ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Fic Kuroko no Basket ] มิติพิศวงของยัยจอมมึน (All x Oc )

    ลำดับตอนที่ #29 : มิติพิศวงที่ 27 [Re]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.07K
      435
      11 ธ.ค. 63

     

     

     

    มิติพิศวงที่ 27

     

     

     

    หลังจากจบการสัมภาษณ์กับนิตยสาร ทีมเซย์รินที่หมดกำหนดการแข่งแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังที่นั่งคนดูเพื่อจับจองที่นั่ง ยังไงรอบต่อไปก็เป็นโรงเรียนที่พวกเขารู้จักถึงจะไม่ถึงกับสนิทกันมากแต่ก็ไปเพื่อเชียร์ดีกว่าไม่ไปละนะ แถมยังเพื่อต้องการสังเกตการณ์อีกด้วยว่า ทีมต่อไปที่พวกเขาอาจจะได้เจอจะเป็นทีมไหน – ดวงตาสองสีจับจ้องมองญาติหนุ่มที่จู่ๆก็ขอตัวแยกไปไหนคนเดียวก็ไม่รู้โดยที่ไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลย อมีเรียเองก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรแถมยังยินยอมปล่อยให้ญาติหนุ่มไปโดยไม่ถามอีกต่างหากว่าเขานั้นจะไปที่ไหน

    เพียงแต่ว่า...

    ในตอนที่เธอตามหลังคางามิมาเพื่อเรียกตัวเขากลับ มันจะทำให้เธอเห็นอะไรบางอย่าง...

    อมีเรียสาบานต่อพระเจ้าได้เลยว่า ตัวเธอนั้นไม่เคยรู้สึกโกรธเท่านี้มาก่อนเลย และในตอนนี้เธอก็กำลังรู้สึกโกรธ 

    แม้มันจะเป็นความโกรธที่ไม่มากแต่มันก็รุนแรงพอสมควร ยามที่นัยน์ตาสองสีจับจ้องมองสภาพของทัตสึยะที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยช้ำมากมายที่เด่นชัดทั้งบริเวณใบหน้า แขนและขา แล้วไม่ต้องคิดเลยว่าผิวหนังใต้ร่มผ้าของเขาจะมีรอยพวกนี้ปรากฎไหม -- แววตาของเด็กสาวทั้งแข็งกร้าวและวาวโรจน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถึงกระนั่นอมีเรียก็ยังมีสติรับรู้ตัวเองดีว่าตอนนี้ควรทำยังไงต่อไปดี ทว่า...

    แม้สมองจะมีสติยั้งคิดแต่ร่างกายของเธอกลับไม่ทำตาม

    ริมฝีปากบางขยับเอ่ยข้อความสองพยางค์เสียงเบาหวิว “กี่ครั้ง....” พร้อมกับดวงตาที่แข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ

    “....??”

    “ดิฉันถามว่ากี่ครั้ง...” แม้สายตาของอมีเรียจะไม่ได้จับจ้องไปที่ไหนนอกจากใบหน้าของทัตสึยะ แต่ถึงกระนั่นราวกับคำถามของเธอได้เลือกคนถามเอาไว้ก่อนแล้ว 

    “หะ..?”

    “ดิฉันถามว่ากี่ครั้ง....หูหนวกแล้วรึยังไงคะ?”

    คางามิที่ถึงแม้จะมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวไม่ต่างกับญาติสาว แต่ด้วยเพราะเขานั้นยังต้องลงแข่งอีกในฐานะนักกีฬา ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงกำหมัดแน่นข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ให้เข้าไปมีเรื่องชกต่อยอย่างที่ใจคิด

    เพราะถ้าขืนเขาทำแบบนั้นมันจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับทีม

    ทว่าเมื่อเทียบกับความโกรธของอมีเรียแล้วคางามิเองก็ยังต้องหลบ – ต่อให้เป็นญาติที่รู้จักกันมาแต่เด็ก ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้ไปหมดทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอมีเรีย บางอย่างเขาก็พอจะเดาออกและรับรู้โดยสัญชาตญาณได้ อย่างเช่นตอนนี้ที่ท่าทีของอมีเรียเริ่มมีบางอย่างที่แปลกออกไป คางามิมองเสี้ยวหน้าของญาติสาวก่อนเดินหยุดอยู่เบื้องหน้าอาจารย์หญิงและพี่ชายร่วมสาบาน

    เขารีบดันอเล็กซ์กับทัตสึยะถอยออกห่างทันทีตามสัญชาตญาณที่กำลังร้องเตือน ได้แต่หวังว่าผู้ชายที่มาต่อยทัตสึยะจะไม่ถูกญาติสาวของเขาต่อยสลบไปเสียก่อนนะ...?

    ว่าแต่...ทำไมเขาถึงได้คิดแบบนั้นกัน...?

    “อะไรของยัยนี้เนี่ย”

    เดิมทีก็ไม่ได้ต้องการที่จะมาหาเรื่องใครอยู่แล้ว... ไม่สิ เจตนาหาเรื่องนั้นแหละ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะมีใครไม่รู้เสนอหน้าเข้ามายุ่ง แถมยังทำหน้าตาน่ากลัวขัดกับใบหน้าหวานๆนั่นอีก ไม่สบอารมณ์เลยแหะ!

    อมีเรียไม่ได้ถามต่อ แต่เธอเลือกที่จะเดินย่างก้าวเข้าไปใกล้ชายคนนั้นอย่างช้าๆแทน

    ตึก ตึก ตึก

    “....ไม่ได้ยินที่ดิฉันถามเหรอคะ?”

    “หา?” ไฮซากิ โชโงะเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัยกับท่าทางของเด็กสาวที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนรุ่นน้องมากกว่ารุ่นเพื่อนเลย แต่ยิ่งเด็กสาวเข้ามาใกล้เขาเท่าไหร่เขาก็ยิ่งสังเกตได้ว่า..

    ตัวเล็กจัง

    อมีเรียไม่ได้รับรู้ถึงแววตาพราวระยับของอีกฝ่าย จนเมื่อยืนอยู่ห่างเขาพอประมาณนั่นแหละเธอถึงได้เอ่ยถามคำถามเดิมอีกครั้ง “กี่ครั้งที่ทำร้ายพี่ชายฉัน!!” แต่คำถามครั้งนี้น้ำเสียงของเธอดูเหมือนจะแข็งกระด้างยิ่งกว่าเดิมเสียอีก พร้อมกับร่างกายที่ขยับเคลื่อนไหวทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด!

    ผั๊วะ!!

    หมัดเล็กๆที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของชายผู้มาวิวาทเต็มแรงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว และเขาก็ไม่อาจรับแรงหมัดนั้นไหวจนร่างหนาตามฉบับของชายหนุ่มนักกีฬาที่ออกกำลังกายเป็นประจำถึงกับเซถอยหลังไปเสียหลายก้าว หากไม่เพราะยั้งตัวไว้ได้ทันบางทีเขาอาจจะล้มก็เป็นได้ คางามิ ทัตสึยะและอเล็กซ์ต่างตกใจกับการเคลื่อนไหวของเธอที่พุ่งไปชกได้ไวขนาดนั้น เร็วยิ่งกว่าคางามิตอนเข้าโซนเสียอีก ไม่สิ! อมีเรียทำอะไรลงไป!

    “อัก!ยัยเตี้ยนี่นิ”

    “เป็นนักกีฬาแต่ใช้กำลังก่อนแบบนี้...” มือเล็กขยับคลายหมัดที่เพิ่งไปชกหน้าใครบางคนมา ดวงตาสีแดงฉานเป็นประกายในเงามือของเรือนผมกลบรัศมีแสงสีฟ้าจนมิด “มันน่าหักแขนหักขาให้หมดสภาพจริงๆนะคะ”

    “....” 

    ไฮซากิมองวงหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามโดยมีเงามืดจากแสงสว่างด้านหลังพาดผ่านเพิ่มความน่ากลัวให้กับเธออีก โดนผู้หญิงต่อยไม่เท่าไหร่ โดนคนตัวเล็กกว่าต่อยไม่เท่าไหร่ แต่การโดนผู้หญิงตรงหน้ามองด้วยแววตาน่ากลัวแบบนั้นทำไมมันทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์แบบนี้

    ทำไมกัน....?

