบบนี้

    “ขอโทษนะมีเรีย..”

    “ขอโทษ”

    “ขอตบสักทีได้ไหมคะ?...”

    “ได้...เดี๋ยว” คางามิเลิกคิ้วมองญาติสาว “ไม่ได้เฟ้ย!!!”

    “อ้าวเหรอ..หวาอุตส่าห์วอร์มมือรอแล้วเชียวนะคะเนี่ย” ไม่ว่าเปล่ายังกำแบมือโชว์ให้ดู

    คางามิถลึงตาใส่ญาติสาว พร้อมคำพูดที่ค้างอยุ่ในลำคอ “นี่เธอ...” 

    เขาไม่รู้จะสำนึกผิดหรือจะหมั่นไส้ญาติตัวเล็กของเขาดี...?

    อมีเรียแลบลิ้นให้ญาติหนุ่ม ก่อนจะขอแยกตัวเดินไปหามุราซากิบาระที่กำลังค้นกระเป๋าของเขาอยู่โดยปล่อยให้สองชายหนุ่มได้เปิดอกคุยกันเสียหน่อยก่อนที่เรื่องราวมันจะไปกันใหญ่ แต่เหมือนมันไม่จำเป็นจะต้องคุยแล้วมั้งเพราะทัตสึยะเดินมาขนาบข้างเธอแล้ว – อมีเรียเลิกคิ้วขึ้นสูงข้างหนึ่งเป็นเชิงถามว่าเขานั้นเคลียร์กับคางามิเสร็จแล้วเหรอ แต่คำตอบที่ได้ก็มีเพียงรอยยิ้มประจำตัวของทัตสึยะเท่านั้น อมีเรียเลยปล่อยเรื่องนั้นไว้เบื้องหลังนั่นแหละ...

    เรื่องของผู้ชาย...เคลียร์กันเอาเอง...

    นัยน์ตามณีสองสีเหล่มองเซนเตอร์ร่างใหญ่แห่งโยเซ็นก่อนยื่นขวดน้ำและผ้าขนหนูในมือให้ทัตสึยะ ตอนแรกก็ถือติดมือว่าจะเอาให้คางามิ แต่พอเห็นท่าทางของสองคนนั้นที่ไม่น่าจะเคลียร์กันได้ง่ายๆก็เลยลืมไปเลยว่าต้องเอาขวดน้ำให้เขา ทัตสึยะเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยอมรับขวดน้ำกับผ้าขนหนูแต่โดยดี 

    อมีเรียแตะที่กระเป๋ากระเป๋านักเรียนก่อนล่วงอะไรบางอย่างออกมา “อมยิ้มหน่อยไหมคะ?..” อมยิ้มแท่งน้อยถูกยื่นให้ชายหนุ่มพร้อมวงหน้างามที่ยื่นเข้าไปใกล้ใบหน้าของเขา เรือนผมสีม่วงเข้มถูกผ้าปรกไว้เพื่อบดบังน้ำตาแห่งความเสียใจของเขา 

    หนึ่งคู่นัยน์ตาสีม่วงกับหนึ่งคู่นัยน์ตามณีสองสีมองสบกันอยู่ครู่ก่อนอมีเรียจะเป็นฝ่ายหลบตาไปก้มแกะอมยิ้มในมือของเธอ -- เธอไม่รู้จะพูดปลอบใจคนที่กำลังเสียใจตรงหน้ายังไงดี เลยแกะอมยิ้มส่งมันเข้าปากมุราซากิบาระก่อนกระซิบเสียงเบาแล้วผละตัวออก

    “หยุดร้องไห้นะคะ เดี๋ยวไม่หล่อนะ”

    “...มาสเมลโล่...ขอบคุณ....”

    “บางทีคุณควรจำชื่อดิฉันบ้างนะคะ...เรียกแต่มาสเมลโล่จังเลย” อมีเรียทำหน้ายุ่งทันที แต่พอมองหยดน้ำตาที่หยุดลงแล้วของเขาอมีเรียก็ต้องถอนหายใจออกมา “ยอมแพ้”

    “.....”

