คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Ep.1 Chapter 8 - การบินครั้งแรก
Chapter 8
First Flight
การบินครั้งแรก
เลสเตอร์กำลังเมื่อยจากการใช้มือถือเกล็ดมังกรมาร่วมชั่วโมงถึงแม้เขาจะผลัดกันใช้แขนซ้ายแขนขวาก็เถอะ
“รู้สึกว่ามันเริ่มเบาลงยังไงก็ไม่รู้” เลสเตอร์หันไปถามความเห็นฮะการ์หลังจากความรู้สึกเหมือนพายุหมุนวนรอบๆมือเขากำลังเบาลง
“นั่นเป็นสัญญาณว่าการส่งถ่ายพลาน่ากำลังใกล้เสร็จแล้ว
พลังของเบลสตีนจะกลายเป็นของเจ้าในอีกไม่ช้า”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าหัวใจดวงนี้ล่ะ ถ้าผมดึงพลังของมันมาแล้ว”
เลสเตอร์ถามข้อสงสัยไปในใจเขาหวังว่ามันคงจะไม่ได้เหี่ยวแฟบแล้วเน่าสลายไปเมื่อไร้พลัง
“ไม่ต้องห่วง
ร่างกายของมังกรน่ะเป็นสิ่งมหัศจรรย์มันสามารถฟื้นฟูพลาน่าของมันได้เอง
หากไม่ได้รับความเสียหายมากเกินไปก็สามารถใช้เป็นแหล่งพลังต่อไปได้ก็แค่ให้เวลามันฟื้นฟูซักหน่อยก็เท่านั้นเอง”
“ฟื้นฟูเหรอ นานแค่ไหนล่ะ”
“เวลาไม่ค่อยแน่นอนหรอกแต่อย่างต่ำก็ราวๆสี่ปี”
ฮะการ์ยกนิ้วสี่นิ้วเป็นคำตอบ
“หมายความว่าสี่ปีนี้จะไม่มีใครใช้เจ้านี่ได้เลยเหรอ
นานขนาดนั้นเชียว”
“เจ้าลองมองกลับกันสิว่ามันตั้งอยู่ตรงนี้มาตลอดสามร้อยปีก่อนแล้วเจ้าเป็นคนแรกที่พึ่งได้ใช้มัน”
ฮะการ์พูดให้เลสเตอร์คิดตามซึ่งเมื่อเด็กหนุ่มลองคิดๆดูแล้วมันก็ดูสมเหตุสมผลดี
เป็นครั้งแรกที่เลสเตอร์ได้ตระหนักว่าช่วงเวลาของเวลาของเหล่ามังกรนั้นยาวนานเหลือเกิน
“อ๊ะ”
เลสเตอร์รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกบางอย่างที่พุ่งจากฝ่ามือแล้วกระชากจนไปถึงด้านในของเขา
“ดูเหมือนจะเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ” คอครัสที่นอนเท้าคางมองอยู่พูดออกมา
“น่าสนใจจริงๆข้าก็พึ่งเคยเห็นคนใช้พลาน่าของเบลสตีนเป็นครั้งแรก
ยังไงเรื่องเล่านั้นมันก็ราวสามร้อยกว่าปีมาแล้วถึงจะรู้ว่าเป็นพลาน่าเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายแต่ก็ไม่ได้รู้รายละเอียดลึกๆซักหน่อย”
“คงยังไม่ได้เห็นเร็วๆนี้หรอก เจ้านี่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลยคงต้องฝึกอีกซักพักถึงจะแสดงมันออกมาได้
ไม่กี่วันก่อนมานี้เจ้าเด็กนี่ยังเป็นแค่เด็กเวย์แลนด์ธรรมดาๆอยู่เลยนี่นะ”
“ข้าถึงบอกไงล่ะว่าเจ้าคิดยังไงถึงให้กินดวงตามังกรไป” คอครัสถอนหายใจ
