ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Raid of Drachen

    ลำดับตอนที่ #15 : Ep.1 Chapter 14 - มาเอล มาทิโพเนี่ยน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 853
      85
      7 เม.ย. 63

    Chapter 14

    Mael Matiponion

    มาเอล มาทิโพเนี่ยน 


     

     

    เรื่องเล่าของมารามอสนั้นดูแปลกประหลาดกว่ามังกรตนอื่น

    มารามอส เกิดในช่วงกลางของยุคที่สองในฐานะบุตรีของราชันย์มังกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

    ในบรรดาบุตรหกตนที่กลายเป็นดราเชนของอิกนิสนั้น มารามอสถือเป็นมังกรที่มีชื่อเสียงน้อยที่สุดในนั้น ในระดับที่หากถามคนนักรบมังกรร้อยคนจะมีคนรู้จักอยู่ไม่ถึงสิบคนและถ้าเป็นคนที่รู้เรื่องประวัติของมันล่ะก็ยิ่งน้อยยิ่งกว่า

    การเคลื่อนไหวในประวัติศาสตร์ของมารามอสนั้นค่อนข้างประหลาดและคาดเดาสาเหตุไม่ได้ เธอกำเนิดขึ้นมาในช่วงที่เหล่ามนุษย์ถือกำเนิดมาได้แล้วซักพัก บางครั้งเธอก็ปรากฏตัวทำลายล้างหมู่บ้านของพวกมนุษย์ บางครั้งก็ช่วยปกปก้องพวกเขาจากมังกรตัวอื่น บางครั้งก็สะกดจิตแล้วควบคุมพวกเขาให้ทำอะไรต่างๆนาๆที่เธออยากทำ เช่น สร้างวิหารบูชาตัวเธอเอง สร้างเมืองเล็กๆ หรือกระทั่งให้ฆ่ากันเอง

    ราวกับว่าเธอกำลังเล่นสนุกกับมนุษย์อยู่

    ตำนานเล่าว่ามนุษย์จะไม่รู้ตัวใดๆตอนที่ถูกมารามอสสะกดจิตควบคุม มันเหมือนกับพวกเขากำลังอยู่ในความฝันตื่นหนึ่งและนั่นคือที่มาของฉายาของเธอ

    คุณสมบัติลาน่าพิเศษของมารามอสที่เหล่านักประวัติศาสตร์คาดเดาไว้นั้นมีอยู่สองอย่างด้วยกัน

    อย่างแรกคือการสร้างภาพมายา โดยภาพมายาที่มารามอสสร้างขึ้นนั้นจะให้ความรู้สึกสมจริงอย่างเหลือเชื่อจนราวกับว่ามันจะสัมผัสได้จริง

    อย่างที่สองคือการสะกดจิต ว่ากันว่ามารามอสได้สร้างฐานอำนาจจากมนุษย์กว่าพันคนด้วยพลังนี้ของเธอ

    ในช่วงเวลาหลายพันปีของยุคที่สองมารามอสนั้นก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างเงียบๆและแปลกประหลาดเหมือนเคยจนกระทั่งในช่วงปลายของยุคที่สองเหล่ามังกรทั้งหลายก็ได้ข่าวการสิ้นชีพของเธอแบบไร้สาเหตุ เนื่องจากการที่เธอเป็นมังกรที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมายอยู่แล้วทำให้ชื่อของเธอค่อยๆจางลงจากหน้าประวัติศาสตร์

    “ข้อมูลมีน้อยจริงๆด้วยสินะ” เลสเตอร์ปิดหนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งที่เขาหยิบมาลงอย่างเหนื่อยใจ ในตอนนี้เขากำลังนอนกลิ้งอยู่บนเตียงในห้องนอน

    “ผมถึงได้เตือนไง” นีลที่นอนอยู่ชั้นบนของเตียงสองชั้นยื่นหัวลงมา

    “เอาแต่ว่าคนอื่นเขา นายล่ะหาข้อมูลไปได้สวยรึเปล่า”

