ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Raid of Drachen

    ลำดับตอนที่ #27 : Ep.1 Chapter 26 - ความรู้สึก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 638
      59
      2 พ.ค. 62

    Chapter 26

    Sensation

    ความรู้สึก

     

     

     

    เลสเตอร์มาถึงปราสาทสแตนฟอร์ดแล้ว

    พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเดินทางจากหอคอยซึ่งเป็นสถานที่ศึกษาของพวกเขามายังปราสาทแห่งนี้โดยในระหว่างมามันก็จะอึดอัดหน่อยเนื่องจากการนั่งเบียดกันสี่คนบนหลังมังกรแต่ถึงอย่างงั้นการนั่งคุยกับน้องสาวที่ไม่ได้เจอมานานก็ทำให้หายเบื่อได้พอควร

    มังกรที่พวกเขานั่งมานั้นเป็นมังกรตัวใหญ่อีกตัวหนึ่งของตระกูลนี้ชื่อว่า “แลนเซีย” ซึ่งถึงแม้จะตัวไม่ใหญ่เท่าเจ้าสเปียร์แต่ก็เพียงพอต่อการโดยสารคนสี่คน

    “พี่เนลลี่ ก็เคยเรียนที่เวสปาร์ทาวเวอร์สินะ” เลสเตอร์ถามขณะค่อยๆหย่อนตัวลงจากหลังของมังกรซึ่งพอลงมาแล้วเขาก็จัดการรับตัวของน้องสาวที่กระโดดลงมาอย่างเบามือ

    “อืม แต่ก็หลายปีแล้วล่ะนะ” เนลลี่เองเมื่อเห็นเอลเลียตลงจากหลังของแลนเซียแล้วเธอก็ลงมาตาม ก่อนที่จะโบกมือให้สัญญาณเจ้ามังกรกลับไปบินเล่นอย่างอิสระของมันต่อ

    “ที่ขี่มังกรได้ก็เพราะเรียนมาจากที่นั่นเหรอ”

    “อ๋อ เปล่าหรอก” เนลลี่ส่ายหน้า “จริงอยู่ที่เมื่อตอนนั้นฉันเองก็ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในคนที่ได้เรียนขี่มังกรแต่ว่าการเรียนแค่เทอมเดียวน่ะได้แต่พื้นฐานเท่านั้นแหละ การจะขี่มังกรให้เชี่ยวชาญจริงๆมันต้องใช้เวลามากกว่านั้นเยอะ”

    “แต่ที่ผมเห็นมาตลอด ผมว่าพี่ก็เก่งมากแล้วนะ สรุปไปเรียนมาจากใครกันล่ะ” เลสเตอร์ถามอย่างสงสัยเพราะทุกครั้งที่เขาเห็นเนลลี่ควบคุมเจ้าแลนเซียก็รู้สึกได้ว่าเธอมีฝีมือจริงๆ

    “ท่านฮะการ์น่ะ” เนลลี่ยิ้มตอบ

    “ปู่ขี่มังกรเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ” เลสเตอร์ถามเพราะเท่าที่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตอนนั่งอยู่บนหลังเจ้าสเปียร์กับฮะการ์จะแตกต่างอะไรเท่าไหร่กับตอนนั่งอยู่บนหลังแลนเซียกับเนลลี่

     “นั่นเพราะนายยังไม่เคยเห็นการขี่มังกรจริงๆน่ะสิ” เอลเลียตที่เงียบอยู่นานพูดขึ้นมาจนเลสเตอร์เลิกคิ้ว

    “การขี่มังกรจริงๆ?” เลสเตอร์ทวนคำ

    “ตามที่ท่านเอลเลียตว่านั่นแหละ ท่านฮะการ์น่ะตอนยังเป็นนักรบอยู่น่ะถือเป็นผู้เชี่ยวชาญการขี่มังกรคนนึงเลยนะ ถ้าอยากเรียนจริงๆล่ะก็ไปขอคำแนะนำจากท่านเอาก็ได้”

    “แบบนั้นยิ่งดีใหญ่เลย” เลสเตอร์ยิ้มแฉ่ง

    “ว่าแต่ว่านะเนลลี่ ท่านปู่อยู่รึเปล่า” เอลเลียตถามหลังจากหันซ้ายหันขวาไปมา “สเปียร์ไม่อยู่แถวนี้ ท่านปู่ออกไปข้างนอกงั้นเหรอ”

    “ใช่ค่ะ ท่านฮะการ์ออกไปหารือกับสภาสูงที่อารันคาทรัชมาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนน่ะค่ะ”

    “ท่านปู่ออกไปอารันคาทรัชอีกแล้วเหรอ”

    “ใช่ค่ะ” เนลลี่ตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ

    “งั้นเหรอ” เอลเลียตพยักหน้ารับแต่ในใจของเขากลับรู้สึกกังวลเพราะในช่วงหลายเดือนนี้เป็นหลายต่อหลายครั้งแล้วที่ฮะการ์ออกไปทำงานใหญ่งานหนึ่งข้างนอกซึ่งเขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเรื่องอะไรที่ทำให้คนอย่างฮะการ์ สแตนฟอร์ด ต้องวิ่งวุ่นอยู่ตั้งหลายเดือน

    พอถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป ฮะการ์เองก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนมีแต่เพียงบอกไว้ว่าเป็นงานตามล่าอาชญากรคนหนึ่งเท่านั้น

    แล้วอาชญากรแบบไหนกันที่ทำให้คนของสภาสูงเป็นกังวลกันได้ขนาดนี้

    “คุณปู่บอกไว้ว่าจะรีบกลับมา อย่ากังวลไปเลยนะ” เป๊ปเปอร์ที่เห็นเอลเลียตตีสีหน้ากังวลรีบเดินเข้าไปปลอบ เป็นที่รู้กันดีในพวกเขาว่าถ้าเป็นเรื่องของฮะการ์แล้วล่ะก็เอลเลียตจะจริงจังเสมอ

    “ขอบคุณ เป๊ปเปอร์” เอลเลียตหันไปลูกหัวเด็กสาวอย่างเอ็นดู ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็คนนี้ก็มักจะเป็นห่วงคนอื่นเสมอ

    “นายนี่นะ ทำตัวเป็นลูกแหง่ติดปู่ไปได้”  ถ้าเป็นตามปกติเลสเตอร์คงพูดแบบนี้ออกไปแล้วแต่พอได้เจอเรื่องเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนเขาเองก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเอลเลียตถึงเป็นห่วงเป็นใยฮะการ์นัก

    นั่นเพราะเขาไม่มีใครเหลือแล้วต่างหากล่ะ

    “ยินดีต้อนรับกลับครับ ทุกท่าน” เสียงของชายชราคนหนึ่งดังขึ้นมาจนทุกคนหันไปมอง พวกเขารู้ดีว่านี่เป็นเสียงของใคร

    “กลับมาแล้วครับ คุณวิลเฮม” เอลเลียตเป็นคนแรกทักที่ทักทายชายชราผู้รับใช้ตระกูลสแตนฟอร์ดมาอย่างช้านานคนนี้

    “สวัสดีครับ คุณวิลเฮม” เลสเตอร์ยิ้มแล้วพยักหน้าให้

    “เช่นกันครับ คุณหนูทั้งสอง” ชายชรานามวิลเฮมโค้งให้เบาๆ นี่เป็นคนไม่กี่คนที่เลสเตอร์ทำตัวสุภาพด้วยตั้งแต่มาที่นี่ อาจจะเพราะลักษณะนิสัยที่ใจดีและสุภาพจนน่าเกรงใจของชายชราคนนี้

    “กลับมาแล้วค่ะ คุณวิลเฮม” เป๊ปเปอร์เดินเข้าไปกอดขาชายชราจนเจ้าตัวได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู เลสเตอร์ที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะเบาๆเพราะวิลเฮมเองก็เป็นอีกคนนอกจากเนลลี่ที่ชอบมาเล่นกับเป๊ปเปอร์อยู่บ่อยๆเพราะงั้นเธอเลยติดเขามาก

    “ทุกท่านเดินทางมานานคงเหนื่อยแย่เลยนะครับ ผมได้เตรียมชาเป็นของว่างไว้แล้ว ขอเชิญทางนี้เลยครับ”

    “งั้นพวกเธอก็ไปพักผ่อนกันเถอะ ฉันจะกลับไปทำงานที่โรงเลี้ยงต่อล่ะนะ” เนลลี่พูดขึ้น เด็กหนุ่มทั้งสองยิ้มให้ด้วยความรู้สึกขอบคุณเพราะเป็นหลายครั้งแล้วที่เนลลี่สละเวลาของเธอไปรับไปส่งพวกเขาที่เวสปาร์ทาวเวอร์ ทั้งๆที่เธอก็มีงานยุ่งมากอยู่แล้วแท้ๆ

    เด็กๆทั้งสามคนเดินตามวิลเฮมมาจนถึงศาลาที่ปกติพวกเขาใช้กินอาหารเช้ากัน เมื่อเด็กๆทั้งสามนั่งประจำที่แล้ว วิลเฮมก็รินชาจากเหยือกที่เตรียมไว้ลงแก้วแล้วเสริฟมันทันที

    “ชามาริฮาน ยังหอมเหมือนเดิมเลยนะ” เลสเตอร์จิบชานั้นพลางนึกถึงวันแรกที่เขาได้ดื่มชานี่เมื่อหลายเดือนก่อน ในตอนนี้ลิ้นของเขากลับรู้เคยชินกับรสชาติของมันเสียแล้ว

    “ยังรสชาติดีเหมือนเดิมเลยค่ะ คุณวิลเฮม” เป๊ปเปอร์ที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับรสชาติของน้ำชาเสริมขึ้นมา

