ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [WINNER + YG] The midnight knight [YOONWOO]

    ลำดับตอนที่ #22 : ** Special **

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 93
      1
      12 มี.ค. 58






     

    สเปเชี่ยล 1

     

            ร่างของแทฮยอนยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงนุ่มขนาดคิงไซต์ ผ้าห่มผืนหนาสีขาวสะอาดตาถูกห่มขึ้นมาปกปิดถึงช่วงหัวไหล่ของเด็กน้อย มีเพียงช่วงศีรษะเท่านั้นที่ไม่ถูกห่มปกปิดตามไปด้วย ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวดีกำลังหลับสนิท

     

                สองข้างเตียงมีสองแม่มดน้อยสายขาวนามอีฮาอีและอีซูฮยอนเฝ้าดูแลไม่ห่าง เฝ้าดูอาการบาดเจ็บของแทฮยอนมาข้ามวันข้ามคืนเพราะเกรงว่าถ้าแทฮยอนมีอาการทรุดลงไปสองสาวจะสามารถช่วยเหลือพยุงอาการภายในได้อย่างทันท่วงที

     

                ส่วนบาดแผลภายนอก คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ตัวยุ่ง ... บ๊อบบี้

     

                “อ่ะ ! เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ?”

     

                สองสาวแม่มดรีบชักไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาพรอมที่จะร่ายเวทย์มนใส่บุคคลที่เข้ามาใหม่ ผู้ที่เป็นมาร แต่กลับมอบหัวใจของตัวเองให้กับเทพที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงตรงหน้า ...

     

                ซงมินโฮ

     

                “ข้ามาดี” มารหนุ่มกลับใจยกมือขึ้นโบกน้อยๆ ให้สองแม่มดที่พร้อมจะร่ายเวทย์บางบทใส่ แม้ปากบางจะไม่ร่ายเวทย์แต่ไม้กายสิทธิ์ อาวุธของเหล่าแม่มดขาวทั้งสองก็ยังคงยื่นมาจ่อหน้าใส่มารหนุ่มผิวสีเข้ม “ข้าแค่อยากจะมาดูแลแทฮยอนบ้าง สักหนึ่งชั่วโมงก็ยังดี”

     

                “ไม่ !

     

                “แต่ข้าขอเถอะนะ ! ข้าขอแค่หนึ่งชั่วโมงจริงๆ”

     

                “แต่พวกข้าก็ไม่รู้นี่นาว่าภายในหนึ่งชั่วโมงนี่เจ้าจะทำอะไรเทพแทฮยอนบ้าง”

     

                “ข้าไม่คิดจะทำอะไรแทฮยอนเลย ข้ารักแทฮยอนมาก รักมากถึงขั้นจะฝากหัวใจของข้าให้แทฮยอนเลยด้วยซ้ำ” มินโฮทรุดตัวลงคุกเข่าหวังจะอ้อนวอนให้แม่มดทั้งสองเห็นใจบ้าง “ถ้าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ข้ายอมให้พวกเจ้าบุกเข้ามาได้เลย ถ้าเห็นข้าทำลายแทฮยอน ข้าจะอยู่ให้พวกเจ้าฆ่าข้าเลย”

     

                แม่มดน้อยทั้งสองหันมองหน้ากันสื่อสารผ่านทางสายตาก่อนพยักหน้าเนิบๆ เชิงเข้าใจกัน ว่าเวลานี้มินโฮไร้ซึ่งพิษภัยใดๆ อีกอย่าง ถ้ามินโฮกล้าทำอะไรแทฮยอน ยังไงก็ไม่รอดพ้นมีดลงอักขระที่จินอูเป็นผู้ถือเอาไว้

     

    “ตกลง ถ้าครบหนึ่งชั่วโมงแล้วพวกข้าจะเข้ามา อย่าคิดทำลายเทพแทฮยอนแม้แต่ปลายเล็บนะ ไม่งั้นข้าจะบอกให้เทพจินอูมาฆ่าเจ้าแน่”

     

    แม่มดน้อยซูฮยอนเก็บไม้กายสิทธิ์ลงกระเป๋าเสื้อคลุมตัวยาว มินโฮพยักหน้าให้อย่างเข้าใจดีแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้เตียงใหญ่ที่มีร่างไร้สตินอนอยู่

