คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : มิติพิศวงที่ 31 [Re]
มิติพิศวงที่ 31
ดวงเนตรสองสีเป็นประกายยามจ้องมองแผนการของอีกฝ่ายที่ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ช่างเป็นแผนที่เลือดเย็นล้อเล่นกับความรู้สึกคนไม่น้อยเลย แต่ถ้าหากต้องการจะใช้แผนนี้เธอก็มีแผนที่จะรับมืออยู่เหมือนกัน เพียงแต่ต้องปรับเปลี่ยนแผนบางส่วนนิดหน่อยเนื่องด้วยมันยังมีช่องโหว่ให้แผนพังได้ง่าย -- อมีเรียมองการเล่นในสนามด้วยรอยยิ้มเหี้ยม เธอจดยุกยิกบนกระดาษอยู่ไม่นานก็ส่งมันให้ริโกะอ่านเพื่อประเมินว่าเหมาะสมรึเปล่าเมื่อโค้ชอย่างริโกะอ่านจบเธอก็ยกนิ้วโป้งให้ผู้จัดการคนสวย แค่นี้เซย์รินก็มีโอกาสชนะบ้างแล้ว
สองสาวมองตากันแล้วหันกลับไปมองสนามโดยมีเหล่าตัวสำรองร้องเชียร์ให้กำลังใจ
มองบอลที่ตกไปอยู่ในมือของผู้เล่นเบอร์เจ็ดแห่งราคุซันที่กำลังเผชิญหน้ากับอิซึอิ อมีเรียเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างในจังหวะที่เขาถูกประกบพอดี ความสามารถของชายคนนี้คือการเลี้ยงลูกอย่างรวดเร็วในชั่ววินาทีที่อีกฝ่ายกระพริบตา แล้วเขาก็เลี้ยงผ่านไปทำแต้มได้อีกครั้ง แต่มันจะไม่มีครั้งที่สาม— ร่างบางของผู้จัดการสาวขยับเล็กน้อยแล้วเริ่มทำการบัญชา
“หลัง”
อิซึอิหมุนกลับหลังปัดลูกบาสจากมือของเบอร์เจ็ดราคุซันได้ ในจังหวะที่เขาจะเลี้ยงลูกหลบคุโรโกะที่มาประจันหน้า เขาใช้หางตามองร่างบางของผู้จัดการสาวที่ตอนนี้ลุกขึ้นยืนเด่นสง่าอยู่ตรงม้านั่ง เพียงแค่มองตาเขาก็เข้าใจทันทีถึงสัญญาณให้เริ่มแผนการที่เตรียมเอาไว้!
“บุก!!” อิซึอิตะโกนเรียกสติเพื่อนร่วมทีมทันที สองเท้าก็วิ่งพุ่งไปยังแป้นของอีกฝ่าย
ตึก ตึก ตึก
เสียงวิ่งของเซย์รินที่จู่ๆก็สลัดการป้องกันเป็นจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว แต่พออาคาชิจะเข้าไปสกัดหรือแจ้งบอลพวกเขาก็สลับสับเปลี่ยนผู้ถือบอลได้ก่อนที่อาคาชิจะรู้ตัวเสียอีก ทีมราคุซันที่เห็นว่ากัปตันทีมไม่สามารถหยุดเซย์รินได้ก็รีบมาเพื่อหยุดการบุกนั้นแต่พอรู้ตัวอีกที
สวบ!
“สามแต้ม!!”
พอรู้ตัวอีกทีลูกบาสที่ควรอยู่ในมือของคางามิ กลับไปอยู่ในมือของฮิวงะที่อยู่แนวหลังระยะเส้นสามแต้มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เป็นทริคอย่างงั้นหรอ? แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่พวกเขาต้องยอมรับแล้วว่า เซย์รินเริ่มทุ่มหมดหน้าตักจริงๆแล้วท่ามกลางสายตาตะลึงจากนอกสนามที่ไม่คาดคิดว่าเซย์รินจะมีแผนแบบนี้
มิโดริมะที่ยืนมองอยู่เบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเขานึกอะไรบางอย่างออก เขารีบกวาดสายตามองหาร่างบางที่เพิ่งเจอะเจอกันไปเมื่อวาน แล้วก็ต้องทำหน้าตกใจอีกครั้ง อมีเรียที่ยืนโดดเด่นอยู่ข้างสนามแม้เหมือนจะยืนกอดอกมอง แต่เมื่อเซย์รินเริ่มพลาดท่าหรือเกมกำลังจะพลิก เธอก็เริ่มชี้นิ้วเป็นสัญญาณให้เซย์รินสามารถรักษาสภาพของเกม ที่ตอนนี้เซย์รินเป็นฝ่ายนำได้อย่างง่ายดาย – เขารู้แล้วว่าทำไมก่อนหน้านั้นทั้งคุโรโกะ ทั้งคางามิและเซย์รินคนอื่นๆถึงมีสีหน้าดีใจตอนที่เธอลุกเดินไปข้างสนาม
--ทำไมก่อนหน้านั้นตอนแข่งกันเขาไม่ฉุดใจคิดเลย
“เป็นอะไรไปนะชินจัง..หือ นั่นมัน--” ทาคาโอะมองมิโดริมะที่จู่ๆก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไปด้วยความสงสัย แต่พอลองกวาดสายตามองตามสายตาของมิโดริมะเขาก็ต้องตกใจอีกคน ที่เซย์รินมาถึงจุดนี้ได้ไม่ได้มีแค่ฝีมือแต่ยังมีผู้จัดการคนสวยมากฝีมือดูแลอยู่ต่างหากพลันเขาก็นึกถึงตอนที่แข่งกับเซย์รินครั้งนั้น
อมีเรียก็อยู่ด้วยแถมเธอยังเป็นฝ่ายคุมเกมแม้จะอยู่นอกสนาม...
