คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : Ep.1 Chapter 26 - ความรู้สึก
Chapter 26
Sensation
ความรู้สึก
เลสเตอร์มาถึงปราสาทสแตนฟอร์ดแล้ว
พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเดินทางจากหอคอยซึ่งเป็นสถานที่ศึกษาของพวกเขามายังปราสาทแห่งนี้โดยในระหว่างมามันก็จะอึดอัดหน่อยเนื่องจากการนั่งเบียดกันสี่คนบนหลังมังกรแต่ถึงอย่างงั้นการนั่งคุยกับน้องสาวที่ไม่ได้เจอมานานก็ทำให้หายเบื่อได้พอควร
มังกรที่พวกเขานั่งมานั้นเป็นมังกรตัวใหญ่อีกตัวหนึ่งของตระกูลนี้ชื่อว่า
“แลนเซีย” ซึ่งถึงแม้จะตัวไม่ใหญ่เท่าเจ้าสเปียร์แต่ก็เพียงพอต่อการโดยสารคนสี่คน
“พี่เนลลี่ ก็เคยเรียนที่เวสปาร์ทาวเวอร์สินะ”
เลสเตอร์ถามขณะค่อยๆหย่อนตัวลงจากหลังของมังกรซึ่งพอลงมาแล้วเขาก็จัดการรับตัวของน้องสาวที่กระโดดลงมาอย่างเบามือ
“อืม แต่ก็หลายปีแล้วล่ะนะ” เนลลี่เองเมื่อเห็นเอลเลียตลงจากหลังของแลนเซียแล้วเธอก็ลงมาตาม
ก่อนที่จะโบกมือให้สัญญาณเจ้ามังกรกลับไปบินเล่นอย่างอิสระของมันต่อ
“ที่ขี่มังกรได้ก็เพราะเรียนมาจากที่นั่นเหรอ”
“อ๋อ เปล่าหรอก” เนลลี่ส่ายหน้า
“จริงอยู่ที่เมื่อตอนนั้นฉันเองก็ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในคนที่ได้เรียนขี่มังกรแต่ว่าการเรียนแค่เทอมเดียวน่ะได้แต่พื้นฐานเท่านั้นแหละ
การจะขี่มังกรให้เชี่ยวชาญจริงๆมันต้องใช้เวลามากกว่านั้นเยอะ”
“แต่ที่ผมเห็นมาตลอด ผมว่าพี่ก็เก่งมากแล้วนะ
สรุปไปเรียนมาจากใครกันล่ะ” เลสเตอร์ถามอย่างสงสัยเพราะทุกครั้งที่เขาเห็นเนลลี่ควบคุมเจ้าแลนเซียก็รู้สึกได้ว่าเธอมีฝีมือจริงๆ
“ท่านฮะการ์น่ะ” เนลลี่ยิ้มตอบ
“ปู่ขี่มังกรเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
เลสเตอร์ถามเพราะเท่าที่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตอนนั่งอยู่บนหลังเจ้าสเปียร์กับฮะการ์จะแตกต่างอะไรเท่าไหร่กับตอนนั่งอยู่บนหลังแลนเซียกับเนลลี่
“นั่นเพราะนายยังไม่เคยเห็นการขี่มังกรจริงๆน่ะสิ”
เอลเลียตที่เงียบอยู่นานพูดขึ้นมาจนเลสเตอร์เลิกคิ้ว
“การขี่มังกรจริงๆ?” เลสเตอร์ทวนคำ
“ตามที่ท่านเอลเลียตว่านั่นแหละ
ท่านฮะการ์น่ะตอนยังเป็นนักรบอยู่น่ะถือเป็นผู้เชี่ยวชาญการขี่มังกรคนนึงเลยนะ
ถ้าอยากเรียนจริงๆล่ะก็ไปขอคำแนะนำจากท่านเอาก็ได้”
“แบบนั้นยิ่งดีใหญ่เลย” เลสเตอร์ยิ้มแฉ่ง
“ว่าแต่ว่านะเนลลี่ ท่านปู่อยู่รึเปล่า”
เอลเลียตถามหลังจากหันซ้ายหันขวาไปมา “สเปียร์ไม่อยู่แถวนี้
ท่านปู่ออกไปข้างนอกงั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ
ท่านฮะการ์ออกไปหารือกับสภาสูงที่อารันคาทรัชมาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนน่ะค่ะ”
“ท่านปู่ออกไปอารันคาทรัชอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ” เนลลี่ตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ
“งั้นเหรอ” เอลเลียตพยักหน้ารับแต่ในใจของเขากลับรู้สึกกังวลเพราะในช่วงหลายเดือนนี้เป็นหลายต่อหลายครั้งแล้วที่ฮะการ์ออกไปทำงานใหญ่งานหนึ่งข้างนอกซึ่งเขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเรื่องอะไรที่ทำให้คนอย่างฮะการ์
สแตนฟอร์ด ต้องวิ่งวุ่นอยู่ตั้งหลายเดือน
พอถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป
ฮะการ์เองก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนมีแต่เพียงบอกไว้ว่าเป็นงานตามล่าอาชญากรคนหนึ่งเท่านั้น
แล้วอาชญากรแบบไหนกันที่ทำให้คนของสภาสูงเป็นกังวลกันได้ขนาดนี้
“คุณปู่บอกไว้ว่าจะรีบกลับมา อย่ากังวลไปเลยนะ”
เป๊ปเปอร์ที่เห็นเอลเลียตตีสีหน้ากังวลรีบเดินเข้าไปปลอบ
เป็นที่รู้กันดีในพวกเขาว่าถ้าเป็นเรื่องของฮะการ์แล้วล่ะก็เอลเลียตจะจริงจังเสมอ
“ขอบคุณ เป๊ปเปอร์” เอลเลียตหันไปลูกหัวเด็กสาวอย่างเอ็นดู
ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็คนนี้ก็มักจะเป็นห่วงคนอื่นเสมอ
“นายนี่นะ ทำตัวเป็นลูกแหง่ติดปู่ไปได้” ถ้าเป็นตามปกติเลสเตอร์คงพูดแบบนี้ออกไปแล้วแต่พอได้เจอเรื่องเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนเขาเองก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเอลเลียตถึงเป็นห่วงเป็นใยฮะการ์นัก
นั่นเพราะเขาไม่มีใครเหลือแล้วต่างหากล่ะ
“ยินดีต้อนรับกลับครับ ทุกท่าน”
เสียงของชายชราคนหนึ่งดังขึ้นมาจนทุกคนหันไปมอง พวกเขารู้ดีว่านี่เป็นเสียงของใคร
“กลับมาแล้วครับ คุณวิลเฮม”
เอลเลียตเป็นคนแรกทักที่ทักทายชายชราผู้รับใช้ตระกูลสแตนฟอร์ดมาอย่างช้านานคนนี้
“สวัสดีครับ คุณวิลเฮม”
เลสเตอร์ยิ้มแล้วพยักหน้าให้
“เช่นกันครับ คุณหนูทั้งสอง”
ชายชรานามวิลเฮมโค้งให้เบาๆ
นี่เป็นคนไม่กี่คนที่เลสเตอร์ทำตัวสุภาพด้วยตั้งแต่มาที่นี่
อาจจะเพราะลักษณะนิสัยที่ใจดีและสุภาพจนน่าเกรงใจของชายชราคนนี้
“กลับมาแล้วค่ะ คุณวิลเฮม” เป๊ปเปอร์เดินเข้าไปกอดขาชายชราจนเจ้าตัวได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู
เลสเตอร์ที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะเบาๆเพราะวิลเฮมเองก็เป็นอีกคนนอกจากเนลลี่ที่ชอบมาเล่นกับเป๊ปเปอร์อยู่บ่อยๆเพราะงั้นเธอเลยติดเขามาก
“ทุกท่านเดินทางมานานคงเหนื่อยแย่เลยนะครับ
ผมได้เตรียมชาเป็นของว่างไว้แล้ว ขอเชิญทางนี้เลยครับ”
“งั้นพวกเธอก็ไปพักผ่อนกันเถอะ
ฉันจะกลับไปทำงานที่โรงเลี้ยงต่อล่ะนะ” เนลลี่พูดขึ้น
เด็กหนุ่มทั้งสองยิ้มให้ด้วยความรู้สึกขอบคุณเพราะเป็นหลายครั้งแล้วที่เนลลี่สละเวลาของเธอไปรับไปส่งพวกเขาที่เวสปาร์ทาวเวอร์
ทั้งๆที่เธอก็มีงานยุ่งมากอยู่แล้วแท้ๆ
เด็กๆทั้งสามคนเดินตามวิลเฮมมาจนถึงศาลาที่ปกติพวกเขาใช้กินอาหารเช้ากัน
เมื่อเด็กๆทั้งสามนั่งประจำที่แล้ว
วิลเฮมก็รินชาจากเหยือกที่เตรียมไว้ลงแก้วแล้วเสริฟมันทันที
“ชามาริฮาน ยังหอมเหมือนเดิมเลยนะ”
เลสเตอร์จิบชานั้นพลางนึกถึงวันแรกที่เขาได้ดื่มชานี่เมื่อหลายเดือนก่อน
ในตอนนี้ลิ้นของเขากลับรู้เคยชินกับรสชาติของมันเสียแล้ว
“ยังรสชาติดีเหมือนเดิมเลยค่ะ คุณวิลเฮม”
