คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #72 : [Rakung N The Gang On Tour] จุฬาวิชาการ ณ วันที่ 29 30 พฤจิกายน 2551
หลังจากเหนื่อยกับการทำงานในโรงเรียนมาหลายวันมากๆ ในที่สุดก็ได้เวลาไปพักผ่อนกันเสียที แต่การพักผ่อนในครั้งนี้นั้น ให้ประโยชน์มากมายจริงๆยิ่งไปกว่าการอยู่บ้านเฉยๆเสียอีก ซึ่งนั่นก็คือ การไปเดินงานนิทรรศการ “จุฬาวิชาการ” ซึ่ง 3 ปี จะมีครั้งหนึ่งนั่นเองขอรับ
สำหรับจุฬาวิชาการในปีนั้น มีหัวข้อหลักก็คือ “พลังแห่งปัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” คล้ายๆกับงาน Open House ของหลายๆมหาวิทยาลัยนั่นแหละ เพียงแต่ว่า จุฬาฯนั้นใหญ่มากๆ และการจัดกิจกรรมของแต่ละคณะนั้นน่าสนใจสุดๆ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งถ้าใครเคยไปแล้วคงทราบดี ^^
Get Start!!!
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2551
นัดเพื่อนที่รร.เวลาประมาณ 9 โมงได้ เพื่อที่จะนั่งรถแท็กซี่ต่อไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับวันนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางไปกับผมด้วยกันทั้งสิ้น 3 คนด้วยกัน (ตอนถามในห้องหล่ะยกมือกันเยอะเชียว -*-) พอรวมตัวกันครบแล้ว ก็ออกเดินทางกันเลย
ใช้เวลาไม่นานมาก จากโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ถึงจุฬาฯ เสียค่าแท็กซี่คนละ 25 บาทเอง ใช้เวลาเกือบๆชั่วโมง ตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 10 โมงกว่าๆได้แล้วหล่ะ พอลงจากแท็กซี่ปุ๊บ คณะแรกที่เราเจอเลยก็คือ คณะรัฐศาสตร์ (คณะหมายเลข 2 ในดวงใจ ^^)
ณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ผมก็ออกตัวเป็นจ่าฝูงเดินเข้าไปในคณะเลย (ได้ข่าวว่า เพิ่งเริ่มเปิด คนยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่) ตอนแรกเดินเข้าไปดูงงๆ ทั้งพี่และน้อง 555+ สักพักพี่เขาก็ลากตัวไปให้เรากรอกแบบสอบถามความคิดทางสังคมอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ ซึ่งผมได้ความมั่นคงทางการเมือง แล้วก็นั่งคุยกับพี่ในคณะไปเรื่อยๆระหว่างรอเพื่อนๆกรอกแบบสอบถาม
หลังจากกรอกแล้ว ต่อไปเราก็เดินต่อไปยังภาควิชาแรกซึ่งอยู่ใกล้ๆกันตรงนั้นแหละ คือ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations: IR) ซึ่งภายในภาควิชานี้ตกแต่งสถานที่ได้สวยมากๆ มีจำลองเวทีแถลงการณ์ของสหประชาชาติด้วย (ไม่รู้ใช่รึเปล่า) ก็เลยแอบถ่ายรูปมาด้วยเลยรูปหนึ่ง 555+