    “ไม่ต้องห่วง ของผมหาง่ายกว่านายเยอะ” นีลพูดยิ้มๆจนเลสเตอร์ต้องเบ้ปาก

    “ฟังดูน่าหมันไส้จริงๆนะเนี่ย”

    นี่เป็นเวลาราวห้าโมงเย็นหรือประมาณเกือบสี่ชั่วโมงหลังจากที่พวกเขาไปห้องสมุดกัน หลังจากพวกเขานั่งที่นั่นไปได้ซักสองชั่วโมงพวกเขาก็ตัดสินใจยืมหนังสือแล้วมาอ่านที่ห้องแทน

    “เอลเลียต นายมีปัญหากับการหาข้อมูลมั่งมั้ย” เลสเตอร์เหมือนพยายามจะหาพวก เด็กหนุ่มผมสีช็อกโกแลตที่นอนไกว้ห้างอยู่ที่เตียงอีกเตียงหนึ่งยักไหล่ก่อนจะตอบเบาๆว่า...

    “ไม่”

    “เยี่ยมเลย” เขาผิดเองที่คิดจะหาพวกกับหมอนี่

    นักเรียนทุกคนขอที่โรงตีเหล็กที่ชั้นห้า คาบเรียนของอาจารย์อังเดรจะเริ่มในอีกยี่สิบนาที...

    ก่อนที่จะได้พูดอะไรเสียงประกาศก็ดังขึ้นจนพวกเขาเบิกตากว้าง

    “ตอนห้าโมงจะหกโมงเนี่ยนะ จะให้ลุกขึ้นไปเรียนตอนนี้เหรอเนี่ย” เลสเตอร์โวยวายใหญ่

    “ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็เขาบอกเองว่าเรียกตัวได้จนถึงสองทุ่ม” เอลเลียตเองก็ยอมรับว่าตัวเองรู้สึกตกใจเหมือนกันเพราะเขาเองก็นึกว่าวันนี้จะไม่มีการเรียนการสอนใดๆแล้ว

    “ขี้เกียจอะ” เลสเตอร์กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์

    “บ่นไปก็เท่านั้นแหละ ว่าแต่นีล อาจารย์อังเดรที่ว่านี่สอนวิชาอะไรเหรอ” เอลเลียตเลิกสนใจเลสเตอร์แล้วหันไปถามเพื่อนร่วมห้องอีกคน

    “แปบนะ...เอ่อ ดูเหมือนจะเป็นวิชาดูแลและซ่อมแซมอาวุธน่ะ” นีลหยิบสมุดโน้ตของเขาขึ้นมาดู

    “วิชาดูแลและซ่อมแซมอาวุธเหรอ...โอกาสดีเลย ฉันเองก็ยังไม่มีความรู้ตรงจุดนี้ซักเท่าไหร่ด้วยสิ”

    “ผมเองก็เหมือนกัน”

    “งั้นนี่ก็เป็นคาบแรกที่เราเรียนจากศูนย์เหมือนกันสินะ ชักน่าเรียนขึ้นมาแล้วนะเนี่ย” เลสเตอร์ยิ้มแฉ่งออกมาเพราะสองคาบที่ผ่านมาเขานั่งนิ่งเหมือนเป็นคนโง่มาตลอด ในที่สุดก็มีคาบที่สองคนนี้ไม่รู้เรื่องด้วยซักที

    “ชั้นสามที่โรงตีเหล็กสินะ...งั้นก็ไปกันเถอะ”

                   

     

     

     

    ชั้นสามของเวสปาร์ทาวเวอร์นั้นดูเป็นชั้นที่มืดมิดและให้ความรู้สึกร้อนจนเหงื่อแทบออก

    สาเหตุง่ายๆเพราะชั้นทั้งชั้นนี้โรงตีเหล็กขนาดใหญ่

    ตรงเตาหลอมขนาดใหญ่มีชายชราหนวดเฟิ้มร่างใหญ่ยักษ์คนหนึ่งยืนเท้าเอวด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง มวลอากาศที่อยู่ตรงนั้นบิดเบี้ยวไปมาเพราะความร้อนจากเตาหลอม

