ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึก(ไม่)ลับ เด็กวิทย์ หัวใจศิลป์

    ลำดับตอนที่ #58 : กว่าจะเป็น “เด็กวิทย์ หัวใจศิลป์”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 969
      3
      6 ต.ค. 51

    อ่านบทความนี้มาตั้งนานแล้วนะครับ ถ้าไม่รู้จัก ตัวตน ที่แท้จริงของพวกเรามันก็อาจจะดูไม่เป็นทางการสักเท่าไหร่ วันนี้ถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดี เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจตัวตนอย่างถ่องแท้ของพวกเราครับผม

     

    คำจำกัดความของ เด็กวิทย์ หัวใจศิลป์ อาจหมายถึง เด็กนักเรียนที่เรียนอยู่สายวิทยาศาสตร์ แต่จริงๆแล้ว ในใจกลับชอบ หรือมีความสนใจในทางศิลปะศาสตร์มากกว่า ซึ่งอาจจะเก่งหรือไม่เก่งก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของบุคคลคนนั้น....

     

    ถ้าเป็นแผนการเรียนนะ เด็กวิทย์หัวใจศิลป์ก็ถือว่าเป็นแผนการเรียนที่แปลกมาก แล้วแต่คนจะมองในแง่ดีหรือแง่ลบ เพราะสายนี้จะต้องเรียนหนักถึงทางแขนงด้วยกัน (ซึ่งคงไม่มีที่ไหนเปิดให้เรียน คงจะแปลกพิลึก) ทั้งทางวิทย์ที่มีทั้งเคมี ฟิสิกส์ ชีวะ คณิตเสริม หรือสายศิลป์ที่มีทั้ง ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น อาหรับ บาลี อังกฤษฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ฯลฯ อีกสารพัด

     

    ถ้าพูดถึงเด็กสายวิทย์ธรรมดา หรือเด็กสายศิลป์ธรรมดา ก็ว่าเรียนหนักแล้วนะ แต่พวกเรากลับต้องเรียนหนักมากกว่าเด็กสายปกติเป็น 2 เท่า การที่เด็กสายศิลป์จะกลับลำมาเรียนสายวิทย์นั้นถือว่ายากพอสมควร เพราะว่าการเรียนในสายวิทย์นั้นถือว่าหนักหน่วงเอาการอยู่ ทั้งจำนวนวิชา และจำนวนหน่วยกิตที่พร้อมจะฉุดเกรดอันน้อยนิดของเราให้ตกลงได้อยู่ตลอดเวลา พูดตรงๆเลยว่า ถ้าไม่มีหัวทางนี้จริงๆ เรียนไม่ไหวหรอก ถึงเรียนได้ ก็แค่พอถูๆไถๆ

     

    พวกเราคือ กลุ่มนำร่องครับ

    (หรือเป็น Explorer นั่นเอง)

     

    พวกเราไม่ใช่เด็กวิทย์ ที่สามารถท่องระบบอวัยวะในร่างกายได้หมด….

    ไม่สามารถเขียนสมการทางเคมีได้อย่างคล่องแคล่ว….

    ไม่สามารถจำสูตรในวิชาฟิสิกส์ที่มากมายเหลือเกินได้หมด (บางทียังจำสับสนกันอีก)….

    และไม่สามารถ ทำโจทย์คณิตศาสตร์ให้ได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน -*-

     

    แต่ดั๊นอยู่สายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์

     

    ยังไม่มีการบัญญัติชื่อกลุ่มของพวกเราอย่างเป็นทางการลงพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

    แต่พวกเราก็มีนามอันโก้เก๋ที่บัญญัติกันขึ้นมาเอง นามนั้นก็คือ

    เด็กวิทย์ หัวใจศิลป์

     

    (แต๊น แต แด แดน แต้น แต่น แต่น แตน แต๊น)

     

    การที่จะเป็นเด็กวิทย์หัวใจศิลป์ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแต่คุณจะต้องไม่รู้อยู่ 3 สิ่ง

    1.    ไม่รู้อนาคตตัวเอง เลือกสายวิทย์ไว้ก่อน เพราะหาคณะเรียนต่อได้เยอะดี (เป็นการคิดแบบเหวี่ยงแหไว้ก่อน)

    2.   ไม่รู้ใจตัวเอง ว่าตกลงแล้ว เราชอบอะไรกันแน่ เรียนตามเพื่อน เรียนตามที่พ่อแม่แนะนำ (ทั้งๆที่สิ่งนี้ จะเป็นความรู้ติดตัวเราไปตลอดชีวิต)

    3.    ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่เหมาะกับเรา เพียงมัวแต่คิดว่า เดี๋ยวเราก็รักมันไปเอง

     

    การไม่รู้จักตัวเองในครั้งนั้น กลับส่งผลอันร้ายแรงจนถึงทุกวันนี้ ทั้งเกรด รายวิชา การเรียน น้ำหนักหน่วยกิตต่างๆ เป็นมรสุมชีวิตที่ถาโถมเข้ามาใส่เด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนหนึ่ง ซึ่งคาดหวังว่าตัวเองจะมีชีวิตอันสดใสในช่วงชีวิต 3 ปีของเด็กม.ปลาย (หรืออาจะมากกว่านั้น แล้วแต่คน)

     

    ชีวิตของ เด็กวิทย์หัวใจศิลป์คนหนึ่งๆ ยิ่งกว่าละครน้ำเน่าอีกครับ

     