     

    ปล่อยให้สองแม่มดน้อยย่างเท้าสั้นๆ ออกจากห้องไป

     

    แม้จะมีเก้าอี้วางอยู่ข้างเตียง แต่มินโฮกลับไม่เลือกนั่ง ทิ้งตัวลงนั่งเบาๆ ที่เตียงใหญ่เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนที่หลับสนิท เอื้อมมือหนาไปเกลี่ยเส้นผมอ่อนนุ่มสีน้ำตาลที่ปรกอยู่ข้างแก้มเนียนออกอย่างเบามือที่สุด

     

    “อือ ...”

     

    มินโฮดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว เมื่ออยู่ดีๆ ร่างที่นอนอยู่ก็เริ่มครางอือในลำคอ ใบหน้าหวานหันไปมาก่อนค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกระพริบถี่เพื่อปรับสภาพสายตาให้รับกับแสงสว่างที่เห็น เมื่อสายตาคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแล้ว ดวงตาของแทฮยอนก็สะดุดกับใครบางคนที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ กับตัวเอง

     

    ร่างของมารหนุ่มยิ้มให้เทพเด็กอย่างดีใจที่ใครบางคนมีสติฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมทั้งช่วยคนที่เพิ่งตื่นพยุงตัว แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแทฮยอนสะบัดตัวเองออก แล้วขยับตัวออกห่างจากมินโฮไปที่ฝั่งเตียงอีกข้างอย่างร้อนรน

     

    “แทฮยอน ...”

     

    “ออกไป” เสียงแผ่วแกมแหบเพราะลำคอที่แห้งผากของแทฮยอน พร้อมกับร่างกายที่สั่นเทาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มือของเจ้าตัวกำชายผ้าห่มแน่นจนยับยู่คามือ สายตาของแทฮยอนแข็งกร้าวจนมินโฮต้องมองแทฮยอนด้วยความไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรทำไมถึงได้มีท่าทีรังเกียจขนาดนั้น “ข้าบอกให้ออกไป ออกไป ได้ยินไหม ออกไปสิ !

     

    บรรดาข้าวของที่อยู่ใกล้มือของเด็กน้อยปลิวว่อนด้วยแรงขว้างปา มินโฮทำได้แค่หลบลงไปนอนหมอบอยู่ที่พื้นข้างเตียงใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าข้าวของใกล้มือเด็กน้อยหมดลงแล้ว มารหนุ่มจึงได้กระโจนตัวเองขึ้นมาบนเตียงอีกครั้ง เข้าประชิดตัวเด็กน้อยแล้วโอบกอดกดใบหน้าของผู้เป็นเทพให้ฝังลงกับแผ่นอกของตัวเอง แทฮยอนที่อยากจะขัดขืนแต่ไร้เรี่ยวแรงเพราะเพิ่งฟื้นจากการหมดสติไปนานทำได้แค่ยกมือขึ้นฟาดมารหนุ่มแข็งแรงเบาๆ ไม่อาจฝืนสภาพร่างกายตัวเองและความแข็งแกร่งของอีกคนได้เลย

     

    ปล่อยให้ความอ่อนแอฉุดตัวเองลงบ่อน้ำตาอีกครั้ง ระบายทุกสิ่งทุกอย่างผ่านน้ำตาอุ่น ...

     

    เกลียดคนที่กอดตัวเองอยู่ตอนนี้เหลือเกิน

     

    “แทฮยอน ...”

     

    “ปล่อยข้า ปล่อยข้านะซงมินโฮ ข้าเกลียดเจ้า”

     

    ริมฝีปากซีดเผือดระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมา แต่มินโฮไม่สนใจในคำพูดที่พ่นออกมานั้น พลางกระชับกอดแน่นขึ้น แต่ไม่ทิ้งความอบอุ่นไป

     

    “แต่ข้ารักเจ้า รักเจ้ามากที่สุด นัมแทฮยอน” รูม่านตาของเด็กน้อยในอ้อมกอดขยายขึ้นพร้อมๆ กับอาการนิ่งเงียบราวกับช็อกเพราะประมวลคำพูดของคนที่เหนือกว่าไม่ทัน “ข้าขอเพียงแค่โอกาส แทฮยอน ขอโอกาสให้ข้าได้ดูแลและรักเจ้านะ”

     

    “แต่ ...”