    “พวกเจ้ามากันแล้วสินะ เจ้าพวกเด็กน้อยทั้งหลาย” อาจารย์อันเอรพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเหมือนเขากำลังหายใจติดขัดจนเด็กๆหลายคนสงสัยว่าทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วย

    พวกเขาสามคนยืนอยู่แถวหน้าสุดของเด็กๆทั้งหลายที่ยืนรายล้อมรอบตัวของอันเดรเนื่องจากเพราะพวกเขาดันมาถึงเป็นกลุ่มแรกๆ

    “พวกเจ้าคงรู้จักข้าดีอยู่แล้ว ข้าชื่ออันเดร เป็นผู้ช่างตีเหล็กมือหนึ่งผู้สร้างอาวุธชั้นยอดให้เหล่านักรบมังกรทั้งหลาย...ขอย้ำ ข้าคือมือหนึ่ง” อันเดรแนะนำตัวโดยผสมความขี้โม้ลงไปด้วย “วิชานี้ชื่อว่าวิชาการดูแลและซ่อมแซมอาวุธ แน่นอนว่าวิชานี้จะเป็นประโยชน์มากสำหรับนักรบมังกรหรือผู้ต้องการเป็นช่างตีเหล็กในอนาคตแต่พวกคนอื่นๆที่ไม่ได้อยากเป็นก็อย่าคิดว่ามันไม่สำคัญเชียวล่ะ”

    อันเดรชี้นิ้วไปที่สุดมุมห้อง เด็กทุกคนก็หันสายตาไปตามก็พบกับขวานขนาดสองเมตรเล่มหนึ่งตั้งอยู่

    “ก่อนอื่นพวกเจ้าตอบได้รึเปล่าว่าทำไมเราถึงต้องสร้างอาวุธสำหรับใช้ล่ามังกรโดยเฉพาะกัน ทำไมอาวุธพวกนั้นถึงต้องเป็นอาวุธโจมตีระยะใกล้อย่างดาบและขวาน” อันเดรถามคำถามออกมาซึ่งปกติแล้วมันจะต้องตามมาด้วยความเงียบแต่ดูเหมือนครั้งนี้จะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ

    “ผมขอตอบคำถามครับ!

    “หา?” ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันเมื่อได้ยินเสียงนั้นแล้วรีบหันไปหาต้นเสียงทันที เด็กชายผมสีทองคนหนึ่งยกมือขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มแฉ่งที่แสดงถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม

    “โอ้ เยี่ยมเลย! ข้าชอบคนที่มีกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมในคาบเรียน ตอบมาเลย!” อันเดรยิ้มกว้างพอๆกันแล้วตบมืออย่างชอบใจ

    “เพราะว่าร่างกายของมังกรมีพลาน่าห้อมล้อมเสมือนเป็นเกราะป้องกันอยู่ครับ! การโจมตีตามปกติจึงสร้างผลลัพธ์ได้น้อยมาก”

    “มาถูกทางแล้ว” อันเดรพยักหน้าอย่างพอใจ

    “เพราะแบบนั้นการโจมตีที่ดีที่สุดการโจมตีที่แฝงพลาน่าเข้าไปด้วยซึ่งการจะส่งถ่ายพลาน่าเข้าไปในอาวุธนั้นทำได้ผ่านการสัมผัสเท่านั้นครับดังนั้นเหล่านักรบมังกรจึงต้องใช้อาวุธที่สัมผัสกับร่างกายตลอดเวลานั่นคืออาวุธโจมตีระยะไกลันั่นเอง!” เด็กคนนั้นยังคงตอบอย่างกระฉับกระเฉง

    “เยี่ยม! ทุกคนได้ยินแล้วใช่มั้ย นั่นแหละคือเหตุผลล่ะ” อันเดรยิ้มอย่างชอบใจเช่นเดิม “ตอบได้เยี่ยมมาก เจ้าน่ะชื่ออะไรนะ”

    “มาเอล เบรตัน ครับผม!