    “ดิฉันไม่สบอารมณ์จริงๆค่ะ...อยากกลายเป็นปีศาจมันซะตรงนี้เลย...”

    และเธอก็เป็นคนที่ไม่เคยผิดคำพูดเลยสักครั้ง...

     

    .

    .

    .

    .

     

    หน่วยอารักขาของอมีเรียเข้ามาระงับเหตุได้ทันก่อนที่ร่างเล็กจะเกิดคลั่งจนฆ่าใครขึ้นมาจริงๆ

    ยังดีที่อมีเรียไม่ได้ใช้ยาที่พกติดตัวมายัดเข้าปากแล้วเรียกด้านมืดที่น่ากลัวออกมาหรือเผลอใช้อารมณ์นำแทนสติ แต่แล้วคิเสะก็โผล่มาทักทายไฮซากิด้วยท่าทางที่เหมือนไม่ค่อยอยากจะรู้จักเขาสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะสงสัยแต่มีหรือที่อมีเรียจะสนใจมากไปกว่านี้ – เด็กสาวส่งสายตาให้ชายชุดดำทั้งหลายพาอเล็กซ์และทัตสึยะไปหาแพทย์ด่วน จะแพทย์สนามหรือแพทย์ที่โรงพยาบาลก็ได้ เพราะถึงจะไม่ได้รุนแรงมากแต่อมีเรียจะโล่งใจมากกว่านี้ถ้าได้รับการยืนยันจากแพทย์ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ

    เมื่อไม่มีใครอยู่บริเวณนี้แล้ว อมีเรียจึงเอ่ยเสียงเรียบเฉยคล้ายเป็นประโยคคำสั่งก็ไม่ใช่ ขอร้องก็ไม่เชิง

    “ไปสืบเรื่องของหมอนี่มา...ถ้ามันอยากวิวาท ฉันจะให้มันวิวาท”

    “คุณหนู..คุณคงไม่ได้...”

    “ใครที่บังอาจมาแตะหรือทำร้ายคนรอบตัวฉัน” แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่หนึ่งในบอดี้การ์ดกลับเห็นชัดเจนถึงแววตาที่มีจิตสังหารเด่นชัดอยู่

    “....”

    “...มันไม่เคยตายดี”

    ออกมาแล้ว..ด้านมืดของคุณหนู กลับออกมาแล้ว!!

    ชายในชุดสูทรีบโทรรายงานหัวหน้าทันทีอย่างเร่งรีบ ก่อนจะสะดุดเข้ากับเข็มฉีดยาขนาดเล็กที่เจ้านายได้มอบให้กับเด็กสาวผู้ที่พวกเขาต่างเรียกขานว่า ‘คุณหนู’ มันเป็นยาที่พวกเขารู้แค่ว่าไม่มีผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด หรือถ้าให้พูดข้อมูลตามที่รู้ก็คงจะเป็นยาธรรมดาที่ไม่ได้มีเอาไว้รักษาโรค ขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่ยาพิษ ถึงจะไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกมากเท่าไหร่แต่อย่างน้อยในฐานะผู้ได้รับมอบหมายให้มาดูแลความปลอดภัยของเด็กสาวคนนี้ พวกเขาต่างก็พอจะรู้ข้อมูลสำคัญอยู่บ้าง ยาที่ว่านั้นมันจะทำหน้าที่ไปกระตุ้นสารบางอย่างในร่างกายของเด็กสาวให้แตกตื่นจนร่างกายหลั่งสารพิเศษออกมาต่อต้านจนส่งผลให้บุคลิกที่สองโผล่ออกมา

    แต่ต่อให้ไม่มีเจ้าตัวยา บุคลิกที่สองที่ถูกเรียกว่าด้านมืดก็มักจะออกมาเองได้ครั้งคราวจากอารมณ์ของเด็กสาวในช่วงเวลานั้น อาทิเช่นตอนนี้ที่อมีเรียกำลังโกรธอยู่ แถมยังเป็นความโกรธที่มากกว่าที่เคยได้รับรู้มาเสียอีก – อมีเรียแม้จะมีสติยั้งคิดได้ว่าตอนนี้ตัวเธอนั้นกำลังทำอะไรบางอย่างที่ย้อนแย้งกับความคิดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นอมีเรียก็ไม่อาจห้ามการกระทำของตัวเองได้เลยจนเมื่อมือของเธอได้ไปปะทะเข้ากับใบหน้าของใครบางคนนั้นแหละ

    เพราะงั้นตลอดที่คิเสะสนทนากับไฮซากินั้น อมีเรียจึงได้แต่ยืนเงียบในขณะที่ภายในใจกลับกำลังนับเลขอยู่ 

    ตั้งสติสิมีเรีย ตั้งสติสิ!

    ทันทีที่ต่อสายถึงหัวหน้าเสร็จ บอดี้การ์ดหนุ่มจึงได้รีบรายงานแล้วหันไปสั่งการลูกน้องแยกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปคอยเฝ้าระวังความปลอดภัยให้กับอมีเรียที่เพิ่งจะเดินหายเข้าไปในตัวอาคาร อีกกลุ่มสืบหาข้อมูลของเป้าหมายที่ถูกหมายหัวกับอีกกลุ่มที่ส่งไปคุ้มกันอเล็กซ์และทัตสึยะตามคำสั่งของเด็กสาว

    แม้จะสงสัยในตัวตนบางอย่างของผู้เป็นนายที่ตนเองต้องให้การคุ้มครอง แต่เมื่อสักครู่ที่เผลอสบเข้ากับนัยน์ตาสองสีคู่นั้นพวกเขาก็เหมือนกำลังดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งความตาย เพราะงั้นเหล่าบอดี้การ์ดจึงทำได้แค่เพียงหลับตาข้างหนึ่งไม่รับรู้ถึงความผิดปกติเหล่านั้น – ทางด้านอมีเรียที่เดินเข้ามาในตัวอาคาร เธอต้องอาศัยความจำของตัวเองก่อนออกมาข้างนอกเพื่อกลับไปยังที่นั่งที่ทุกคนได้ไปจองกันไว้ก่อนหน้านี้ ใช้เวลาไม่นานเธอก็หาเจอด้วยเพราะริโกะกำลังยืนโบกมือเรียกเธออยู่ 

    ทันทีที่มานั่งบนแสตนอมีเรียก็กลับมามีสีหน้ามึนงงเหมือนเดิมเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศรอบตัวเธอก็ยังเปลี่ยนไปจนรู้สึกได้ชัดเจน 

    มันเหมือนกับระเบิดที่รอเวลาปะทุไม่มีผิด

     คางามิมองญาติสาวเล็กน้อยก่อนหันหน้าหนีเมื่อคนถูกมองหันมายิ้มให้แก่เขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทั้งที่ตอนนี้ตัวเธอกำลังอยู่ในโหมดดาร์กอยู่ก็ตาม ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วละที่ญาติของเขาคนนี้คอยตามเป็นห่วงคอยตามหวงพวกเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อย่าว่าแต่ยอมให้คนอื่นมาหาเรื่องเลยแม้แต่คนที่จะมาท้าตี อมีเรียยังไปกระโดดถีบคนพวกนั้นเสียเต็มแรง หากให้ยกตัวอย่างละก็....