     

    “เถอะนะแทฮยอน ซึงยูนกับท่านพี่จินอูให้โอกาสข้าแล้ว ข้าขอโอกาสจากเจ้าบ้างได้หรือไหม ?”

     

    “ถ้าท่านพี่จินอูให้โอกาสเจ้าแล้วจริงๆ ข้าคงไม่อาจขัดอะไรได้อีกแล้ว”

     

    คำตอบจากคนในอ้อมกอดเรียกความมั่นใจของมินโฮให้กลับมาอีกครั้ง มินโฮจูบซับเบาๆ ที่กลุ่มผมนุ่มสลวยสีน้ำตาลอ่อน การกระทำที่แสนอ่อนโยนจากมารหนุ่มกลับใจเรียกให้หัวใจที่เคยบาดเจ็บจากความจริงค่อยๆ ยอมรับและสั่นระรัวขึ้น พองโตเกินที่แทฮยอนจะควบคุมไหว

     

    “ข้ารักเจ้า ข้ารักเจ้าเหลือเกิน นัมแทฮยอน”

     

    แม้แทฮยอนจะไม่พูดจาแต่แขนที่โอบกอดร่างหนาก็สามารถเป็นคำตอบที่ไร้เสียงได้แล้วว่า ...

     

    ข้าเองก็รักเจ้าไม่ต่างกัน ซงมินโฮ

     

    XXXXX

     

    สเปเชี่ยล 2

     

            “ข้ารักเจ้า ข้ารักเจ้าเหลือเกิน นัมแทฮยอน”

     

                เสียงทุ้มของมารหนุ่มดังเล็ดลอดออกมาจากห้องของเทพแทฮยอนเป็นคำพูดที่แสนเจ็บปวดสะกดให้คนที่ยืนเงี้ยหูฟังอยู่หน้าห้องอย่างเสียมารยาทในเวลานี้ต้องเจ็บปวดจริงๆ

     

                เวลานี้นอกจากจะมีแม่มดน้อยทั้งสองยืนรออยู่หน้าห้องแล้ว ยังมีแพทย์ตัวยุ่งเจ้าของฟันกระต่ายรอเข้าดูอาการประจำวันด้วย

     

                บ๊อบบี้ ...

     

                ย่ามที่ใส่ยาเอาไว้หล่นลงพื้น โชคดีที่ย่ามหนาพอสมควร ขวดยาสารพัดจึงไม่แตกหรือเสียหายไป

     

                นี่เขาโง่มานานขนาดนี้เลยหรือ ?

     

                โง่จนที่ผ่านมาดูไม่ออกว่าจริงๆ แล้วทั้งแทฮยอนที่เขาซื่อสัตย์ด้วยมาตลอดกับมินโฮมารหนุ่มที่คิดจะทำลายดินแดนแห่งนี้นั้นมีใจให้กัน

     

                ทำได้แค่ให้หัวใจบีบรัดความเจ็บปวดเอาไว้ กำมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น อยากจะกลั่นให้น้ำตาไหลออกมาแต่กลับไม่มีสักหยด อาจเป็นเพราะความเข้มแข็งค้ำคอมาเสมอ ...

     

                ร่างกายสั่นทึ่มขึ้นมาไม่อาจรอดพ้นสายตาของสองแม่มดได้ ...

     

                “บ๊อบบี้ ท่าน ...”

     

                “ข้า ... ข้าขอตัวไปดูเจ้าชายก่อนนะ”

     

                แล้วแพทย์ตัวยุ่งที่เคยอารมณ์ดีตลอดเวลาก็ก้มลงหยิบย่ามยาขึ้นพาดบ่าแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้สองแม่มดน้อยสงสัยในการเปลี่ยนแปลงของแพทย์ตัวยุ่ง

     

                ราวกับไม่ใช่บ๊อบบี้ ...