    “ขอบคุณครับ คุณหนู” วิลเฮมโค้งขอบคุณ

    เลสเตอร์จิบชามองไปยังรอบๆปราสาทแห่งนี้แม้เขาจะอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้วก็ยังอดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีคนมาบอกเขาว่าบนโลกนี้มาปราสาทใหญ่ขนาดนี้ลอยอยู่บนฟ้าแถมยังมีอยู่ตั้งสี่สิบสี่แห่งแล้วล่ะก็เขาว่าได้แต่หัวเราะใส่แน่ๆ

    เมื่อกว่าพันปีก่อน เออร์มินได้แบ่งพลังให้มนุษย์และให้พวกเขาดูแลรักษาความสงบทั้งหลายในสังคมมังกร ราชันย์แห่งยุคที่สามได้ทำการให้ศิลาวิเศษชิ้นหนึ่งแก่มนุษย์เป็นของกำนัล

    ศิลาซิเอล

    มันเป็นหินประหลาดที่มีขนาดใหญ่มหึมาที่มีคุณสมบัติในการผลักตัวออกจากผืนโลกถ้าให้พูดอีกอย่างก็คือมันเป็นเหมือนก้อนหินที่สามารถลอยอยู่บนฟากฟ้าได้

    หัวหน้าของเหล่านักรบมังกรในตอนนั้นที่มีนามว่า ออราส ได้ทำการแบ่งมันออกเป็นห้าสิบส่วนแล้วใช้มันเป็นส่วนฐานในการสร้างปราสาทขนาดใหญ่ทั้งหมดห้าสิบแห่งโดยการก่อสร้างนั้นใช้เวลานับร้อยปีแต่ถึงอย่างงั้นผลลัพธ์ก็คุ้มค่าเพราะหลังจากนั้นเหล่านักรบมังกรห้าสิบคนก็ได้เข้าไปประจำการอยู่ปราสาทเหล่านั้นและนั่นคือจุดเริ่มต้นของปราสาทลอยฟ้าของห้าสิบตระกูลนักรบมังกร

     “เหลือเชื่อเลยนะ” เลสเตอร์ถอนหายใจออกมาอย่างเบาบาง นั่นคือสิ่งที่นีลเคยเล่าให้เขาฟัง สำหรับเลสเตอร์นั้นเรื่องราวของมังกรและแอนทีคทั้งหมดเคยเป็นแค่เรื่องเล่าในหนังสือเล่มหนึ่งแต่พอได้มารู้ทีหลังว่ามันเป็นเรื่องนั้นมันก็ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจเสมอ

    หลังจากผ่านมากว่าพันปีจะมีปราสาทถูกทำลายไปแล้วหกแห่งจากหลายๆสาเหตุจนเหลือปราสาทของตระกูลนักรบมังกรอยู่แค่สี่สิบสี่ตระกูลดังเช่นปัจจุบันและหนึ่งในตระกูลที่มีชื่อเสียงที่สุดเท่าที่เคยมีมานั้นก็คือ...

    สแตนฟอร์ด

    หลายต่อหลายครั้งที่เลสเตอร์แทบจะไม่เชื่อตัวเองว่าเขาได้มายุ่งเกี่ยวกับตระกูลแสนโด่งดังในสังคมนักรบมังกรแห่งนี้ เขายังจำตอนที่เอลเลียตพูดชื่อของตัวเองออกมาแล้วทำให้คนอื่นแทบจะสติแตกนั้นได้อยู่เลย

    แต่นั่นก็พอจะเป็นคำตอบที่ดีว่าเจ้าหมอนี่ถึงได้เก่งซะขนาดนี้ เลสเตอร์เหลือบมองหลานชายผู้สืบทอดตระกูลดังเรียบๆ

    “มองหน้าฉันทำไม” เด็กหนุ่มที่เหมือนจะสังเกตได้ว่าตัวเองถูกมองถามขึ้นมา

    “เปล่านี่” เลสเตอร์ยักไหล่

    “ช่างเถอะ เอาเป็นว่านั่งพักกันอีกซักพักแล้วไปที่โรงฝึกกันเถอะ”

    “โรงฝึก?” เลสเตอร์ขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าที่นั่นอยู่ที่ไหนในปราสาทแห่งนี้แต่ที่สงสัยคือทำไมถึงเป็นตอนนี้

    “อีกไม่นานราวเดอร์จะมาถึงแล้ว อย่าบอกนะว่านายคิดจะเอาเวลาสองวันนี้มาผลาญไปเฉยๆน่ะ” เอลเลียตพูดจบก็หัวเราะหึ “ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วนายแพ้เจ้ามาเอลล่ะก็มีหวังร็อกแซนด์คงหัวเราะเยาะแน่”

    “นายนี่ไม่รู้จักเวลาพักผ่อนมั่งหรือไงนะ” เลสเตอร์ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

    “หรือจะไม่ไป?” เอลเลียตเลิกคิ้วซึ่งเลสเตอร์ก็ได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอาแต่สุดท้ายคำตอบของเขาก็เป็นอย่างที่คาด

    “ไปสิ” เลสเตอร์พูดจบก็จัดการยกแก้วขึ้นกระดกให้ชาไหลรินลงคอทันที

     