    “...แต่ว่า ดิฉันให้คุณเรียกแบบนั้นก็ได้ค่ะ – แค่คุณคนเดียว”

    ผู้จัดการเซย์รินโคลงหัวไปมา ก่อนจะยื่นเอกสารบางอย่างให้โค้ชของโยเซ็น

    มันเป็นเอกสารนัดตรวจสภาพเข่าของมุราซากิบาระ ที่เธอให้หน่วยแพทย์พิเศษวิเคราะห์และนัดเขาไปตรวจ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอมีเรียจะออกในส่วนของเขาให้ ถ้าเขายินยอมไปตรวจแต่โดยดีละนะ – เมื่อไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรือเรื่องที่จะต้องพูดคุยแล้ว อมีเรียก็โค้งตัวลาโค้ชสาวของทีมโยเซ็น โบกมือลาทัตสึยะ ก่อนหันหลังเดินไปหาสมาชิกทีมเซย์รินที่ยืนรอเธออยู่

    คางามิเลิกคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าของโยเซ็นที่จ้องมองญาติสาวไม่วางตา ก่อนเดินไปยืนบังไม่ให้พวกนั้นจ้องญาติหน้ามึนไปมากกว่านี้ ไม่ได้หวงนะ แค่รู้สึกหงุดหงิดมากกว่า – อมีเรียเหล่มองคางามิที่จู่ๆก็มายืนอยู่ข้างหลังเธอ แถมยังทำหน้าตาพิลึกอีกต่างหาก แม้จะสงสัยแต่อมีเรียก็เลือกไม่ถามดีกว่า ทว่าคางามิก็ช่างปากไวเสียเหลือเกิน

    “...หว่านเสน่ห์เก่งจังนะเรา”

    ก่อนจะยกมือขึ้นยีผมสีฟ้ามิ้นท์ของญาติสาว แล้วเขาก็ต้องทำหน้าประหลาดใจที่ครั้งนี้อมีเรียไม่มีท่าทีขัดขืนอะไรเลยนอกจากเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาสงสัยเท่านั้น บางทีคางามิก็เริ่มจะรู้สึกแล้วว่าญาติสาวคนนี้อาจทำไปโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว...

    “หว่านเสน่ห์?”

    “ช่างมันเถอะ กลับกัน”

    “อื้อ!!”

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    เมื่อการแข่งขันระหว่างเซย์รินกับโยเซ็นจบลง ทางด้านเซย์รินก็มีตารางสัมภาษณ์ลงนิตยสารบาสประจำปีที่ลงรายสัปดาห์ โดยพวกเขาได้ติดต่อมาทางอมีเรียผ่านบอดี้การ์ดของเธอ ซึ่งอมีเรียเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบอดี้การ์ดของเธอไปให้เบอร์ติดต่อกับบรรดานักข่าวตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงได้ติดต่อมาทางเขาแบบนี้ ทว่านั้นก็เป็นเรื่องดีที่ข้อมูลส่วนตัวบางอย่างของอมีเรียไม่ได้ถูกเผยแพร่ 

    เธอไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ที่คนแปลกหน้ามีเบอร์ติดต่อส่วนตัวของเธอ

    ตอนนี้สมาชิกทีมบาสเซย์รินทุกคนกำลังนั่งตัวเกร็งอยู่ โดยมีอมีเรียคอยแจกแจงเอกสารและหัวข้อให้ทุกคนอยู่ ก่อนเด็กสาวจะหลุดขำออกมาเสียงเบาเมื่อเห็นท่าทางเกร็งของแต่ละคน ขนาดก่อนสัมภาษณ์พูดอย่างมั่นใจว่าให้ผ่อนคลาย แต่พออยู่หน้ากล้องเกร็งกันทั้งทีม เริ่มตั้งแต่โค้ชลากยาวไปถึงซิกแมนเงามายา....

    “จะขอเริ่มให้สัมภาษณ์นะครับ” ผู้รับหน้าที่สัมภาษณ์เอ่ยขึ้นเมื่อถ่ายรูปไปแล้วสองสามรูป 

    แต่ดูเหมือนปากกาของเขาจะจดไม่ออก อมีเรียที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมสมาชิกตัวสำรองจึงเดินเข้าไปหาพร้อมปากกาของเธอที่ยื่นส่งไปให้เขา ชายวัยกลางคนรับปากกามาแล้วส่งยิ้มขอบคุณก่อนจะกลับไปสนใจงานของตนต่อ

    “เป็นแมตส์ที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ทุกคนทำได้ยอดมากครับผ่านมาถึงตรงนี้ได้โดยไม่มีเด็ก ม.6ในทีมเป็นอะไรที่สุดยอดมาก – แถมยังทะลุเข้าไปถึงรอบรองแล้วด้วย”