     

     

     

     

                อีชานฮยอกพ่อมดน้อยนั่งเฝ้าเจ้าชายยุนฮยองที่นอนเปลือยกายด้านบนอยู่เพราะถูกผ้าพันแผลพันกายเอาไว้หลายทบชั้น เจ้าชายยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงใหญ่หลังจากทานยาเสร็จไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน แต่ทันทีที่ประตูไม้กั้นห้องถูกเคาะแล้วเปิดออก ชานฮยอกก็หันไปมองผู้ที่เข้ามาใหม่

     

                “บ๊อบบี้ ... มาแล้วหรือ ?”

     

                “อืม ...” ชานฮยอกสงสัยในอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของบ๊อบบี้แทบจะทันที ปกติแล้ว เจ้าแพทย์ตัวยุ่งจะร่าเริงสดใส เข้ามาพร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ และรอยยิ้มกว้างโชว์ฟันกระต่ายที่เป็นเสน่ห์ของตัวเอง แต่วันนี้กลับเข้ามาแบบเงียบๆ ถามคำตอบคำ อาการแบบนี้ทำเอาชานฮยอกรู้สึกอึดอัดไปด้วยเลย “ชานฮยอก ออกไปด้านนอกก่อน”

     

                บ๊อบบี้วางย่ามยาลงบนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียงอย่างเบามือเพื่อไม่ให้สารพัดยาเสียหาย ชานฮยอกที่เห็นแพทย์ที่เคยร่าเริงทำหน้ายุ่งก็รู้งาน พยักหน้าสองถึงสามทีก่อนก้าวเท้าฉับๆ ออกนอกห้องไป

     

                เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ยุนฮยองค่อยๆ ลืมตาตื่น แต่เพราะผ้าพันแผลหนาทำให้ขยับตัวได้ลำบาก เจ้าชายคนเก่งจึงเลือกที่จะนอนนิ่งๆ

     

    “บ๊อบบี้”

     

    “ตื่นแล้วหรือเจ้าชาย ? พอดีเลย ข้ากำลังทำแผลให้ท่าน และท่านจะได้ท่านยาด้วย”

     

    บ๊อบบี้เปิดย่ามออกแล้วจัดการหยิบสารพัดยาที่เจ้าตัวพกมาออกวางไว้จนเต็มโต๊ะเล็ก แต่ยังไม่ทันที่จัดยาเสร็จ มือของผู้เป็นเจ้าชายก็เอื้อมไปจับแผ่วเบาที่มือหนาของเด็กฟันกระต่าย

     

    “วันนี้เจ้าดูไม่ร่าเริงเลย ...” คำพูดเสียงเบาทำเอาคนฟังถึงกับเหนื่อยที่หัวใจ ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง ก้มหน้าลงซ่อนอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อคิดถึงคำบอกรักหวานของมารหนุ่มกับคนที่ตนรักมากที่สุด “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?”

     

    ก็อยากจะบอกออกไปว่าเรื่องที่ได้ยินมาทำให้เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน ...

     

    เจ็บปวดกับการรักข้างเดียวมาตลอด และไม่เคยได้รับความรักนั้นกลับคืนมา

     

    “ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าชาย ข้าทำแผลให้นะ”

     

    ร่างของแพทย์ตัวยุ่งลุกขึ้นเอื้อมมือปลดผ้าพันแผลบนตัวของเจ้าชายยุนฮยองออก เผยให้เห็นผิวหนังขาวใสที่เต็มไปด้วยบาดแผลเปื้อนเลือดสีทอง รวมถึงรอยถลอกที่มีเต็มไปหมดทั่วทั้งตัวแขนขา

     

    แทบไม่เหลือพื้นที่ให้มองเห็นผิวหนังใส

     

    บ๊อบบี้เริ่มทำแผลของเจ้าชายอย่างเบามือที่สุด ก่อนปิดแผลด้วยผ้าพันแผลที่ไม่หนาเท่าครั้งก่อน เนื่องจากว่าแผลใหญ่เริ่มสมานและรอยลอกที่เริ่มตกสะเก็ด ส่วนเรื่องแผลเป็นคงต้องพึ่งเวทย์มนของพ่อมดแม่มดน้อย

     

    “ขอบใจนะ”

     

    “มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ส่วนยาที่ท่านจะต้องทาน ข้าจัดเตรียมไว้ให้ท่านแล้วนะ อย่าลืมทานยาเสียล่ะเจ้าชาย”