จะราคุซันหรืออะไรก็เถอะ...ถ้าผู้จัดการเซย์รินออกมายืนแบบนั้นดูท่า แววชนะของเซย์รินก็ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
ไม่ได้มีแค่มิโดริมะที่สังเกตเห็นบางอย่างที่ผิดแผลกไปของเซย์ริน อาโอมิเนะที่กำลังนั่งดูอยู่ก็สังเกตเห็นได้เขาทำตาโตตกใจก่อนจะสะบัดหัวไปมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่พอหันไปมองรุ่นพี่ที่นั่งข้างเขาแล้วก็ต้องทำใจยอมรับ ทำไมนะหรอ
--ก็รุ่นพี่อิมาโยชิเล่นยิ้มพิลึกแล้วพูดแบบนั้นนิ
“โห..ได้เวลาเจ้าหญิงออกโรงแล้วหรอ??”
“เจ้าหญิง?...ออกโรง? นายพูดเรื่องอะไรนะ อิมาโยชิ”
อิมาโยชิยังคงยิ้มหลับตา หันไปหาเพื่อนก่อนจะตอบเพื่อคลายข้อสงสัยด้วยท่าทางใจดี “ก็ผู้จัดการคนสวยคนนั้นไง ออกมายืนแบบนี้ทีไรเซย์รินต้องมีทริคใหม่ๆมาพลิกล๊อคให้ชนะทุกที”
“พวกนายเองก็คิดแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ??”
“....” พวกเขาลืมคิดมากกว่า..
เดี๋ยว..นี่อย่าบอกนะว่า—
“ฉันดูการแข่งอยู่น่า แต่ยัยเตี้ยเซย์รินดันสะดุดตาเฉยๆ” อาโอมิเนะตอบเมื่อเห็นสายตาของแต่ละคนมองมา
“ส่วนฉัน...มองคุณผู้จัดการมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”อิมาโยชิยิ้มอย่างไม่สนใจอะไร
เอสแห่งโทวโอหันขวับทันที อดีตกัปตันทีมอย่างอิมาโยชิให้ความสนใจกับผู้หญิงเป็นกับเขาด้วย แถมยังมองมาตั้งแต่เริ่มเกม แม้เขาจะรู้สึกหงุดหงิดก็เถอะแต่อาโอมิเนะกลับสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ เขาจะมาหงุดหงิดเพียงเพราะอิมาโยชิให้ความสนใจกับอมีเรียได้ยังไง..เอาเวลาไปหงุดหงิดตอนที่ยัยเตี้ยเซย์รินนั้นอยู่กับพวกอาคาชิหรือพวกมุราซากิบาระดีกว่า! – โมโมอิมองเพื่อนสมัยเด็กที่ปากไม่ตรงกับใจด้วยแววตาขบขัน เธอเองก็รู้สึกสนใจและทึ้งในความสามารถของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ผู้จัดการเซย์รินที่มากความสามารถมากกว่าเธอแถมยังมีพรสวรรค์ในหลายด้าน แม้จะมีโรคประจำตัวเป็นอุปสรรคแต่ก็ก้าวผ่านมันมาได้
— ผู้หญิงแบบนี้ถ้าอาโอมินะจะชอบก็ไม่แปลกหรอก แถมยังตัวเล็กนุ่มนิ่ม หน้าอกใหญ่ ตรงสเป็กอาโอมิเนะเลยถึงได้บอกไงว่า อมีเรีย คนนั้นน่าสนใจกว่าพวกผู้หญิงที่มาห้อมล้อมคิเสะเยอะ(?)
ทางด้านทัตสึยะที่รู้เรื่องความสามารถด้านนี้ของอมีเรียดีเพราะเคยประสบพบเจอตอนสมัยเด็ก แต่เขาก็ยังอดรู้สึกทึ้งไม่ได้กับแผนการเล่นที่เธอคิด แล้วให้ผู้เล่นบนสนามออกแบบได้ตามใจชอบเพราะไม่ว่าจะเล่นไปแบบไหน ถ้ายังคงอยู่ในแผนของเธอสุดท้ายยังไงผลที่ออกมาก็คือ ชนะ
“มาสเมลโล่เก่งจัง...”
มุราซากิบาระถืออมยิ้มที่เขาเคยได้จากร่างบางแล้วจ่อไปที่ปากพร้อมแลบลิ้นเลียอย่างเอร็ดอร่อย “ตอนนั้นก็ทำแบบนี้...” เขาพูดพร้อมหวนนึกถึงตอนที่แข่งกับเซย์ริน ในตอนนั้นถ้าอมีเรียไม่ออกมายืนข้างสนามเซย์รินคงไม่มีกำลังใจ ถ้าอมีเรียไม่มอบแผนการอันแยบยลให้เซย์รินก็คงจะแพ้เขาไปแล้ว..ถึงจะน่าเจ็บใจแต่ถ้าแพ้เพราะแผนของร่างเล็กเขาก็ยินดี—
ทำไมเขารู้สึกยินดีละ...