จากนั้นพี่ที่คณะก็ทำหน้าที่เป็นไกด์นำชมภายใน โดยเริ่มจากความสำคัญของแผนที่โลกก่อน จากนั้นก็ไปฟังประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งพี่ที่บรรยายให้ฟังพูดได้เก่งมากๆ ทำเอาผมกับเพื่อนๆเคลิ้มไปเลย อีกอย่างหนึ่ง ทำให้ความคิดของผมที่จะเข้าคณะนี้ก็เพิ่มขึ้นอีกอย่างมากมาย (ประทับใจมากๆ อยากรู้เยอะแบบพี่ๆอ่ะ)
ระหว่างนั้นก็ออกไปรับเพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนหนึ่ง ตอนนี้กลุ่มของผมก็รวมทั้งหมด 5 คนแล้วหล่ะ
ต่อจากประวัติความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราก็เดินต่อไปยังด้านในสุด ก็มีพี่มาฉาย Projector เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนให้ดู แล้วก็บอกถึงความสำคัญขององค์กรที่มีต่อปัญหานี้ ทำเอาผมเองซาบซึ้งมากๆ
(อยากเข้า รัฐศาสตร์มากกกกกกกกกก ^^)
ก่อนจะไปต่อคณะอื่น พวกเราก็จะต้องไปลงทะเบียนเอาแผนที่เสียก่อน ได้ข่าวว่าตอนเข้ามาเรายังไม่ได้ลงทะเบียนเลย (รถพาเข้ามาซะงั้น) พอลงทะเบียกันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปตามทางเรื่อยๆ ซึ่งคนก็เริ่มเยอะแล้วหล่ะ
ตอนแรกมีเพื่อนคนหนึ่งเสนอให้ไปที่คณะนิติศาสตร์ ซึ่งพวกเราก็เห็นดีด้วย ก็เลยเดินทางไปที่คณะนิติสาสตร์ด้วยกัน แต่ก่อนที่จะไปคณะนี้นั้น เพื่อนผมคนหนึ่งมันก็สะดุดตากับคณะหนึ่งๆซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรัฐศาสตร์เท่าไหร่ นั่นก็คือคณะเศรษฐศาสตร์นั่นเอง
ได้ยินอาจารย์สอนสังคมผมท่านพูดไว้เยอะ ไหนๆก็ไหนๆ ลองเข้าไปดูกันดีกว่า
ณ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ
ตอนนี้คนก็เริ่มเยอะแล้วหล่ะ ความจริงแล้วคณะนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดผมเลย แต่เพื่อนมันดึงเข้าไป ก็เลยเข้าไปเดินดูหน่อยก็ได้ พี่ๆในคณะนี้ก็เทคแคร์ดีมากๆ แล้วก็จริงอย่างที่อาจารย์ผมบอกเลยว่า ส่วนใหญ่มีแต่เด็กสายวิทย์เรียน จากนั้นพวกเราก็ได้ไปเล่นเกมปั่นหุ้นกัน (เรียกมางั้น) ซึ่งก็จะมีสถานการณ์มาให้ แล้วให้เราเลือกว่าจะลงทุนกับบริษัทไหนดี ซึ่งสุดท้ายถ้าใครได้กำไรเยอะที่สุดก็จะชนะไป
ผมกับเพื่อนอีก 2 คนรวมเป็นทีมหนึ่ง ด้วยความที่ไม่รู้ว่าหุ้นมันเล่นกันยังไง ผมก็เลยใส่ไปเลยตามใจฉัน อันไหนตรงกับสถานการณ์เราก็ใส่เยอะหน่อยๆ อันไหนดูที่ท่าว่าจะแย่ก็ใส่น้อยหน่อย แต่ใส่ทุกช่อง ส่วนเพื่อนผมที่นั่งทางด้านซ้ายดูมันวางแผนกันอย่างรอบคอบ แววนักเศรษฐศาสตร์ในอนาคตออกกันเลยทีเดียว ส่วนอีกด้านหนึ่งซึ่งมาจากต่างรร.