     

    เก็บยาที่ตนต้องเก็บกลับไปเข้าย่าม ก่อนจะยกขึ้นสะพายพาดบ่า พร้อมหันหลังเตรียมจะเดินออกจากห้องเพื่อให้ชานฮยอกมาเฝ้าเจ้าชายต่อ แต่เจ้าชายคว้ามือของบ๊อบบี้ไว้อีกครั้ง จนเจ้าตัวยุ่งชะงักแล้วหันมาหลุบตามองร่างของเจ้าชายที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่อย่างงุนงง

     

    “บ๊อบบี้ ข้าพอรู้นะว่าเจ้าไม่สบายใจเรื่องอะไร ?” ยุนฮยองว่าพลางหลุบตาลงต่ำ หลบสายตาเรียวเล็กแฝงไปด้วยความหมายหลายอย่างที่เจ้าชายคนเก่งอยากจะหลีกเลี่ยง “ขอเป็นข้าได้ไหม ? ที่จะช่วยเจ้าคลายความทุกข์ในหัวใจของเจ้า”

     

    สิ้นประโยค ใบหน้าของเจ้าชายก็แดงเรื่อ มือบางยังคงจับมือหนาของคนที่ยังยืนอยู่แน่น ไม่สนใจว่าเจ้าตัวยุ่งจะอึดอัดแค่ไหน

     

    “...”

     

    มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ เจ้าชายแอบหวั่นวิตกในใจจนต้องยอมคลายมือออก รวบรวมความกล้าที่เคยสูญเสียไปชั่วขณะนั้นสบตาบ๊อบบี้อีกครั้ง

     

    “ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจกับคำพูดของข้านะ เจ้าก็ลืมๆ ไปเสียเถอะ คิดซะว่าข้าไม่เคยพูดแล้วกัน ออกไปเถอะ ข้าต้องการพักผ่อน”

     

    เปลือกตาเริ่มปิดลง หวังจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งเพื่อไม่ให้ตัวเองเห็นหน้าคนที่ทำให้ใจหวั่นไหวรู้ตัวดีว่าเวลานี้ตนนั้นคงไม่สามารถหลอมละลายหัวใจของแพทย์ตัวยุ่งได้ ตราบใดที่บ๊อบบี้ยังมีแต่แทฮยอน ต่อให้เป็นเจ้าชายหรืออะไรหน้าไหนก็ไม่สามารถแทรกแซงเข้าไปอยู่ในหัวใจของบ๊อบบี้ได้

     

    แต่ยุนฮยองก็ต้องเบิกตากว้างอีกครั้งรู้สึกได้ถึงไออุ่นของปลายจมูกและริมฝีปากที่แนบลงบนแก้มของตน รีบหันควับไปมองคนที่ฉวยโอกาสตนอย่างคิดเอาเรื่อง แต่ดูเหมือนคนที่ไม่บาดเจ็บจะอยู่เหนือกว่ารีบเด้งตัวออกห่างแต่ไม่มากนัก

     

    “ขอโทษทีนะเจ้าชาย พอดีข้าความจำดี เรื่องอะไรที่เข้าสมองข้าไปแล้วยากที่จะลืมเลือน”

     

    แล้วเจ้าตัวยุ่งก็ก้มตัวลงฝากจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากบางของเจ้าชายที่ยังคงนอนเอ๋ออยู่ พอขโมยจูบได้แล้วเจ้าตัวยุ่งก็วิ่งลิ่วตัวปลิวออกไปจากห้องทันที

     

    เจ้าชายคนเก่งที่นอนกระพริบตาปริบๆ รวบรวมสติให้กลับคืนมา ...

     

    “ย่าห์ ! คิมจีวอน เจ้าตัวยุ่ง หมอนิสัยไม่ดีมาทำให้เขินแล้วจากไปอย่างนี้มันใช้ได้ทีไหน ? แบบนี้มันน่าสั่งคุมขังเสียให้เข็ด โอ้ย !