    “มาเอลงั้นรึ ข้าจะจำไว้” ชายแก่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเช่นเคย

    “หามิได้ครับ!” ในขณะเดียวกันมาเอลที่พึ่งได้รับคำชมไปก็เชิดหน้าขึ้นอย่างพอใจ

    “ไอ้หมอนั่น มันเป็นใครกัน” เลสเตอร์มองหน้ามาเอลแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่ใช่เพราะว่าการกระตือรือร้นตอบคำถามแต่อย่างใดแต่เพราะท่าทีเชิดๆหยิ่งๆนั่นต่างหาก

    “อย่าตัดสินคนจากการมองสิ” เอลเลียตเตือนถึงแม้ในใจของเขาจะแอบหงุดหงิดเล็กๆไปด้วยก็ตามเพราะแบบนั้นเขาถึงได้รู้ไงว่าเลสเตอร์คิดอะไรอยู่

    ในตอนนั้นอันเดรก็เดินไปที่มุมห้องแล้วหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้วนำมาวางไว้ตรงหน้าเตาหลอมที่เขายืนอยู่เมื่อครู่

    “ชุดเกราะ? เท่ชะมัดเลย” เลสเตอร์มองสิ่งที่อันเดรหยิบมาวางอย่างตื่นเต้น มันคือชุดเกราะเหล็กขนาดใหญ่ที่มีลวดลายสลักไว้อย่างสวยงาม

    “ในทางกลับกัน หากมังกรสร้างเกราะป้องกันด้วยพลาน่าของมันได้ เหล่านักรบมังกรเองก็สามารถทำได้เช่นกันแต่เนื่องจากร่างกายของมนุษย์นั้นเปราะบางมากต่างจากมังกรที่มีเกล็ดอันแข็งแกร่งปกป้อง ถึงแม้จะสร้างเกราะป้องกันจากพลาน่าได้แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับการป้องกันการโจมตีอันรุนแรงของมังกรได้อยู่ดีเพราะฉะนั้นเหล่านักรบมังกรจึงสวมใส่ชุดเกราะเพื่อเป็นเกราะป้องกันชั้นที่สองให้กับตัวเอง”

    “มีป้องกันไว้สองชั้นก็ดีกว่าสินะ” เลสเตอร์พึมพำ

    “เรื่องวิธีการส่งถ่ายพลาน่าไปยังอาวุธนั้นเจ้าพวกนักรบมังกรจะได้รับการสอนทฤษฎีพื้นฐานในวิชาการควบคุมพลาน่าเพราะงั้นไม่ต้องมาถามข้าว่าทำยังไง ข้าไม่เคยเป็นนักรบมังกรด้วยซ้ำแต่สิ่งที่ข้าสอนให้พวกเจ้าได้คืออาวุธแบบไหนที่จะทำแบบนั้นได้ต่างหาก” ชายชราชี้นิ้วไปที่อาวุธมากมายที่วางเรียงอยู่ริมห้อง “อาวุธธรรมดาๆนั้นไม่ได้มีคุณสมบัติในการรองรับพลาน่ายกตัวอย่างเช่นเจ้าไม่สามารถส่งถ่ายพลาน่าของตัวเองลงไปในแท่งเหล็กธรรมดาได้ อาวุธที่จะรองรับพลาน่าของนักรบได้นั้นจะต้องเป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีพิเศษเท่านั้น”

    เลสเตอร์คิดถึงดาบใหญ่ที่ชายที่ชื่อดอรันถือเมื่อตอนนั้น ดาบเล่มนั้นให้ความรู้สึกพิเศษกับเขามากๆโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ใช่เพราะมันมีขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียวแต่เพราะมันมีอะไรที่น่าดึงดูดแปลกๆซึ่งเขารู้สึกแบบนั้นได้กับอาวุธที่เรียงรายอยู่ในห้องนี้

    “ความจริงเนื้อหาของวิชานี้นั้นก็มีเพียงแค่การดูแลและซ่อมแซมอาวุธแต่ถ้าข้าไม่อธิบายที่มาของอาวุธพวกนี้ให้พวกเจ้าก็จะเป็นแค่เด็กที่มีความรู้ครึ่งๆกลางๆข้าไม่ต้องการที่จะเพิ่มประชากรไร้คุณภาพในสังคมนักรบมังกรหรอกนะ” พูดจบอันเดรก็ล้วงมือลงไปในกระป๋องเหล็กอันใหญ่ที่วางอยู่ข้างๆเท้าของเขาแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมาแล้วชูมันขึ้นฟ้า “นี่คืออะไร ใครตอบได้บ้าง!