ก็มาร่วมเล่นด้วย รอบแรกผ่านไปด้วยดี ผมได้ผลตอบแทนกลับมาพอใช้ได้ เพื่อผมมันได้ผลตอบแทนเยอะพอดี ส่วนอีกทีมผมไม่รู้ รอบสองผมก็ลงมั่วอีกเช่นเคย จนสุดท้ายเจอวิกฤตการณ์หุ้นตก สรุปผล เพื่อนผมขาดทุกเกือบสองหมื่น ส่วนผมได้กำไรสองหมื่น ส่วนอีกทีมได้ยินแว่วๆว่าสองแสน ผมก็ตกใจ ได้กำไรสองแสนเลยหรอ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว พี่แกขาดทุนไปสองแสนบาท สรุปง่ายๆก็คือพวกผมชนะใสๆ ได้ของรางวัลเป็นสมุดโน้ตคนละเล่น (เนี่ยแหละที่เข้าบอกว่า นักเล่นหุ้นมือใหม่ อะไรๆมันก็เป็นไปได้เสมอ 555+)
พอออกจาคณะเศรษฐศาสตร์แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องไปคณะนิติศาสตร์เสียที ซึ่งก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคณะเศรษฐศาสตร์เท่าไหร่ แต่บริเวณที่ผมไปไม่ได้ได้มีแค่นิติศาสตร์คณะเดียว มีทั้งครุศาสตร์ บัญชี นิเทศ รวมอยู่ในที่เดียวกันเลย เพื่อไม่ให้เสียเวลา พวกเราก็เดินเข้าไปชมภายในกิจกรรมทันที
ณ นิทรรศการรวม
นิติศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี ครุศาสตร์ และนิเทศศาสตร์
เนื่องจากเป็นนิทรรศการรวม พวกเราก็เลยเดินกันได้สะดวกสุดๆ พอไปๆมาๆ เราก็เดินไปที่สถานีวิทยุของจุฬา 101.5 MHz ซึ่งที่นี่เราได้จัดรายการของตัวเองด้วย (ถ้าใครเดินไปแถวๆนั้นจะได้ยินเสียงแอ๊บแบ๊วมากแต่ไกล 555+) พอจัดรายการกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ได้ของรางวัลเป็นเสื้อคนละ 1 ตัว (มารู้ทีหลังอีกทีว่าเป็นเสื้อผู้หญิง เจ็บใจเว่อร์ - -) หลังจากนั้น พวกเราก็รวมกลุ่มกันอีกที ตัดสินใจจะไปจองตั๊ว ดูโปรแกรมหลักภายในวันนี้ก็คืออาจารย์ใหญ่ ที่คณะแพทยศาสตร์นั่นเอง
ณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
คณะแพทย์นั้นแยกตัวเป็นเอกเทศเลยจากคณะอื่นๆ การเดินทางไปเลยยากลำบากเล็กน้อย ที่สำคัญโปรแกรมหลักของผมในวันนี้นั้นคับคั่งไปด้วยผู้คนมากมายเหลือเกินต่อคิวกันยาวเหยียด ตอนแรกว่าจะไม่ได้ดูแล้ว สุดท้ายก็ได้ตั๊วเป็นคิวเกือบสุดท้ายพอดี (16.35 น.) หลังจากได้ตั๋วเสร็จแล้ว พวกเรา 5 คนก็ต้องแยกออกเป็น 2 กลุ่ม เนื่องจากเพื่อนผมจะไปที่จามจุรีสแควร์ ไปดูพวกคณะสายวิทย์สุขภาพต่างๆ (สัตวแพทย์ ทันตแพทย์ จิตวิทยา ฯลฯ) ส่วนผมกับเพื่อนอีกคนจะไปดูที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และที่ขาดไม่ได้เลย คณะอักษรศาสตร์ นั่นเอง
พอตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินทางไปที่คณะอักษรศาสตร์ทันทีเลย เนื่องจากช่ำชองเส้นทางมากๆ แปบเดียวก็ถึง (แต่เดินเหนื่อยใช่เล่น)
ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ
ในที่สุดก็มาถึงสักที อ๊ะ! แต่ทำไมมันเงียบจังเลยอ่ะ?
