ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Fic Kuroko no Basket ] มิติพิศวงของยัยจอมมึน (All x Oc )

    ลำดับตอนที่ #34 : มิติพิศวงที่ 31 [Re]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.51K
      370
      29 ม.ค. 64

     

     

     

    มิติพิศวงที่ 31

     

     

    ดวงเนตรสองสีเป็นประกายยามจ้องมองแผนการของอีกฝ่ายที่ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ช่างเป็นแผนที่เลือดเย็นล้อเล่นกับความรู้สึกคนไม่น้อยเลย แต่ถ้าหากต้องการจะใช้แผนนี้เธอก็มีแผนที่จะรับมืออยู่เหมือนกัน เพียงแต่ต้องปรับเปลี่ยนแผนบางส่วนนิดหน่อยเนื่องด้วยมันยังมีช่องโหว่ให้แผนพังได้ง่าย -- อมีเรียมองการเล่นในสนามด้วยรอยยิ้มเหี้ยม เธอจดยุกยิกบนกระดาษอยู่ไม่นานก็ส่งมันให้ริโกะอ่านเพื่อประเมินว่าเหมาะสมรึเปล่าเมื่อโค้ชอย่างริโกะอ่านจบเธอก็ยกนิ้วโป้งให้ผู้จัดการคนสวย แค่นี้เซย์รินก็มีโอกาสชนะบ้างแล้ว 

    สองสาวมองตากันแล้วหันกลับไปมองสนามโดยมีเหล่าตัวสำรองร้องเชียร์ให้กำลังใจ

    มองบอลที่ตกไปอยู่ในมือของผู้เล่นเบอร์เจ็ดแห่งราคุซันที่กำลังเผชิญหน้ากับอิซึอิ อมีเรียเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างในจังหวะที่เขาถูกประกบพอดี ความสามารถของชายคนนี้คือการเลี้ยงลูกอย่างรวดเร็วในชั่ววินาทีที่อีกฝ่ายกระพริบตา แล้วเขาก็เลี้ยงผ่านไปทำแต้มได้อีกครั้ง แต่มันจะไม่มีครั้งที่สาม— ร่างบางของผู้จัดการสาวขยับเล็กน้อยแล้วเริ่มทำการบัญชา

    “หลัง”

    อิซึอิหมุนกลับหลังปัดลูกบาสจากมือของเบอร์เจ็ดราคุซันได้ ในจังหวะที่เขาจะเลี้ยงลูกหลบคุโรโกะที่มาประจันหน้า  เขาใช้หางตามองร่างบางของผู้จัดการสาวที่ตอนนี้ลุกขึ้นยืนเด่นสง่าอยู่ตรงม้านั่ง เพียงแค่มองตาเขาก็เข้าใจทันทีถึงสัญญาณให้เริ่มแผนการที่เตรียมเอาไว้!

    “บุก!!” อิซึอิตะโกนเรียกสติเพื่อนร่วมทีมทันที สองเท้าก็วิ่งพุ่งไปยังแป้นของอีกฝ่าย

    ตึก ตึก ตึก

    เสียงวิ่งของเซย์รินที่จู่ๆก็สลัดการป้องกันเป็นจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว แต่พออาคาชิจะเข้าไปสกัดหรือแจ้งบอลพวกเขาก็สลับสับเปลี่ยนผู้ถือบอลได้ก่อนที่อาคาชิจะรู้ตัวเสียอีก ทีมราคุซันที่เห็นว่ากัปตันทีมไม่สามารถหยุดเซย์รินได้ก็รีบมาเพื่อหยุดการบุกนั้นแต่พอรู้ตัวอีกที

    สวบ!

    “สามแต้ม!!”

    พอรู้ตัวอีกทีลูกบาสที่ควรอยู่ในมือของคางามิ กลับไปอยู่ในมือของฮิวงะที่อยู่แนวหลังระยะเส้นสามแต้มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เป็นทริคอย่างงั้นหรอ? แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่พวกเขาต้องยอมรับแล้วว่า เซย์รินเริ่มทุ่มหมดหน้าตักจริงๆแล้วท่ามกลางสายตาตะลึงจากนอกสนามที่ไม่คาดคิดว่าเซย์รินจะมีแผนแบบนี้

    มิโดริมะที่ยืนมองอยู่เบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเขานึกอะไรบางอย่างออก เขารีบกวาดสายตามองหาร่างบางที่เพิ่งเจอะเจอกันไปเมื่อวาน แล้วก็ต้องทำหน้าตกใจอีกครั้ง อมีเรียที่ยืนโดดเด่นอยู่ข้างสนามแม้เหมือนจะยืนกอดอกมอง แต่เมื่อเซย์รินเริ่มพลาดท่าหรือเกมกำลังจะพลิก เธอก็เริ่มชี้นิ้วเป็นสัญญาณให้เซย์รินสามารถรักษาสภาพของเกม ที่ตอนนี้เซย์รินเป็นฝ่ายนำได้อย่างง่ายดาย – เขารู้แล้วว่าทำไมก่อนหน้านั้นทั้งคุโรโกะ ทั้งคางามิและเซย์รินคนอื่นๆถึงมีสีหน้าดีใจตอนที่เธอลุกเดินไปข้างสนาม

    --ทำไมก่อนหน้านั้นตอนแข่งกันเขาไม่ฉุดใจคิดเลย

    “เป็นอะไรไปนะชินจัง..หือ นั่นมัน--” ทาคาโอะมองมิโดริมะที่จู่ๆก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไปด้วยความสงสัย แต่พอลองกวาดสายตามองตามสายตาของมิโดริมะเขาก็ต้องตกใจอีกคน ที่เซย์รินมาถึงจุดนี้ได้ไม่ได้มีแค่ฝีมือแต่ยังมีผู้จัดการคนสวยมากฝีมือดูแลอยู่ต่างหากพลันเขาก็นึกถึงตอนที่แข่งกับเซย์รินครั้งนั้น

    อมีเรียก็อยู่ด้วยแถมเธอยังเป็นฝ่ายคุมเกมแม้จะอยู่นอกสนาม...