    ในตอนที่เขากับทัตสึยะโดนหาเรื่องจนได้แผล อมีเรียที่เพิ่งมาถึงก็ยิ้มค้างก่อนพุ่งจัดการพวกนั้นจนเข้าโรงพยาบาล ทั้งที่ในเวลาปกติแล้วร่างเล็กก็ดูอ่อนแอเหมือนคนธรรมดาอยู่แหละ แต่ไม่รู้ทำไมเวลาที่อมีเรียโกรธก็ราวกับเป็นคนละคนเลย แรงที่เดิมทีก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้วกลับมีขึ้นมาพร้อมกับความใจกล้าที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน

    แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผลเสีย

    หลังจากเหตุการณ์เหล่านั้น.. พี่ชายใหญ่มักจะบอกว่า ทันทีที่กลับบ้านไปอมีเรียก็ป่วยหนักจนแทบจะลุกไม่ขึ้น  

    ต่อให้เขากับทัตสึยะจะเป็นห่วงมากแค่ไหน เมื่อพี่ชายใหญ่ไม่อนุมัติให้เข้าไปเยี่ยม พวกเขาจึงได้แค่เพียงเขียนจดหมายฝากพี่ชายใหญ่ไปให้อมีเรียเท่านั้น จนเมื่อเด็กหญิงตัวเล็กหายป่วยนั้นแหละพวกเขาถึงจะได้เจอกับเธอ เหตุการณ์แบบนี้วนลูปไปเรื่อยๆเช่นเดียวกับเวลาป่วยที่เดี๋ยวสั้นเดี๋ยวยาวตามอาการของอมีเรีย จนกระทั่งญาติตัวเล็กของเขาได้หายไปจากวงจรชีวิตอย่างถาวร ก่อนจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเมื่อหลายเดือนก่อน

    ต่อให้เขาสงสัยว่าทำไมญาติสาวคนนี้ถึงได้มาที่ญี่ปุ่นไม่ใช่ที่อเมริกา แต่ด้วยความคิดถึงความสงสัยทั้งหมดก็มลายหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความเป็นห่วงแทน 

    เพราะญาติของเขาดันป่วยหนักกว่าสมัยตอนยังเป็นเด็กเสียอีก!!

     

    .

    .

    .

    .

     

    การแข่งของโรงเรียนคิเสะ อมีเรียไม่ได้ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อยนอกจากฟังรายงานเรื่องบาดแผลบนตัวของอเล็กซ์และทัตสึยะพร้อมกับคำนวณว่าเธอจะเอาคืนกี่เท่าถึงจะสาสมกับสิ่งที่ชายคนนั้นทำลงไปดี หากไม่เพราะดันมีข้อความส่งเข้ามาเสียก่อน.. บางทีอมีเรียอาจจะยังคงคิดแผนเอาคืนต่อเช่นนั้นแน่นอน และด้วยเหตุนั้นแหละอมีเรียถึงได้เห็นว่าสถานการณ์ภายในสนามแข่งเป็นยังไง

    คิก!

    เด็กสาวยกมือปิดรอยยิ้มของตัวเองแต่ก็ไม่อาจปกปิดเสียงหัวเราะเหี้ยมได้เลยแม้น้อยเมื่อเห็นการแข่งบนสนาม ต่อให้ชายคนนั้นจะมีความสามารถมากแค่ไหนแต่ด้วยนิสัยป่าเถื่อนของเขาที่ทำให้เธอได้ประจักษ์ ก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์โกรธที่กำลังปะทุของเธอดับลงเลยแม้แต่น้อย แถมยังทำให้เกิดความรู้สึกอยากขย้ำให้ตายคามือมากกว่าเดิมด้วย

    ฮิโยชิมองรอยยิ้มแปลกประหลาดกึ่งน่ากลัวของผู้จัดการคนสวยก่อนกลับไปให้ความสนใจกับการแข่งบนสนาม

     

    “ผมเชื่อในตัวคิเสะคุงนะ”

    อมีเรียเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมองสถานการณ์บนสนาม ก่อนจะเลื่อนสายตามองคนข้างตัวที่ลุกขึ้นยืนตะโกนเสียงดังเพื่อให้กำลังใจอดีตเพื่อนร่วมทีมที่กำลังแข่งอยู่ในสนามตอนนี้ ดวงตาสองสีจ้องมองซิกแมนหนุ่มเล็กน้อยก่อนเลื่อนสายตาไปมองเจ้าของชื่อที่ถูกตะโกนเรียกเมื่อครู่ แต่อมีเรียก็ต้องยอมรับเลยว่า..

    ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนของคุโรโกะที่ดังมาจากแสตนเชียร์ คิเสะก็พลิกสถานการณ์กลับมานำได้อย่างง่ายดายด้วย Perfect copyฉบับสมบูรณ์ เป็นสัญญาณเตือนแก่เหล่านักกีฬาว่า ตอนนี้คิเสะกำลังจะเริ่มเอาจริงแล้วทั้งการโต้ตอบ การบล๊อคและการบุก ไหนจะความสามารถของเหล่าสมาชิกทีมปาฏิหาริย์คนอื่นๆอีก เพียงเท่านี้สถานการณ์ในสนามก็พลิกล็อกกลายเป็นฝั่งไคโจที่ควบคุมเกม

    อมีเรียไม่รู้หรอกนะว่า คนในสนามพูดอะไรกันแต่อมีเรียก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นการพูดยั่วยุโทสะ แต่จากแต้มที่ห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ผลลัพธ์ก็ยังคงออกมาเหมือนเดิมคือ ไม่มีทางเอาชนะคิเสะได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีสกปรกหรือจะขาวสะอาด ท้ายที่สุดชัยชนะก็ต้องเป็นของคิเสะอยู่ดี

    เด็กสาวผู้มีนัยน์ตาสองสีหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเธอนั้นสังเกตเห็นถึงจังหวะการเล่นบางช่วงของคิเสะดูขาดไปเหมือนมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา เธอนั่งเท้าคางมองอยู่สักพักก่อนจะต่อสายไปยังแพทย์สนามให้ไปรอปฐมพยาบาทเบื้องต้นให้กับบรรดานักกีฬา

    โดยเฉพาะ คิเสะ เรียวตะ

    เมื่อการแข่งขันจบลงแล้วทุกคนก็ต่างลุกออกจากที่นั่งเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนอมีเรียเลือกที่จะลุกก่อนที่ทุกคนจะยืนขึ้นเสียอีกเนื่องจากเธอนั้นยังมีบางสิ่งที่ต้องไปทำ ร่างเล็กเดินแทรกตัวผ่านฝูงชนที่ทยอยกันเดินออกจากที่นั่งขณะเดียวกันก็หลบหลีกไปมาเพื่อไม่ให้ใครต้องมาแตะโดนร่างกายของเธอ ดวงตาสองสีจ้องมองข้อความที่เพิ่งถูกส่งเข้ามาโดยส่งมาจากบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างแพทย์สนามก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า – ร่างงามเดินจนออกมาอยู่ข้างนอกก่อนพาร่างกลืนหายเข้าเงามืดเพื่อรอใครบางคนที่เป็นเป้าหมาย

    จนกระทั่งอีกฝ่ายปรากฏตัวออกมานั่นแหละ ร่างที่ยืนนิ่งอยู่นานจึงได้ขยับ.. เพียงแต่ว่าดูเหมือนเธอไม่ต้องลงมือหรือทำอะไรอีกต่อไปแล้วละ เพราะอาโอมิเนะดันมาดักรออีกฝ่ายก่อนเธอเสียอีก

    เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...?