     

     

     

    อย่างที่รู้กันแม้สถานที่แห่งนี้จะชื่อปราสาทสแตนฟอร์ดแต่ความจริงแล้วตัวปราสาทเป็นเพียงพื้นที่ส่วนหนึ่งเท่านั้น หากให้พูดง่ายๆที่นี่ก็เหมือนเมืองขนาดจิ๋วที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า

    โรงฝึกขนาดกลางของที่นี่นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของปราสาทแห่งนี้เพียงแต่มันตั้งอยู่ด้านนอกตัวปราสาทใกล้ๆกับโรงเลี้ยงมังกรก็เพียงเท่านั้น

    ที่นี่เองก็ไม่ได้ต่างจากโรงฝึกของเวสปาร์ทาวเวอร์เสียเท่าไหร่เพียงแค่มีขนาดเล็กกว่าแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นส่วนตัวกว่าเพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ใช้งานมัน

    “จะเริ่มกันเลยรึเปล่า” เลสเตอร์พูดจบก็เดินไปหยิบดาบไม้ขนาดใหญ่สำหรับใช้ฝึกซ้อมขึ้นมา แม้จะเป็นดาบไม้เหมือนกันแต่ดูเหมือนดาบไม้ของที่นี่จะหนักกว่าของเวสปาร์ทาวเวอร์เอาเรื่องอยู่เหมือนกันแต่ด้วยการที่เขาสามารถควบคุมพลาน่าพื้นฐานได้ในระดับนึงแล้ว การยกของแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร

    เลสเตอร์แอบยิ้มเขาให้ตัวเองเพราะหากเขาใช้พลาน่าไม่ได้ล่ะก็เขาคงยกดาบเล่มนี้ได้ไม่เกินหัวเข่าของเขา นั่นทำให้เขาเข้าใจเลยว่าทำไมการเป็นนักรบมังกรเปรียบได้ดั่งการเป็นยอดมนุษย์

    “เริ่มเลยก็ดี แต่ก่อนหน้านั้นฉันมีเรื่องที่จะต้องบอกนายซะก่อน” เอลเลียตพูดเรียบๆพร้อมกับหยิบดาบของตัวเองขึ้นมาสะบัดไปมา       

    “เรื่องอะไรอีกล่ะ”

    “การดวลในครั้งนี้ ฉันจะไม่เป็นฝ่ายตั้งรับให้นายได้ฝึกดาบเหมือนครั้งก่อนๆหรอกนะ” เอลเลียตพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “พูดง่ายๆก็คือฉันจะเอาจริง”

    เลสเตอร์เงียบไปกับการประกาศในครั้งนั้น ที่ผ่านมานั้นในการฝึกฝนตัวต่อตัวของพวกเขาทั้งสองคน สิ่งที่เอลเลียตทำจะมีเพียงปัดป้องการโจมตีจากดาบของเขาและโจมตีสวนเป็นบางครั้งเท่านั้น

    พูดง่ายๆก็คือไม่มีครั้งไหนเลยที่เอลเลียตเป็นฝ่ายเปิดโจมตีด้วยตัวเองซักครั้ง

    “ทำไมอยู่ดีๆถึงนึกอยากเอาจริงขึ้นมาล่ะ” เลสเตอร์ถามออกไป

    “ใกล้จะถึงราวเดอร์แล้ว ฉันเองก็ไม่ได้เก่งมากพอจะเป็นอาจารย์ใครหรอกนะ ฝีมือนายตอนนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว วิธีที่จะเร่งฝีมือนายได้มากที่สุดฉันก็นึกได้แค่วิธีนี้นั่นแหละ”

    “พูดง่ายๆก็คือฝีมือฉันตอนนี้ไม่ใช่ในระดับที่นายจะอ่อนให้แล้วสินะ” เลสเตอร์ยิ้มออกมาแต่ในใจของเขาแฝงความเคร่งเครียด

    “พิสูจน์สิว่าฉันคิดถูก” เอลเลียตพูดจบก็ยกดาบขึ้นมาตั้งท่า เพียงแค่เห็นเท่านั้นเลสเตอร์ก็ถึงกับเหงื่อตกเบาๆ

    แม้จะอายุเท่ากันแต่ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ถือเป็นนักรบมังกรที่เก่งที่สุดในรุ่นเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ การได้ที่หนึ่งแทบทุกวิชาที่เวสปาร์ทาวเวอร์ก็แทบจะเป็นตัวพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งก็เอลเลียตได้ดีพอแล้ว

    “ถอยไม่ได้แล้วสินะ” เลสเตอร์ยกดาบขึ้นมาตั้งท่าตามแบบของเขาแล้วสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด

    “ไม่มีนีลเป็นกรรมการให้ ฉันจะเป็นคนให้สัญญาณเอง นายจะว่ายังไงล่ะ” เอลเลียตหันมาถามซึ่งเลสเตอร์ก็ยักไหล่ตอบ

    “ไม่มีปัญหา”