เป๊ปเปอร์ที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับรสชาติของน้ำชาเสริมขึ้นมา
“ขอบคุณครับ คุณหนู” วิลเฮมโค้งขอบคุณ
เลสเตอร์จิบชามองไปยังรอบๆปราสาทแห่งนี้แม้เขาจะอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้วก็ยังอดตื่นตาตื่นใจไม่ได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีคนมาบอกเขาว่าบนโลกนี้มาปราสาทใหญ่ขนาดนี้ลอยอยู่บนฟ้าแถมยังมีอยู่ตั้งสี่สิบสี่แห่งแล้วล่ะก็เขาว่าได้แต่หัวเราะใส่แน่ๆ
เมื่อกว่าพันปีก่อน เออร์มินได้แบ่งพลังให้มนุษย์และให้พวกเขาดูแลรักษาความสงบทั้งหลายในสังคมมังกร
ราชันย์แห่งยุคที่สามได้ทำการให้ศิลาวิเศษชิ้นหนึ่งแก่มนุษย์เป็นของกำนัล
ศิลาซิเอล
มันเป็นหินประหลาดที่มีขนาดใหญ่มหึมาที่มีคุณสมบัติในการผลักตัวออกจากผืนโลกถ้าให้พูดอีกอย่างก็คือมันเป็นเหมือนก้อนหินที่สามารถลอยอยู่บนฟากฟ้าได้
หัวหน้าของเหล่านักรบมังกรในตอนนั้นที่มีนามว่า
ออราส ได้ทำการแบ่งมันออกเป็นห้าสิบส่วนแล้วใช้มันเป็นส่วนฐานในการสร้างปราสาทขนาดใหญ่ทั้งหมดห้าสิบแห่งโดยการก่อสร้างนั้นใช้เวลานับร้อยปีแต่ถึงอย่างงั้นผลลัพธ์ก็คุ้มค่าเพราะหลังจากนั้นเหล่านักรบมังกรห้าสิบคนก็ได้เข้าไปประจำการอยู่ปราสาทเหล่านั้นและนั่นคือจุดเริ่มต้นของปราสาทลอยฟ้าของห้าสิบตระกูลนักรบมังกร
“เหลือเชื่อเลยนะ”
เลสเตอร์ถอนหายใจออกมาอย่างเบาบาง นั่นคือสิ่งที่นีลเคยเล่าให้เขาฟัง
สำหรับเลสเตอร์นั้นเรื่องราวของมังกรและแอนทีคทั้งหมดเคยเป็นแค่เรื่องเล่าในหนังสือเล่มหนึ่งแต่พอได้มารู้ทีหลังว่ามันเป็นเรื่องนั้นมันก็ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจเสมอ
หลังจากผ่านมากว่าพันปีจะมีปราสาทถูกทำลายไปแล้วหกแห่งจากหลายๆสาเหตุจนเหลือปราสาทของตระกูลนักรบมังกรอยู่แค่สี่สิบสี่ตระกูลดังเช่นปัจจุบันและหนึ่งในตระกูลที่มีชื่อเสียงที่สุดเท่าที่เคยมีมานั้นก็คือ...
สแตนฟอร์ด
หลายต่อหลายครั้งที่เลสเตอร์แทบจะไม่เชื่อตัวเองว่าเขาได้มายุ่งเกี่ยวกับตระกูลแสนโด่งดังในสังคมนักรบมังกรแห่งนี้
เขายังจำตอนที่เอลเลียตพูดชื่อของตัวเองออกมาแล้วทำให้คนอื่นแทบจะสติแตกนั้นได้อยู่เลย
‘แต่นั่นก็พอจะเป็นคำตอบที่ดีว่าเจ้าหมอนี่ถึงได้เก่งซะขนาดนี้’
เลสเตอร์เหลือบมองหลานชายผู้สืบทอดตระกูลดังเรียบๆ
“มองหน้าฉันทำไม”
เด็กหนุ่มที่เหมือนจะสังเกตได้ว่าตัวเองถูกมองถามขึ้นมา
“เปล่านี่” เลสเตอร์ยักไหล่
“ช่างเถอะ
เอาเป็นว่านั่งพักกันอีกซักพักแล้วไปที่โรงฝึกกันเถอะ”
“โรงฝึก?” เลสเตอร์ขมวดคิ้ว
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าที่นั่นอยู่ที่ไหนในปราสาทแห่งนี้แต่ที่สงสัยคือทำไมถึงเป็นตอนนี้
“อีกไม่นานราวเดอร์จะมาถึงแล้ว
อย่าบอกนะว่านายคิดจะเอาเวลาสองวันนี้มาผลาญไปเฉยๆน่ะ” เอลเลียตพูดจบก็หัวเราะหึ
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วนายแพ้เจ้ามาเอลล่ะก็มีหวังร็อกแซนด์คงหัวเราะเยาะแน่”
“นายนี่ไม่รู้จักเวลาพักผ่อนมั่งหรือไงนะ”