    อมีเรียยืนมองเหตุการณ์ระหว่างอดีตเพื่อนร่วมทีมสมัย ม.ต้นระหว่างอาโอมิเนะกับไฮซากิ ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายที่เป็นพวกชอบใช้กำลังจะกระจอกกว่าที่เธอคิดเสียอีก เพียงแค่ถูกอาโอมิเนะต่อยไปแค่หมัดเดียวก็ลงไปนอนที่พื้นซะแล้ว หมัดของอาโอมิเนะแรงขนาดนั้นเลยหรอ – ยืนรออยู่สักพักจนกระทั่งอาโอมิเนะเดินลับสายตาไปแล้วนั่นแหละ ร่างบางถึงได้ขยับตัวออกจากเงามืดด้วยใบหน้าเรียบเฉย

    “เอายังไงดีครับคุณหนู...” ชายในชุดสูทเอ่ยถามร่างบางที่ยืนเฝ้ามองชายผู้นั้นอยู่เงียบๆ

    อมีเรียส่ายหน้าเธออยากจะเข้าไปต่อยอยู่หรอกนะแต่พอเห็นเขาน็อกด้วยฝีมือของอาโอมิเนะแล้ว ทำไมมันถึงได้รู้สึกโล่งภายในอกแปลกๆ ถึงอมีเรียไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่ว่าชายหนุ่มที่ชอบทำตัวทะลึ่งคนนั้นทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ รึบางทีอาจจะเป็นด้านแสนดีก็ได้ที่โล่งใจ เพราะตอนนี้เธอคืออมีเรียด้านดาร์กผู้น่ากลัวต่างหาก

    น่ารำคาญเป็นบ้า...(เดาะลิ้น)

    ร่างบางเดินออกไปเผชิญหน้ากับชายผู้เพิ่งถูกต่อยหน้ามาด้วยท่าทีที่พร้อมวิวาททุกเมื่อ ส่วนคนของเธอหรอ เธอให้พวกเขารออยู่แถวนั้นแหละ เพื่อป้องกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ให้เข้ามาแถวนี้ด้วยแต่เมื่อเขาเห็นเธอ อมีเรียก็ต้องเลิกคิ้วเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงกับพื้นเหมือนรอเธอต่อยด้วยท่าทางว่าง่ายอย่างผิดสังเกต

    “อยากต่อยก็ต่อยมาสิ”

    “....” นัยน์ตาสองสีมีประกายสงสัยชัดเจน

    “ไม่ต่อยรึไง..ฉันทำร้ายคนของเธอไปนิ” เขายังคงทำหน้าไม่สำนึกผิด แถมยังเดาะลิ้นกวนประสาทอีกต่างหาก

    อมีเรียมองท่าทางที่เหมือนอยากจะมีเรื่องแต่แววตากลับแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่กำลังขุ่นมัว เด็กสาวจึงได้แค่เพียงถอนหายใจก่อนเอ่ยออกไป “หมดอารมณ์แล้ว...” แม้ตอนแรกเธอตั้งเป้าหมายก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัวว่า ขอกระทืบเขาสักทีสองที พอตอนนี้เมื่อเห็นสีหน้ากับแววตาของเขาเธอก็รู้สึกสมเพชขึ้นมาแทน

    “....”

    “ทำหน้าและมีแววตาแบบนั้น...เห็นแล้วรู้สึกสมเพชนายยังไงไม่รู้”

    ไฮซากิเลิกคิ้วตะคอกถามเสียงดัง “หา! ยัยเตี้ยนี่นิ จะเอายังไงแน่วะ”

    “...เหอะ”

    “ทั้งเจ้าอาโอมิเนะ ทั้งคิเสะ พวกรุ่นปาฏิหาริย์ไหนจะเธออีก ทำไมมันน่ารำคาญแบบนี้วะ!!”

    “....”

    “ไอพวกเด็กดีเอ้ย!แม่งเอ๊ย!! ฉันจะขยี้พวกมัน ทั้งคิเสะ ทั้งคุโรโกะ....”

    ตุบ! 

    ก่อนที่ไฮซากิจะได้พูดจบ อมีเรียที่ยืนอยู่ไม่ห่างเขาก็โยนม้วนกระดาษในมือเฉียดหน้าเขาไปเสียเต็มแรงโดยที่นัยน์ตาสองสีของเธอกลับส่องประกายความน่ากลัวออกมาชัดเจน “อย่าได้คิดจะดีกว่านะ” เสี้ยวหน้าหวานเหมือนถูกเงามืดกลืนกินไปชั่วขณะแต่ถึงกระนั่นดวงตาข้างสีแดงของเธอกลับส่องประกายน่ากลัว

    “....”

    “ถ้านายคิดจะทำอะไรพวกเขา....หนีให้ทันละกันไม่งั้น” รอยยิ้มเหี้ยมฉายชัด “ตาย

    ถึงแม้จะเพิ่งได้เจอหน้ากันและได้รู้จักวันนี้ แต่ไม่รู้ทำไมไฮซากิกลับรู้สึกว่าเด็กสาวรุ่นน้องตรงหน้าเขาแววตาคล้ายกับใครบางคนที่เขาเคยรู้จัก ไม่ใช่แววตาเท่านั้นที่เหมือน...สีตาของเด็กสาวตรงหน้าเองก็เหมือนกัน แถมบรรยากาศรอบตัวก็คล้ายคลึงกับชายคนนั้นอีกด้วย 

    คล้ายกับอาคาชิไม่มีผิด!

    ยังมีคนที่เหมือนกับอาคาชิอยู่บนโลกนี้อีกเหรอ...

    อมีเรียมองท่าทางที่เหมือนยำเกรงแต่ก็แฝงความหวาดหวั่นของชายตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย คล้ายกับว่าท่าทางที่เดี๋ยวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของไฮซากิไม่ได้อยู่ในสายตาของเธอเลยแม้แต่น้อย “เพราะต่อให้หนีไปไกลสุดขอบโลก ฉันก็จะตามล่าแล้วฆ่าทิ้งซะ”

    “.....”

    นาฬิกาข้อมือสีเงินเรือนเล็กฉายเวลาในตอนนี้ว่าอยู่ช่วงไหน อมีเรียมองมันสักพักก่อนย้ายสายตาไปมองชายที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้นไม่ยอมขยับไปไหน “ยังไงซะตอนนี้มันก็ดึกแล้ว... ควรกลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้วนะคะ”

    “.....”

    ร่างเล็กชักขากลับแล้วเดินถอยออกห่างจากไฮซากิ อารมณ์ของเธอในตอนนี้คงตัวแล้วแถมบอดี้การ์ดของเธอก็ยังส่งสัญญาณมาบอกอีกว่าทีมเซย์รินกำลังตามหาเธออยู่ เด็กสาวจึงได้แต่ปล่อยความโกรธให้มลายหายไปแบบนั้นแล้วเลือกที่จะเดินจากไป แต่ถึงกระนั่นหางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นขบวนชายชุดดำที่กระจัดกระจายกันเป็นย่อมๆ 

    แล้วนั่นจะยกกำลังกันมาเยอะแยะทำไม...?

    จะไปกวาดล้างแก๊งมาเฟียอย่างงั้นเหรอ...?

    เด็กสาวได้แค่คิดอย่างปลงตกกับการกระทำของเหล่าบอดี้การ์ดที่พี่ชายเป็นผู้มอบหมายคำสั่งให้มาดูแลเธอ(อันที่จริงคือให้มาเพื่อจับตาดู) อมีเรียกวาดสายตามองสำรวจจนรู้ได้ถึงจำนวนเท่าที่จะเห็น เสร็จเธอก็โบกมือไล่พวกเขาให้แยกย้ายกันก่อนจะเดินขึ้นรถเพื่อกลับคอนโดส่วนทีมเซย์รินนั้นบอดี้การ์ดได้แจ้งให้พวกเขารู้แล้วว่าอมีเรียไม่ได้หายไปไหน ต่างแยกย้ายขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางกลับบ้านไปเรียบร้อยโดยเฉพาะคางามิที่ฝากข้อความมาบอกว่า

    ‘ รีบกลับบ้านด้วย’

    ต่อให้อมีเรียไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าญาติหนุ่ม เธอก็พอจะเดาออกว่าตอนนี้เขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ เพราะอย่างงั้นอมีเรียถึงได้แค่แวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อก่อนจะตรงดิ่งกลับบ้านโดยมีบอดี้การ์ดตามดูแลเหมือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับข้อความที่ถูกส่งมาถามเป็นระยะว่าตอนนี้เธอถึงบ้านรึยังจากคุโรโกะและทุกคนในทีมเซย์ริน

    จะเป็นห่วงเธอกันมากเกินไปแล้ว....

     

    .

    .

    .

    .