ผมก็พยายามเดินค้นหานิทรรศการทุกซอกทุกมุมแต่ก็หาพี่ๆในคณะไม่เจอสักที ก็เลยเลิกหา เดินทะลุออกอีกทาง ปรากฏว่านิทรรศการจัดอยู่บริเวณนี้นี่เอง ปล่อยให้หาตั้งนาน -*-
มาทันพี่ๆที่คณะเขากำลังร้องเพลงภาษาเกาหลีกันอยู่พอดีเลย (ประทับใจ ^^) ภายนอกก็มีนิทรรศการอาหารนานาชาติ ถึงจะเป็นซุ้มเล็กๆแต่ก็น่าดึงดูดใจมิใช่น้อย ของกินอร่อยๆเยอะแยะเลย ที่พูดก็คือ ไม่ได้ซื้อนะครับ แอบกินฟรี 555+
ก่อนอื่นๆ ก็แอบเมาท์คณะอักษรนิดหนึ่ง ที่เพื่อนๆคิดว่าผู้หญิงเยอะน่ะ ถูกต้องที่สุดแล้วครับ มีแต่รุ่นพี่ผู้หญิงเต็มไปหมดเลย พี่ชายส่วนใหญ่ก็เป็นพี่สาวกันทั้งนั้น เหอๆ แต่พี่ผู้ชาย(จริงๆ) ก็เยอะนะครับ แถมดูดีซะด้วย บางคนออกแนวลูกคุณหนูประมาณนั้น เนี่ยแหละ อักษรฯ ถึงผู้ชายจะน้อย ก็แต่ก็ได้คุณภาพ (เอิ้กๆ)
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับการชิมฟรีแล้ว พวกเราสองคนก็เข้าไปในบริเวณที่จัดงานกันทันทีเลย ซึ่งจริงๆแล้วตั้งใจว่าจะเดินให้ครบทุกภาควิชา แต่เอาเข้าจริงๆเดินได้แค่ 4 ภาควิชาเอง อนึ่งเพราะว่าเพื่อนมันเร่งอยากไปดูสถาปัตย์ แหม ขัดใจจริงๆเลย -*-
ภาควิชาแรกที่ผมเข้าไปเยี่ยมชมก็คือ ภาษาสเปน อีกภาษาที่ผมสนใจอยากจะเรียนเหมือนกัน พอเข้าไปในห้องก็ไม่ค่อยจะมีคนเท่าไหร่ มีพี่อยู่สองคนมาคอยเทคแคร์ พี่เขาก็พาเดินชมแล้วก็ได้คุยกันอยู่นานเลย (ชอบจัด) รู้สึกปลื้มมาตอนที่พี่เขาอ่านภาษาสเปนให้ฟัง ภาษาสเปนเป็นภาษาที่เพราะมากๆ อยากให้มาลองฟังกันดู อิอิ (สักวันจะได้เก่งแบบพี่เขาบ้างเนาะ ^^)
ต่อไปคือภาควิชาวรรณคดี ซึ่งตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม แต่พอมาฟังพี่เขาอธีบายแล้ว ภาควิชานี้ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย ความจริงแล้ว ยังไงเรียนอยู่อักษรก็หนีไม่พ้นวรรณคดีอยู่ดี เพราะต้องเรียนวรรณคดีเป็นภาษาตามภาควิชานั้นๆด้วย (ว้าวววว) ภาควิชานี้ก็จะเน้นไปที่การวิจารณ์วรรณคดี จบไปก็ไปสอนวรรณคดีให้เด็กๆต่อได้
ต่อมาใกล้ๆกัน เป็นภาควิชาที่ไม่ค่อยจะมีใครเข้าไปเลย นั่นก็คือภาควิชาภาษาศาสตร์ ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวกับภาษาโดยตรงหรอก ออกแล้วความเป็นมาของภาษาเสียมากกว่า แล้วก็มีการออกเสียง (Phonetic) อืมมม โดยรวมแล้ว ภาควิชานี้จะไปทำอะไรต่อดีล่ะเนี่ย -*-
จากนั้นก็เดินทางขึ้นไปชั้น 4 จะไปดูภาควิชาภาษาเยอรมันเป็นอันสุดท้าย ความจริงอยากจะเข้าไปดูภูมิศาสตร์กับภาษาอังกฤษมากๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไปดู เพื่อนมันเร่ง เหอๆ ก็เลยเข้าไปดูภาคภาษาเยอรมัน
ภาษาเยอรมันเป็นภาควิชาที่ผมอยากเรียนมากๆ เพราะแอบฝันไว้ว่าจะไปทำงานต่อที่สวิสฯ 55+ (ซึ่งความจริงแล้ว สวิสใช้ภาษาตั้ง 3 ภาษา ซึ่งก็มี เยอรมัน ฝรั่งเศส อีกภาษาผมจำไม่ได้ -*-) พอถึงภาควิชานี้ก็ได้คุยกับพี่ๆที่ดูแลอยู่ เขาบอกว่าเยอรมันเรียนยากมาก ถ้าจะเรียนต้องตั้งใจจริงๆ ยิ่งไม่มีพื้นด้วยยิ่งแย่ใหญ่ แต่พี่เขาแนะนำว่า ถ้าตั้งใจเรียนก็สามารถเรียนได้แหละ ฟังแล้วดูมีกำลังใจขึ้นเลย ^^
ก่อนหน้าที่จะมาดู ก็อยากเรียนนะ
แต่พอมาดูแล้ว ยิ่งอยากเรียนมากขึ้นไปอีก ว๊ากกกกก!!!!