    “อ เอ่อ ข ขอบคุณมากเลยนะครับ” ฮิวงะเอ่ยขอบคุณในฐานะกัปตันทีม 

    แต่ด้วยเขากำลังเกร็งอยู่เพรานี่เป็นครั้งแรกที่สัมภาษณ์ น้ำเสียงของเขาจึงตะกุกตะกักเพราะความประหม่า

    “แมตส์ที่เป็นที่จดจำมากที่สุด คือแมตส์ไหนเหรอครับ” ตากล้องเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

    ฮิวงะหันไปมองริโกะเพื่อขอความเห็น ก่อนจะรู้สึกโล่งเมื่ออมีเรียยืนยิ้มอยู่ด้านข้างแถมยังชูสองนิ้วเป็นกำลังใจให้กับพวกเขา “ถ้าให้เลือกมาแมตส์เดียว..คงเลือกไม่ได้หรอกครับ”

    “นั่นสินะครับ ฮะฮะ”

    “แต่ถ้าให้ผมเลือก” ฮิวงะเงยหน้ามองผู้สัมภาษณ์โดยไร้ท่าทีประหม่า “ผมเลือกแมตส์ที่แข่งกับชูโตคุครับ”

    “เกมส์สุดท้ายของรอบคัดเลือกวินเทอร์คัพสินะ”

    อมีเรียมองการสัมภาษณ์ที่ทุกคนเริ่มหายเกร็งและเลิกประหม่ากันบ้างแล้ว จนการตอบคำถามสัมภาษณ์เริ่มเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเป็นใจจริงๆเพราะชูโตคุที่ฮิวงะเอ่ยถึงนั้น กำลังเดินผ่านจุดที่พวกเขาสัมภาษณ์กันอยู่ แถมยังเป็นบุคคลที่ช่างคุ้นหน้าคุ้นตาเธอมากอีกด้วย – อมีเรียรีบยกสมุดในมือปิดปากที่กำลังกลั้นเสียงหัวเราะ ก่อนเม้มปากแน่นเมื่อตัวเองดันได้ยินประโยคที่มิโดริมะกับทาคาโอะพอดี

     

    “กำลังนินทาพวกเราอยู่แหง่เลย”

    “คงจะบอกว่าอยากแข่งกับพวกเราอีกนั้นแหละ”

     

    มิโดริมะกับทาคาโอะเพิ่งเดินจากไปได้ไม่นาน

    อมีเรียก็ต้องเม้มปากแน่นอีกรอบเมื่อมาถึงบทสัมภาษณ์ที่ถามถึงเรื่องของคางามิ – หากถามเอซหนุ่มแล้วว่าแมตส์ไหนคือแมตส์ที่เขาชอบ คำตอบมันย่อมแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นแมตส์ที่แข่งกับอาโอมิเนะ และมันก็ช่างเดจาวูเหมือนตอนมิโดริมะไม่มีผิด 

    เจ้าของนัยน์ตามณีสองสีเหลือบไปมองอาโอมิเนะที่อยู่ด้านหลังตนเองเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าหนีเมื่อคนที่กำลังยืนดื่มน้ำอยู่ดันสบตาเข้ากับเธอพอดี 

    ว่าแต่เธอจะหันหน้าหนีเขาทำไม...?

     

    “อุ๋ยตาย..ไดจังทำอะไรให้คุณผู้จัดการคนสวยไม่ชอบรึเปล่า”

    “....จะไปรู้ยัยเตี้ยนั้นไหมละ”

     

    แต่พอบทสัมภาษณ์มาถึงคิวคุโรโกะ อมีเรียก็หันไปเห็นทัตสึยะและมุราซากิบาระที่เพิ่งเดินผ่านมาพอดิบพอดี 

    ร่างบางชูถุงอมยิ้มให้เขาพร้อมขยิบตาเล็กน้อยอย่างน่ารัก แม้อมีเรียจะขยิบตาเพราะจะล้อเลียนทัตสึยะที่กลับมาใส่สร้อยห้อยแหวนสายสัมพันธ์ แต่เด็กสาวคงไม่รู้หรอกมั้งว่า ท่าทางแบบนั้นมันน่ารักในสายตาของคนทั้งคู่โดยเฉพาะกับทัตสึยะที่แอบยิ้มขำให้น้องสาวร่วมสาบานคนนี้