    จะราคุซันหรืออะไรก็เถอะ...ถ้าผู้จัดการเซย์รินออกมายืนแบบนั้นดูท่า แววชนะของเซย์รินก็ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

    ไม่ได้มีแค่มิโดริมะที่สังเกตเห็นบางอย่างที่ผิดแผลกไปของเซย์ริน อาโอมิเนะที่กำลังนั่งดูอยู่ก็สังเกตเห็นได้เขาทำตาโตตกใจก่อนจะสะบัดหัวไปมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่พอหันไปมองรุ่นพี่ที่นั่งข้างเขาแล้วก็ต้องทำใจยอมรับ ทำไมนะหรอ 

    --ก็รุ่นพี่อิมาโยชิเล่นยิ้มพิลึกแล้วพูดแบบนั้นนิ

    “โห..ได้เวลาเจ้าหญิงออกโรงแล้วหรอ??”

    “เจ้าหญิง?...ออกโรง? นายพูดเรื่องอะไรนะ อิมาโยชิ”

    อิมาโยชิยังคงยิ้มหลับตา หันไปหาเพื่อนก่อนจะตอบเพื่อคลายข้อสงสัยด้วยท่าทางใจดี “ก็ผู้จัดการคนสวยคนนั้นไง ออกมายืนแบบนี้ทีไรเซย์รินต้องมีทริคใหม่ๆมาพลิกล๊อคให้ชนะทุกที”

    “พวกนายเองก็คิดแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ??”

    “....” พวกเขาลืมคิดมากกว่า..

    เดี๋ยว..นี่อย่าบอกนะว่า—

    “ฉันดูการแข่งอยู่น่า แต่ยัยเตี้ยเซย์รินดันสะดุดตาเฉยๆ” อาโอมิเนะตอบเมื่อเห็นสายตาของแต่ละคนมองมา

    “ส่วนฉัน...มองคุณผู้จัดการมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”อิมาโยชิยิ้มอย่างไม่สนใจอะไร

    เอสแห่งโทวโอหันขวับทันที อดีตกัปตันทีมอย่างอิมาโยชิให้ความสนใจกับผู้หญิงเป็นกับเขาด้วย แถมยังมองมาตั้งแต่เริ่มเกม แม้เขาจะรู้สึกหงุดหงิดก็เถอะแต่อาโอมิเนะกลับสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ เขาจะมาหงุดหงิดเพียงเพราะอิมาโยชิให้ความสนใจกับอมีเรียได้ยังไง..เอาเวลาไปหงุดหงิดตอนที่ยัยเตี้ยเซย์รินนั้นอยู่กับพวกอาคาชิหรือพวกมุราซากิบาระดีกว่า! – โมโมอิมองเพื่อนสมัยเด็กที่ปากไม่ตรงกับใจด้วยแววตาขบขัน เธอเองก็รู้สึกสนใจและทึ้งในความสามารถของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ผู้จัดการเซย์รินที่มากความสามารถมากกว่าเธอแถมยังมีพรสวรรค์ในหลายด้าน แม้จะมีโรคประจำตัวเป็นอุปสรรคแต่ก็ก้าวผ่านมันมาได้

    — ผู้หญิงแบบนี้ถ้าอาโอมินะจะชอบก็ไม่แปลกหรอก แถมยังตัวเล็กนุ่มนิ่ม หน้าอกใหญ่ ตรงสเป็กอาโอมิเนะเลยถึงได้บอกไงว่า อมีเรีย คนนั้นน่าสนใจกว่าพวกผู้หญิงที่มาห้อมล้อมคิเสะเยอะ(?)

    ทางด้านทัตสึยะที่รู้เรื่องความสามารถด้านนี้ของอมีเรียดีเพราะเคยประสบพบเจอตอนสมัยเด็ก แต่เขาก็ยังอดรู้สึกทึ้งไม่ได้กับแผนการเล่นที่เธอคิด แล้วให้ผู้เล่นบนสนามออกแบบได้ตามใจชอบเพราะไม่ว่าจะเล่นไปแบบไหน ถ้ายังคงอยู่ในแผนของเธอสุดท้ายยังไงผลที่ออกมาก็คือ ชนะ

    “มาสเมลโล่เก่งจัง...”

    มุราซากิบาระถืออมยิ้มที่เขาเคยได้จากร่างบางแล้วจ่อไปที่ปากพร้อมแลบลิ้นเลียอย่างเอร็ดอร่อย “ตอนนั้นก็ทำแบบนี้...” เขาพูดพร้อมหวนนึกถึงตอนที่แข่งกับเซย์ริน ในตอนนั้นถ้าอมีเรียไม่ออกมายืนข้างสนามเซย์รินคงไม่มีกำลังใจ ถ้าอมีเรียไม่มอบแผนการอันแยบยลให้เซย์รินก็คงจะแพ้เขาไปแล้ว..ถึงจะน่าเจ็บใจแต่ถ้าแพ้เพราะแผนของร่างเล็กเขาก็ยินดี—

    ทำไมเขารู้สึกยินดีละ...