“เน่...อยากให้มาสเมลโล่มาอยู่กับเราจัง”
ทัตสึยะยิ้มขำ ก่อนจะส่ายหัวเบาๆเป็นเชิงปฏิเสธว่า ความคิดนั้นของมุราซากิบาระไม่มีทางเกิดขึ้น “มีเรียน่ะ เขามีหน้าที่ดูแลไทกะ ในขณะที่ไทกะเองก็มีหน้าที่ดูแลมีเรีย” เขาทอดสายตามองไปยังสงครามบนสนามที่ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นการประลองของผู้ใช้สมองทั้งสองระหว่างอาคาชิและอมีเรีย
“เห...ไม่เข้าใจเลยแหะ” มุราซากิบาระทำหน้ามึนไม่เข้าใจสิ่งที่ทัตสึยะพูดแล้วก็หยิบอมยิ้มมาอมต่อ
“หึ ถ้าพูดง่ายๆก็คือ มีมีเรียที่ไหนก็มีไทกะที่นั้น”
“....ฉันไม่อยากได้เจ้านั่น อยากได้แค่มาสเมลโล่”
“ก็แค่บอกไว้นะ”
“....”
และแล้วบทสนทนาของทั้งคู่ก็จบลงทิ้งไว้เพียงความเงียบ สีหน้าที่ดูเหมือนขัดใจและไม่ยินยอมกับอะไรสักอย่างของมุราซากิบาระ ส่วนทัตสึยะเขาก็ยังคงยิ้มเหมือนเดิมอย่างไม่สะทกสะท้านท่าทางงอแงเงียบของเพื่อนข้างตัว ในบางทีเขาก็แอบสงสัยไม่ได้ว่าน้องสาวร่วมสาบานคนนั้นจะมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนมากขนาดไหน
แต่มันก็คงมากพอที่จะทำให้เขาเกิดความไม่พอใจ
--ไม่เจอกันตั้งนาน น้องสาวของเขามีคนตอมเยอะเหลือเกิน เฮ่อ
.
.
.
.
สถานการณ์ในสนามเริ่มดูดีขึ้นมาเล็กน้อยเมื่ออมีเรียไปคุมการเล่นข้างสนามด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันเธอก็เปิดสงครามประสาทประลองแบบแผนกับอาคาชิด้วยแววตาที่เรียบเฉยแต่ท้าทาย อาคาชิในตอนนี้เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับการที่แผนของเขาถูกมองออกแล้วยังมาซ้อนแผนเอาคืนได้อีก แม้จะรู้สึกชื่นชมแต่เขาจะแพ้ให้เซย์รินไม่ได้!
ในขณะที่อาคาชิหัวเสียกับแผนการแก้เกมที่เขามองออกว่าใครเป็นคนต้นคิด อมีเรียเองก็รู้สึกปวดหัวกับการพลิกแพลงเพื่อซ้อนแผนเธออย่างรู้ทันของอาคาชิ
เพราะแบบนี้ไง เธอถึงบอกว่าอาคาชิเป็นเด็กที่น่าสนใจและอันตรายในเวลาเดียวกัน
นี่ขนาดแค่เป็นการแข่งบาสยังทำเธอแทบจะจนมุมและปวดหัวขนาดนี้ ถ้าเขาเป็นหนึ่งในนักวิจัยหรือนักธุรกิจ บางทีเธออาจจะแพ้เขาก็ได้... ขอยอมรับจากใจในฐานะนักวิจัยคนหนึ่งเลยว่าเด็กคนนี้เรียกได้ว่าอัจฉริยะ
อีกคนก็ปวดหัว อีกคนก็หงุดหงิด
การประลองปัญญาผ่านการเล่นบาสเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อย ราคุซันบุกเซย์รินตั้งรับ แล้วซ้อนแผนแต่ราคุซันก็แก้เกมแล้วบุกต่อ แต่ก็ยังถูกเซย์รินดักทางออกแล้วสวนกลับ มันวนอย่างงี้ไปเรื่อยๆจนอีกไม่นานเวลาของการแข่งในควอเตอร์ที่ 3ก็ใกล้จะจบลง ถ้ายังแข่งกันยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆแบบนี้
ก่อนที่แผนการมากมายจะสำเร็จร่างกายของผู้เล่นบนสนามคงได้อ่อนล้าจนหมดแรงก่อนซะมากกว่า
อมีเรียสังเกตถึงความอ่อนล้านั่น แล้วเธอจึงเข้าสู่ภวังค์ความคิดตัดขาดกับโลกภายนอกทันที ร่างบางที่ยืนอยู่ข้างสนามคิ้วขมวดกันจนยุ่งไปหมด ก่อนจะหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น ดวงตาสองสีกวาดสายตามองอย่างมึนงง พลันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กระแทกเข้าหัวเธออย่างแรงจนมึนชาไปหมด รู้ตัวอีกทีร่างของเธอก็ล้มลงไปนอนที่พื้นอย่างหมดสภาพท่ามกลางความตกใจของหลายคน
“มีเรีย!”
ปึก!
ตุบ!