จะต้องเข้าอักษรให้ได้!!!!!!!
เพื่อนมันเรียกร้องแล้ว ไปคณะสถาปัตย์กันดีกว่า
ณ หน้าลานบริเวณคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
ทางผ่านครับ หน้าคณะศิลปกรรมมีการแสดงนาฏศิลป์ด้วย ที่สำคัญของขายหน้างานเยอะมาก ที่การจำลองเป็นงานวัดเลยทีเดียว น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เข้าไปดู เหอๆ
ณ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
คณะนี้ตึกวิจิตรสวยงามมากๆ สมแล้วที่เป็นคณะสถาปัตย์ ภายในตกแต่งได้สวยงามมาก มีทั้งของไทยและเทศ ที่เพื่อนผมสะดุดตาเป็นพิเศษก็คงจะเป็นภาควิชาออกแบบผลิตภัณฑ์ กับตกแต่งภายในหล่ะมั้ง (พี่เป็นกันเองสุดชีวิต)
พอดูกันจนหนำใจแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อไปยังคณะที่สำคัญอีกคณะหนึ่ง นั่นก็คือคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับคณะอักษรศาสตร์นั่นเอง (เดินเหนื่อยมากๆ)
ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
คณะวิศวกรรมเรามาไม่ทันที่จัดแสดงภายใน ก็เลยต้องเดินรอบนอกแทน ซึ่งรอบนอกนั้นก็มีหลายสาขาวิชาเลย ที่เราสองคนไปสะดุดตาเข้าก็คือภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ฟังพี่เขาพูดอยู่ตั้งนานเลย....
ขอเมาท์คณะวิศวะสักนิด ตรงข้ามกับอักษรโดยสิ้นเชิง คือมีผู้ชายเรียนเยอะมากๆ ผู้หญิงไม่ค่อยมีเรียนเท่าไหร่ ที่สำคัญก็คือสองคณะนี้ตั้งอยู่ใกล้กันมากๆ เราทุกคนเลยได้ยินคำกล่าวบ่อยๆว่า “หนุ่มวิศวะ ต้องคู่กับ สาวอักษร” (แหม ซึ่งก็สมกันจริงๆ 555+)
พอจบจากไฟฟ้าแล้ว เราก็เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ไปเครื่องกลบ้าง ปิโตรบ้าง มีคนให้ความสนใจเยอะกับคณะนี้ เดินไปเดินมาเราก็หลงมาอยู่ที่หน้าศูนย์หนังสือจุฬาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอดูเวลาก็เกือบๆจะ 4 โมงแล้วหล่ะ คงได้เวลาที่เราจะต้องเดินทางไปดูอาจารย์ใหญ่เสียที เหอๆ
ณ โรงอาหารคณะแพทยศาสตร์ (อีกครั้งหนึ่ง)
นัดเจอเพื่อนๆที่โรงอาหาร ก่อนที่จะเข้าไปดูอาจารย์ใหญ่กัน เราทุกคนก็รับประทานอาหารกันเสียก่อน เติมพลังหลังจากที่ไปเดินกันซะตั้งนาน เพื่อนๆที่ไปคณะทันตะมาก็ได้แปลงสีฟันมาคนละอัน น่ารักเชียว มันยังบอกอีกว่าได้ไปรับเสด็จพระเทพฯอีกด้วย อิจฉาจังงงงงงง -*-
พออิ่มกันแล้ว พวกเราทุกคนก็บึ่งไปยังคณะแพทย์ที่อยู่ใกล้ๆ ขึ้นไปยังชั้น 5 กันทันที