    “เน่...อยากให้มาสเมลโล่มาอยู่กับเราจัง”

    ทัตสึยะยิ้มขำ ก่อนจะส่ายหัวเบาๆเป็นเชิงปฏิเสธว่า ความคิดนั้นของมุราซากิบาระไม่มีทางเกิดขึ้น “มีเรียน่ะ เขามีหน้าที่ดูแลไทกะ ในขณะที่ไทกะเองก็มีหน้าที่ดูแลมีเรีย” เขาทอดสายตามองไปยังสงครามบนสนามที่ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นการประลองของผู้ใช้สมองทั้งสองระหว่างอาคาชิและอมีเรีย

    “เห...ไม่เข้าใจเลยแหะ” มุราซากิบาระทำหน้ามึนไม่เข้าใจสิ่งที่ทัตสึยะพูดแล้วก็หยิบอมยิ้มมาอมต่อ

    “หึ ถ้าพูดง่ายๆก็คือ มีมีเรียที่ไหนก็มีไทกะที่นั้น”

    “....ฉันไม่อยากได้เจ้านั่น อยากได้แค่มาสเมลโล่”

    “ก็แค่บอกไว้นะ”

    “....”

    และแล้วบทสนทนาของทั้งคู่ก็จบลงทิ้งไว้เพียงความเงียบ สีหน้าที่ดูเหมือนขัดใจและไม่ยินยอมกับอะไรสักอย่างของมุราซากิบาระ ส่วนทัตสึยะเขาก็ยังคงยิ้มเหมือนเดิมอย่างไม่สะทกสะท้านท่าทางงอแงเงียบของเพื่อนข้างตัว ในบางทีเขาก็แอบสงสัยไม่ได้ว่าน้องสาวร่วมสาบานคนนั้นจะมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนมากขนาดไหน

    แต่มันก็คงมากพอที่จะทำให้เขาเกิดความไม่พอใจ

    --ไม่เจอกันตั้งนาน น้องสาวของเขามีคนตอมเยอะเหลือเกิน เฮ่อ

    .

    .

    .

    .

    สถานการณ์ในสนามเริ่มดูดีขึ้นมาเล็กน้อยเมื่ออมีเรียไปคุมการเล่นข้างสนามด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันเธอก็เปิดสงครามประสาทประลองแบบแผนกับอาคาชิด้วยแววตาที่เรียบเฉยแต่ท้าทาย อาคาชิในตอนนี้เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับการที่แผนของเขาถูกมองออกแล้วยังมาซ้อนแผนเอาคืนได้อีก แม้จะรู้สึกชื่นชมแต่เขาจะแพ้ให้เซย์รินไม่ได้!

    ในขณะที่อาคาชิหัวเสียกับแผนการแก้เกมที่เขามองออกว่าใครเป็นคนต้นคิด อมีเรียเองก็รู้สึกปวดหัวกับการพลิกแพลงเพื่อซ้อนแผนเธออย่างรู้ทันของอาคาชิ 

    เพราะแบบนี้ไง เธอถึงบอกว่าอาคาชิเป็นเด็กที่น่าสนใจและอันตรายในเวลาเดียวกัน

    นี่ขนาดแค่เป็นการแข่งบาสยังทำเธอแทบจะจนมุมและปวดหัวขนาดนี้ ถ้าเขาเป็นหนึ่งในนักวิจัยหรือนักธุรกิจ บางทีเธออาจจะแพ้เขาก็ได้... ขอยอมรับจากใจในฐานะนักวิจัยคนหนึ่งเลยว่าเด็กคนนี้เรียกได้ว่าอัจฉริยะ

    อีกคนก็ปวดหัว อีกคนก็หงุดหงิด

    การประลองปัญญาผ่านการเล่นบาสเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อย ราคุซันบุกเซย์รินตั้งรับ แล้วซ้อนแผนแต่ราคุซันก็แก้เกมแล้วบุกต่อ แต่ก็ยังถูกเซย์รินดักทางออกแล้วสวนกลับ มันวนอย่างงี้ไปเรื่อยๆจนอีกไม่นานเวลาของการแข่งในควอเตอร์ที่ 3ก็ใกล้จะจบลง ถ้ายังแข่งกันยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ 

    ก่อนที่แผนการมากมายจะสำเร็จร่างกายของผู้เล่นบนสนามคงได้อ่อนล้าจนหมดแรงก่อนซะมากกว่า

    อมีเรียสังเกตถึงความอ่อนล้านั่น แล้วเธอจึงเข้าสู่ภวังค์ความคิดตัดขาดกับโลกภายนอกทันที ร่างบางที่ยืนอยู่ข้างสนามคิ้วขมวดกันจนยุ่งไปหมด ก่อนจะหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น ดวงตาสองสีกวาดสายตามองอย่างมึนงง พลันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กระแทกเข้าหัวเธออย่างแรงจนมึนชาไปหมด รู้ตัวอีกทีร่างของเธอก็ล้มลงไปนอนที่พื้นอย่างหมดสภาพท่ามกลางความตกใจของหลายคน

    “มีเรีย!”

    ปึก!

    ตุบ!