อมีเรียนอนนิ่งบนพื้นสนามพร้อมกุมหัวตรงจุดที่โดนบางอย่างกระแทกเสียแรง อาการมึนจากแรงกระแทกนั้นยังมีอยู่พร้อมๆกับความรู้สึกมึนงงและหูอื้อจนไม่อาจแยกเสียงที่ดังรอบตัวเธอได้ แต่ที่เธอรู้อย่างแน่นอนคือตอนนี้คนที่ควรอยู่บนสนามอย่างคางามิกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนรนไม่น้อย
“@%#%$^%^^*”
พูดอะไร?... เธอไม่ได้ยิน ไม่สิ ฟังไม่รู้เรื่องต่างหาก
ใบหน้าหวานที่มึนงงอยู่เสมอยิ่งมึนเข้าไปอีก ไม่ขยับ ไม่พูดไม่จาไม่เอ่ยอะไร และก็ไม่ตอบสนองต่อรอบข้างที่กำลังชุลมุนวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเสียงเป่านักหวีดเป่าขอเวลานอกฉุกเฉิน เสียงทั้งชายและหญิงที่อมีเรียคุ้นเคยแต่ก็ไม่เชิงคุ้นเคย มันอื้ออึงไปหมดจนฉุดคิดไม่ได้ว่าประสาทรับเสียงของเธอมันหยุดทำงานงั้นหรือ..?
คางามิวิ่งตรงเข้ามาประคองญาติสาวที่ยังทำหน้ามึนไร้ความรู้สึกด้วยความตื่นตกใจ
เขาร้อนรนจนออกนอกหน้าคนอื่นๆ แม้แต่คุโรโกะที่ไม่ค่อยแสดงสีหน้ายังมีแววตาตกใจและช็อคกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องกังวลเมื่อผู้จัดการสาวยังคงนิ่งไม่ขยับไปไหนเลย ไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมา— เหล่าบอดี้การ์ดส่งสัญญาณเรียกรถฉุกเฉินและหน่วยแพทย์ทันที มันเหมือนมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของเจ้านายสาว ริโกะและคนอื่นๆต่างก็หน้าซีด แต่จะเข้าไปใกล้ก็กลัวจะทำให้เด็กสาวผู้โดนบอลกระแทกอย่างแรงอึดอัดจนหมดสติเสียก่อน
ทุกคนจึงทำได้แค่เพียงส่งสายตาอย่างห่วงใยให้แก่เธอเท่านั้น
อมีเรียมองคางามิที่สีผมเด่นชัดแต่ใบหน้าของเขากลับเลือนลางจนน่าหวั่นใจ เธอเริ่มรู้สึกง่วงนอนจนตาแทบปิดก่อนที่สติทุกอย่างจะเลือนหายไปช้าๆ.. ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของคางามิและใครหลายคน
...ง่วงจัง
**********************************************
“....เรีย มีเรีย อมีเรีย!!”
“what!!!”
อมีเรียสะดุ้งตัวร้องเสียงดัง เธอหันขวับไปมองเจ้าของเสียงที่เรียกเธอเมื่อครู่อย่างสงสัยว่าเรียกทำไม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย แอมมีลี่ผู้เป็นทั้งหัวหน้าทีมวิจัยและยังเป็นเพื่อนสนิทสุดซี้ของอมีเรียมาตั้งแต่เริ่มเข้าองค์กร เธอเริ่มสับสนแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น! อมีเรียปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แม้จะสงสัยว่านี่เป็นความฝันรึเปล่าแต่กลิ่นอายที่คุ้นเคยนี่มันอะไรกัน..
...ความฝันรึความจริง?
“เดี้ยนเรียกตั้งนาน เป็นอะไรอีกละเนี่ย--” แอมพองแก้มเหมือนเด็กน้อยเมื่อถูกนักวิจัยคนเก่งเมินอีกแล้ว
อมีเรียกวาดสายตามองไปทั่วห้องแลปที่เธอคุ้นชินเพื่อสำรวจตรวจสอบ ทุกอย่างปกติไม่มีอะไรที่แปลกไปแต่ที่แปลกก็คือเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เหมือนมีบางอย่างภายในความทรงจำมันไม่ถูกต้อง
“แอม...”
“หือ” ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางหันมองเพื่อนสาวอีกครั้ง คิ้วเลิกสูงก่อนเอ่ยถาม“มีไรเหรอ?”
“ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ละ เราจำได้ว่าไปอยู่ที่.....” ที่ไหนกัน..
อมีเรียหน้าซีดทันพลันเมื่อความทรงจำของเธอมีบางอย่างหายไป เธอจำได้ว่าเธอไปที่ไหนสักทีที่มีแต่เรื่องให้ปวดหัวตลอด แต่ทำไมในหัวของเธอกลับจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง พอจะนึกก็มีแต่ภาพเหตุการณ์เกิดขึ้นในหัวที่ไหลออกมาเป็นฉาก ตัวเธอที่กำลังทำวิจัย ตัวเธอที่เดินคนเดียว ตัวเธอที่ไปทำงานลอบสังหาร ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเข้ามาในหัวไม่หยุดแต่ทำไมกันล่ะ...ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกคุ้นเคยกับมันเลยแม้แต่น้อย
--ราวกับว่านั่นมันไม่ใช่เธอ แต่นี่ก็ร่างกายเธอ...
กลับมาได้แล้วมีเรีย...
“เสียงอะไรนะ!!”