    “งั้นก็เตรียมตัวล่ะนะ เลสเตอร์” เอลเลียตพูดจบก็จรดดาบมาข้างหน้าช้าๆพร้อมกับแรงกดดันแบบที่เลสเตอร์ไม่เคยสัมผัสจากเพื่อนคนนี้มาก่อน

    หมอนี่เอาจริง เลสเตอร์รู้ดีว่ามันจะเป็นแบบนั้น เขารีบตั้งสมาธิของตัวเองให้มั่น ดวงตาสีดำมองไปยังเป้าหมายตรงหน้าอย่างจดจ่อ

    “เริ่มได้!” เอลเลียตให้สัญญาณทันทีพร้อมกับวิ่งออกมาจากจุดตั้งต้นราวกับกระสุนที่พุ่งออกจากรังเพลิงซึ่งเลสเตอร์เองที่แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าหมอนี่จะจู่โจมแบบฉับพลันก็ยังอดตกใจกับความเร็วนี้ไม่ได้ เขายกดาบขึ้นมาป้องกันได้อย่างฉิวเฉียดแล้วกัดฟันแน่นเพราะแรงดันที่แฝงมากับดาบในครั้งนี้มันต่างจากครั้งก่อนๆ

    หมอนี่ มีพลาน่าพื้นฐานมากขนาดนี้เลยเหรอ เลสเตอร์คิดในใจก่อนจะกัดฟันแล้วพยายามดันดาบสวนกลับไปแต่มันกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

    “แรงเยอะเหลือเกินนะ ไอ้เวรนี่” เลสเตอร์ใช้พลาน่าของตัวเองสร้างหินขึ้นมาหุ้มเท้าทั้งสองข้างเพื่อช่วยให้ร่างกายยึดกับพื้นได้ง่ายขึ้น

    “ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ว่าจะเอาจริงน่ะ”

    “รู้แล้วล่ะน่า” เลสเตอร์พูดตอบไป “ฉันเองก็ไม่คิดจะเป็นกระสอบทรายให้นายถลุงเล่นหรอกนะ”

    “ให้มันได้อย่างงั้นก็ดี” เอลเลียตพูดจบก็ยกขาขึ้นมาก่อนจะตวัดไปที่หน้าท้องของเลสเตอร์ที่ไร้การป้องกัน

    ปั้ก!

    เสียงประหลาดๆพร้อมกับความเจ็บปวดเบาๆที่ฝ่าเท้าทำให้เอลเลียตมองไปยังฝ่าเท้าอย่างตกใจ ความรู้สึกนั่นไม่ใช่ความรู้สึกของการเตะไปที่ร่างกายของมนุษย์

    ใช่ มันเหมือนกับเตะก้อนหินมากกว่า

    “นาย...ใช้พลาน่าที่ส่วนอื่นได้นอกจากมือกับเท้าแล้วงั้นเหรอ” เอลเลียตมองอย่างประหลาดใจเพราะตลอดมาจนถึงตอนนี้เลสเตอร์ใช้พลังของตัวเองแค่ที่มือกับที่เท้าเท่านั้น

    “ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ยอมเป็นกระสอบทรายให้นายถลุงเล่นน่ะ!” เลสเตอร์คำรามออกมา เขารีดเร้นพลาน่าในร่างกายทั้งหมดแล้วดันดาบของเอลเลียตกลับไป เอลเลียตที่ถูกผลักออกกระโดดถอยหลังทิ้งระยะห่างไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางออกมา

    “ไม่เลวนี่นา”

    “แหงอยู่แล้ว” เลสเตอร์พูดกลับไปอย่างอารมณ์ดีซึ่งเอลเลียตเองก็แค่นเสียงหึกลับไปแล้วหลังจากนั้นเด็กหนุ่มผู้สืบทอดเปลี่ยนไปถือดาบด้วยมือขวาข้างเดียว

    “งั้นฉันก็จะใช้ของฉันบ้างล่ะ”

    มือซ้ายของเอลเลียตค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานพร้อมกับไปจนถึงข้อศอก จนแขนเสื้อที่เสื้อที่หุ้มแขนของเขาไหม้เกรียมแล้วหลุดลอยออกไป

    เปลี่ยนร่างกายให้เป็นดั่งหินเผาไฟ

    นี่คือพลังที่เอลเลียตได้รับมาจากดราเชนที่มีนามว่าเฮเบรัส ราชันย์เพลิงตนที่สองหลังจากอิกนิส

    ถ้าหมอนั้นเข้าถึงตัวเราได้เมื่อไหร่ล่ะก็ต่อให้สร้างหินหุ้มร่างกายยังไงก็กันความร้อนนั่นไม่ไหว ทางที่ดีที่สุดคือหลบการโจมตีให้ได้แต่ดูจากความเร็วของหมอนั้นแล้วคงไม่ไหว ถ้าโดนเข้าถึงตัวแล้วก็มีทางเดียวคือต้องรีบสลัดให้หลุด เลสเตอร์วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ตรงหน้าโดยอ้างอิงจากประสบการณ์จริงที่เขาเคยพบ