    อมีเรียนอนนิ่งบนพื้นสนามพร้อมกุมหัวตรงจุดที่โดนบางอย่างกระแทกเสียแรง อาการมึนจากแรงกระแทกนั้นยังมีอยู่พร้อมๆกับความรู้สึกมึนงงและหูอื้อจนไม่อาจแยกเสียงที่ดังรอบตัวเธอได้ แต่ที่เธอรู้อย่างแน่นอนคือตอนนี้คนที่ควรอยู่บนสนามอย่างคางามิกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนรนไม่น้อย

    “@%#%$^%^^*”

    พูดอะไร?... เธอไม่ได้ยิน ไม่สิ ฟังไม่รู้เรื่องต่างหาก

    ใบหน้าหวานที่มึนงงอยู่เสมอยิ่งมึนเข้าไปอีก ไม่ขยับ ไม่พูดไม่จาไม่เอ่ยอะไร และก็ไม่ตอบสนองต่อรอบข้างที่กำลังชุลมุนวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเสียงเป่านักหวีดเป่าขอเวลานอกฉุกเฉิน เสียงทั้งชายและหญิงที่อมีเรียคุ้นเคยแต่ก็ไม่เชิงคุ้นเคย มันอื้ออึงไปหมดจนฉุดคิดไม่ได้ว่าประสาทรับเสียงของเธอมันหยุดทำงานงั้นหรือ..?

    คางามิวิ่งตรงเข้ามาประคองญาติสาวที่ยังทำหน้ามึนไร้ความรู้สึกด้วยความตื่นตกใจ

    เขาร้อนรนจนออกนอกหน้าคนอื่นๆ แม้แต่คุโรโกะที่ไม่ค่อยแสดงสีหน้ายังมีแววตาตกใจและช็อคกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องกังวลเมื่อผู้จัดการสาวยังคงนิ่งไม่ขยับไปไหนเลย ไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมา— เหล่าบอดี้การ์ดส่งสัญญาณเรียกรถฉุกเฉินและหน่วยแพทย์ทันที มันเหมือนมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของเจ้านายสาว ริโกะและคนอื่นๆต่างก็หน้าซีด แต่จะเข้าไปใกล้ก็กลัวจะทำให้เด็กสาวผู้โดนบอลกระแทกอย่างแรงอึดอัดจนหมดสติเสียก่อน

    ทุกคนจึงทำได้แค่เพียงส่งสายตาอย่างห่วงใยให้แก่เธอเท่านั้น

    อมีเรียมองคางามิที่สีผมเด่นชัดแต่ใบหน้าของเขากลับเลือนลางจนน่าหวั่นใจ เธอเริ่มรู้สึกง่วงนอนจนตาแทบปิดก่อนที่สติทุกอย่างจะเลือนหายไปช้าๆ.. ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของคางามิและใครหลายคน

    ...ง่วงจัง

     

    **********************************************

     

     

    “....เรีย มีเรีย อมีเรีย!!”

    “what!!!”

    อมีเรียสะดุ้งตัวร้องเสียงดัง เธอหันขวับไปมองเจ้าของเสียงที่เรียกเธอเมื่อครู่อย่างสงสัยว่าเรียกทำไม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย แอมมีลี่ผู้เป็นทั้งหัวหน้าทีมวิจัยและยังเป็นเพื่อนสนิทสุดซี้ของอมีเรียมาตั้งแต่เริ่มเข้าองค์กร เธอเริ่มสับสนแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น! อมีเรียปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แม้จะสงสัยว่านี่เป็นความฝันรึเปล่าแต่กลิ่นอายที่คุ้นเคยนี่มันอะไรกัน..

    ...ความฝันรึความจริง?

    “เดี้ยนเรียกตั้งนาน เป็นอะไรอีกละเนี่ย--” แอมพองแก้มเหมือนเด็กน้อยเมื่อถูกนักวิจัยคนเก่งเมินอีกแล้ว

    อมีเรียกวาดสายตามองไปทั่วห้องแลปที่เธอคุ้นชินเพื่อสำรวจตรวจสอบ ทุกอย่างปกติไม่มีอะไรที่แปลกไปแต่ที่แปลกก็คือเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เหมือนมีบางอย่างภายในความทรงจำมันไม่ถูกต้อง

    “แอม...”

    “หือ” ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางหันมองเพื่อนสาวอีกครั้ง คิ้วเลิกสูงก่อนเอ่ยถาม“มีไรเหรอ?”

    “ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ละ เราจำได้ว่าไปอยู่ที่.....” ที่ไหนกัน..

    อมีเรียหน้าซีดทันพลันเมื่อความทรงจำของเธอมีบางอย่างหายไป เธอจำได้ว่าเธอไปที่ไหนสักทีที่มีแต่เรื่องให้ปวดหัวตลอด แต่ทำไมในหัวของเธอกลับจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง พอจะนึกก็มีแต่ภาพเหตุการณ์เกิดขึ้นในหัวที่ไหลออกมาเป็นฉาก ตัวเธอที่กำลังทำวิจัย ตัวเธอที่เดินคนเดียว ตัวเธอที่ไปทำงานลอบสังหาร ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเข้ามาในหัวไม่หยุดแต่ทำไมกันล่ะ...ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกคุ้นเคยกับมันเลยแม้แต่น้อย

    --ราวกับว่านั่นมันไม่ใช่เธอ แต่นี่ก็ร่างกายเธอ...

    กลับมาได้แล้วมีเรีย...

    “เสียงอะไรนะ!!”

    ใบหน้าหวานที่มีริ้วรอยบนใบหน้าเล็กน้อยตามอายุขัยของร่างกายซีดเผือดอย่างชัดเจน พร้อมกับหมุนตัวเพื่อหาที่มาของเสียงปริศนาท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนร่วมงาน แอมมีลี่มองคนสนิทที่มีท่าทีแปลกประหลาดอย่างกังวล พลันเธอก็นึกอะไรได้ แล้วกดโทรหาใครคนหนึ่งที่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้

    รอไม่นานปลายสายก็รับ แอมจึงไม่รอช้ารีบบอกจุดประสงค์ทันที 

    “มีเรียมีท่าทางแปลกๆอีกแล้ว..คุณจะทำยังไง นายใหญ่”

    “....”