ใบหน้าหวานที่มีริ้วรอยบนใบหน้าเล็กน้อยตามอายุขัยของร่างกายซีดเผือดอย่างชัดเจน พร้อมกับหมุนตัวเพื่อหาที่มาของเสียงปริศนาท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนร่วมงาน แอมมีลี่มองคนสนิทที่มีท่าทีแปลกประหลาดอย่างกังวล พลันเธอก็นึกอะไรได้ แล้วกดโทรหาใครคนหนึ่งที่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้
รอไม่นานปลายสายก็รับ แอมจึงไม่รอช้ารีบบอกจุดประสงค์ทันที
“มีเรียมีท่าทางแปลกๆอีกแล้ว..คุณจะทำยังไง นายใหญ่”
“....”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
แอมมองคนสนิทที่เริ่มจะมีอาการใกล้เคียงกับคำว่าคลุ่มคลั่งอย่างกังวล ก่อนที่เธอจะหยิบเอาสร้อยคอสีเงินในลิ้นชักออกมา เพียงแค่แกว่งมันเบาๆ อมีเรียที่มีอาการคลุ่มคลั่งก็เริ่มสงบ พร้อมกับดวงตาสองสีที่กลับมาเป็นปกติแม้แววตานั้นเธอจะไม่คุ้นเคยก็ตาม
“..เกิดอะไรขึ้นหรอคะ แอม”
“เปล่าหรอกมีเรีย...” ไม่มีอะไร...ใช่ ไม่มีอะไร....
เพราะมันเป็นแววตาของอมีเรียผู้แสนไร้หัวใจคนนั้นที่เธอไม่คุ้นเคย..
เฮือก!!
อมีเรียลืมตาพร้อมร่างที่เด้งตัวขึ้นนั่ง เธอหายใจหอบเพื่อเรียกอากาศให้เข้าปอดให้มากที่สุด แล้วก็ต้องตกใจกับสัมผัสอบอุ่นที่พุ่งเข้ามากอดเธอเสียแรง คางามิที่เห็นว่าญาติสาวฟื้นเขาไม่ได้คิดอะไรเลยหรือไม่ต้องคิดอะไรมากเพียงคว้าร่างบางที่หายใจแรงจนน่ากลัวเข้าสู่อ้อมกอด— เขาโล่งใจ โล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
“....”
อมีเรียนิ่งกับสัมผัสนั้น กว่าที่เธอจะเรียกสติและปรับอารมณ์ที่ไม่ปกติให้กลับเข้าที่ก็ใช้เวลานานไม่น้อย กวาดสายตาไปทั่วเพื่อสำรวจแล้วกลับมามองคนที่กำลังกอดเธออยู่ในตอนนี้ ร่างกายที่ใหญ่โตกว่าเธอที่เป็นผู้หญิงเส้นผมสีแดงเข้มของเขาเด่นชัด เมื่อสังเกตดีๆอมีเรียจะเห็นว่าใบหน้าของชายผู้สวมกอดเธออยู่เริ่มเด่นชัดขึ้นมาทีละน้อย
“ไทกะ...” เธอเผลอครางชื่อชายที่ติดในหัว แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว
มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ...
คางามิยิ้มกว้างอย่างดีใจ แม้น้ำตาจะไหลเขาก็ยังยิ้มร่าเริงก่อนจะรีบกดเรียกพยาบาลและหมอให้มาที่ห้องพักของญาติสาว แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์มากดโทรหาใครก็ไม่รู้อยู่หลายคน แต่ถ้าให้ทายก็คงจะเป็นคนในทีมบาสเซย์รินละมั้ง เพียงไม่นาน พยาบาลและหมอก็เข้ามาพร้อมกลับกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างพวกยาที่เธอค่อนข้างรังเกียจจนใบหน้ามึนทำหน้าเหยเกชัดเจน นับว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีสำหรับหมอที่มาตรวจร่างกายเธอ
--อย่างน้อยก็ย่อมดีกว่าร่างกายที่ไร้การตอบสนองเหมือนคนตายละนะ...
เหล่าบอดี้การ์ดผู้เฝ้าหน้าห้องทยอยกันเข้ามาในห้องพร้อมกับผู้มาใหม่ เทรย์เวอร์ เกรซ คาร์เชล พี่ชายของอมีเรียและผู้เป็นเจ้านายของเหล่าบอดี้การ์ดชุดดำ เมื่อเข้ามาในห้องเขาไม่พูดอะไรเลยนอกจากส่งยิ้มอันมีเลศนัยมาให้เธอที่กำลังทำหน้ามึนงง จนเมื่อถูกจับตรวจสภาพร่างกายเสร็จก็เป็นเวลาส่วนตัวของเธอ
“มีเรื่องที่อยากจะถามเยอะละสิ” เทรย์เวอร์เปิดประเด็นด้วยรอยยิ้มสุภาพบุรุษ ส่วนคางามิขอตัวออกไปรับพวกที่เขาโทรตามเนื่องจากกลัวหลงทาง --และเขาอยากให้สองพี่น้องได้คุยกันเป็นการส่วนตัว
อมีเรียเลิกคิ้วแล้วพยักหน้าเล็กน้อย แต่เธอก็เลือกที่จะไม่เอ่ยถามอะไรนอกจากนั่งทบทวนความทรงจำอยู่เงียบๆ เธออยากเรียบเรียงความทรงจำทั้งหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงมาฟื้นที่โรงพยาบาล ทำไมเธอจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นอะไร?— ร่างบางนั่งทบทวนความทรงจำของตัวเองอยู่เช่นนั้น ส่วนชายหนุ่มเรือนผมสีเงินกลับยิ้มแล้วไปนั่งโซฟาจิบชารออย่างไม่เร่งรีบ
เขารู้ ว่าเธอต้องการเวลาทบทวนและเรียบเรียง...