เลสเตอร์ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“หรือจะไม่ไป?” เอลเลียตเลิกคิ้วซึ่งเลสเตอร์ก็ได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอาแต่สุดท้ายคำตอบของเขาก็เป็นอย่างที่คาด
“ไปสิ”
เลสเตอร์พูดจบก็จัดการยกแก้วขึ้นกระดกให้ชาไหลรินลงคอทันที
อย่างที่รู้กันแม้สถานที่แห่งนี้จะชื่อปราสาทสแตนฟอร์ดแต่ความจริงแล้วตัวปราสาทเป็นเพียงพื้นที่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
หากให้พูดง่ายๆที่นี่ก็เหมือนเมืองขนาดจิ๋วที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า
โรงฝึกขนาดกลางของที่นี่นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของปราสาทแห่งนี้เพียงแต่มันตั้งอยู่ด้านนอกตัวปราสาทใกล้ๆกับโรงเลี้ยงมังกรก็เพียงเท่านั้น
ที่นี่เองก็ไม่ได้ต่างจากโรงฝึกของเวสปาร์ทาวเวอร์เสียเท่าไหร่เพียงแค่มีขนาดเล็กกว่าแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นส่วนตัวกว่าเพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ใช้งานมัน
“จะเริ่มกันเลยรึเปล่า”
เลสเตอร์พูดจบก็เดินไปหยิบดาบไม้ขนาดใหญ่สำหรับใช้ฝึกซ้อมขึ้นมา แม้จะเป็นดาบไม้เหมือนกันแต่ดูเหมือนดาบไม้ของที่นี่จะหนักกว่าของเวสปาร์ทาวเวอร์เอาเรื่องอยู่เหมือนกันแต่ด้วยการที่เขาสามารถควบคุมพลาน่าพื้นฐานได้ในระดับนึงแล้ว
การยกของแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร
เลสเตอร์แอบยิ้มเขาให้ตัวเองเพราะหากเขาใช้พลาน่าไม่ได้ล่ะก็เขาคงยกดาบเล่มนี้ได้ไม่เกินหัวเข่าของเขา
นั่นทำให้เขาเข้าใจเลยว่าทำไมการเป็นนักรบมังกรเปรียบได้ดั่งการเป็นยอดมนุษย์
“เริ่มเลยก็ดี
แต่ก่อนหน้านั้นฉันมีเรื่องที่จะต้องบอกนายซะก่อน”
เอลเลียตพูดเรียบๆพร้อมกับหยิบดาบของตัวเองขึ้นมาสะบัดไปมา
“เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“การดวลในครั้งนี้ ฉันจะไม่เป็นฝ่ายตั้งรับให้นายได้ฝึกดาบเหมือนครั้งก่อนๆหรอกนะ”
เอลเลียตพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “พูดง่ายๆก็คือฉันจะเอาจริง”
เลสเตอร์เงียบไปกับการประกาศในครั้งนั้น
ที่ผ่านมานั้นในการฝึกฝนตัวต่อตัวของพวกเขาทั้งสองคน
สิ่งที่เอลเลียตทำจะมีเพียงปัดป้องการโจมตีจากดาบของเขาและโจมตีสวนเป็นบางครั้งเท่านั้น
พูดง่ายๆก็คือไม่มีครั้งไหนเลยที่เอลเลียตเป็นฝ่ายเปิดโจมตีด้วยตัวเองซักครั้ง
“ทำไมอยู่ดีๆถึงนึกอยากเอาจริงขึ้นมาล่ะ”
เลสเตอร์ถามออกไป
“ใกล้จะถึงราวเดอร์แล้ว
ฉันเองก็ไม่ได้เก่งมากพอจะเป็นอาจารย์ใครหรอกนะ
ฝีมือนายตอนนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว
วิธีที่จะเร่งฝีมือนายได้มากที่สุดฉันก็นึกได้แค่วิธีนี้นั่นแหละ”
“พูดง่ายๆก็คือฝีมือฉันตอนนี้ไม่ใช่ในระดับที่นายจะอ่อนให้แล้วสินะ”
เลสเตอร์ยิ้มออกมาแต่ในใจของเขาแฝงความเคร่งเครียด
“พิสูจน์สิว่าฉันคิดถูก”
เอลเลียตพูดจบก็ยกดาบขึ้นมาตั้งท่า
เพียงแค่เห็นเท่านั้นเลสเตอร์ก็ถึงกับเหงื่อตกเบาๆ
แม้จะอายุเท่ากันแต่ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ถือเป็นนักรบมังกรที่เก่งที่สุดในรุ่นเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ
การได้ที่หนึ่งแทบทุกวิชาที่เวสปาร์ทาวเวอร์ก็แทบจะเป็นตัวพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งก็เอลเลียตได้ดีพอแล้ว
“ถอยไม่ได้แล้วสินะ”
เลสเตอร์ยกดาบขึ้นมาตั้งท่าตามแบบของเขาแล้วสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด
“ไม่มีนีลเป็นกรรมการให้ ฉันจะเป็นคนให้สัญญาณเอง
นายจะว่ายังไงล่ะ” เอลเลียตหันมาถามซึ่งเลสเตอร์ก็ยักไหล่ตอบ
“ไม่มีปัญหา”
“งั้นก็เตรียมตัวล่ะนะ เลสเตอร์”
เอลเลียตพูดจบก็จรดดาบมาข้างหน้าช้าๆพร้อมกับแรงกดดันแบบที่เลสเตอร์ไม่เคยสัมผัสจากเพื่อนคนนี้มาก่อน
‘หมอนี่เอาจริง’ เลสเตอร์รู้ดีว่ามันจะเป็นแบบนั้น
เขารีบตั้งสมาธิของตัวเองให้มั่น ดวงตาสีดำมองไปยังเป้าหมายตรงหน้าอย่างจดจ่อ
“เริ่มได้!” เอลเลียตให้สัญญาณทันทีพร้อมกับวิ่งออกมาจากจุดตั้งต้นราวกับกระสุนที่พุ่งออกจากรังเพลิงซึ่งเลสเตอร์เองที่แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าหมอนี่จะจู่โจมแบบฉับพลันก็ยังอดตกใจกับความเร็วนี้ไม่ได้
เขายกดาบขึ้นมาป้องกันได้อย่างฉิวเฉียดแล้วกัดฟันแน่นเพราะแรงดันที่แฝงมากับดาบในครั้งนี้มันต่างจากครั้งก่อนๆ
‘หมอนี่ มีพลาน่าพื้นฐานมากขนาดนี้เลยเหรอ’
เลสเตอร์คิดในใจก่อนจะกัดฟันแล้วพยายามดันดาบสวนกลับไปแต่มันกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“แรงเยอะเหลือเกินนะ ไอ้เวรนี่”
เลสเตอร์ใช้พลาน่าของตัวเองสร้างหินขึ้นมาหุ้มเท้าทั้งสองข้างเพื่อช่วยให้ร่างกายยึดกับพื้นได้ง่ายขึ้น
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ว่าจะเอาจริงน่ะ”
“รู้แล้วล่ะน่า” เลสเตอร์พูดตอบไป “ฉันเองก็ไม่คิดจะเป็นกระสอบทรายให้นายถลุงเล่นหรอกนะ”
“ให้มันได้อย่างงั้นก็ดี” เอลเลียตพูดจบก็ยกขาขึ้นมาก่อนจะตวัดไปที่หน้าท้องของเลสเตอร์ที่ไร้การป้องกัน
ปั้ก!
เสียงประหลาดๆพร้อมกับความเจ็บปวดเบาๆที่ฝ่าเท้าทำให้เอลเลียตมองไปยังฝ่าเท้าอย่างตกใจ
ความรู้สึกนั่นไม่ใช่ความรู้สึกของการเตะไปที่ร่างกายของมนุษย์
ใช่ มันเหมือนกับเตะก้อนหินมากกว่า
“นาย...ใช้พลาน่าที่ส่วนอื่นได้นอกจากมือกับเท้าแล้วงั้นเหรอ”
เอลเลียตมองอย่างประหลาดใจเพราะตลอดมาจนถึงตอนนี้เลสเตอร์ใช้พลังของตัวเองแค่ที่มือกับที่เท้าเท่านั้น
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ยอมเป็นกระสอบทรายให้นายถลุงเล่นน่ะ!” เลสเตอร์คำรามออกมา
เขารีดเร้นพลาน่าในร่างกายทั้งหมดแล้วดันดาบของเอลเลียตกลับไป
เอลเลียตที่ถูกผลักออกกระโดดถอยหลังทิ้งระยะห่างไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางออกมา
“ไม่เลวนี่นา”
“แหงอยู่แล้ว” เลสเตอร์พูดกลับไปอย่างอารมณ์ดีซึ่งเอลเลียตเองก็แค่นเสียงหึกลับไปแล้วหลังจากนั้นเด็กหนุ่มผู้สืบทอดเปลี่ยนไปถือดาบด้วยมือขวาข้างเดียว
“งั้นฉันก็จะใช้ของฉันบ้างล่ะ”
มือซ้ายของเอลเลียตค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานพร้อมกับไปจนถึงข้อศอก