ที่ชั้น 5 มีคนมายื่นออกกันเยอะมากๆ มีว่าที่หมอทั้งชายและหญิงเยอะแยะเต็มไปหมด (แต่ละคนหน้าใสๆ ใส่แว่นหนาๆกันทั้งนั้นเลย สุดยอด!) เสียดายที่นี่ไม่ให้ถ่ายรูป ไม่งั้นจะถ่ายมาฝากกัน ^^
เราก็มาต่อคิวรอเข้าชมการผ่าอาจารย์ใหญ่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนเข้าห้องผมก็รู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูก คือแบบใจเต้นแปลกๆที่เราจะได้เห็นอาจารย์ใหญ่จริงๆจังๆ ก่อนชมพี่เขาก็บอกถึงกฎระเบียบต่างๆในการชมการผ่าตัด โดยห้ามถ่ายรูป ต้องปิดมือถือ ที่สำคัญต้องทำความเคารพอาจารย์ใหญ่ทุกครั้งที่เข้าชม (บรืออออ)
ก่อนที่จะเข้าชม ผมก็ขอแอมโมเนีย (NH3) พี่เขามาสำรองไว้ก่อน เผื่อเป็นลม อะไรที่เป็นครั้งแรกคนเรามักจะกลัวอยู่เสมอเนาะ ^^
เอาหล่ะ ฐานแรกเป็นระบบทางเดินอาหาร ผมก็ทำความเคารพอาจารย์ใหญ่ย่างเคร่งครัดตามกฎ พี่เขาก็เอาอวัยวะที่เป็นทางเดินอาหารออกมาให้ดู (ขอย้ำว่า ควักออกมาสดๆ) แปลกที่ว่าอาจารย์ใหญ่เนื้อหนังข้างนอกดูแห้งหมดแล้ว แต่อวัยวะภายในยังสดอยู่เลย ผมก็ดูอย่างสนอกสนใจออกนอกหน้า แต่ไอ้เพื่อนผมที่มันบอกอยากเป็นหมอเนี่ยดิ มันทำหน้าเหมือนจะเป็นลม เหอๆ (แสดงว่าผมซาดิสม์ใช้ได้ -*-) ดีใจที่ว่า ความรู้ชีวะที่ได้เรียนๆมาของเรา มันใช้ได้ผมแหะ เหอๆ (ตอบได้หมดเลย ว่าอันไหนคืออะไร 55+)
จะบอกว่า แอมโมเนียที่ขอมา ไม่ได้เอามาดมแก้เป็นลมหรอก คือเอามาดมเพื่อกลบกลิ่นฟอร์มาลีนซึ่งเหม็นมากๆ ผมเนี่ยเวลาดูต้องปิดจมูกอยู่หลายครั้งเลย (กลิ่นยังติดจมูกอยู่ในเวลานี้ 55+)
ต่อจากระบบทางเดินอาหาร (ก่อนไปก็ไม่ลืมไหว้อาจารย์ใหญ่ก่อนไปฐานต่อไป) ก็คือระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งพี่เขาเอาหัวใจจริงๆมาให้ดู เราเรียนมาว่าหัวใจมีขนาดเท่ากำปั้นใช่รึเปล่าครับ ความจริงแล้วมันใหญ่กว่ากำปั้นของเราเสียอีก พี่เขาก็อธิบายว่ามีหลอดเลือดอะไรบ้าง ไหวเวียนเลือดยังไง แถมชี้ให้เห็นลิ้นที่กั้นหัวใจต่างๆ ดูแล้ก็เสียวๆไปตามกัน
ต่อจากระบบไหลเวียนเลือด น่าจะเป็นระบบประสาทนะ (ถ้าจำไม่ผิด อิอิ) พี่เขาก็ให้ดูหัวคนผ่าครึ่งซีกที่แช่ไว้ในน้ำดองในโหลแก้วรูปสี่เหลี่ยม แล้วก็มีสมองให้ดู (สมองของจริงเล็กมากๆ) นอกจากสมองแล้วก็มีกระดูกสันหลัง ซึ่งก็สั้นกว่าที่เราคิดอีก -*-
ต่อจากนั้นก็คือระบบการแลกเปลี่ยนก๊าซ ซึ่งพี่ก็ให้ดูปอด หัวคนผ่าซีกเหมือนเมื่อครู่ ให้ดูตั้งแต่คอหอย ฝาปิดกล่องเสียงสารพัดอย่าง แล้วก็พูดถึงการแลกเปลี่ยนก๊าซในร่างกายของคน