เทรย์เวอร์ยิ้มบางสายตาเขาไม่ได้มองไปยังใบหน้าที่กำลังเครียดของน้องสาว เพียงแต่เขาปรายตามองภาพสะท้อนของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในน้ำชาเท่านั้น—
อมีเรียย้อนความทรงจำของตนเองในล่าสุด เธอจำได้ว่ากำลังยืนคิดแผนการที่จะมารับมือและปิดผนึกอาคาชิอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจู่ๆเธอก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระแทกที่หัวอย่างแรง แล้วเธอก็ล้มลงพร้อมความมึนงงและอาการหูอื้อ แต่เดี๋ยวก่อนแค่โดนอะไรบางอย่างกระแทกก็ไม่น่าจะหมดสติได้นิ?!
ไม่สิก่อนที่เธอจะหมดสติเธอเห็นว่าใบหน้าของคางามิเริ่มจางจนเกือบมองไม่เห็นแล้วเธอก็ได้สติที่แลป...
แลป!! แอม!!
อมีเรียเบิกตากว้างกับข้อสรุปในหัวของเธอแล้วหันไปมองพี่ชายที่กำลังจิบชาอย่างใจเย็นอยู่ไม่ไกล
“พี่คะ อาการที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่อาการคลื่นสมองเกิดการแทรกแซงหรือผิดปกติใช่มั้ย?” เธอลังเล
แต่เทรย์เวอร์กลับไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มแล้วจิบชาต่อ “เราคิดอย่างงั้นหรอตัวเล็ก”
“ไม่ค่ะ..อาการมันไม่ใช่แต่ก็ไม่เชิง” อมีเรียเริ่มไม่เข้าใจ “มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับมีเรียใช่มั้ยคะ”
“ใช่” เทรย์เวอร์ไม่อ้อมค้อม เมื่ออมีเรียมองใบหน้าพี่ชายอีกทีเธอก็ต้องหันหน้าหนีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา
เทรย์เวอร์มองน้องสาวที่หน้าแดงระเรี่ยด้วยความเอ็นดู ก่อนเขาจะวางแก้วชางบนโต๊ะและเริ่มจริงจัง “เราคงกลับไปยังโลกนั่นสินะเมื่อกี้” เอ่ยจบประกายในดวงตาเหมือนเย็นชาขึ้นมา แต่ก็จางหายไปเมื่อเห็นใบหน้ามึนงงของเด็กสาว
“...โลกนั่น??”
“ในโลกที่ตัวตนของพวกคางามิไม่มีอยู่จริง”
“....ค่ะ” อมีเรียพยักหน้าแล้วก็ฉุดคิดอะไรได้ เทรย์เวอร์รู้ได้ยังไง!!
“พี่จะไม่บอกเราตรงๆหรอกน่ะว่าสาเหตุมาจากอะไร เพราะเดี๋ยวมันจะไม่สนุก” เทรย์เวอร์หัวเราะกับสีหน้าเหลอหลาของน้องสาวที่แสดงออกมาเมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาพูด และสมกับเป็นอมีเรียเธอสามารถกลับมาทำหน้ามึนเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว เขาสังเกตท่าทีสุขุมนั่นแล้วยกยิ้มพอใจและสุขใจก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“สิ่งที่เราคิดมันทั้งใช่และไม่ใช่ บางอย่างที่เราคิดอาจจะจริงและไม่จริง...”
“....”
“ตัวเล็กคะ พี่จะใบ้ให้เรานะคะ” เทรย์เวอร์ยังคงยิ้มเหมือนเดิม ก่อนที่คนสนิทของเขาจะเดินถือแฟ้มเอกสารไปส่งให้อมีเรียที่ยังทำหน้ามึนไม่รู้เรื่องราวใดๆอยู่ อมีเรียรับมาเปิดดูด้วยความสงสัย ว่ามันเป็นแฟ้มอะไรก่อนที่เธอจะตาโตด้วยความตกใจแล้วหันไปมองร่างสูงเพื่อขอคำอธิบาย
แต่อนิจจา คำอธิบายมีหรือจะออกมาจากปากของชายหนุ่ม...
“ปริศนานี้หวังว่าตัวเล็กจะไขออกได้นะคะ พี่คาดหวังในตัวเราน่า”
“....”
“ไม่สิ.. ผมคาดหวังในความสามารถของคุณนะครับคุณอมีเรีย”
มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!
.........................................................