จนแขนเสื้อที่เสื้อที่หุ้มแขนของเขาไหม้เกรียมแล้วหลุดลอยออกไป
‘เปลี่ยนร่างกายให้เป็นดั่งหินเผาไฟ’
นี่คือพลังที่เอลเลียตได้รับมาจากดราเชนที่มีนามว่าเฮเบรัส
ราชันย์เพลิงตนที่สองหลังจากอิกนิส
‘ถ้าหมอนั้นเข้าถึงตัวเราได้เมื่อไหร่ล่ะก็ต่อให้สร้างหินหุ้มร่างกายยังไงก็กันความร้อนนั่นไม่ไหว
ทางที่ดีที่สุดคือหลบการโจมตีให้ได้แต่ดูจากความเร็วของหมอนั้นแล้วคงไม่ไหว
ถ้าโดนเข้าถึงตัวแล้วก็มีทางเดียวคือต้องรีบสลัดให้หลุด’ เลสเตอร์วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ตรงหน้าโดยอ้างอิงจากประสบการณ์จริงที่เขาเคยพบ
เอลเลียตรู้ดีว่าเลสเตอร์กำลังวิเคราะห์สถานการณ์
เขาไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาคิด เอลเลียตวิ่งเข้าใส่เลสเตอร์อีกครั้ง
เขาใช้มือข้างขวาจับดาบขนาดใหญ่เหวี่ยงเข้าใส่อีกฝ่ายแบบตรง
เลสเตอร์รีบยกดาบขึ้นมากันทันทีพร้อมกับสีหน้าแปลกใจ
‘ทำไมหมอนี่ถึงได้โจมตีตรงๆ’
เลสเตอร์คิดอย่างสงสัยเพราะการโจมตีเมื่อครู่นี้มันไม่มีลูกเล่นอะไรใดๆเลยแม้แต่น้อยและถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็ต้องตั้งรับได้อยู่แล้ว
แล้วทำไมเอลเลียตถึงยังโจมตีแบบนี้อีก
เลสเตอร์คิดแบบนั้นจนกระทั่งเขาเห็นรอยยิ้มผุดพลายบนใบหน้าของเอลเลียต
“ฉันบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าฉันก็จะใช้พลังของฉันเหมือนกันน่ะน่ะ”
เอลเลียตพูดจบก็ยกมือสีแดงของตัวเองขึ้นจับใบดาบของเลสเตอร์ ความร้อนจากฝ่ามือนั้นเปลี่ยนใบดาบไม้ให้เปลี่ยนเป็นสีดำพร้อมกับกลิ่นใหม้
เลสเตอร์รู้เลยว่าตัวเองติดกับของอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว
“นี่นายเล่นเผาดาบเลยงั้นเหรอ!”
เลสเตอร์เบิกตากว้างแล้วออกแรงกระชากดาบออกแต่ฝ่ามือที่เปรียบดั่งกรงเล็บของเอลเลียตในตอนนี้ได้ขย้ำเหยื่อของมันแน่นไปเสียแล้ว
แถมมืออีกข้างของเอลเลียตก็ส่งแรงดันลงมาบนดาบที่ปะทะกันอยู่ทำให้เขาไม่สามารถหาช่องว่างในการดึงดาบออกเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนั้นรอบๆใบดาบของเลสเตอร์กว่าครึ่งก็ลุกไหม้แล้ว
เอลเลียตออกแรงดันหนึ่งครั้งเปลือกไม้ที่ถูกเผาจนเปราะบางก็หักออก
เลสเตอร์อ้าปากค้างพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างจนแทบถลน
จริงอยู่ที่ว่าดาบสำหรับฝึกซ้อมนี่ทำจากไม้มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเผาแล้วทำลายมันแต่เขาไม่คาดคิดว่าหมอนี่จะเล่นเผาอาวุธของโรงฝึกตัวเองแบบนี้
เมื่อดาบที่กำลังปะทะกันอยู่เล่มหนึ่งหักไปดาบอีกเล่มหนึ่งก็อาศัยช่องว่างนั้นฟาดเข้ามาโจมตีเป้าหมาย
เลสเตอร์รีบโยนดาบของตัวเองทิ้งแล้วรีบกระโดดหลบไปด้านข้างทันทีแต่ว่าการกระโดดหลบที่ว่านั่นก็ยังไม่หลุดจากระยะโจมตีของเอลเลียต
“ขาดอาวุธไปแล้ว มาดูกันซิว่านายจะทำยังไงต่อ”
เอลเลียตพูดเสร็จก็ส่งบาทาเน้นเข้าไปที่ฝ่าท้องของเลสเตอร์จนเจ้าตัวกระเด็นไปไกลหลายเมตร
“เจ็บวุ้ย” เลสเตอร์กัดฟันจากแรงกระแทกที่ท้อง