เลสเตอร์ตีหน้าเบื่อเล็กน้อยที่เขากำลังโดนดูถูกแต่ก็เถียงไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องจริง
“แปลว่าผมยังใช้พลังไม่ได้เหรอ”
“เจ้าต้องฝึกก่อนสิถึงจะใช้ได้
พลาน่าไม่ใช่พลังสำเร็จรูปแบบได้รับเสร็จก็ใช้ได้เลยหรอกนะ”
ฮะการ์บอกและเลสเตอร์เองก็ยอมรับมันเพราะมันก็ดูสมเหตุสมผลดี
“นี่ปู่”
“ว่ายังไงล่ะ มีคำถามอีกล่ะสิ”
ฮะการ์รู้ดีว่าเจ้าเด็กมากคำถามคนนี้จะต้องถามอะไรอีกแน่ซึ่งก็ถูกต้องเพราะเลสเตอร์พึ่งคิดเรื่องนี้ออกตอนที่เขาได้ยินคอครัสพูดถึงดวงตามังกร
“ตอนที่ชายหาดนั่นผมเห็นมังกรได้ทั้งๆที่ไม่ได้กินดวงตามังกร ปู่ยังไม่อธิบายเรื่องนี้กับผมเลยนะ”
เลสเตอร์ถามคำถามที่กวนใจในหัวเขามาตลอดออกไป
“สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็คือร่างกายของเจ้านั้นมีคุณสมบัติในการเห็นมังกรอยู่แล้วแม้จะน้อยนิดก็ตาม”
“ผมเนี่ยนะ จะบอกว่าผมสามารถเห็นมังกรได้โดยไม่ต้องกินดวงตามังกรเหรอ
งั้นก็สุดยอดไปเลยสิ”
“เปล่า เพราะหนังสือเล่มนั้นต่างหากล่ะ”
ฮะการ์พูดถึงหนังสือเจ้าปัญหาสีแดงซึ่งฮะการ์ริบเอาไปจากเด็กหนุ่มตั้งแต่เมื่อวานโดยบอกไว้ว่าจะดูและให้
“ที่หนังสือเล่มนั้นน่ะมีเขี้ยวของมารามอสอยู่
การที่เจ้าอยู่กับหนังสือเล่มนั้นมานานครึ่งปีทำให้พลาน่าของเขี้ยวนั่นส่งถ่ายมาที่เจ้าอ่อนๆด้วย
ทำให้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะสามารถเห็นมังกรได้บ้าง”
“แต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้กินดวงตามังกรเลยนะแล้วผมจะมีคุณสมบัติรับพลาน่าได้ยังไงล่ะ”
“ดวงตาของมังกรแค่สร้างคุณสมบัติที่เหมาะสมต่างหาก
ไม่ใช่ว่าร่างกายของมนุษย์ธรรมดาจะไม่สามารถเปิดรับพลาน่าได้เพียงแต่มันช้าและมีขีดจำกัดก็เท่านั้น
เคยมีเหตุการณ์ที่ชิ้นส่วนของมังกรหลุดไปอยู่ในมือของมนุษย์ธรรมดาๆอยู่บ้างเหมือนกันและแน่นอนว่ามนุษย์เหล่านั้นมักจะมีความสามารถในการเห็นมังกรที่ดีกว่ามนุษย์ทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นเป็นเงาลางๆขาดๆหายๆล่ะนะ”
“แต่ตอนที่ผมเห็นที่หาดน่ะมันเห็นชัดเจนเลยนะ
ถึงจะใช้เวลาหน่อยก็เถอะ”
“เพราะตอนนั้นเจ้าอยู่ใกล้หนังสือเล่มนั้นยังไงล่ะ
พลาน่าที่รุนแรงจากชิ้นส่วนร่างกายของมารามอสน่ะต่างจากชิ้นส่วนของมังกรอื่นๆเพราะงั้นมันจึงมีพลาน่าที่รุนแรงมหาศาลบวกกับเจ้ามีพลาน่าอ่อนๆอยู่ในร่างกายแล้วทำให้เจ้าสามารถเห็นมังกรได้อย่างชัดเจนผิดปกติ