หลังจากที่เจอกับพี่ชายของเธอ ไม่สิ เขาคือพี่ชายของร่างนี้ที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง เวลามันก็ผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ อมีเรียยังคงไปโรงเรียนเดียวกับคางามิและคุโรโกะ ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นที่เธอจะไปฟื้นที่โรงพยาบาล คางามิเล่าให้ฟังว่าอาคาชิปัดลูกบาสเพื่อสกัดวิถีของลูกได้ แต่มันที่สมควรจะกระเด็นกระดอนไปกับพื้นกลับพุ่งตรงไปเข้าใส่หัวของเธอที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างสนามเสียแรงจนล้มลง ในคราแรกพวกเขาก็ไม่ได้กังวลอะไรเพราะคิดว่าเธอแค่มึนจนสลบไปเท่านั้น ด้วยแรงของลูกบาสที่พุ่งใส่หัวมันก็ไม่ใช่น้อยๆ
แต่พอบอดี้การ์ดของเธอพาเธอส่งโรงพยาบาลคางามิก็ต้องตื่นตระหนก อมีเรียหยุดหายใจไปแล้วสิบครั้งจนทีมแพทย์ต้องเฝ้าดูอาการอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้หัวใจของเธอหยุดเต้นจนเลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงสมอง
ในตอนแรกที่รู้คางามิทั้งช็อคทั้งตกใจ จนอยากจะวิ่งออกจากสนามแข่งไปยังโรงพยาบาลแต่พอเจอหน้าอาคาชิที่ยังไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เขาก็ต้องกัดฟันทนแล้วใส่เต็มแรงจนชนะราคุซันมาได้ แน่นอนว่าชัยชนะครั้งนี้เซย์รินดีใจกันได้ไม่นาน ก่อนที่จะพากันยกโขยงขึ้นรถตู้มาโรงพยาบาลกันอย่างด่วนจี๋
แต่จะเข้าไปเฝ้าก็ไม่ได้เพราะตอนนั้นเธอยังอยู่ในห้องICU ทั้งแพทย์เองก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ที่จู่ๆก็มีอาการแปลกประหลาดแบบนี้ แต่มันจะน่าเชื่อรึเปล่าก็ไม่รู้ที่พอพี่ชายใหญ่มาอาการที่หยุดหายใจถี่ๆก็กลับมาดีขึ้น จนสามารถย้ายไปห้องพิเศษได้— แต่อมีเรียก็ยังไม่ฟื้น
จนผ่านไปสามวันที่เธอฟื้นขึ้นมาอย่างมึนงง คางามิได้รู้จากหมอแค่ว่า ร่างกายของอมีเรียเกิดสภาวะช็อกบางอย่างบวกกับการใช้สมองอย่างหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงทำให้อมีเรียที่เดิมก็ไม่ได้สุขภาพแข็งแรงอะไร จึงมีอาการดิ่งแบบนั้นและแน่นอนสำหรับอมีเรียคำที่แพทย์บอกพวกคางามิมันคือคำโกหก ที่คุณพี่ชายเป็นคนร่ายยาวให้เหล่าแพทย์ท่องจำก่อนไปบอกพวกคางามิ แถมยังหันมาส่งยิ้มเจ้าเสน่ห์ใส่เธออีก
อาการของเธอจากที่วิเคราะห์เอง
มันคืออาการคลื่นสมองถูกแทรกแซงด้วยสนามแม่เหล็กโลก หรือคลื่นรบกวนบางอย่างที่ตรงกับคลื่นสมองของเธอ ถ้าให้พูดเป็นภาษาบ้านๆที่เธออ่านมาจากในแฟ้มเอกสารที่ได้มาจากเลขาคนสนิทของคุณพี่ชาย อาการของเธอคือ การสับเปลี่ยนจิตจากอีกมิติ
แม้ไม่อยากจะเชื่อกับเรื่องแปลกประหลาด แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นข้อยืนยันได้เลยว่าสิ่งที่เธอคิดจะไม่เป็นจริง ในแฟ้มเอกสารก็ไม่มีอะไรนอกจากรายละเอียดงานวิจัยการสร้างคลื่นแม่เหล็กพิเศษเพื่อไปยังต่างโลกหรือข้ามมิติ แน่นอนว่าแค่อ่านก็รู้ว่ามันต้องล่มเหลวแต่ผลการทดลองที่ล่มเหลวนั้นกลับถูกลงตราประทับสีแดงว่าอันตราย -- ยิ่งคิดยิ่งมึนหัวจนเธอต้องนอนซมบนเตียงต่ออย่างช่วยไม่ได้ ส่วนคุณพี่ชายที่ทิ้งปริศนาให้น้องก็หายตัวไปพร้อมยังมีข้อความทิ้งท้ายให้แค่ว่า
จะรอฟังเรื่องสนุก
สนุกกับผีนะสิ(อมีเรียหลุดคาแรกเตอร์แล้ว) นับตั้งแต่นั้นคางามิและคนอื่นๆในเซย์ริน เลยไม่ค่อยให้เธอใช้สมองมากเท่าไหร่นอกจากเรื่องเรียนแต่...เรื่องเรียนเธอก็แทบไม่ได้ใช้เลยเนี่ยสิ
“นี่...เธอลงชื่อเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนหรอ?”