    “ขอตอบคำถามครับ!” มาเอลยกมือตอบขึ้นอีกครั้งจนเด็กทั้งห้องหันไปมองด้วยสีหน้าทึ่งๆโดยเฉพาะเลสเตอร์ที่ถึงกับเบ้ปากออกมา

    “มาเอลคนเดิมงั้นรึ กระตือรือร้นดีจริงๆนะ งั้นตอบมาเลย”

    “นั่นคือเกล็ดมังกรครับ!” มาเอลตอบเสียงดังซึ่งอันนี้แม้แต่เลสเตอร์เองก็รู้เพราะเขาเคยใช้มันในการส่งถ่ายพลาน่าของเบลสตีน

    “ถูกต้อง นี่คือเกล็ดมังกรซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบดีเยี่ยมที่เรานำมาสร้างเป็นอาวุธเนื่องจากมันมีคุณสมบัติในการส่งถ่ายพลาน่าที่ดี พวกนักรบมังกรในห้องนี้ก็น่าจะมีประสบการณ์กันแล้วใช่มั้ยล่ะ” อันเดรถามเด็กๆในห้อง “แน่นอนว่าวัตถุดิบที่เราใช้ไม่ได้มีแต่เกล็ดมังกรเท่านั้น...เขี้ยวมังกร กระดูกมังกร กรงเล็บมังกร...ทั้งหมดนี่เป็นวัตถุดิบที่สามารถนำมาทำอาวุธได้ทั้งนั้นแต่แน่นอนว่าพวกเจ้ายังไม่ต้องรู้ถึงวิธีการทำมันในตอนนี้หรอก เอาล่ะ ขอบใจคำตอบของเจ้ามากมาเอล”

    “โฮะๆๆ ไม่ได้มากมายอะไรนักหรอกครับ! แค่ความรู้พื้นๆเอง น่าเสียดายที่เพื่อนๆคนอื่นไม่รู้กัน” มาเอลหัวเราะเสียงหลง

    “ฉันสารภาพตามตรงเลยนะ ว่าฉันเหม็นขี้หน้าไอ้หมอนี่เข้าแล้วล่ะ” เลสเตอร์หันไปกระซิบกับเพื่อนทั้งสองคนข้างๆซึ่งคราวนี้เอลเลียตเองก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไรเพราะเขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

    “กะอีแค่เรื่องการถ่ายพลาน่าลงอาวุธแล้วก็เกล็ดมังกร คนหลายๆคนเขาก็รู้กันทั้งนั้นจะพูดมากอะไรกันนักกันหนา” นี่น่าจะเป็นไม่กี่ครั้งที่เอลเลียตพูดเป็นเสียงเดียวกับเลสเตอร์

    “น่าๆ คนแบบนี้มันก็ต้องมีบ้างนั่นแหละ” นีลพยายามพูดให้ทั้งสองคนใจเย็นลงแม้ความจริงเขาจะไม่ค่อยพอใจกับการดูถูกนั่นหน่อยๆก็ตาม

    ไม่ใช่แค่ทั้งสามคนแต่คนอื่นๆหลายๆคนก็เริ่มหันมามองมาเอลด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจซึ่งเจ้าตัวเองก็รู้ดีแต่เขาไม่ได้สนใจอะไรเพียงแต่เชิดหน้าอย่างมั่นใจเช่นเดิม

    “ไอ้คุณหนูจากครอบครัวเศรษฐีนั่น...” เด็กชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆเลสเตอร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจจนเลสเตอร์ขมวดคิ้ว