ยังไงก็เถอะนี่ก็เป็นแค่การคาดเดาของข้าเพราะเหตุการณ์ที่มีชิ้นส่วนของดราเชนหลุดไปจนถึงเวย์แลนด์แบบนี้ก็พึ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก”
ฮะการ์กล่าวขึ้นจนเลสเตอร์นึกย้อนไปถึงตอนที่ฮะการ์โยนหนังสือมาให้เขารับแล้วชี้ให้ดูมังกรบนฟ้าอีกรอบซึ่งตอนนั้นเขาก็เห็นมันได้ชัดจริงๆ “ส่วนเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการปรับภาพน่ะ
การเห็นมังกรครั้งแรกน่ะต้องใช้เวลาในการปรับตัว นักรบมังกรทุกคนก็เป็นกันทั้งนั้น
ไม่ต้องกังวลหรอกนะ”
“นี่ปู่กำลังจะบอกว่าผมมีพลาน่าของมารามอสอยู่ในตัวงั้นเหรอ”
“ใช่ แต่ก็แค่อ่อนๆเท่านั้น อ่อนในระดับที่แทบจะเรียกว่าไร้ประโยชน์เลยล่ะ พลาน่าของมังกรน่ะถ้าไม่เข้มข้นมากพอล่ะก็มันก็ไม่สามาถนำมาใช้งานได้หรอกนะ ถ้าพลังของมังกรมันส่งถ่ายง่ายๆกะอีแค่ถือชิ้นส่วนอยู่ใกล้ๆตัวซักครึ่งปีแล้วล่ะก็เราคงไม่ต้องหาดวงตามังกรมาสร้างนักรบให้เหนื่อยเปล่าหรอก” ฮะการ์บอกดับฝันของเด็กหนุ่มที่กำลังคิดว่าตัวเองจะได้สืบทอดพลังของมังกรในตำนานตนหนึ่ง
“ก็แน่สิ ผมไม่ได้เหมือนหลานชายปู่ซักหน่อย” เลสเตอร์ทำหน้าเบื่อ
ดวงตาของเขามองดูหัวใจขนาดยักษ์ของเฮเบรัสที่อยู่มุมห้อง
ว่ากันว่าคนที่สามารถสืบทอดพลังของดราเชนได้จะมีเพียงหนึ่งคนในหนึ่งทษวรรษเท่านั้นและดูเหมือนเอลเลียตจะเป็นหนึ่งคนนั้นที่ว่า
“ถึงสืบทอดพลังของดราเชนได้ก็ใช่ว่าคนอื่นจะเก่งกว่าไม่ได้
ข้าเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วคนธรรมดาๆที่ชนะพรสวรรค์น่ะ”
ฮะการ์อธิบายไปแต่เมื่อมองหน้าเด็กหนุ่มแล้วเขาก็ต้องถอนหายใจ “ข้าขอย้ำนะ พวกเจ้าสองคนควรจะหาเวลาคุยปรับความเข้าใจกันได้แล้ว”
“ก็ผมไม่รู้ว่าจะคุยยังไงดีนี่”
“เจ้าหนูเอลเลียตน่ะนะ ไม่ยากหรอก
เจ้าแค่ลองเปิดใจแล้วคุยกับเค้าอย่างจริงใจก็พอแล้ว”
คอครัสบอกขึ้นแต่เลสเตอร์ก็ยังส่งสายไม่มั่นใจออกมา
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” เขาถามออกไปด้วยความสงสัย
“เพราะเจ้าหนูนั่นเป็นคนดียังไงล่ะ ข้าน่ะอยู่มานานแล้ว เชื่อข้าเถอะ”
คอครัสบอกแบบนั้น ความจริงลึกๆแล้วเลสเตอร์เองก็เห็นไม่ต่างกัน
“จริงสิ ข้าพาพวกเจ้าทั้งสองคนไปเที่ยวที่ๆหนึ่งดีมั้ย
เผื่อพวกเจ้าจะได้ไปคุยกันที่นั่น” ฮะการ์พูดขึ้นมาจนเลสเตอร์หันควับมาให้ความสนใจกับคำว่าเที่ยว
“ที่ไหนเหรอ!”