    เอลเลียตรู้ดีว่าเลสเตอร์กำลังวิเคราะห์สถานการณ์ เขาไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาคิด เอลเลียตวิ่งเข้าใส่เลสเตอร์อีกครั้ง เขาใช้มือข้างขวาจับดาบขนาดใหญ่เหวี่ยงเข้าใส่อีกฝ่ายแบบตรง เลสเตอร์รีบยกดาบขึ้นมากันทันทีพร้อมกับสีหน้าแปลกใจ

    ทำไมหมอนี่ถึงได้โจมตีตรงๆ เลสเตอร์คิดอย่างสงสัยเพราะการโจมตีเมื่อครู่นี้มันไม่มีลูกเล่นอะไรใดๆเลยแม้แต่น้อยและถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็ต้องตั้งรับได้อยู่แล้ว แล้วทำไมเอลเลียตถึงยังโจมตีแบบนี้อีก เลสเตอร์คิดแบบนั้นจนกระทั่งเขาเห็นรอยยิ้มผุดพลายบนใบหน้าของเอลเลียต

    “ฉันบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าฉันก็จะใช้พลังของฉันเหมือนกันน่ะน่ะ” เอลเลียตพูดจบก็ยกมือสีแดงของตัวเองขึ้นจับใบดาบของเลสเตอร์ ความร้อนจากฝ่ามือนั้นเปลี่ยนใบดาบไม้ให้เปลี่ยนเป็นสีดำพร้อมกับกลิ่นใหม้

    เลสเตอร์รู้เลยว่าตัวเองติดกับของอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว

    “นี่นายเล่นเผาดาบเลยงั้นเหรอ!” เลสเตอร์เบิกตากว้างแล้วออกแรงกระชากดาบออกแต่ฝ่ามือที่เปรียบดั่งกรงเล็บของเอลเลียตในตอนนี้ได้ขย้ำเหยื่อของมันแน่นไปเสียแล้ว แถมมืออีกข้างของเอลเลียตก็ส่งแรงดันลงมาบนดาบที่ปะทะกันอยู่ทำให้เขาไม่สามารถหาช่องว่างในการดึงดาบออกเลยแม้แต่น้อย

    ในตอนนั้นรอบๆใบดาบของเลสเตอร์กว่าครึ่งก็ลุกไหม้แล้ว เอลเลียตออกแรงดันหนึ่งครั้งเปลือกไม้ที่ถูกเผาจนเปราะบางก็หักออก

    เลสเตอร์อ้าปากค้างพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างจนแทบถลน จริงอยู่ที่ว่าดาบสำหรับฝึกซ้อมนี่ทำจากไม้มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเผาแล้วทำลายมันแต่เขาไม่คาดคิดว่าหมอนี่จะเล่นเผาอาวุธของโรงฝึกตัวเองแบบนี้ เมื่อดาบที่กำลังปะทะกันอยู่เล่มหนึ่งหักไปดาบอีกเล่มหนึ่งก็อาศัยช่องว่างนั้นฟาดเข้ามาโจมตีเป้าหมาย เลสเตอร์รีบโยนดาบของตัวเองทิ้งแล้วรีบกระโดดหลบไปด้านข้างทันทีแต่ว่าการกระโดดหลบที่ว่านั่นก็ยังไม่หลุดจากระยะโจมตีของเอลเลียต

    “ขาดอาวุธไปแล้ว มาดูกันซิว่านายจะทำยังไงต่อ” เอลเลียตพูดเสร็จก็ส่งบาทาเน้นเข้าไปที่ฝ่าท้องของเลสเตอร์จนเจ้าตัวกระเด็นไปไกลหลายเมตร

    “เจ็บวุ้ย” เลสเตอร์กัดฟันจากแรงกระแทกที่ท้อง เขาค่อยดันตัวลุกขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองตัวอันตรายที่พึ่งทำลายอาวุธของเขาทิ้งไป เขาพึ่งขว้างอาวุธที่ใช้งานไม่ได้ของตัวเองทิ้งไปเพื่อหลบหลีกการโจมตีหนึ่งครั้งพูดอีกอย่างก็คือตอนนี้เขาอยู่ในสภาพมือเปล่า

    “เอายังไงดีจะยอมแพ้มั้ย”

    “ใครจะไปยอม” เลสเตอร์ตอบกลับแทบจะในทันทีแต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ยังคิดวิธีที่จะหนีจากสถานการณ์อันเลวร้ายตรงหน้านี้ไม่ออกอยู่ดี

    ดาบพังไปแล้ว...เอาเถอะ ถ้าหมอนั้นใช้ดาบโจมตีมาเรายังพอสร้างหินหุ้มแขนแล้วใช้ป้องกันได้อยู่แต่ว่าปัญหาหลักๆก็คือ... เลสเตอร์คิดเสร็จก็มองไปยังสิ่งที่รบกวนเขามากที่สุดในตอนนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    แขนข้างซ้ายที่กำลังลุกไหม้นั่น