    “เข้าใจแล้วค่ะ”

    แอมมองคนสนิทที่เริ่มจะมีอาการใกล้เคียงกับคำว่าคลุ่มคลั่งอย่างกังวล ก่อนที่เธอจะหยิบเอาสร้อยคอสีเงินในลิ้นชักออกมา เพียงแค่แกว่งมันเบาๆ อมีเรียที่มีอาการคลุ่มคลั่งก็เริ่มสงบ พร้อมกับดวงตาสองสีที่กลับมาเป็นปกติแม้แววตานั้นเธอจะไม่คุ้นเคยก็ตาม 

    “..เกิดอะไรขึ้นหรอคะ แอม”

    “เปล่าหรอกมีเรีย...” ไม่มีอะไร...ใช่ ไม่มีอะไร....

    เพราะมันเป็นแววตาของอมีเรียผู้แสนไร้หัวใจคนนั้นที่เธอไม่คุ้นเคย..

     

     

     

     

     

    เฮือก!!

    อมีเรียลืมตาพร้อมร่างที่เด้งตัวขึ้นนั่ง เธอหายใจหอบเพื่อเรียกอากาศให้เข้าปอดให้มากที่สุด แล้วก็ต้องตกใจกับสัมผัสอบอุ่นที่พุ่งเข้ามากอดเธอเสียแรง คางามิที่เห็นว่าญาติสาวฟื้นเขาไม่ได้คิดอะไรเลยหรือไม่ต้องคิดอะไรมากเพียงคว้าร่างบางที่หายใจแรงจนน่ากลัวเข้าสู่อ้อมกอด— เขาโล่งใจ โล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

    “....”

    อมีเรียนิ่งกับสัมผัสนั้น กว่าที่เธอจะเรียกสติและปรับอารมณ์ที่ไม่ปกติให้กลับเข้าที่ก็ใช้เวลานานไม่น้อย กวาดสายตาไปทั่วเพื่อสำรวจแล้วกลับมามองคนที่กำลังกอดเธออยู่ในตอนนี้ ร่างกายที่ใหญ่โตกว่าเธอที่เป็นผู้หญิงเส้นผมสีแดงเข้มของเขาเด่นชัด เมื่อสังเกตดีๆอมีเรียจะเห็นว่าใบหน้าของชายผู้สวมกอดเธออยู่เริ่มเด่นชัดขึ้นมาทีละน้อย

    “ไทกะ...” เธอเผลอครางชื่อชายที่ติดในหัว แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

    มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ...

    คางามิยิ้มกว้างอย่างดีใจ แม้น้ำตาจะไหลเขาก็ยังยิ้มร่าเริงก่อนจะรีบกดเรียกพยาบาลและหมอให้มาที่ห้องพักของญาติสาว แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์มากดโทรหาใครก็ไม่รู้อยู่หลายคน แต่ถ้าให้ทายก็คงจะเป็นคนในทีมบาสเซย์รินละมั้ง เพียงไม่นาน พยาบาลและหมอก็เข้ามาพร้อมกลับกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างพวกยาที่เธอค่อนข้างรังเกียจจนใบหน้ามึนทำหน้าเหยเกชัดเจน นับว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีสำหรับหมอที่มาตรวจร่างกายเธอ

    --อย่างน้อยก็ย่อมดีกว่าร่างกายที่ไร้การตอบสนองเหมือนคนตายละนะ...

    เหล่าบอดี้การ์ดผู้เฝ้าหน้าห้องทยอยกันเข้ามาในห้องพร้อมกับผู้มาใหม่ เทรย์เวอร์ เกรซ คาร์เชล พี่ชายของอมีเรียและผู้เป็นเจ้านายของเหล่าบอดี้การ์ดชุดดำ เมื่อเข้ามาในห้องเขาไม่พูดอะไรเลยนอกจากส่งยิ้มอันมีเลศนัยมาให้เธอที่กำลังทำหน้ามึนงง จนเมื่อถูกจับตรวจสภาพร่างกายเสร็จก็เป็นเวลาส่วนตัวของเธอ

    “มีเรื่องที่อยากจะถามเยอะละสิ” เทรย์เวอร์เปิดประเด็นด้วยรอยยิ้มสุภาพบุรุษ ส่วนคางามิขอตัวออกไปรับพวกที่เขาโทรตามเนื่องจากกลัวหลงทาง --และเขาอยากให้สองพี่น้องได้คุยกันเป็นการส่วนตัว

    อมีเรียเลิกคิ้วแล้วพยักหน้าเล็กน้อย แต่เธอก็เลือกที่จะไม่เอ่ยถามอะไรนอกจากนั่งทบทวนความทรงจำอยู่เงียบๆ เธออยากเรียบเรียงความทรงจำทั้งหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงมาฟื้นที่โรงพยาบาล ทำไมเธอจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นอะไร?— ร่างบางนั่งทบทวนความทรงจำของตัวเองอยู่เช่นนั้น ส่วนชายหนุ่มเรือนผมสีเงินกลับยิ้มแล้วไปนั่งโซฟาจิบชารออย่างไม่เร่งรีบ

    เขารู้ ว่าเธอต้องการเวลาทบทวนและเรียบเรียง...