    “นี่ๆ นายรู้จักเจ้าหมอนั่นด้วยเหรอ” เลสเตอร์ถามคำถามกับเด็กคนนั้นไป

    “รู้จักสิ เจ้านี่น่ะเป็นลูกชายของเศรษฐีคนดังในดราโกเนีย เจ้านี่น่ะถึงจะมีฝีมือดีแต่ชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เมื่อวานมันป่วยก็เลยไม่ได้โผล่หัวมาเข้าคาบของอาจารย์เอลวินพอวันนี้หายปุ้บถึงก็สำแดงเดชเลย น่ารำคาญเป็นบ้า” เด็กชายคนนั้นพูดด้วยความหงุดหงิดใจ

    “ดราโกเนีย..นี่คือ?” เลสเตอร์หันไปกระซิบถามนีล

    “เมืองหลวงของแอนทีคน่ะ” นีลตอบสั้นๆได้ใจความ

    อย่างไรก็ตามตอนนี้เลสเตอร์ก็จำชื่อคนน่ารำคาญเพิ่มขึ้นได้อีกคนแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าเขาจะหลีกเลี่ยงการพูดคุยและพบเจอกับเจ้านี่ทุกรูปแบบกับเจ้านี่ทุกรูปแบบ

    เขาคิดแบบนั้นจริงๆนะ

    ต่อมาอันเดรก็เริ่มสอนถึงเนื้อหาสำคัญตามชื่อวิชา นั่นคือการดูแลและซ่อมแซมอาวุธต่างๆ โดยเขามักจะย้ำเสมอว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากโดยเฉพาะสำหรับนักรบมังกรเพราะอาวุธของนักรบมังกรชิ้นหนึ่งนั้นถือเป็นของมีค่าและสร้างได้ยากลำบากมากๆดังนั้นการดูแลรักษาอาวุธพวกนี้แม้จะเป็นเรื่องที่ผู้สนับสนุนทำกันแต่เหล่านักรบก็ควรมีความรู้ติดตัวไว้ใช้ในยามคับขันด้วย

    เพราะไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่อาวุธพังนักรบมังกรจะสามารถบินกลับมาปราสาทเพื่อขอการซ่อมแซมได้ บางครั้งพวกเขาก็จำเป็นต้องซ่อมแซมแบบเฉพาะกิจด้วยตัวเอง

    และแน่นอนว่าในระหว่างนั้น มาเอลก็ยกมือตอบคำถามรัวๆเช่นเดิมพร้อมทั้งยังพูดจาโอ้อวดสรรพคุณตัวเองไปด้วยจนเลสเตอร์กับเอลเลียตต้องมองอย่างเอือมระอาและที่แย่ไปกว่านั้นคืออันเดรเองก็เหมือนจะชอบใจการมีส่วนร่วมของมาเอลพอสมควรจึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรกับความน่ารำคาญครั้งนี้

    อันเดรใช้เวลาสอนเรื่องยิบย่อยพวกนี้ราวหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เขาก็ให้เด็กๆทุกคนไปลองหยิบอาวุธพังๆที่เตรียมไว้ในการสาธิตมาลอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลับคมมีด เรื่องการลงน้ำมันป้องกันการเสื่อมสลายซึ่งใช้เวลาไปเกือบสามชั่วโมง เวลาในตอนนี้นั้นอยู่ที่ราวๆสามทุ่มครึ่ง

    “เอาล่ะ ที่เราเรียนวันนี้ก็มากพอสมควรแล้ว เราจะมาต่อกันครั้งหน้าแล้วกัน” อันเดรพูดปิดคาบเรียน

    เด็กๆทุกคนเหนื่อยล้าจากการง่วนอยู่กับอาวุธในห้องอับๆร้อนๆ นี่แค่เรียนตอนห้าโมงเท่านั้น หากนับเวลาสี่ชั่วโมงให้เท่ากันแล้วพวกเขาเริ่มเรียนตอนสองทุ่มล่ะก็คงได้เลือกเที่ยงคืนแน่ๆและถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาก็มีแต่ตายกับตาย

    “ห้องบ้านี่ร้อนบัดซบเลยวุ้ย” เลสเตอร์ที่เพิ่งเดินไปเช็คชื่อเสร็จเดินกลับมาหาเพื่อนร่วมห้องทั้งสองพร้อมกับบ่นอุบอิบ แม้เสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่นั้นจะบางสบายแต่การทำงานในห้องแบบนี้นานๆมันทำให้เหงื่อพากันไหลออกมาเหมือนน้ำตก