     

    ตารางการแข่งที่ร่างโดยผู้จัดการสาวต่างชาติประจำทีมอย่างอมีเรียถูกแปะอยู่บนผนังห้องโดยมีสติกเกอร์แปะทับเพื่อบ่งบอกถึงการแข่งที่เพิ่งผ่านไป ทว่าเช้าวันนี้กลับมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างกว่าทุกวัน – ทันทีที่ก้าวขาออกจากห้องมาอมีเรียก็แทบจะกุมขมับเนื่องจากอเล็กซ์มาบอกกับเธอว่า คางามินั้นทำรองเท้าพังเขาเลยรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปหาซื้อรองเท้าบาสใหม่โดยไม่ได้บอกกับเธอล่วงหน้า

    เธอเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงกับเขาที่ไม่เตรียมอะไรเผื่อล่วงหน้าเลยถ้าหากว่าเธอนั้นไม่ได้เตรียมไว้ให้เขา

    หลังจากทำอาหารเช้าให้อเล็กซ์เสร็จสายเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาพร้อมกับชื่อของโค้ชสาวประจำเซย์ริน ตอนแรกอมีเรียก็คิดว่าริโกะอาจจะโทรมาบอกเรื่องตารางแข่งเพื่อให้ช่วยเตรียมของก็เป็นได้ แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่รุ่นพี่สาวบอกเสี้ยวหน้าหวานพลันตึงเครียดขึ้นมา 

    เพราะไม่ได้มีแค่คางามิที่รองเท้าพังก่อนแข่ง... คุโรโกะซิกแมนประจำทีมก็รองเท้าพังเหมือนกัน

    [ ยังไงก็ฝากดูแลสองคนนั้นด้วยนะ ติ๊ด! ]

    “เฮ่อ..”

    เสียงถอนหายใจดังมาจากเด็กสาวผู้เพิ่งถูกวางสายจากรุ่นพี่เมื่อสักครู่ก่อนที่เธอจะกดโทรหาใครบางคนที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว ทว่าสิ่งที่อมีเรียสงสัยก็คือ...

    ทำไมพวกเขาสองคนถึงไม่บอกเธอเรื่องรองเท้า....?

    รอสายไม่นานคางามิก็รับเพียงแต่ว่า.. คนรับสายดันเป็นคุโรโกะแทนที่จะเป็นเจ้าของเครื่อง แล้วเขายังบอกอีกว่าตอนนี้คางามิกำลังดวลหนึ่งต่อหนึ่งกับอาโอมิเนะเพื่อรองเท้าบาสคู่ใหม่อยู่ ผู้จัดการทีมเซย์รินคล้ายกับมีความรู้สึกว่าตัวเองแก่เพิ่มขึ้นอีกปีทั้งที่คิ้วของเธอเพิ่งจะกระตุกไปเมื่อครู่ ในเมื่อทั้งสองคนก็ได้รองเท้าคู่ใหม่แล้วอมีเรียจึงได้แต่ย้ำเตือนเวลาแข่งให้แก่พวกเขาเป็นการส่งท้ายก่อนวางสาย

    “เฮ่อ... ปวดหัวจัง” 

    หางตาเหล่มองลังรองเท้าแยกไซส์ของแต่ละคนในทีมเซย์รินแล้วก็ต้องพ่นลมหายใจออกมาอีกรอบ เฮ่อ..เห็นเธอเป็นผู้จัดการทีมไหมเนี่ย อมีเรียหยิบรองเท้าสองคู่ออกมาจากในลังเพื่อใส่ถุงหิ้วไปยังสนามแข่ง หนึ่งคือคู่ของคางามิที่เป็นสีแดงประจำของเขาและอีกหนึ่งคือของคุโรโกะสีฟ้าอ่อนเหมือนสีผม เมื่อจัดเตรียมและตรวจเช็คแล้วว่าของที่จำเป็นพร้อมแล้วหรือยัง ร่างบางมองเวลาแล้วเดินออกไปพร้อมกับอเล็กซ์เพื่อไปสนามแข่งบาส

    การแข่งในวันนี้เป็นการแข่งที่ค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย..

    จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะรีบไปยังสนามแข่งเพื่อดูว่าทีมที่พวกเขาสนใจจะแข่งเป็นยังไง

    ตามตารางที่ได้ไปตรวจสอบมานั้น รอบแรกคือราคุซันปะทะกับชูโตคุ

    ในฐานะที่อมีเรียเคยดูแลทีมชูโตคุมาบ้างในช่วงที่เข้าค่ายฝึกซ้อมตอนปิดเทอม อมีเรียเลยอยากจะไปเชียร์พวกเขาเสียหน่อยแม้ความจริงแล้วเป้าหมายหลักก็คือราคุซันก็ตามทีเถอะ ด้วยเพราะระยะห่างระหว่างที่พักของเธอกับโรงเรียนราคุซันมันไกลเกินไป อมีเรียจึงไม่ได้ไปแอบสอดแนมดูว่าทักษะของพวกเขาแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง เพราะแบบนั้นแหละเธอเลยต้องการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาทางคาดเดาหาหนทางชนะ 

    ในกรณีที่ชูโตคุแพ้ละนะ...

    ถ้าหากชูโตคุเกิดแพ้ขึ้นมา ทีมต่อไปที่จะเผชิญกับราคุซันก็คือเซย์ริน 

    เพราะอย่างงี้แหละเธอถึงต้องวิเคราะห์ผลเพื่อวางแผนเตรียมการณ์ล่วงหน้า ต่อให้มันจะเป็นภาระต่อดวงตาของเธอก็ตาม – เมื่อมาถึงสนามแข่งอมีเรียถึงได้รู้ว่าเธอนั้นมาสายนิดหน่อย บนสนามในตอนนี้การแข่งได้เริ่มขึ้นไปแล้ว ระหว่างทางที่เธอนั้นกำลังเดินไปยังที่นั่งที่ทุกคนช่วยจองให้เธอก็บังเอิญเจอกับทัตสึยะและมุราซากิบาระเสียก่อน

    “...”

    ทว่า.. แล้วไหงมันกลายเป็นแบบนี้...?

    ดวงตาสองสีมีประกายมึนงงกับสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้โดยที่หูก็เหมือนจะไม่ได้ยินเสียงอื่นใดเลยในขณะที่ดวงตาก็กำลังจ้องมองการแข่งขันบนสนามอยู่ หากย้อนเหตุการณ์ละก็.. ทันทีที่มุราซากิบาระเห็นเธอเข้ากว่าจะรู้ตัวร่างกายของเธอก็ถูกใครบางคนโอบกอดเอาไว้เสียแล้ว – อมีเรียได้แต่ยืนนิ่งในอ้อมแขนของมุราซากิบาระแม้จะยังมึนงงอยู่บ้างแต่อมีเรียก็ยังเกร็งตัวเพื่อระวังไม่ให้ร่างกายของเธอสัมผัสโดนเขาไปมากว่านี้ แต่นั้นก็เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม... 

    แต่พอเงยหน้ามองคนที่สูงกว่าแล้วอารมณ์หงุดหงิดก็ปะทุขึ้นมาซะอย่างงั้น..

    ให้ตายสิ..ถึงจะเอ็นดูมุราซากิบาระแค่ไหนแต่การที่ต้องเงยหน้ามองเขาแบบนี้มันก็ทำจะทำให้เธอเกิดความหงุดหงิดขึ้นมายังไงไม่รู้ แถมการที่เธอถูกกักอยู่ในอ้อมแขนเขาง่ายๆแบบนี้มันชักจะแปลกๆแล้ว

    “กลิ่นซากุระ...มาสเมลโล่ชอบกลิ่นซากุระเหรอ”

    “...”

    มุราซากิบาระกดจมูกฝังลงกลุ่มผมสีฟ้ามิ้นท์นั้นจึงทำให้เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆของแชมพูที่ติดอยู่กับเส้นผมของเด็กสาว แม้จะไม่ใช่กลิ่นหอมหวานเหมือนพวกขนมแต่กลิ่นซากุระมันก็ไม่เลวสักเท่าไหร่ด้วย แต่กับคนที่เพิ่งจะถูกกระชับให้ขยับเข้าใกล้แผ่นอกของเด็กหนุ่มกลับแข็งค้าง แต่ถึงกระนั่นทั้งที่ใบหน้ายังคงรักษาอาการนิ่งเฉยได้แต่ไม่รู้ทำไมหลังหูของเธอถึงได้แดงเถือกแบบนั้น

    สิ่งหนึ่งที่อมีเรียเองก็ไม่เข้าใจนั้นก็คือ... ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเขินอายแบบนี้!?