เอิ่ม รู้สึกจะลืมไปอีกระบบ (เริ่มเรียงมั่วแล้ว -*-) นั่นก็คือระบบกล้ามเนื้อ แล้วก็เส้นเลือด คราวนี้ใช้อาจารย์ใหญ่ที่ลอกเอาผิวหนังออกไปหมดแล้ว ให้เหลือแค่กล้ามเนื้ออย่างเดียว (แต่ทีมผมใจแข็งมากเลยนะ ไม่มีใครเป็นลมเลยสักคน) น่าสนใจสุดๆ ใครที่ได้ดูแล้วคงคิดคล้ายๆกัน
ระบบสุดท้ายเสียที นั่นก็คือระบบสืบพันธุ์ พี่เขาก็มีที่ผ่าครึ่งไว้แล้ว ของทั้งเพศชายและเพศหญิงในโหลดองรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกัน พี่ที่บรรยายก็บรรยายได้ตลกมากๆ (+เร็วด้วย เหอๆ) เข้าใจถ่องแท้ในเรื่องระบบสืบพันธุ์กันเลยทีเดียว -*-
หลังจากจบเมนหลักๆแล้ว แต่ไปก็จะเป็นการสาธิตการช่วยรักษาคนไข้ที่เกิดอุบัติเหตุ โดยก่อนที่จะเข้าชมนั้น ผมก็ได้คุยกับรุ่นพี่ว่าที่หมอที่อยู่ปี 5 ด้วย รู้สึกกระจ่างขึ้นเยอะเลยกับการเรียนแพทย์ พี่เขาบอกเหนื่อยมาก (ดูจากสายตาที่ส่งมาก็พอเดาได้ เหอๆ) อืมมมมมม........
เข้ามาฐานแรก พี่เขาก็สาธิตวิธีการนำสายยางใส่ลงไปในหลอดลม แล้วทำอย่างไรให้ผู้ป่วยรู้สึกตัว
ฐานที่ 2 เป็นการช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้ซึ่งพี่ที่เขามาอธิบายก็สาธิตการเจาะทะลวงเข้าไปในกระดูกซี่โครงได้อย่างแม่นยำมาก หืม การเรียนแพทย์นี่ นอกจากจะเก่งแล้ว ยังต้องแข็งแรกด้วยนะเนี่ย 555+ (สังเกตว่า แขนหมอแต่ละคนจะใหญ่มากๆ)
ฐานที่ 3 รู้สึกว่าจะเป็นการทำให้ระบบอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ ทำงานได้ดีขึ้น มีการสอดสายน้ำเกลืออะไรทำนองนั้น ที่สำคัญฐานนี้ผมก็ได้สัมผัสอาจารย์ใหญ่อย่างใกล้ชิดอีกด้วย (ทั้งแตะ จับ ลูบ คลำ เหอๆ)
ฐานที่ 4 เป็นเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง ไม่มีอะไรมากเลย นอกจากมาอธิบายว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ป่วยรู้สึกตัว แล้วจะรักษาอย่างไร ถ้ากระดูกบริเวณคอหัก วิธีที่แกทำให้ผู้ป่วยรู้สึกตัวนั้นน่ากลัวมากๆ คือทำโดยการเอานิ้วชี้แล้วนิ้วกลางแหย่เข้าไปในบริเวณทวารหนัก ถ้ามีการขมิบแสดงว่าผู้ป่วยยังมีการตอบสนองอยู่ เหอๆ (ทางที่ดี อย่าเกิดอุบัติเหตุเลยจะดีท่าสุด -*-)
ฐานที่ 5 สุดท้ายเป็นการเย็บแผลผ่าตัด ซึ่งพี่ๆเขาก็แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัดทุกชนิด รวมไปถึงสาธิตวิธีการเย็บแผลต่างๆด้วย เหอๆ อยากลองเย็บดูมั่งจัง