    “ผมเห็นด้วย รีบกลับไปอาบน้ำกันเถอะ” นีลปาดเหงื่อบนใบหน้าด้วยหลังมือเนื่องจากมือด้านหน้าของเขายังเปื้อนน้ำมันอยู่

    ดูเหมือนทั้งสามคนจะเห็นไม่ต่างกัน พวกเขาเลยเตรียมเดินหน้ากลับห้องแต่ในช่วงเวลาเดียวกันดันมีเสียงอะไรบางอย่างหยุดเขาไว้ก่อน

    “นี่! คุณหนูสแตนฟอร์ดตรงนั้นน่ะ”

    เสียงเชิดๆหยิ่งๆนั้นทำให้พวกเขาถึงกับสะอึกไปโดยเฉพาะคนที่ถูกเรียกอย่างเอลเลียต เด็กหนุ่มทั้งสามค่อยๆหันหน้าไปตามเสียงเรียกพลางภาวนาให้คนที่เรียกนั้นไม่ใช่คนเดียวกับที่ตัวเองคิด

    “ตะกี้...นายเรียกฉันรึเปล่า?” เอลเลียตถามย้ำอีกที ด้านหน้าของเขาในตอนนี้คือเด็กหนุ่มผมสีทองที่มีรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจประดับประดาอยู่บนใบหน้าไม่เคยเปลี่ยน ด้านข้างของเขาคือเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งมีรอยยิ้มเชิดๆคล้ายๆกัน

    “คนจากสแตนฟอร์ดที่นี่จะมีใครอีกล่ะ” มาเอลแสยะยิ้มกว้างออกมา

    “อา...งั้นนายมีธุระอะไรเหรอ”

    “ฉันชื่อ มาเอล มาทีโพเนี่ยน เป็นเกียรติจริงๆที่ได้พบทายาทของตระกูลยิ่งใหญ่ที่คอยผลิตนักรบมังกรชื่อดังออกมามากมาย” มาเอลยื่นมือกระชับมิตรมาทางเอลเลียต

    “เอลเลียต สแตนฟอร์ด ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” เอลเลียตละอคติแล้วยื่นมือไปจับด้วยถึงเขาจะไม่รู้ก็เถอะว่าอีกฝ่ายมีเป้าหมายอะไรถึงได้ทำแบบนี้

    “นามสกุลอะไรฟะ” เลสเตอร์หันไปกระซิบกับนีลซึ่งคนฟังก็หัวเราะแห้งๆออกมา

    “ผมเป็นข้ารับใช้ของท่านมาเอลชื่อ ดาร์ฟ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” เด็กชายอีกคนนึงที่ยืนอยู่ข้างๆมาเอลยื่นมือมาจับต่อทันที

    “อืม ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เอลเลียตยิ้มตอบอย่างสุภาพมากที่สุด “ว่าแต่สรุปแล้วนายมีธุระอะไรเหรอ”

    “ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก ก็แค่อยากจะแนะนำตัวนะเพราะเห็นว่าพวกเราน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้” มาเอลเชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง

    “หมายความว่ายังไง?” เอลเลียตเลิกคิ้วขึ้น

    “อ๋อ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายหรอก แค่พวกเราน่ะเหมาะสมที่จะเป็นเพื่อนต่อกัน...อ้อ พวกนายก็ด้วยนะ” มาเอลส่งสายตามาทางเลสเตอร์กับนีลชั่ววูบก่อนจะหันไปคุยกับเอลเลียตต่อ “ไม่คิดเหมือนกันเหรอ ฉันน่ะถึงไม่ได้เกิดจากตระกูลนักรบมังกรแต่ก็เป็นบุตรของมหาเศรษฐีแห่งดราโกเนียถือว่าต่างชั้นกับพวกสามัญชนคนธรรมดาที่ยืนอยู่ที่นี่เยอะ!