    “ไม่มีวิธีป้องกันไอ้นั่นซะด้วยสิ” เลสเตอร์ถึงกับเหงื่อตกเพราะต่อให้ใช้หินหุ้มร่างกาย ความร้อนนั้นก็ยังเจาะผ่านมาได้อยู่ดี

    ไม่สิ นั่นเพราะเปลือกหินที่สร้างนั่นไม่หนาเพียงพอต่างหาก

    “หากเราสร้างหินที่หนามากพอก็ยังพอจะป้องกันได้อยู่” เลสเตอร์ทราบความจริงในข้อนั้นดีแต่ปัญหาใหญ่ที่สุดมีอยู่อย่างหนึ่ง

    เขายังไม่ได้ควบคุมพลาน่าพิเศษของตัวเองได้ถึงในระดับนั้น

    ในระหว่างที่เลสเตอร์กำลังนั่งคิดหาวิธีอยู่ เขาก็กลับนึกย้อนไปถึงช่วงที่เขายังเรียนการควบคุมพลาน่ากับเอลวิน มีประโยคอยู่ประโยคหนึ่งที่ดังขึ้นมาในหัวเขา

    “การควบคุมพลาน่าคือการควบคุมความรู้สึก”

    นั่นคือประโยคที่เอลวินเคยพูดกับนักรบฝึกหัดที่อยู่ในห้องเรียนทุกคน ไม่รู้ทำไมเขากลับนึกถึงมันขึ้นมา

    “มีแต่ต้องลองดูเท่านั้นล่ะนะ” เลสเตอร์พูดขึ้นก่อนจะหลับตาลงจนเอลเลียตขมวดคิ้ว

    “ทำอะไรของนายน่ะ” เอลเลียตที่กำลังจะจู่โจมเข้าไปหยุดชั่วขณะ ก่อนจะยืนมองเลสเตอร์ด้วยความสนอกสนใจแทน

    นึกย้อนไปสิ ถึงตอนที่เรารับพลังจากหัวใจดวงนั้น เลสเตอร์หลับตาจินตนาการหวนถึงอดีต กล่าวกันว่าเมื่อมนุษย์ปิดประสาทสัมผัสด้านนึงลงประสาทสัมผัสด้านอื่นๆจะเฉียบคมมากขึ้น เขาไม่รู้หรอกว่าคำพูดนั้นจริงรึเปล่า ในตอนนี้เขามีเพียงแต่คิดถึงความรู้สึกในตอนนั้น ความรู้สึกอบอุ่นที่ไหลผ่านเกล็ดมังกรเข้าสู่แขนของเขา

    จับกุมความรู้สึกนั้นแล้วจดจำสัมผัสนั้นให้มากขึ้น

    สุดท้ายก็จงรีดเร้นมันออกมา

    เลสเตอร์ควบคุมพลาน่าของเขาทั้งหมดให้ไหลไปที่ฝ่ามือ มันให้ความรู้สึกเหมือนเลือดทั้งร่างกายกำลังพุ่งไปที่จุดๆเดียว เกล็ดหินค่อยๆปรากฏออกมาที่มือของเขาเหมือนอย่างทุกทีแต่ครั้งนี้เขาไม่คิดจะหยุดเท่านั้น เขาออกแรงรีดเร้นมันมากๆขึ้นและมากขึ้นอีก

    “มากกว่านี้” เลสเตอร์กัดฟันแน่น เกล็ดหินเริ่มขยายตัวมากขึ้นจนรูปร่างมือของเขาในตอนนี้เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ

    หินผาที่เกาะอยู่ทั่วมือของเขาขยายตัวจนทำให้ขนาดของมือของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวพร้อมกับหินแหลมที่เข้ามาหุ้มปลายนิ้วทุกนิ้วจนเหมือนกรงเล็บ

    ใช่แล้ว มือขวาของเขาในตอนนี้ได้กลายเป็นกรงเล็บหินขนาดใหญ่ที่ดูทรงพลัง

    “นั่นมัน...” เอลเลียตมองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “ดูท่าที่บอกว่าตั้งใจเรียนจะไม่ได้โกหกซะแล้วล่ะนะ”

    “เอาล่ะนะ เอลเลียต!” เลสเตอร์ที่พึ่งได้อาวุธใหม่ของตัวเองมาคำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่อีกฝั่งอย่างไม่รอช้า

    “อย่าอวดดีไปหน่อยเลย” เอลเลียตวาดดาบเข้าหาเลสเตอร์อย่างไม่ลังเล เด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์ยกมือของตัวเองขึ้นไปรับดาบทันที

    “ดูเหมือนจะใช้ได้แฮะ” เลสเตอร์ที่เห็นว่ากรงเล็บหินของเขาสามารถรับดาบของเอลเลียตได้ก็ยิ้มพอใจในผลงาน

    แต่อาวุธของเอลเลียตไม่ได้มีเท่านี้ เขาเปลี่ยนไปจับดาบด้วยมือข้างเดียวแล้วใช้มืออีกข้างที่เปลี่ยนเป็นสีแดงพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างว่องไว