จบแล้วสำหรับขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน ต่อเป็นเป็นการสาธิตการผ่าตัดจริงๆเสียที
เป็นฐาน Surgery อะไรสักอย่างเนี่ยแหละ ผมเองก็จำไม่ค่อยจะได้ แต่อาจารย์ใหญ่ที่นำมาผ่าให้ดูนี่ยังสดๆอยู่เลย (คือ ดูเหมือนใหม่อยู่เลยอ่า) พี่หมอที่มาผ่าให้ดูก็มีท่าทีชำนาญสุดชีวิต อวัยวะภายในนี่ใหม่ๆ สดๆเลย ได้เห็นแล้ว ถุงน้ำดีในร่างกายเรานี่สีเขี๊ยว เขียว (นึกว่ามีแต่รูปในหนังสือเรียนเสียอีก เหอๆ) นึกถึงถั่วลันเราขึ้นมาได้ไงก็ไม่รู้
จากนั้นพวกเราก็เดินดูเครื่องมาผ่าตัดนิดๆหน่อยๆ จากนั้นก็ลงไปยังชั้นสองต่อ ซึ่งความจริงมันก็ไม่มีอะไรแล้วหล่ะ เพราะตอนนี้มัน 5 โมงเย็นแล้ว แต่ละคณะเขาเก็บของกันเรียบร้อยแล้ว เหอๆ ความหวังที่ว่าจะไปเดินดูต่อก็จบลงด้วยประการฉะนี้
หลังจากออกมาจากคณะแพทย์แล้ว ทำให้ความรู้สึกอย่าเป็นหมอนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง แต่ก็ต้องกลับมาคิดอีกว่า เราจะรับสภาวะกดดันอย่างนี้ได้รึเปล่านะ อืมมมมม เพื่อนๆต้องมาลองเห็นได้ตาตัวเอง อิอิ
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2551
วันนี้ผมกลับไปที่งานจุฬาวิชาการอีกรอบ เพื่อที่จะไปดูคณะอักษรศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ แน่นอน ผมไปคนเดียว 555+ แต่น่าเสียดายมากที่คณะอักษรศาสตร์เก็บของหมดแล้ว (อ๋า~ บ่ายสองกว่าๆเนี่ยนะ) ก็เลยต้องเดินกลับไปอย่างน่าเสียดาย
ระหว่างที่กำลังกลับ ผมก็ได้เห็นขบวนรับเสด็จของพระเทพฯด้วย เป็นบุญตาที่จริงๆที่ได้เห็นพระองค์ทอดพระเนตรในงานนี้ เหะๆ
ระหว่างที่กำลังเดินกลับ แต่ละคณะก็ซาๆลงแล้วหล่ะ คนก็มีน้อยลง เฮ้อออออ นึกว่าวันสุดท้ายจะคึกคักเสียอีก อิอิ
....สรุปแล้ว งานนี้คุ้มค่ารถสุดๆ ถึงแม้จะเดินไม่ครบก็เหอะ ช่างเถอะ เดี๋ยวอีก 3 ค่อยมาใหม่ก็ได้ ไม่แน่เราอาจจะได้มาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่เลยก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องพยายามให้มากๆด้วย เพื่อตัวเอง เพื่อความฝันของตัวเอง
อยากขอบคุณพี่ๆทุกคณะเลยที่ให้ความรู้น้องๆอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะคณะรัฐศาสตร์ อักษรศาสตร์ และแพทยศาสตร์ ปลื้ม 3 คณะนี้มากๆ ผมจะพยายามนะครับผม ^^....
ตอนนี้พร้อมแล้วหล่ะ ที่จะเดินทางไปสู่ความฝันของเราเอง!!!
Go Go!!
Fighto!!!!
ความคิดเห็น