เขาค่อยดันตัวลุกขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองตัวอันตรายที่พึ่งทำลายอาวุธของเขาทิ้งไป
เขาพึ่งขว้างอาวุธที่ใช้งานไม่ได้ของตัวเองทิ้งไปเพื่อหลบหลีกการโจมตีหนึ่งครั้งพูดอีกอย่างก็คือตอนนี้เขาอยู่ในสภาพมือเปล่า
“เอายังไงดีจะยอมแพ้มั้ย”
“ใครจะไปยอม” เลสเตอร์ตอบกลับแทบจะในทันทีแต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ยังคิดวิธีที่จะหนีจากสถานการณ์อันเลวร้ายตรงหน้านี้ไม่ออกอยู่ดี
‘ดาบพังไปแล้ว...เอาเถอะ ถ้าหมอนั้นใช้ดาบโจมตีมาเรายังพอสร้างหินหุ้มแขนแล้วใช้ป้องกันได้อยู่แต่ว่าปัญหาหลักๆก็คือ...’ เลสเตอร์คิดเสร็จก็มองไปยังสิ่งที่รบกวนเขามากที่สุดในตอนนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แขนข้างซ้ายที่กำลังลุกไหม้นั่น
“ไม่มีวิธีป้องกันไอ้นั่นซะด้วยสิ”
เลสเตอร์ถึงกับเหงื่อตกเพราะต่อให้ใช้หินหุ้มร่างกาย
ความร้อนนั้นก็ยังเจาะผ่านมาได้อยู่ดี
ไม่สิ นั่นเพราะเปลือกหินที่สร้างนั่นไม่หนาเพียงพอต่างหาก
“หากเราสร้างหินที่หนามากพอก็ยังพอจะป้องกันได้อยู่”
เลสเตอร์ทราบความจริงในข้อนั้นดีแต่ปัญหาใหญ่ที่สุดมีอยู่อย่างหนึ่ง
เขายังไม่ได้ควบคุมพลาน่าพิเศษของตัวเองได้ถึงในระดับนั้น
ในระหว่างที่เลสเตอร์กำลังนั่งคิดหาวิธีอยู่
เขาก็กลับนึกย้อนไปถึงช่วงที่เขายังเรียนการควบคุมพลาน่ากับเอลวิน
มีประโยคอยู่ประโยคหนึ่งที่ดังขึ้นมาในหัวเขา
“การควบคุมพลาน่าคือการควบคุมความรู้สึก”
นั่นคือประโยคที่เอลวินเคยพูดกับนักรบฝึกหัดที่อยู่ในห้องเรียนทุกคน
ไม่รู้ทำไมเขากลับนึกถึงมันขึ้นมา
“มีแต่ต้องลองดูเท่านั้นล่ะนะ”
เลสเตอร์พูดขึ้นก่อนจะหลับตาลงจนเอลเลียตขมวดคิ้ว
“ทำอะไรของนายน่ะ” เอลเลียตที่กำลังจะจู่โจมเข้าไปหยุดชั่วขณะ
ก่อนจะยืนมองเลสเตอร์ด้วยความสนอกสนใจแทน
‘นึกย้อนไปสิ ถึงตอนที่เรารับพลังจากหัวใจดวงนั้น’ เลสเตอร์หลับตาจินตนาการหวนถึงอดีต กล่าวกันว่าเมื่อมนุษย์ปิดประสาทสัมผัสด้านนึงลงประสาทสัมผัสด้านอื่นๆจะเฉียบคมมากขึ้น
เขาไม่รู้หรอกว่าคำพูดนั้นจริงรึเปล่า ในตอนนี้เขามีเพียงแต่คิดถึงความรู้สึกในตอนนั้น
ความรู้สึกอบอุ่นที่ไหลผ่านเกล็ดมังกรเข้าสู่แขนของเขา
จับกุมความรู้สึกนั้นแล้วจดจำสัมผัสนั้นให้มากขึ้น
สุดท้ายก็จงรีดเร้นมันออกมา
เลสเตอร์ควบคุมพลาน่าของเขาทั้งหมดให้ไหลไปที่ฝ่ามือ
มันให้ความรู้สึกเหมือนเลือดทั้งร่างกายกำลังพุ่งไปที่จุดๆเดียว
เกล็ดหินค่อยๆปรากฏออกมาที่มือของเขาเหมือนอย่างทุกทีแต่ครั้งนี้เขาไม่คิดจะหยุดเท่านั้น
เขาออกแรงรีดเร้นมันมากๆขึ้นและมากขึ้นอีก
“มากกว่านี้” เลสเตอร์กัดฟันแน่น
เกล็ดหินเริ่มขยายตัวมากขึ้นจนรูปร่างมือของเขาในตอนนี้เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ
หินผาที่เกาะอยู่ทั่วมือของเขาขยายตัวจนทำให้ขนาดของมือของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวพร้อมกับหินแหลมที่เข้ามาหุ้มปลายนิ้วทุกนิ้วจนเหมือนกรงเล็บ
ใช่แล้ว
มือขวาของเขาในตอนนี้ได้กลายเป็นกรงเล็บหินขนาดใหญ่ที่ดูทรงพลัง
“นั่นมัน...”
เอลเลียตมองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “ดูท่าที่บอกว่าตั้งใจเรียนจะไม่ได้โกหกซะแล้วล่ะนะ”
“เอาล่ะนะ เอลเลียต!” เลสเตอร์ที่พึ่งได้อาวุธใหม่ของตัวเองมาคำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่อีกฝั่งอย่างไม่รอช้า
“อย่าอวดดีไปหน่อยเลย”
เอลเลียตวาดดาบเข้าหาเลสเตอร์อย่างไม่ลังเล เด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์ยกมือของตัวเองขึ้นไปรับดาบทันที
“ดูเหมือนจะใช้ได้แฮะ”
เลสเตอร์ที่เห็นว่ากรงเล็บหินของเขาสามารถรับดาบของเอลเลียตได้ก็ยิ้มพอใจในผลงาน
แต่อาวุธของเอลเลียตไม่ได้มีเท่านี้ เขาเปลี่ยนไปจับดาบด้วยมือข้างเดียวแล้วใช้มืออีกข้างที่เปลี่ยนเป็นสีแดงพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างว่องไว
ถ้ามือของเลสเตอร์ตอนนี้เป็นกรงเล็บหิน
ฝั่งของเอลเลียตก็ไม่ต่างอะไรกับกรงเล็บเปลวเพลิงอันร้อนระอุ
‘จับความรู้สึกแบบนั้น...อีกครั้ง!’ เลสเตอร์ส่งพลาน่าไปที่มืออีกข้างแล้วเปลี่ยนให้หินแบบเดียวกัน
แล้วคว้าข้อมือของเอลเลียตไว้อย่างทันท่วงที
เอลเลียตหรี่ตาลง
เขามองลงไปยังข้อมือของตัวเองที่ถูกคว้าเอาไว้ ถ้าเป็นปกติแล้วล่ะก็เลสเตอร์ไม่มีทางทนความร้อนจากพลาน่าของเขาได้แต่หินที่ห่อหุ้มของเลสเตอร์ที่หนาเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวนั้นจะทำให้ผลลัพธ์นั้นเปลี่ยนไป
“จับได้แล้ว...” แม้แต่เลสเตอร์เองยังประหลาดใจกับตัวเอง
แม้เขาจะยังคงสัมผัสความร้อนจากข้อมือของเอลเลียตได้อยู่แต่มันไม่ได้ร้อนถึงขนาดทนไม่ได้เหมือนครั้งก่อนๆแล้ว
“ไม่เลวนี่ เลสเตอร์ แต่ว่านะ...” เอลเลียตพูดเบาๆแล้วจัดการเร่งพลาน่าของตัวเองบ้าง
“อึก!” เลสเตอร์กัดฟันแน่นเพราะในตอนนี้แขนของเอลเลียตเริ่มเปร่งประกายสีแดงสว่างขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจนเขาเริ่มรู้สึกได้แต่ถึงอย่างงั้นเด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์คนนี้ก็ไม่ยอมปล่อยมือไปจากเป่าหมาย
“พอแค่นั้นแหละ” ในระหว่างที่การดวลกำลังเป็นไปอย่างต่อเนื่องเสียงๆหนึ่งอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาจนทั้งสองคนสลายพลาน่าของตัวเองออกแล้วหันไปมอง
“ท่านปู่...” เอลเลียตมองผู้มาใหม่อย่างตกใจ
ฮะการ์ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูของโรงฝึกแล้วจ้องมองเด็กทั้งสองเรียบๆ
“ขอโทษทีที่ขัดจังหวะการดวลของพวกเจ้าแต่ว่าถ้าข้าปล่อยให้เจ้าเพิ่มความร้อนไปมากกว่านี้
เลสเตอร์คงได้รับบาดเจ็บแน่” ฮะการ์ถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองคน
“นั่นสินะครับ”
เอลเลียตพูดจบก็ถอนหายใจตามไปอีกคน
“ส่วนของเลสเตอร์...” ฮะการ์มองมายังเด็กหนุ่มอีกคน
“เจ้าควบคุมพลาน่าได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก คงจะฝึกมาหนักเลยล่ะสิ”
“ครับ” เลสเตอรับคำสั้นๆคำชมของฮะการ์นั้นทำให้รู้สึกพึงพอใจพอสมควร
“ว่าแต่ที่ท่านปู่กลับมานี่...หมายถึงเสร็จธุระที่อารันคาทรัชแล้วเหรอครับ”
เอลเลียตถามไปซึ่งฮะการ์ก็พ่นลมหายออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“ถ้าธุระที่สภาสูงล่ะก็เสร็จแล้วล่ะแต่ถ้าเป็นงานที่ทางสภาสั่งมาล่ะก็ยังไม่ได้แม้แต่จะใกล้เคียงเลย”
“งานที่ว่านั่นคืออะไรเหรอครับ
ถึงทำให้ท่านปู่ต้องหมกมุ่นกับมันตั้งหลายเดือนแบบนี้” ในที่สุดเอลเลียตก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“นั่นสิ ผมเองก็เห็นปู่ดูยุ่งๆอยู่มาซักพักแล้วนะ”
เลสเตอร์เสริมซึ่งฮะการ์ที่ได้ยินทั้งสองคนพูดแบบนี้ก็หรี่ตาลงเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“พวกเจ้าสองคนไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกัน”
ฮะการ์พูดออกมาแบบไม่มีปี่มีขวุ่ยจนทั้งสองคนขมวดคิ้วสงสัย
“หมายความว่ายังไง จะให้พวกผมออกไปไหนเหรอ”
เลสเตอร์ถามอย่างงุนงง
“พวกเจ้าอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าข้ากำลังทำงานอะไรอยู่”
เจ้าตระกูลสแตนฟอร์ดตอบด้วยรอยยิ้ม “แทนที่จะเสียเวลาอธิบาย
ตามข้ามาดูเลยน่าจะง่ายกว่า จริงมั้ย?”
ความคิดเห็น