    พลันอมีเรียก็รู้สึกร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอีกรอบแถมยังเป็นการสั่นสะท้านที่ทำให้เธอรู้สึกอายมากกว่าเดิมอีกต่างหาก เขาจะขยับตัวเข้ามาใกล้ทำไมเนี่ย! อย่าเข้ามาใกล้จนกลิ่นน้ำหอมลอยเข้าจมูกเธอจะได้ไหม อมีเรียได้แต่เม้มปากแน่นกับความคิดของตัวเองก่อนใบหน้าของเธอจะเกิดอาการร้อนวูบวาบจากคำพูดของทัตสึยะที่ยืนอยู่ด้านข้าง

    “อย่าทำแบบนั้นสิ มีเรียเขาหน้าแดงแล้วนะ” 

    ทัตสึยะยิ้มบางยามมองไปยังวงหน้าหวานที่ขึ้นสีระเรี่ยด้วยความเอ็นดูก่อนจะรีบหันหน้าหนีเพื่อหัวเราะกับภาพใบหน้ามึนตึงแต่แดงระเรี่ยที่หันมาขึงตาใส่เขาอย่างน่ารักน่าชัง ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นพี่ชาย(บุญธรรม)บางที.. เขาก็อยากจะหยอกล้อร่างบางแบบนั้นเหลือเกิน

    น่ารักเกินไปแล้ว

    “พี่ทัตสึ!!”

    “ขอโทษคร้าบ”

    “หอม...”

    “!!!”

    “อุบ!”

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

    กว่าอมีเรียจะสลัดมุราซากิบาระได้ก็ใช้เวลาพอสมควรจนการแข่งเริ่มเข้าสู่ควอเตอร์ที่สอง เธอที่พลาดวิเคราะห์การเล่นในช่วงต้นเกมส์หันมาขึงตาใส่ชายหนุ่มบ้าขนมด้วยแววตาขุ่นเคือง โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าใบหน้าของเธอในตอนนี้เป็นแบบไหนก่อนที่ร่างเล็กจะสะดุ้งเล็กน้อยกับการกระทำของชายหนุ่มที่ก้มหน้าลงเอาหน้าผากมาชิดเธอ และนั้นก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ผู้จัดการเซย์รินสาวถอยหนีอย่างเสียภาพลักษณ์แล้ววิ่งหายไปจากตรงนั้นอย่างไว ทิ้งไว้แค่เพียงประกายขบขันในแววตาของบุรุษทั้งสองคนที่ยืนมองจนร่างเล็กลับสายตาพวกเขาไป

    “แกล้งเยอะไปรึเปล่า”

    “เปล่านะ”

    ตึก ตึก 

    “พวกบ้า..” อมีเรียเม้มปากแน่นทั้งที่ใบหน้าของเธอแดงไปหมด

    ตึก ตึก

     

    เมื่อสามารถหนีจากนักบาสผู้บ้าขนมมาได้ อมีเรียก็กลับไปทำหน้าที่ผู้จัดทีมของเธอต่อโดยที่เธอนั้นก็มาทันการทักทายระหว่างอดีตเพื่อนร่วมทีมพอดี ร่างเล็กยืนหลบมุมมองการทักทายระหว่างคุโรโกะกับอาคาชิด้วยแววตาว่างเปล่า ที่เธอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็เพราะเหตุผลอะไรก็ไม่รู้...

    เขาเป็นคนเดียวที่โรคประจำตัวของเธอไม่มีผลกับเขาเลยแม้แต่น้อย

    แต่ที่สำคัญก็คือ.. ความรู้สึกของเธอกำลังร้องเตือนถึงเรื่องอะไรบางอย่างในขณะเดียวกันใบหน้าของเขาถึงได้ให้ความรู้สึกคุ้นหน้าแบบแปลกๆ ราวกับว่า.. ก่อนหน้านั้นตัวเธอในร่างดาร์กได้ไปทำอะไรบางอย่างที่น่าอายกว่าการโดนมุราซากิบาระกอดเสียอีก อะไรบางอย่างที่ต่อให้คิดก็คิดไม่ออก.. เหมือนกับเรื่องเมื่อวานที่เกิดขึ้นโดยที่ตัวเธอกลับจดจำไม่ได้ว่าได้ไปทำอะไรมารึเปล่า แต่ก็นับว่ายังดีที่เธอพอจะคาดเดาได้อยู่บ้างว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะดี(ในสายตาเธอ)

    อมีเรียหลับตาลงเล็กน้อยยามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ตัวเธอตอนนั้นปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนเผลอเรียกด้านมืดของตัวเองออกมาจนความทรงจำเกิดความบิดเบือน พอมาตอนนี้เธอกลับมีลางสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย เด็กสาวจมอยู่ในห้วงความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาสู่โลกความจริงเมื่อญาติหนุ่มของเธอถูกชายที่ชื่อว่าอาคาชิกดจนล้มลงกับพื้นในท่าคุกเข่า แต่ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือเมื่อสักครู่เธอสังเกตเห็นถึงดวงตาของเขา 

    ดวงตาสีแดงเหมือนเธอ...

    ต่อให้มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ แต่ร่างกายของเธอกลับไปยืนอยู่เบื้องหน้าชายคนนั้นพร้อมแขนที่ยกขึ้นขวางกั่นไม่ให้เกิดเรื่องวิวาทขึ้นมา

    “กรุณายุติการทักทายเพียงเท่านี้ด้วยค่ะ”

    เจ้าของผมสีฟ้ามิ้นท์ขยับแทรกกลางทันทีที่คางามิพยุงตัวเองขึ้นยืนได้แล้ว ลางสังหรณ์กระตุกถี่เป็นลางเหมือนจะเตือนอะไรบางอย่างแก่เธอ แต่ถึงกระนั่นอมีเรียกลับไม่คิดจะใส่ใจเลยแม้แต่น้อยเพราะตอนนี้เธอถูกดวงตาสีแดงของเขาสะกดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

    ทำไมถึงได้คุ้นแบบนี้...?

    “โห..เจอกันอีกแล้วน่ะ” 

    อาคาชิมองสำรวจเด็กสาวตรงหน้าเล็กน้อยทั้งที่มุมปากของเขายังคงยกยิ้มจางๆอยู่ เจอกันครั้งก่อนเขาก็ถูกเธอมองด้วยแววตาแบบนี้ไม่มีผิด ถ้าจะต่างก็คงเป็นบรรยากาศที่แผ่กระจายออกมารอบตัวต่างหากที่มีความแตกต่างจากตอนนั้นชัดเจน แต่ถึงกระนั่นด้วยเพราะสาเหตุใดไม่รู้.. อมีเรียถึงได้ก้าวขาถอยหลังโดยไม่รู้ตัวในขณะที่แววตาของเธอกลับมีประกายสั่นไหวชัดเจนเสียรอยยิ้มของอาคาชิดูจะเด่นชัดยิ่งขึ้น

    สิ่งที่เขาสงสัยคงจะเป็นจริงสินะ?

    ร่างสูงเดินผ่านร่างเล็กไปอย่างเชื่องช้า ราวกับเขานั้นกำลังอ้อยอิ่งที่จะเดินผ่านเธอไป “คุณคงไม่ได้เป็นโรคหลายบุคลิกหรอกนะ...” แต่ในจังหวะที่จะเดินห่างเขากลับเลือกที่จะกระซิบเสียงเบาหวิวพร้อมหางตาที่จับจ้องมองปฏิกิริยาตอบสนองที่ควรจะเกิดขึ้น

    “!!!”