    เทรย์เวอร์ยิ้มบางสายตาเขาไม่ได้มองไปยังใบหน้าที่กำลังเครียดของน้องสาว เพียงแต่เขาปรายตามองภาพสะท้อนของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในน้ำชาเท่านั้น—

    อมีเรียย้อนความทรงจำของตนเองในล่าสุด เธอจำได้ว่ากำลังยืนคิดแผนการที่จะมารับมือและปิดผนึกอาคาชิอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจู่ๆเธอก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระแทกที่หัวอย่างแรง แล้วเธอก็ล้มลงพร้อมความมึนงงและอาการหูอื้อ แต่เดี๋ยวก่อนแค่โดนอะไรบางอย่างกระแทกก็ไม่น่าจะหมดสติได้นิ?!

    ไม่สิก่อนที่เธอจะหมดสติเธอเห็นว่าใบหน้าของคางามิเริ่มจางจนเกือบมองไม่เห็นแล้วเธอก็ได้สติที่แลป...

    แลป!! แอม!!

    อมีเรียเบิกตากว้างกับข้อสรุปในหัวของเธอแล้วหันไปมองพี่ชายที่กำลังจิบชาอย่างใจเย็นอยู่ไม่ไกล

    “พี่คะ อาการที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่อาการคลื่นสมองเกิดการแทรกแซงหรือผิดปกติใช่มั้ย?” เธอลังเล

    แต่เทรย์เวอร์กลับไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มแล้วจิบชาต่อ “เราคิดอย่างงั้นหรอตัวเล็ก”

    “ไม่ค่ะ..อาการมันไม่ใช่แต่ก็ไม่เชิง” อมีเรียเริ่มไม่เข้าใจ “มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับมีเรียใช่มั้ยคะ”

    “ใช่” เทรย์เวอร์ไม่อ้อมค้อม เมื่ออมีเรียมองใบหน้าพี่ชายอีกทีเธอก็ต้องหันหน้าหนีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา

    เทรย์เวอร์มองน้องสาวที่หน้าแดงระเรี่ยด้วยความเอ็นดู ก่อนเขาจะวางแก้วชางบนโต๊ะและเริ่มจริงจัง “เราคงกลับไปยังโลกนั่นสินะเมื่อกี้” เอ่ยจบประกายในดวงตาเหมือนเย็นชาขึ้นมา แต่ก็จางหายไปเมื่อเห็นใบหน้ามึนงงของเด็กสาว

    “...โลกนั่น??”

    “ในโลกที่ตัวตนของพวกคางามิไม่มีอยู่จริง”

    “....ค่ะ” อมีเรียพยักหน้าแล้วก็ฉุดคิดอะไรได้ เทรย์เวอร์รู้ได้ยังไง!!

    “พี่จะไม่บอกเราตรงๆหรอกน่ะว่าสาเหตุมาจากอะไร เพราะเดี๋ยวมันจะไม่สนุก” เทรย์เวอร์หัวเราะกับสีหน้าเหลอหลาของน้องสาวที่แสดงออกมาเมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาพูด และสมกับเป็นอมีเรียเธอสามารถกลับมาทำหน้ามึนเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว เขาสังเกตท่าทีสุขุมนั่นแล้วยกยิ้มพอใจและสุขใจก่อนจะเริ่มพูดต่อ

    “สิ่งที่เราคิดมันทั้งใช่และไม่ใช่ บางอย่างที่เราคิดอาจจะจริงและไม่จริง...”

    “....”

    “ตัวเล็กคะ พี่จะใบ้ให้เรานะคะ” เทรย์เวอร์ยังคงยิ้มเหมือนเดิม ก่อนที่คนสนิทของเขาจะเดินถือแฟ้มเอกสารไปส่งให้อมีเรียที่ยังทำหน้ามึนไม่รู้เรื่องราวใดๆอยู่ อมีเรียรับมาเปิดดูด้วยความสงสัย ว่ามันเป็นแฟ้มอะไรก่อนที่เธอจะตาโตด้วยความตกใจแล้วหันไปมองร่างสูงเพื่อขอคำอธิบาย

    แต่อนิจจา คำอธิบายมีหรือจะออกมาจากปากของชายหนุ่ม...

    “ปริศนานี้หวังว่าตัวเล็กจะไขออกได้นะคะ พี่คาดหวังในตัวเราน่า”

    “....”

    “ไม่สิ.. ผมคาดหวังในความสามารถของคุณนะครับคุณอมีเรีย”

    มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!

     

    .........................................................

     

     

    หลังจากที่เจอกับพี่ชายของเธอ ไม่สิ เขาคือพี่ชายของร่างนี้ที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง เวลามันก็ผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ อมีเรียยังคงไปโรงเรียนเดียวกับคางามิและคุโรโกะ ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นที่เธอจะไปฟื้นที่โรงพยาบาล คางามิเล่าให้ฟังว่าอาคาชิปัดลูกบาสเพื่อสกัดวิถีของลูกได้ แต่มันที่สมควรจะกระเด็นกระดอนไปกับพื้นกลับพุ่งตรงไปเข้าใส่หัวของเธอที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างสนามเสียแรงจนล้มลง ในคราแรกพวกเขาก็ไม่ได้กังวลอะไรเพราะคิดว่าเธอแค่มึนจนสลบไปเท่านั้น ด้วยแรงของลูกบาสที่พุ่งใส่หัวมันก็ไม่ใช่น้อยๆ

    แต่พอบอดี้การ์ดของเธอพาเธอส่งโรงพยาบาลคางามิก็ต้องตื่นตระหนก อมีเรียหยุดหายใจไปแล้วสิบครั้งจนทีมแพทย์ต้องเฝ้าดูอาการอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้หัวใจของเธอหยุดเต้นจนเลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงสมอง

    ในตอนแรกที่รู้คางามิทั้งช็อคทั้งตกใจ จนอยากจะวิ่งออกจากสนามแข่งไปยังโรงพยาบาลแต่พอเจอหน้าอาคาชิที่ยังไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เขาก็ต้องกัดฟันทนแล้วใส่เต็มแรงจนชนะราคุซันมาได้ แน่นอนว่าชัยชนะครั้งนี้เซย์รินดีใจกันได้ไม่นาน ก่อนที่จะพากันยกโขยงขึ้นรถตู้มาโรงพยาบาลกันอย่างด่วนจี๋ 

    แต่จะเข้าไปเฝ้าก็ไม่ได้เพราะตอนนั้นเธอยังอยู่ในห้องICU ทั้งแพทย์เองก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ที่จู่ๆก็มีอาการแปลกประหลาดแบบนี้ แต่มันจะน่าเชื่อรึเปล่าก็ไม่รู้ที่พอพี่ชายใหญ่มาอาการที่หยุดหายใจถี่ๆก็กลับมาดีขึ้น จนสามารถย้ายไปห้องพิเศษได้— แต่อมีเรียก็ยังไม่ฟื้น

    จนผ่านไปสามวันที่เธอฟื้นขึ้นมาอย่างมึนงง คางามิได้รู้จากหมอแค่ว่า ร่างกายของอมีเรียเกิดสภาวะช็อกบางอย่างบวกกับการใช้สมองอย่างหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงทำให้อมีเรียที่เดิมก็ไม่ได้สุขภาพแข็งแรงอะไร จึงมีอาการดิ่งแบบนั้นและแน่นอนสำหรับอมีเรียคำที่แพทย์บอกพวกคางามิมันคือคำโกหก ที่คุณพี่ชายเป็นคนร่ายยาวให้เหล่าแพทย์ท่องจำก่อนไปบอกพวกคางามิ แถมยังหันมาส่งยิ้มเจ้าเสน่ห์ใส่เธออีก

    อาการของเธอจากที่วิเคราะห์เอง 

    มันคืออาการคลื่นสมองถูกแทรกแซงด้วยสนามแม่เหล็กโลก หรือคลื่นรบกวนบางอย่างที่ตรงกับคลื่นสมองของเธอ ถ้าให้พูดเป็นภาษาบ้านๆที่เธออ่านมาจากในแฟ้มเอกสารที่ได้มาจากเลขาคนสนิทของคุณพี่ชาย อาการของเธอคือ การสับเปลี่ยนจิตจากอีกมิติ

    แม้ไม่อยากจะเชื่อกับเรื่องแปลกประหลาด แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นข้อยืนยันได้เลยว่าสิ่งที่เธอคิดจะไม่เป็นจริง ในแฟ้มเอกสารก็ไม่มีอะไรนอกจากรายละเอียดงานวิจัยการสร้างคลื่นแม่เหล็กพิเศษเพื่อไปยังต่างโลกหรือข้ามมิติ แน่นอนว่าแค่อ่านก็รู้ว่ามันต้องล่มเหลวแต่ผลการทดลองที่ล่มเหลวนั้นกลับถูกลงตราประทับสีแดงว่าอันตราย -- ยิ่งคิดยิ่งมึนหัวจนเธอต้องนอนซมบนเตียงต่ออย่างช่วยไม่ได้ ส่วนคุณพี่ชายที่ทิ้งปริศนาให้น้องก็หายตัวไปพร้อมยังมีข้อความทิ้งท้ายให้แค่ว่า 

    จะรอฟังเรื่องสนุก 

    สนุกกับผีนะสิ(อมีเรียหลุดคาแรกเตอร์แล้ว) นับตั้งแต่นั้นคางามิและคนอื่นๆในเซย์ริน เลยไม่ค่อยให้เธอใช้สมองมากเท่าไหร่นอกจากเรื่องเรียนแต่...เรื่องเรียนเธอก็แทบไม่ได้ใช้เลยเนี่ยสิ

    “นี่...เธอลงชื่อเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนหรอ?”

    คางามิเอ่ยถามขณะที่อมีเรียกำลังหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านก่อนเริ่มเรียน ดวงตาสองสีแสนมึนงงเงยหน้ามองเพื่อนสนิทควบคู่ตำแหน่งญาติแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบสองสามที เมื่อตอบคำถามของคางามิไปแล้วเธอก็ก้มอ่านหนังสือต่อโดยมีคุโรโกะที่เอากระดาษเขียนรายละเอียดทั้งหมดของโครงการแลกเปลี่ยนให้คางามิอ่าน

    หลังจบการแข่งที่เซย์รินพลิกกลับมาชนะด้วยแผนของอมีเรียส่วนหนึ่ง และด้วยกำลังใจของนักกีฬาอีกส่วนหนึ่ง ในตอนนี้พวกเขาจึงเน้นไปเรื่องการเรียนและสอบที่ใกล้จะมาถึงเป็นหลัก โดยมีอมีเรียที่เรียนล้ำหน้าพวกเขาไปไกลเป็นคนช่วยติวในวิชาที่แต่ละคนอ่อน ส่วนคิโยชิที่อาการบาดเจ็บที่ขากลับมากำเริบก็ได้บอดี้การ์ดของอมีเรียช่วยส่งตัวไปรักษากับแพทย์ฝีมือที่อเมริกาได้ทัน—