คางามิเอ่ยถามขณะที่อมีเรียกำลังหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านก่อนเริ่มเรียน ดวงตาสองสีแสนมึนงงเงยหน้ามองเพื่อนสนิทควบคู่ตำแหน่งญาติแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบสองสามที เมื่อตอบคำถามของคางามิไปแล้วเธอก็ก้มอ่านหนังสือต่อโดยมีคุโรโกะที่เอากระดาษเขียนรายละเอียดทั้งหมดของโครงการแลกเปลี่ยนให้คางามิอ่าน
หลังจบการแข่งที่เซย์รินพลิกกลับมาชนะด้วยแผนของอมีเรียส่วนหนึ่ง และด้วยกำลังใจของนักกีฬาอีกส่วนหนึ่ง ในตอนนี้พวกเขาจึงเน้นไปเรื่องการเรียนและสอบที่ใกล้จะมาถึงเป็นหลัก โดยมีอมีเรียที่เรียนล้ำหน้าพวกเขาไปไกลเป็นคนช่วยติวในวิชาที่แต่ละคนอ่อน ส่วนคิโยชิที่อาการบาดเจ็บที่ขากลับมากำเริบก็ได้บอดี้การ์ดของอมีเรียช่วยส่งตัวไปรักษากับแพทย์ฝีมือที่อเมริกาได้ทัน—
ฮาคุ บอดี้การ์ดที่เธอค่อนข้างไว้ใจมาก เป็นคนทำหน้าที่แทนในช่วงที่เธอหมดสติไป ทั้งดำเนินเรื่องการรักษาของคิโยชิ การดูแลผู้ปกครองของรุ่นพี่หนุ่ม ไม่รวมถึงทาสคนนั้นของเธอที่ปัจจุบันเขาก็ยังเดาไม่ออกว่าเธอเป็นใคร ฮาคุก็เป็นคนไปจัดการให้อย่างเสร็จสรรพ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาจะได้ไม่กังวล..ไม่สิ หายห่วงเลยล่ะ
“คางามิคุง..คุณครูเข้ามาแล้วนะครับ” คุโรโกะที่นั่งข้างเธอชะโงกคอบอกคางามิที่กำลังจะหยิบเกมมาเล่น โดยมีเธอที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บังเขาได้
“ชิ อดเล่นเลย” คางามิจิ๊ปากอย่างขัดใจแต่ก็ยอมเก็บเกมลงกระเป๋าพร้อมหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาเตรียม
ในตอนนี้ทุกคนอยู่ในชั้นเรียนปี1ห้องC แม้หลายคนจะสงสัยว่าระดับความรู้ของอมีเรียทำไมถึงมาอยู่ห้องCกับคางามิได้ แต่เจ้าตัวอย่างอมีเรียกลับไม่ได้สงสัยอะไรเมื่อมองไปที่อาจารย์ที่เข้าใหม่แต่ละคน แล้วเธอรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ แม้จะไม่เห็นหน้าก็เถอะ— พวกนี้เป็นบอดี้การ์ดที่มาคอยดูแลเธอ ดังนั้นเรื่องให้อยู่ห้องเดียวกับคางามิก็คงเป็นฝีมือของคุณพี่อย่างไม่ต้องสงสัย คุโรโกะมองอาจารย์ชายที่มาสอนฟิสิกส์ แล้วเหลือบมองคนข้างตัวที่ทำหน้าเหม็นเบื่อ เขาสะกิดแขนเธอเบาๆ
“มีเรียจัง...คนนั้นก็บอดี้การ์ดมีเรียจังนิครับ”
“ค่ะ ชื่อ คาซาวัตสึ ริวชิ” อมีเรียตอบแถมยังบอกชื่อของอาจารย์หน้าชั้นให้ด้วย
แล้วชี้เอกลักษณ์ที่จำได้ง่ายให้คุโรโกะซึ่งเอกลักษณ์ที่ว่าก็คือ เขาหัวล้าน... แถมเป็นชายที่ยังอายุไม่เยอะเพียงคนเดียวในกลุ่มบอดี้การ์ดที่หัวล้าน มันจึงไม่แปลกที่อมีเรียจะจำชื่อได้แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าก็ตาม เพราะงั้นอมีเรียจึงไม่รู้ว่า ริวชิ บอดี้การ์ดลำดับที่10 ของเธอกำลังยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าชั้นเรียน....
“สวัสดีเจ้าพวกตัวจ้อย ฉัน คาซาวัตสึ ริวชิ จากนี้จะมาสอนฟิสิกส์ให้พวกเธอ— แน่นอนว่าใครที่คิดจะโดดเรียน ฉันจะโกนผมพวกนายให้เป็นเหมือนฉันซะเลย ว่ะฮะฮะฮ่า”
“.....”
แต่ต่อให้มองไม่เห็น อมีเรียก็เดาได้ว่าสีหน้าของบอดี้การ์ดจอมขี้เล่นคนนี้กำลังแสดงสีหน้าอะไร.. จบความวุ่นวายเรื่องการแข่งไปแล้ว แต่ดูเหมือนชีวิตของเธอจะวุ่นวายมากกว่าเดิมมากกว่านะ เฮ่อ..
คางามิกระตุกเส้นผมของญาติสาวสองสามที เขาพองแก้มให้ญาติสาวเมื่อเธอหันหน้ามาหาเขา “มีเรีย…หิวแล้วสิ”
“….”
แต่ดูจากแววตาของอมีเรียแล้ว ดูเหมือนเขาจะต้องทนหิวต่อไปจนกว่าจะถึงพักเที่ยงอย่างแน่นอน งือ!!
“….”
อมีเรียมองภาพที่บอดี้การ์ดถ่ายส่งมาให้ก่อนหน้าที่จะแข่งกับราคุซันด้วยแววตาสงสัย เดี๋ยวก่อนนะ?.. การแข่งบาสมีแบบนี้ด้วยเหรอ?
………………………………………………
ในที่สุดก็รีไรท์จนจบภาคหนึ่งแล้วค่า! เย้ๆ เดี๋ยวรีไรท์ตอนพิเศษเพื่อแก้คำผิดกับปรับเปลี่ยนสรรพนามนิดหน่อย เสร็จแล้วก็จะเริ่มรีไรท์ของภาคสองค่า! เย้ๆ อีกไม่นานก็จะได้เริ่มอัพภาคสองต่อแล้วน่า – ขอบคุณที่ยังรอคอยและให้การสนับสนุนแฟรร์ แต่ระหว่างนี้หากมาอัพช้าขอให้ท่านรู้แค่ว่า แฟรร์ไปหาคมช.มาประกอบอยู่ค่ะ แค่ก! (มองกระเป๋าตังที่โบ๋เบ๋)
1 คอมเม้นท์ = 100 กำลังใจ
สามารถติหรือชี้แนะไรท์ได้ ไรท์จะรออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนนะคะ
ติดตามข้อมูลข่าวสารและการอัพเดทต่างๆได้ที่เพจ Fairy-แฟรี่กะ จิ้มๆเลย//ชี้
by. ภูติสีเทา
ความคิดเห็น