    “หึ..ใช่จริงด้วย”

    อมีเรียเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนเผลอตัวหันไปกระชากคอเสื้ออาคาชิแม้ระดับความสูงจะแตกต่างแต่ด้วยเพราะระยะห่างเธอจึงสามารถคว้าคอเสื้อเขามาได้ง่ายๆ ดวงตาสองสีที่เหมือนกันแต่ต่างกันเพียงสีอีกข้างที่ไม่ใช่สีแดงต่างจ้องกันไม่กระพริบราวกับว่ากำลังอ่านใจและลองเชิงกันอยู่ มันคือแววตาที่คางามิเคยเห็นในยามที่ญาติสาวโกรธ และในตอนนี้เธอก็กำลังใช้มันเพื่อจ้องอาคาชิราวกับว่าไม่ได้คิดที่จะเกรงกลัวจักรพรรดิอย่างเขาเลยแม้แต่น้อย

    นัยน์ตามณีคู่สั่นไหวเล็กน้อยยามนึกถึงสิ่งที่ตัวเองคิด แต่ถึงกระนั่นประกายแข็งกร้าวในแววตากลับเด่นชัดยิ่งกว่า 

    ความลับที่เธอไม่อยากให้ใครรู้มากที่สุด เขารู้มันได้ยังไง!

    ดวงตาสองสีจ้องเขม็ง “..รู้ได้ยังไง?”

    “...”

    อาคาชิหรี่ตาลงเล็กน้อยกับท่าทางที่เหมือนจะลืมไปหมดแล้วถึงเรื่องที่ตัวเองทำเมื่อหลายเดือนก่อน เขานิ่งไปครู่หนึ่งจนทำให้เกิดความเงียบที่แสนจะน่าอึดอัดขึ้นมาโดยที่เขาก็ไม่ได้สนใจเลยว่า ตอนนี้ทุกคนกำลังจ้องมองมาที่เขาและคนตรงหน้าด้วยสายตาแบบไหนกันบ้าง เพราะในตอนนี้ความสนใจของเขาทั้งหมดถูกคนตรงหน้าดึงดูดไปแล้ว

    หนึ่งราชันไร้พ่ายกับอีกหนึ่งเด็กสาวผู้มากความลับ

    ที่กล่าวมาคือตัวตนในสายตาของหลายคนที่กำลังยืนเงียบมองพวกเขาอยู่วงนอก แต่แล้วความเงียบก็ต้องหายไปเมื่ออาคาชิทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่เด็กสาวผู้กระชากคอเสื้อเขาก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน

    จุ๊บ!

    !!!!

    “....!!”

    อมีเรียเบิกตากว้างตกใจกับสัมผัสนุ่มบนริมฝีปากตนเอง มันทั้งอุ่นและนิ่มพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยมาจากตัวของบุรุษเบื้องหน้า เขาจุมพิศค้างอยู่ไม่นานก่อนจะผละตัวถอยออกห่าง -- อาคาชิมองร่างบางที่ยืนแข็งทื่อไม่แม้แต่จะกระพริบตาที่เบิกกว้าง แม้คิ้วของเขาจะเลิกขึ้นเพราะแปลกใจกับการตอบสนองที่ต่างจากที่คำนวณ ทว่าแววตาของเขากับมีประกายพึงพอใจชัดเจนก่อนจะเดินตามสมาชิกทีมคนอื่นๆที่ยืนรอเขาอยู่

    แน่นอนว่าทั้งทีมราคุซัน ชูโตคุ เซย์รินหรือคนอื่นๆที่มาชมต่างก็อ้าปากค้างอย่างตกใจกับภาพนั้น

    โดยเฉพาะกับทีมเซย์รินที่สนิทชิดเชื้อกับเด็กสาว

    “อ..อะ..อ” 

    อมีเรียเหมือนหุ่นยนต์ที่เครื่องเกิดอาการช๊อตกระทันหัน แม้แต่เสียงก็เปล่งออกมาอย่างยากลำบาก เธอยังยืนค้างในท่าจับคอเสื้อเพื่อเค้นคำตอบจากอาคาชิอยู่ก่อนจะค่อยๆหันหัวไปมองแผ่นหลังของชายผู้ทิ้งลูกระเบิดเอาไว้เบื้องหลังอย่างเชื่องช้า แล้วทันใดนั้นทุกอย่างก็พลันมืดลงพร้อมกับร่างกายของเธอที่ล้มลงกับพื้นล้มท่ามกลางความตกใจของคนที่เห็น

    “เห้ย!!”

    “มีเรีย!”

    คางามิที่ค้างจากฉากจูบเมื่อครู่พลันได้สติเมื่อร่างเล็กของญาติสาวล้มลง เขารีบถลาเข้าไปรับร่างบางแทบจะทันที และนั่นจึงทำให้เขาสังเกตเห็นว่า...

    อมีเรียช็อกจนหมดสติทั้งๆที่ยังลืมตาอยู่!

    ทีมเซย์รินเมื่อเห็นอาการของผู้จัดการสาวต่างก็ได้สติแล้วก็เข้าสู่ความวุ่นวายเมื่อเห็นอาการหมดสติของผู้จัดการสาว เพราะอาการหมดสติทั้งที่ลืมตา พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย – หัวหน้าบอดี้การ์ดของอมีเรียรีบต่อสายไปหานายใหญ่เพื่อรายงานถึงเรื่องนี้ เขารายงานอย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงเมื่อสักครู่ที่เจ้านายสาวหมดสติ โดยที่บอดี้การ์ดอีกคนก็กำลังรีบพาหน่วยแพทย์พิเศษให้มาดูอาการของเจ้านายสาวโดยเร่งด่วน

    แพทย์สนามที่ถูกเรียกตัวมาตรวจดูอาการของเด็กสาวสรุปผลของอาการว่า ‘เกิดอาการช็อกเฉียบพลัน’ หรือก็คืออมีเรียช็อกกับเรื่องยางอย่างจนสมองหลั่งสารบางอย่างออกมาเพื่อสั่งให้ร่างกายชัตดาวน์ตัวเองอย่างเร่งด่วน ทางแพทย์ทำได้แค่เพียงสวมหน้ากากออกซิเจนให้เท่านั้น เพื่อไม่ให้ร่างกายของเธอขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง

    เมื่อรู้อาการของญาติสาว คางามิก็ต้องรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาไม่น้อย แต่ที่ทำให้เขารู้สึกเลือดร้อนจนอยากไปตั๊นหน้าคนสักหน่อย คือการที่อาคาชิมาจูบญาติสาวของเขาต่อหน้าต่อหน้าโดยที่เขาไม่อาจจะเข้าไปห้ามหรือทำอะไรได้เลย แถมญาติสาวที่เดิมทีก็ร่างกายอ่อนแอดันเกิดช็อกจนหมดสติอีก ในฐานะญาติที่ต้องคอยดูแลแล้ว คางามิรู้สึกหงุดหงิดตัวเองมากกว่าจะไปหงุดหงิดอาคาชิ เซย์จูโร่

    หงุดหงิดจนอยากออกแรงเพื่อระบายอารมณ์ในตอนนี้แล้วเนี่ย!

    คุโรโกะมองสีหน้าที่แสดงอารมณ์ด้านรุนแรงของคางามิ แล้วหันไปมองร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงในห้องพยาบาลฉุกเฉินของสนามแข่ง แม้ตอนนี้สีหน้าของเธอจะผ่อนคลายจนเหมือนกำลังนอนหลับธรรมดาอยู่ แต่คุโรโกะก็รู้ดีว่าอมีเรียยังคงไม่ฟื้นในเวลาอันใกล้นี้ และเขาก็ได้รับรู้ถึงบางสิ่งที่ลางสังหรณ์ร้องเตือนมาตั้งแต่ต้น

    อาคาชิกำลังสนใจในตัวอมีเรีย

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    ท่ามกลางความมืดของบุคคลที่กำลังหลับใหล อมีเรียคล้ายรู้สึกว่าตนเองกำลังล่องลอยอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง จนเมื่อบังเกิดแสงสว่างวาบนั่นแหละ อมีเรียถึงได้ย่นคิ้วกับภาพเบื้องหน้า

    “..เธอ”

    “หืมม..” เสียงพึมพำที่คุ้นหูเป็นเสียงที่อมีเรียรู้ดี “ความสามารถของประสาทตาไม่เลวเลยแหะ” 

    มันก็คือ..เสียงของเธอเอง 

    “...อยากได้”

    “....”

    “ฉันขอดวงตานายได้ไหม?”

    “....”