    มาเอลไม่ได้คิดจะเก็บเสียงของตัวเองเลยแม้แต่น้อยจนเด็กๆคนที่อื่นที่ดันบังเอิญมาอยู่ข้างๆเหตุการณ์นี้ตีสีหน้าไม่พอใจ เอลเลียตหรี่ตาลงกับคำพูดนั้น

    “สามัญชน?” เอลเลียตทวนคำ

    “แน่นอน! ไม่เห็นด้วยเหรอไงว่าคนพวกนี้กับพวกเราน่ะมันต่างกันตั้งแต่เกิดแล้ว ทั้งฐานะและพรสวรรค์”

    “ขอโทษทีนะ ฉันไม่คิดว่าสิ่งที่นายพูดอยู่เป็นคำพูดที่ดีหรอกนะ” เอลเลียตพูดเบาๆด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “การเกิดมาในตระกูลที่ดีนับเป็นตัวช่วยก็จริงแต่นั้นไม่ใช่ทั้งหมดหรอก คุณค่าของคนน่ะการกระทำต่างหากที่จะเป็นคนกำหนด ไม่ว่านายหรือฉันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนพวกนี้หรอก”

    มาเอลสะอึกไปชั่ววินาทีที่เอลเลียตพูดแบบนั้นสวนกลับมา เลสเตอร์กับนีลที่อยู่ข้างหลังถึงกับยิ้มอย่างสะใจและที่สำคัญคือคนอื่นรอบๆที่ดูเหมือนจะพอใจกับคำพูดของเอลเลียตพอสมควร

    “เอลเลียต นี่พูดจาเป็นผู้ใหญ่เชียว” นีลหันไปกระซิบกับเลสเตอร์

    “แต่ก็พูดได้สะใจเป็นบ้าเลยมั้ยล่ะ” เลสเตอร์ยิ้มกว้างอย่างไม่คิดจะปิดบัง

    มาเอลที่รู้สึกเหมือนตัวเองโดนทำให้เสียหน้าก็ดีดลิ้นขัดใจเสียงดังแล้วปราดสายตาไปมองรอบๆด้วยอย่างไม่พอใจแต่สุดท้ายเขาก็ข่มอารมณ์ของตัวเองได้

    “เอาเถอะ! อีกไม่นานนายก็จะเข้าใจเองว่าอัจฉริยะอย่างฉันกับสามัญชนพวกนี้มันต่างกัน แล้วถึงตอนนั้นนายก็จะเสียใจเองที่พูดอะไรไร้มารยาทแบบนี้ ดาร์ฟ! กลับกันได้แล้ว” มาเอลสะบัดหน้าพร้อมกับถลึงตาใส่ข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ

    “ค...ครับ! ท่านมาเอล” ดาร์ฟรีบเดินตามเจ้านายของตัวเองที่กำลังหัวเสียออกไป

    “ให้ตายเถอะ คนแบบนี้ไม่ว่าที่ไหนก็มีแฮะ” เลสเตอร์นึกถึงเด็กนิสัยเสียคนหนึ่งในโรงเรียนที่เวย์แลนด์ของเขา ว่าแล้วเขาก็เดินไปตบไหล่เอลเลียตเบาๆ “ว่าแต่นายน่ะ ตะกี้พูดได้เฉียบขาดไปเลยนะ เล่นซะหมอนั่นหน้าแหกไม่มีชิ้นดีเลย”

    “นั่นสิ เล่นสวนกลับซะอยู่หมัดเลย” นีลเองก็เหมือนจะชอบอกชอบใจพอสมควร

    “ฉันไม่ได้กะจะทำให้เขาเสียหน้าอะไรหรอกนะ ก็แค่พูดความจริงเท่านั้น”

    “ยังไงก็เถอะ ดูเหมือนที่หอคอยแห่งนี้จะมีคนน่ารำคาญเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วนะ” เลสเตอร์ยืดมือบิดชี้เกียจ “ถ้าเป็นไปได้ก็ขออย่าได้ไปยุ่งกับหมอนั่นอีกเลย”

    เลสเตอร์ได้แต่หวังไว้แบบนั้นแม้ปกติเวลาที่เขาหวังอะไรแบบนี้มันมักจะจบด้วยความผิดหวังก็ตาม

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×