    เพื่อความอยู่รอด พวกเราจึงต้องไปลงเรียนกวดวิชาแพงๆเพื่อเรียนตามให้ทันเพื่อน ซึ่งบางคนก็ประสบผลสำเร็จในการเรียนกวดวิชา สามารถทำเกรดในโรงเรียนให้ดีขึ้นได้ แต่บางคนที่ยิ่งเรียนไปแล้ว ยิ่งเริ่มไม่ในใจในความสามารถของตนเอง ยิ่งเรียนยิ่งงง และยิ่งมืดมนกับหนทางในชีวิต เกรดก็ตก ยิ่งเรียนหนักก็ยิ่งเครียด

     

    บางคนที่ไม่มีเงิน ก็ต้องยอมรับสภาพ ยอมยืนอยู่ที่จุดๆเดิม หวังว่าจะให้เวลาอันเลวร้ายนี้ได้ผ่านพ้นไปเร็วๆ

     

    การได้เรียนในสิ่งที่ชอบ ตอบในสิ่งที่ตัวเองเป็น ถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก เพราะถ้าเราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เราจะไม่รู้สึกเบื่อ หรือเศร้าใจเมื่อเราได้ทำผิดพลาดลงไป เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ เพราะใจของเรายังรักอยู่ในสิ่งๆนั้นอยู่ ตรงข้ามกับการที่เราได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ถึงแม้เราจะทำใจให้ชอบมันขนาดไหน แต่ในส่วนลึกของจิตใจของเราก็ยังอยากจะหนีมันอยู่ดี….

     

    นี่คือความจริง.......

     

    ช่วงเวลา 3 ปีในชีวิตของวัยรุ่นอย่างเราๆ ที่น่าจะมีความสุขกับหนทางอันสดใสในชีวิตของตนเอง กลับต้องมานั่งทนทุกข์ก็สิ่งที่ตนเองพยายามที่จะปฏิเสธมันตลอดเวลา ยิ่งเกลียดก็ยิ่งต้องเจอ กลายเป็นว่า เราไม่อยากที่จะรับรู้อะไรทั้งนั้น ยิ่งเรียนก็ยิ่งท้อ หมดหนทาง ชีวิตช่างมืดมน มองไปทางไหนก็เจอแต่หมอก แต่ควัน....

     

    บวกเข้ากับสภาพการเรียนของเด็กสายวิทย์ ซึ่งต้องขยันกันข้ามวันข้ามคืน

    หลายคนอาจจะเกิดอาการรับไม่ได้.....

     

    เกรดที่เราสั่งสมบารมีมาตลอด 3 ปี ทั้งมากบ้าง น้อยบ้าง นั่นก็จะส่งผลกระทบโดยตรงกับระบบการสอบในปัจจุบัน ซึ่งให้ความสำคัญกับเกรดในห้องเรียนเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่า หากเราไม่ขยันสักวิชา เราคงไม่มีทางคว้าเกรดดีๆเป็น Passport เดินทางเข้ามหาวิทยาลัยที่เราใฝ่ฝันได้อย่างแน่นอน

     

    ที่เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่ง เราอาจจะต้องทนคำครหาต่างๆนานา บ้างก็พูดว่า จะมาเรียนทำไม สายนี้ รู้ว่าไม่เหมาะ แล้วยังจะ..... หรือถ้าเราจะแอดเข้าสายศิลป์ ก็ไม่วาย โดนกล่าวหาว่าไปแย่งที่เด็กสายศิลป์อีก

     

    ซึ่งถ้าเลือกได้ พวกเราก็ไม่อยากจะทำแบบนี้เหมือนกัน

    ที่คือผลกรรมจากการที่เรากำลัง หลอก ตัวเองอยู่

     

    วิทย์ กับ ศิลป์ แค่เขียนก็แตกต่างกันอยู่แล้ว ทั้งในแง่ของรูปลักษณ์ภายนอก และความหมายภายใน

     

    การที่จะเป็นเด็กวิทย์หัวใจศิลป์ มันไม่อยากครับ เพียงแต่คุณพร้อมที่จะ อดทน เหมือนกับพวกเรารึเปล่า?

     

    และนี่คือ บททดสอบความแข็งแกร่งทางจิตใจ

    ที่เด็กสายอื่นอาจจะหาไม่ได้เหมือนพวกเรา

    ขึ้นอยู่กับว่า เราจะสอบผ่านบททดสอบอันนี้ไปได้รึเปล่า.....

     

    ในสภาวะกดดันแบบนี้ พวกเราจะสามารถทดทนกับมัน และผ่านมันไปได้หรือไม่? ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ว่าจะมัวนั่งอมทุกข์อยู่ หรือจะพยายามสู้ฝ่าฟันกับมันต่อไป เด็กวิทย์หัวใจศิลป์เกือบทุกคน ผมเชื่อว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ทุกคนคงจะเข้าใจถึงความยากลำบากของมันมาพอสมควรแล้วหล่ะ ชีวิตที่ม.ปลายที่เหลือต่อจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของทุกคนแล้วนะ

     

    นี่เป็นแค่ก้าวเล็กๆ ที่สำคัญอีกก้าวหนึ่ง

    แต่เราก็สามารถเปลี่ยนมันได้ ด้วยสองมือ และ ความพยายามของเราเอง

     

    และ นี่คือสิ่งที่ทุกคน ต้อง ถามใจ ตัวเองให้ดีๆ

    ยังเหลือการเลือกทางเดินชีวิตที่สำคัญอีกขั้นหนึ่ง

    ....สิ่งที่เราจะต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต....

    เมื่อมีโอกาสให้เลือกแล้ว จงตั้งใจเลือกให้ดีที่สุด

    ขอให้บทความนี้เป็นเครื่องเตือนจิตใจของทุกคน

     

    แด่ เด็กวิทย์หัวใจศิลป์ทุกคน ผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน ^^

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×