    “นะ...ขอดวงตาของนายน่ะ” เธอยังคงเอ่ยออกไปอย่างไม่อาย “ฉันอยากเอามันไปทดลอง..มันช่างน่าสนใจจริงๆ”

    “ผู้หญิงประหลาด” อาคาชิเอ่ยจิกเช่นเดียวกับแววตาของเขาที่จ้องมองเด็กสาวราวกับสิ่งแปลกปลอมประหลาด

    “ใครๆเขาก็พูดแบบนั้น” สาวเจ้ากลับไหวไหล่ไม่แยแส “ไม่ว่าจะบอสหรือพวกเพื่อนๆในทีมวิจัยก็พูดแบบนั่น แต่ดวงตาของนายมันน่าสนใจจริงๆนะ”

    “....”

    “อ่า..เสียดายของจัง”

    “....”

    “อืม...” อมีเรียโครงหัวไปมาราวกำลังใช้ความคิดอยู่ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ไม่ควรทำ และตัวเธอเองก็ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นฝ่ายลงมือทำ

    จุ๊บ!

    “ถ้าไม่ให้งั้นจองก็ได้ หิหิหิ สนใจยกดวงตาเมื่อไหร่ติดต่อมาได้นะ”

    อมีเรียผละปากบางของตนเองออกจากปากหนาได้รูปของเขา ก่อนหัวเราะร่าเริงอย่างชอบใจ ไม่เพียงแค่หัวเราะเท่านั้นเธอยังหยิบนามบัตรส่งให้เขา เมื่อไม่มีอะไรให้เธอต้องสนใจอีกเธอจึงเลือกที่จะเดินออกไปจากบริเวณนั้นพร้อมกับเสียงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่ภาพพวกนั้นจะตัดกลับสู่ความมืดอีกครั้ง เหลือไว้แค่เพียงจิตสำนึกของเธอในตอนนี้ที่ยังคงค้างจากการกระทำของตนเอง

    ยัย..

    “ยัยดาร์กมีเรียหล่อนทำอะไรลงไป!!!”

     

    เฮือก!!

    อมีเรียสูดหายใจเข้าปอดอย่างรวดเร็วก่อนจะสังเกตได้ว่า ตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน หลังจากฟื้นจากอาการช็อกพร้อมความทรงจำบางส่วนที่เคยขาดหายไปได้กลับมาประติดกันอีกครั้ง เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนเจอกันเมื่อครั้งนั้นอาคาชิถึงได้มองมาที่เธอด้วยแววตาแบบนั้น เธอเข้าใจแล้วทำไมถึงมีสัญญาณบางอย่างในหัวร้องเตือนตอนที่เจอเขาอีกครั้ง บ้าเอ๊ย! อมีเรียยกมือปิดหน้าแล้วถอดหน้ากากออกซิเจนออกด้วยแววตาว่างเปล่า

    จบแล้ว...จบแล้ว....

    จบแล้วการที่เธอตั้งมั่นว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาไปมากกว่านี้ ร่างบางกวาดสายตามองไปรอบตัวก่อนจะมองเวลาแล้วสรุปในใจ เธอพลาดการแข่งครึ่งหลังเสียแล้ว เมื่อตั้งสติและเรียบเรียงทุกอย่างเสร็จ อมีเรียก็หยิบกระเป๋าของเธอมาถือแล้วเดินออกจากห้องพยาบาลสนามไป แต่เธอนั้นก็ไม่ลืมที่จะแจ้งหน่วยแพทย์สนามว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้ว

    แต่ถึงกระนั่นกว่าพวกเขาจะยอมปล่อยเธอให้ออกจากห้องพยาบาล การแข่งก็ได้จบลงไปแล้ว

    ร่างบางเดินไปตามทางเดินจนกระทั่งเข้ามาในสนามบาสที่การแข่งจบไปแล้วพร้อมเหล่านักกีฬาที่กำลังแยกย้ายกันไปยังห้องพัก ดูเหมือนชูโตคุจะแพ้ให้กับราคุซัน เธอหันไปมองเหล่านักกีฬาชูโตคุที่เคยดูแลด้วยแววตาเลือนลอยก่อนจะกดข้อความส่งให้คางามิแล้วเดินตามหลังพวกเขาไปอย่างเงียบๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของคนที่เคยร่าเริงมาตลอด ก่อนเธอจะส่งเสียงขึ้นโดยที่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม...

    “ร้องไห้แบบนี้กับข้าวที่อุตส่าห์ทำมาเผื่อคงไม่อร่อยแล้วสินะคะ....แย่จัง”

    อมีเรียยิ้มหวานพร้อมชูกล่องข้าวในมือให้พวกเขา แต่เมื่อพวกเขาหันหน้ามาทางเธอ นัยน์ตาสองสีก็กลับมาราบเรียบพร้อมจ้องมองใบหน้าของมิโดริมะเปรอะเปื้อนน้ำตา แขนที่ยกสูงเพื่อชูข้าวกล่องต้องลดมือลงอย่างช้าๆ 

    “...”

    “...”

    แม้จะไม่เข้าใจการกระทำของตนเอง แต่ถึงกระนั่นอมีเรียก็ได้เดินเข้าไปใกล้ผู้กำลังร่ำไห้ ก่อนเอื้อมแขนข้างที่ว่างรั้งคอมิโดริมะให้โน้มลงมา มิโดริมะเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรนอกจากทิ้งตัวลงใส่เด็กสาวอย่างอ่อนแรง ในขณะที่ฝ่ามือเรียวเล็กลูบเส้นผมสีชาเขียวของเขาอย่างเบามือคล้ายกับกำลังปลอบโยนจิตใจที่อ่อนแอของเขา – แต่ไม่รู้เพราะตัวของมิโดริมะหนักเกินไปรึเป็นเพราะส่วนสูงที่ต่างกันเกินไป ตอนนี้ร่างของอมีเรียล้มไปนั่งกับพื้นโดยมีมิโดริมะทาบทับ ส่วนคนอื่นๆที่เคยอยู่บริเวณนั้นหายไปหมดแล้ว

    อมีเรียที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนลูบเส้นผมสีชาเขียวเพื่อปลอบโยน ในขณะที่เขาซุกหน้าลงบนไหล่เล็กของสาวเจ้า ก่อนที่เขาจะค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เธอจนกลายเป็นนั่งคุกเข่ากอดเธอไปเสียแล้ว แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงซุกอยู่ที่ไหล่บาง

    “ขออยู่แบบนี้สักพักได้ไหม”

    “อื้อ..ตามใจอยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ”

    “ฮึก...”

     

     

     

     

     

     

    ทำไมต้องปิดตอนด้วยมิโดรินด้วย… (มุราซากิบาระเหล่)

    เอาน่า.. แบ่งกัน (ไรท์)

    เห็นเราเป็นสิ่งของเหรอคะ? (อมีเรียปรายตามอง)

     

    ……………………………………………………………..

    กลับมาอัพต่อแล้วจ้า! ขอโทษที่หายไปจมอยู่กับน้องต่ายน่า พอดีไรท์ต้องการหาเงินไว้สำหรับซื้อคอมเครื่องใหม่บวกจะซื้อไอแพตด้วย งิ 

    ส่วนภาคสองกำลังดำเนินการอยู่นะคะ พอรีภาคหนึ่งเสร็จแล้วจะอัพภาคสองลงให้รัวๆเลย เย้ๆๆ

     

    ทุกท่านสามารถโดเนทสนับสนุนด้านค่าเน็ตและค่าไฟให้แฟรร์ได้นะคะ

    วิธีโดเนท

    โอนเงินจำนวนแล้วแต่รีดฯเข้ามาได้ที่นี่ :: เลขบัญชี 046-8-34907-8 (ธนาคารกสิกรไทย) และ เบอร์ 0960075277 ( True Money Wallet )

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ //โค้ง

     

    1 คอมเม้นท์ = 100 กำลังใจ

    สามารถติหรือชี้แนะไรท์ได้ ไรท์จะรออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนนะคะ

     

    ติดตามข้อมูลข่าวสารและการอัพเดทต่างๆได้ที่เพจ Fairy-แฟรี่กะ จิ้มๆเลย//ชี้  

     

     

    by. ภูติสีเทา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×