    ฮาคุ บอดี้การ์ดที่เธอค่อนข้างไว้ใจมาก เป็นคนทำหน้าที่แทนในช่วงที่เธอหมดสติไป ทั้งดำเนินเรื่องการรักษาของคิโยชิ การดูแลผู้ปกครองของรุ่นพี่หนุ่ม ไม่รวมถึงทาสคนนั้นของเธอที่ปัจจุบันเขาก็ยังเดาไม่ออกว่าเธอเป็นใคร ฮาคุก็เป็นคนไปจัดการให้อย่างเสร็จสรรพ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาจะได้ไม่กังวล..ไม่สิ หายห่วงเลยล่ะ

    “คางามิคุง..คุณครูเข้ามาแล้วนะครับ” คุโรโกะที่นั่งข้างเธอชะโงกคอบอกคางามิที่กำลังจะหยิบเกมมาเล่น โดยมีเธอที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บังเขาได้

    “ชิ อดเล่นเลย” คางามิจิ๊ปากอย่างขัดใจแต่ก็ยอมเก็บเกมลงกระเป๋าพร้อมหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาเตรียม

    ในตอนนี้ทุกคนอยู่ในชั้นเรียนปี1ห้องC แม้หลายคนจะสงสัยว่าระดับความรู้ของอมีเรียทำไมถึงมาอยู่ห้องCกับคางามิได้ แต่เจ้าตัวอย่างอมีเรียกลับไม่ได้สงสัยอะไรเมื่อมองไปที่อาจารย์ที่เข้าใหม่แต่ละคน แล้วเธอรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ แม้จะไม่เห็นหน้าก็เถอะ— พวกนี้เป็นบอดี้การ์ดที่มาคอยดูแลเธอ ดังนั้นเรื่องให้อยู่ห้องเดียวกับคางามิก็คงเป็นฝีมือของคุณพี่อย่างไม่ต้องสงสัย คุโรโกะมองอาจารย์ชายที่มาสอนฟิสิกส์ แล้วเหลือบมองคนข้างตัวที่ทำหน้าเหม็นเบื่อ เขาสะกิดแขนเธอเบาๆ

    “มีเรียจัง...คนนั้นก็บอดี้การ์ดมีเรียจังนิครับ”

    “ค่ะ ชื่อ คาซาวัตสึ ริวชิ” อมีเรียตอบแถมยังบอกชื่อของอาจารย์หน้าชั้นให้ด้วย

    แล้วชี้เอกลักษณ์ที่จำได้ง่ายให้คุโรโกะซึ่งเอกลักษณ์ที่ว่าก็คือ เขาหัวล้าน... แถมเป็นชายที่ยังอายุไม่เยอะเพียงคนเดียวในกลุ่มบอดี้การ์ดที่หัวล้าน มันจึงไม่แปลกที่อมีเรียจะจำชื่อได้แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าก็ตาม เพราะงั้นอมีเรียจึงไม่รู้ว่า ริวชิ บอดี้การ์ดลำดับที่10 ของเธอกำลังยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าชั้นเรียน....

    “สวัสดีเจ้าพวกตัวจ้อย ฉัน คาซาวัตสึ ริวชิ จากนี้จะมาสอนฟิสิกส์ให้พวกเธอ— แน่นอนว่าใครที่คิดจะโดดเรียน ฉันจะโกนผมพวกนายให้เป็นเหมือนฉันซะเลย ว่ะฮะฮะฮ่า”

    “.....”

    แต่ต่อให้มองไม่เห็น อมีเรียก็เดาได้ว่าสีหน้าของบอดี้การ์ดจอมขี้เล่นคนนี้กำลังแสดงสีหน้าอะไร.. จบความวุ่นวายเรื่องการแข่งไปแล้ว แต่ดูเหมือนชีวิตของเธอจะวุ่นวายมากกว่าเดิมมากกว่านะ เฮ่อ..

    คางามิกระตุกเส้นผมของญาติสาวสองสามที เขาพองแก้มให้ญาติสาวเมื่อเธอหันหน้ามาหาเขา “มีเรีย…หิวแล้วสิ” 

    “….”

    แต่ดูจากแววตาของอมีเรียแล้ว ดูเหมือนเขาจะต้องทนหิวต่อไปจนกว่าจะถึงพักเที่ยงอย่างแน่นอน งือ!!

     

     

     

     

    “….”

    อมีเรียมองภาพที่บอดี้การ์ดถ่ายส่งมาให้ก่อนหน้าที่จะแข่งกับราคุซันด้วยแววตาสงสัย เดี๋ยวก่อนนะ?.. การแข่งบาสมีแบบนี้ด้วยเหรอ?

     

    ………………………………………………

    ในที่สุดก็รีไรท์จนจบภาคหนึ่งแล้วค่า! เย้ๆ เดี๋ยวรีไรท์ตอนพิเศษเพื่อแก้คำผิดกับปรับเปลี่ยนสรรพนามนิดหน่อย เสร็จแล้วก็จะเริ่มรีไรท์ของภาคสองค่า! เย้ๆ อีกไม่นานก็จะได้เริ่มอัพภาคสองต่อแล้วน่า – ขอบคุณที่ยังรอคอยและให้การสนับสนุนแฟรร์ แต่ระหว่างนี้หากมาอัพช้าขอให้ท่านรู้แค่ว่า แฟรร์ไปหาคมช.มาประกอบอยู่ค่ะ แค่ก! (มองกระเป๋าตังที่โบ๋เบ๋)

     

    1 คอมเม้นท์ = 100 กำลังใจ

    สามารถติหรือชี้แนะไรท์ได้ ไรท์จะรออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนนะคะ

     

    ติดตามข้อมูลข่าวสารและการอัพเดทต่างๆได้ที่เพจ Fairy-แฟรี่กะ จิ้มๆเลย//ชี้  

     

     

    by. ภูติสีเทา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×