    มุราซากิบาระรับถุงอมยิ้มก่อนตอบเสียงเนิบนาบ “ขอบคุณนะ มาสเมลโล่~”

    “ทานให้อร่อยนะคะ แต่อย่าลืมแปรงฟันด้วยล่ะ” 

    “จะเปลี่ยนมาเป็นคุณแม่ให้อัตสึชิเหรอ มีเรีย?” ทัตสึยะยิ้มขำก่อนเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือน้องสาวที่พุ่งไปประทุนร้ายเขา “โอ๋ๆ พี่แค่หยอกเล่นเองครับ” ว่าจบก็ลูบกลุ่มผมนุ่มลื่นของเด็กสาวไปทีหนึ่ง ก่อนลากมุราซากิบาระออกไปจากตรงนั้นเพื่อพาเขาไปซื้อขนมอย่างที่เขาตั้งเป้าไว้

    เพียงแต่...ดูเหมือนพ่อหนุ่มติดขนมจะไม่ค่อยอยากจะไปสักเท่าไหร่...

    อมีเรียมองท่าทางงอแงเหมือนไม่อยากจะไป แต่เมื่อทัตสึยะพูดเรื่องขนมขึ้นมาเขาก็รีบมุ่งหน้าเดินนำทันที เธอชักจะเอ็นดูท่าทางเหมือนเด็กของมุราซากิบาระจริงๆแล้วนะ ตอนแรกก็แค่จะให้อมยิ้มเขาเผื่อจะช่วยคลายเศร้าที่แข่งแพ้ได้บ้างแต่พอเห็นท่าทางดีใจตอนพูดถึงขนมเหมือนเมื่อกี้

    จะว่าไป.. มุราซากิบาระก็น่ารักจริงๆนั่นแหละ..(กระตุกยิ้มมุมปาก)

    เมื่อหันกลับมาสนใจการสัมภาษณ์ต่อ อมีเรียก็ต้องระพริบตาปริบๆมองพวกเขาทุกคน

     

    “มีอะไรหรอคะ?”

    “พวกเราอยากสัมภาษณ์คุณผู้จัดการคนสวยสักหน่อยนะครับ”

    เอ๊ะ..ทำไมเธอรู้สึกเหมือนเห็นหัวงูโผล่บนหัวของนักข่าวทั้งสองนะ...?

    “ดิฉันไม่มีอะไรให้สัมภาษณ์หรอกค่ะ อย่าใส่ใจเลย” รอยยิ้มแบบผู้ดีถูกหยิบยกออกมาใช้ได้ทันท่วงที ก่อนนัยน์ตามณีสองสีจะส่องประกายขบขันเมื่อเห็นว่า คางามิกำลังทำท่าจะงาบหัวนักข่าวทั้งสองคนอยู่ด้านหลังพวกเขา แต่ด้วยตอนนี้กล้องกำลังจับจ้องมาที่เธอ อมีเรียจึงได้เพียงแค่ยกยิ้มแล้วตอบเสียงเรียบตามปกติ

    “...แค่สนับสนุนพวกเขาให้เต็มที่เท่านั้นเองค่ะ”

     

    แชะๆ!!!

     

     

     

     

     

     

     

    ……………………………………………………..

    รีไรท์ทีละนิดทีละหน่อยนะคะ อาจจะมาลงให้วันละตอนหรือสองตอน จนกว่าจะถึงตอนล่าสุดที่อัพลงให้นะคะ ปล.ไรท์สอบเสร็จแล้วค่ะ

     

    ทุกท่านสามารถโดเนทสนับสนุนด้านค่าเน็ตและค่าไฟให้แฟรร์ได้นะคะ

    วิธีโดเนท

    โอนเงินจำนวนแล้วแต่รีดฯเข้ามาได้ที่นี่ :: เลขบัญชี 046-8-34907-8 (ธนาคารกสิกรไทย) และ เบอร์ 0960075277 ( True Money Wallet )

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ //โค้ง

     

    1 คอมเม้นท์ = 100 กำลังใจ

    สามารถติหรือชี้แนะไรท์ได้ ไรท์จะรออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนนะคะ

     

    ติดตามข้อมูลข่าวสารและการอัพเดทต่างๆได้ที่เพจ Fairy-แฟรี่กะ จิ้มๆเลย//ชี้  

     

     

    by. ภูติสีเทา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×