“อีกไม่กี่วันก็เป็นวันเปิดของมันพอดีซะด้วยสิ”
คำพูดนั้นของฮะการ์ทำเอาเจ้ามังกรตัวโตถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะบางทีมันอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าสถานที่นั้นคืออะไร
“เจ้าคงไม่ได้จะพาพวกนี้ไปที่นั่นหรอกใช่มั้ย?” คอครัสถาม
ฮะการ์ไม่ตอบ
เขาเพียงยิ้มบางออกมาและมันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เลสเตอร์ถึงกับขนลุกเพราะรอยยิ้มแบบนี้มักจะไม่ค่อยก่อเกิดเรื่องดีๆซักเท่าไหร่
เลสเตอร์รู้ดีว่าเขาคงจะไม่ได้ไปเที่ยวสบายๆอย่างที่หวังแล้ว
“ถ้าจะได้เจอเรื่องวุ่นๆอีกแล้วมั้ยล่ะ”
สองวันหลังจากที่เขารับพลังของเบลสตีนมาแล้ว
ฮะการ์ก็ไม่ได้สอนอะไรเขาอีกเลยและปล่อยให้เขาใช้ชีวิตกินๆนอนๆอยู่ปราสาทลอยฟ้าแห่งนี้
จะมีสาระหน่อยก็แค่ตอนที่เขาเดินไปให้ดีเลียสอนเรื่องการดูแลลูกมังกรกับศึกษาสถานที่ต่างๆในแอนทีคอีกนิดหน่อยก็เท่านั้น
เวลาส่วนใหญ่ส่วนเขามักจะใช้นั่งเล่นเกมกระดานของเนลลี่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปเอามาจากไหนกับเป๊ปเปอร์
โดยรวมๆเขาเริ่มชินกับการใช้ชีวิตประวันต่างๆของที่นี่บ้างแล้ว
เขาเริ่มทักทายกับคนงานคนอื่นๆได้บ้างแม้จะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว
“ไม่ต้องร้อนใจไป” ฮะการ์ตอบสั้นๆแบบนี้ตอนที่เขาขอให้สอนการควบคุมพลังให้
สุดท้ายเขาก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพลังที่ได้มาเลย
ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองในตอนนี้มีอะไรแปลกประหลาดจากคนทั่วไป
สรุปโดยรวมๆสองวันนี้นั้นเป็นวันที่เขาแทบจะไม่ได้อะไรเลย
แต่วันนี้นั้นต่างออกไปเพราะฮะการ์เรียกเขาไปพบแต่เช้าโดยให้เนลลี่พาไปยังสถานที่บางอย่างที่เรียกว่า
สถานี
ทั้งสองมาถึงสถานีที่ว่า
มันคือพื้นที่ราบโล่งที่อยู่ตรงขอบของพื้นที่ทรงกลมรอบปราสาทและดูเหมือนขอบของพื้นที่บริเวณนี้จะไม่มีรั้วล้อมรอบ
“สรุปสถานีนี่คืออะไรเหรอ พี่เนลลี่” เลสเตอร์ถาม
“ท่านฮะการ์ไม่ได้บอกเหรอ?” เนลลี่ถามเพราะนึกว่าเด็กตรงหน้าคนนี้น่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
“ที่นี่เป็นที่ๆเราจะเรียกมังกรมาไว้ใช้ไปไหนมาไหนน่ะ”
“สรุปคือสถานีที่ว่าคือสถานีมังกรสินะ”
เลสเตอร์ลองคิดภาพสถานีรถไฟขึ้นมาแล้วเปลี่ยนรถไฟเป็นมังกรตัวใหญ่
“อื้ม ว่าแต่จะไปที่ไหนกันเหรอ” เนลลี่ถามเด็กหนุ่มแต่เลสเตอร์ส่ายหน้าช้าๆเป็นคำตอบ
“ปู่ไม่ได้บอกอะไรผมเลย”
“ฮะๆ ท่านฮะการ์ก็เป็นคนแบบนั้นล่ะนะ” เนลลี่หัวเราะแห้งๆ
เธอนั้นเข้าใจความรู้สึกของเลสเตอร์อย่างดีเยี่ยมว่าชายชรานามฮะการ์นั้นเป็นคนชอบกักคำตอบขนาดไหน
“มากันแล้วเหรอ” เสียงของฮะการ์ดังขึ้นมา
ชายชราเดินมาทางพวกเขาพร้อมกับเอลเลียตที่ตีสีหน้าเรียบเฉยเดินตามมา
“สรุปว่าเราจะไปไหนกันเหรอ” เลสเตอร์ถาม
“เวสปาร์ทาวเวอร์”
ฮะการ์ตอบสั้นๆแต่ทั้งเนลลี่และเอลเลียตกลับทำหน้าตกใจขึ้นมาเล็กๆแต่ก็ไม่ได้มากจนเกินไป