    ถ้ามือของเลสเตอร์ตอนนี้เป็นกรงเล็บหิน ฝั่งของเอลเลียตก็ไม่ต่างอะไรกับกรงเล็บเปลวเพลิงอันร้อนระอุ

    จับความรู้สึกแบบนั้น...อีกครั้ง!’ เลสเตอร์ส่งพลาน่าไปที่มืออีกข้างแล้วเปลี่ยนให้หินแบบเดียวกัน แล้วคว้าข้อมือของเอลเลียตไว้อย่างทันท่วงที

    เอลเลียตหรี่ตาลง เขามองลงไปยังข้อมือของตัวเองที่ถูกคว้าเอาไว้ ถ้าเป็นปกติแล้วล่ะก็เลสเตอร์ไม่มีทางทนความร้อนจากพลาน่าของเขาได้แต่หินที่ห่อหุ้มของเลสเตอร์ที่หนาเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวนั้นจะทำให้ผลลัพธ์นั้นเปลี่ยนไป

    “จับได้แล้ว...” แม้แต่เลสเตอร์เองยังประหลาดใจกับตัวเอง แม้เขาจะยังคงสัมผัสความร้อนจากข้อมือของเอลเลียตได้อยู่แต่มันไม่ได้ร้อนถึงขนาดทนไม่ได้เหมือนครั้งก่อนๆแล้ว

    “ไม่เลวนี่ เลสเตอร์ แต่ว่านะ...” เอลเลียตพูดเบาๆแล้วจัดการเร่งพลาน่าของตัวเองบ้าง

    “อึก!” เลสเตอร์กัดฟันแน่นเพราะในตอนนี้แขนของเอลเลียตเริ่มเปร่งประกายสีแดงสว่างขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจนเขาเริ่มรู้สึกได้แต่ถึงอย่างงั้นเด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์คนนี้ก็ไม่ยอมปล่อยมือไปจากเป่าหมาย

    “พอแค่นั้นแหละ” ในระหว่างที่การดวลกำลังเป็นไปอย่างต่อเนื่องเสียงๆหนึ่งอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาจนทั้งสองคนสลายพลาน่าของตัวเองออกแล้วหันไปมอง

    “ท่านปู่...” เอลเลียตมองผู้มาใหม่อย่างตกใจ ฮะการ์ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูของโรงฝึกแล้วจ้องมองเด็กทั้งสองเรียบๆ

    “ขอโทษทีที่ขัดจังหวะการดวลของพวกเจ้าแต่ว่าถ้าข้าปล่อยให้เจ้าเพิ่มความร้อนไปมากกว่านี้ เลสเตอร์คงได้รับบาดเจ็บแน่” ฮะการ์ถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองคน

    “นั่นสินะครับ” เอลเลียตพูดจบก็ถอนหายใจตามไปอีกคน

    “ส่วนของเลสเตอร์...” ฮะการ์มองมายังเด็กหนุ่มอีกคน “เจ้าควบคุมพลาน่าได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก คงจะฝึกมาหนักเลยล่ะสิ”

    “ครับ” เลสเตอรับคำสั้นๆคำชมของฮะการ์นั้นทำให้รู้สึกพึงพอใจพอสมควร

    “ว่าแต่ที่ท่านปู่กลับมานี่...หมายถึงเสร็จธุระที่อารันคาทรัชแล้วเหรอครับ” เอลเลียตถามไปซึ่งฮะการ์ก็พ่นลมหายออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

    “ถ้าธุระที่สภาสูงล่ะก็เสร็จแล้วล่ะแต่ถ้าเป็นงานที่ทางสภาสั่งมาล่ะก็ยังไม่ได้แม้แต่จะใกล้เคียงเลย”

    “งานที่ว่านั่นคืออะไรเหรอครับ ถึงทำให้ท่านปู่ต้องหมกมุ่นกับมันตั้งหลายเดือนแบบนี้” ในที่สุดเอลเลียตก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

    “นั่นสิ ผมเองก็เห็นปู่ดูยุ่งๆอยู่มาซักพักแล้วนะ” เลสเตอร์เสริมซึ่งฮะการ์ที่ได้ยินทั้งสองคนพูดแบบนี้ก็หรี่ตาลงเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

    “พวกเจ้าสองคนไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกัน” ฮะการ์พูดออกมาแบบไม่มีปี่มีขวุ่ยจนทั้งสองคนขมวดคิ้วสงสัย

    “หมายความว่ายังไง จะให้พวกผมออกไปไหนเหรอ” เลสเตอร์ถามอย่างงุนงง

    “พวกเจ้าอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าข้ากำลังทำงานอะไรอยู่” เจ้าตระกูลสแตนฟอร์ดตอบด้วยรอยยิ้ม “แทนที่จะเสียเวลาอธิบาย ตามข้ามาดูเลยน่าจะง่ายกว่า จริงมั้ย?







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×