เลสเตอร์ขมวดคิ้วเพราะเหมือนเขาจะคุ้นกับชื่อนี้อยู่แต่นึกไม่ออก
“จริงสิ วันนี้วันเปิดของที่นั่นนี่นะ แต่ว่าท่านฮะการไม่เคยคิดจะส่งใครไปที่นั่นในตอนแรกนี่คะแล้วทำไมจู่ๆถึงได้…”
“ท่านปู่อยากให้ผมไปที่นั่นเหรอครับ” เอลเลียตถาม
“ไปศึกษาจากคนอื่นบ้างก็ดีเอลเลียต ที่สำคัญพลาน่าใหม่ที่เจ้านี่ได้มาน่ะไม่ใช่ขอบเขตที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุดซะด้วย”
ฮะการ์เหล่สายตาไปทางเลสเตอร์ที่กำลังงงเรื่องที่คนอื่นๆคุยกัน
“คุยกันให้ผมรู้เรื่องด้วยสิ…” เลสเตอร์ร้องท้วงแต่ฮะการ์เพียงยักไหล่ตอบและกำลังจะอ้าปากพูดคำที่เลสเตอร์หวังว่าจะไม่ได้ยินที่สุด
“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง”
“นั่นไง” เลสเตอร์ยกมือสองข้างขึ้นก่ายหน้าผาก
ฮะการ์ไม่สนใจเจ้าเด็กแสบที่กำลังหงุดหงิดที่ไม่ได้รับคำตอบ
ชายชราสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วผิวปากออกมาหนึ่งครั้งซึ่งน่าประหลาดที่เสียงนั้นดังก้องอย่างประหลาดทั้งๆที่ผิวปากในที่แจ้งจนเลสเตอร์แอบสงสัยว่าฮะการ์ทำได้แต่ก่อนที่คิดเรื่องนั้นทุกคนในที่นี้ก็ได้ยินเสียงของบางสิ่งคำรามออกมาเสียงดัง
มังกรสีแดงสดขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากผืนฟ้าด้านหลัง
สายลมแรงจากความเร็วนั้นฉีกกระชากอากาศจนส่งเสียงดัง
มันบินหมุนวนอยู่เหนือปราสาทซักพักราวกับกำลังเล่นสายลมหลังจากนั้นมันก็ลงจอดลงบนพื้นที่ว่างอย่างนิ่มนวล
‘โคตรเท่’
เลสเตอร์คิดในใจแต่ตอนนั้นมีบางอย่างที่ทำให้เขาฉุกใจขึ้นมา
“เจ้านี่ เจ้าตัวเมื่อวันนั้นนี่”
เลสเตอร์นึกถึงมังกรขนาดใหญ่ที่บินวนอยู่เหนือปราสาทในวันแรกที่เขามาที่นี่
“ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ ข้าจะให้เจ้าจะได้นั่งสบายๆบนหลังของสเปียร์”
“สเปียร์?” เลสเตอร์ยังคงมองมังกรตรงหน้าอย่างประทับใจ
แม้ตอนนั้นจะเห็นบนฟ้าแต่พอมาอยู่ใกล้ๆแล้วความรู้สึกมันต่างกันคนละเรื่องถึงแม้จะไม่เท่าตอนที่เขาเห็นคอครัสก็เถอะ
ฮะการ์เดินไปลูบลำคอยาวของมันเบาๆ
เจ้ามังกรตัวใหญ่ก็ย่อตัวลงกับพื้นในระดับที่คนสามารถปีนขึ้นไปบนหลังมันได้
ฮะการ์ปีนขึ้นไปบนหลังเจ้าสเปียร์อย่างกระฉับกระเฉงในระดับที่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่านี่คือชายชราอายุเจ็ดสิบปี
เอลเลียตปีนขึ้นไปตามหลังราวกับเคยทำมาหลายครั้งแล้ว
“ขึ้นมาสิ” ฮะการ์กล่าวกับเลสเตอร์ซึ่งดูเหมือนจะยังประหม่าอยู่
สเปียร์เองก็เอนคอยาวของมันมามองทางเขาพร้อมกับส่งเสียงในลำคอเล็กๆเหมือนกับกำลังถามว่ารออะไรอยู่
‘ฉันประหม่าเพราะแกนั่นแหละ’
เลสเตอร์จิกสายตากลับใส่สเปียร์แล้วค่อยๆใช้มือทั้งสองข้างดันตัวเองขึ้นมาบนหลังของสัตว์ประหลาดยักษ์ขนาดสิบกว่าเมตร
“เจ้านี่ตัวใหญ่แค่ไหนเนี่ย”
“ราวสิบสามเมตรได้” ชายชราตอบคำถาม
“ใหญ่อีกนิดก็จะเท่าคอครัสแล้วมั้ยล่ะ” เลสเตอร์พูดยิ้มๆแม้จะประหม่าแต่เขาเองก็ให้ความสนอกสนใจมันไม่แพ้กัน
“จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เจ้าได้ขี่มังกรนี่นะ คงประหม่าไม่เบาล่ะสิ”
ฮะการ์หันไปบอกเลสเตอร์มือของชายชราจับแผงคอหนาที่คอของเจ้าสเปียร์ไว้แน่น
“ก็พอสมควร” เลสเตอร์ตอบไปตามตรง “ว่าแต่ตอนที่ผมมาที่นี่ปู่ก็ขี่มังกรพามาไม่ใช่เหรอ”
“ตอนนั้นเจ้าสลบ ข้าเลยไม่นับ”
“อาหะ” เลสเตอร์พ่นลมออกจากคอ เขาเองก็พอๆจะเดาได้ว่าฮะการ์ต้องตอบแบบนี้
“คล้องนี่ไว้กับหนามแล้วจับหนามไว้แน่นๆด้วย ไม่งั้นนายได้ตกลงไปแน่”
เอลเลียตพูดเตือนเขาพร้อมกับชี้ไปที่หนามหนาๆที่ผุดขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลังของเจ้ามังกรแล้วโยนเชือกเส้นใหญ่มาให้เขา
เลสเตอร์นำเชือกนั่นไปคล้องไวที่หนามหนาใหญ่ของเจ้าสเปียร์แล้วใช้อีกด้านนั้นคล้องเข้ากับเอวของตัวเอง
อย่างน้อยเชือกเส้นนี้ก็ช่วยปัดความกังวลใจว่าเมื่อเขาร่วงหล่นจากหลังมังกรแล้วต้องก็ยังมีบางอย่างฉุดเขาจากการดิ่งพสุธา
“อา...อืม ชอบใจนะ”
เลสเตอร์รู้สึกดีที่อย่างน้อยเอลเลียตก็ยังพูดกับคำด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ปกติถึงแม้ความรู้สึกเป็นมิตรจะหดหายจากครั้งแรกที่เจอกันก็เถอะ
“เนลลี่ ข้าขอฝากเจ้ากับดีเลียดูแลปราสาทระหว่างข้าไม่อยู่ด้วยล่ะ”
“รับทราบค่ะ ท่านฮะการ์” เนลลี่โค้งตัวรับคำสั่งอย่างนอบน้อม
“โชคดีที่เวสปาร์ทาวเวอร์อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงสี่ร้อยเอสทัน
ข้าคงกลับมาถึงที่นี่ราวหัวค่ำล่ะนะ”
เลสเตอร์ลองคาดการณ์ระยะทางที่ฮะการ์บอกด้วยหน่วยเอสทันดู
จากที่จำความได้หนึ่งในสี่เอสทันมีความยามราวหกร้อยเมตรดังนั้นหนึ่งเอสทันก็น่าจะมีความยาวราวๆสองพันสี่ร้อยเมตรหรือสองจุดสี่กิโล
เพราะงั้นระยะทางสี่ร้อยเอสทันก็แทบจะเกือบหนึ่งพันกิโลเมตรเลย
นั่นเป็นระยะทางที่เหลือเชื่อมากสำหรับเลสเตอร์ที่เติบโตในเวย์แลนด์
“งั้นเราจะไปกันล่ะนะ”
ฮะการ์พูดจบก็ออกแรงกดเบาๆที่แผงคอของเจ้าสเปียร์
เจ้ามังกรตัวใหญ่ส่งเสียงคำรามหนึ่งครั้งแล้วกางปีกบินไปสู่ฟากฟ้า
“เหวอ! นี่มันบ้าอะไรเนี่ย”
เลสเตอร์อุทานออกมาเพราะความเร็วลมจากการบินด้วยความเร็วสูงนั้นกำลังกระแทกหน้าเขาอย่างจัง
เขาต้องจับมือหนามให้แน่นเพื่อให้ตัวเองถูกลมพัดไป
พวกเขากำลังอยู่บนหลังมังกรด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าเหลือเชื่อ
“อย่าเกร็ง ผ่อนตัวไปตามสายลมบ้าง”
ฮะการ์พูดไล่หลังขณะที่กำลังควบคุมมังกรขนาดใหญ่ที่พวกเขากำลังขี่อยู่
เลสเตอร์ลองทำตามคำแนะนำโดยแอบกลัวๆซึ่งมันก็ได้ผลจริง
หลังจากลดแรงเกร็งแล้วเขาก็สามารถนั่งได้สบายขึ้นแม้แรงลมที่กระแทกหน้ามาจะยังแรงเหมือนเดิมแต่เขากลับไม่รู้สึกกว่าตัวเองจะถูกพัดลงไป
“สุดยอดเลย...”
เลสเตอร์ไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ได้
มันเป็นความรู้ที่ปนกันระหว่างความตื่นเต้น ความสุขและความกลัว
เขากำลังขี่มังกรบินอยู่บนฟากฟ้า
ความคิดเห็น