     

    เจ้าชายคนเก่งร้องโอดครวญทันทีที่ขยับตัวดิ้นด้วยความเขิน แต่คงลืมไปว่าตัวเองมีบาดแผลอยู่เต็มกาย ผลที่ได้กลับมาคือความเจ็บปวดจากบาดแผล

     

    บ๊อบบี้ที่วิ่งออกมานอกห้องเวลานี้ยืนพิงประตูไม้บานเขื่อง ใบหน้าหล่อคมกำลังอมยิ้มกับเสียงโวยวายที่แสนจะน่ารักของเจ้า

     

    “ข้ายอมให้ท่านสั่งคุมขังข้าไปตลอดชีวิตเลย เจ้าชายยุนฮยอง”

     

    แต่ว่า ต้องขังข้าในหัวใจของท่านนะ ...

     

    ตกลงไหม ?

     

    XXXXX

     

    สเปเชี่ยล 3

     

                “ข้าว่า เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมดีกว่านะ ซึงฮุน”

     

                “ทำไมล่ะจินอู ? ข้าไม่ดีตรงไหนหรือ ?”

     

                “เปล่าๆ เจ้าดีหมดทุกอย่างเลย เพียงแต่ว่า ...”

     

                “เพราะว่าข้าดูเพี้ยนๆ เจ้าอายเพราะมีคนรักเพี้ยนๆ แบบข้าใช่หรือไม่ ?”

     

                “เปล่านะซึงฮุน ... เจ้าเป็นคนดีมากเลยนะ เพียงแต่ข้าคิดว่าถ้าเรากลับไปเป็นเพื่อนกัน อะไรๆ มันอาจจะดีกว่านี้”

     

                คำว่าอะไรๆ มันอาจจะดีกว่านี้มักจะดังอยู่ในสมองของผมตลอดเวลาที่ผมเห็นหน้าจินอู แต่ผมก็หวังเอาไว้เสมอนะสักวันเวลาที่ผมเห็นหน้าจินอู ผมจะทำได้ตามที่ตัวเล็กขอ

     

                ช่วงนี้คงต้องอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไปก่อน

     

                เพราะอย่างที่ผมเคยบอก จินอูบริสุทธิ์เกินไปที่จะทอดทิ้งได้ลงคอ

     

                แต่รู้ไหม ? กว่าผมจะทำใจยอมรับความจริงข้อนี้ได้ก็ใช้เวลานานอยู่พอสมควร ...

     

     

     

     

                งานเลี้ยงเต้นรำวันเกิดจินอู ผมกลัวว่าผมจะถูกทอดทิ้งให้เดียวดายหรือไม่มีใครสนใจผม ผมเลยจับอี๊ฮีน้องรักแต่งตัวให้สวยเด้งไม่แพ้เทพีอื่นๆ ในงานเลย ส่วนผมสวมแค่สูทสีดำธรรมดาที่ทับเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกหูกระต่ายพอเป็นพิธีและหน้ากากสีเทาอ่อนปกปิดใบหน้าช่วงบนเอาไว้

     

                และเป็นจริงตามที่ผมคิด เพราะผมถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวจริงๆ ไม่มีใครสนใจผมเลยนอกจากซึงยูน นักเรียนเพียงชั่วคราวของผมที่มาถามหาจินอูกับผมและก็จากไปกับหญิงสาวปริศนาที่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตา

     

                คิดไม่ผิดจริงๆ ที่พาอี๊ฮีมาด้วย TT

     

                “อี๊ฮี ดูขนมปังพวกนี้สิ น่ากินทั้งนั้นเลย” ผมหยิบขนมปังเคลือบครีมขึ้นมาจากถาดแล้วส่งให้อี๊ฮีดม ลูกสุนัขในอ้อมแขนผมทำจมูกฟุดฟิดๆ ก่อนจะแลบลิ้นหวังจะลิ้มชิมรสของกินที่อยู่ในมือของผม แต่ผมกลับไวกว่าชักขนมปังชิ้นนั้นออก “ไม่ได้นะ อี๊ฮีกินอันนี้ไม่ได้ ช็อกโกแลตเป็นสิ่งต้องห้ามของลูกหมาเลยนะ”

     

                แล้วผมก็จัดการส่งขนมปังชิ้นเล็กๆ นั้นเข้าปาก อี๊ฮีเหมือนงอนผมครับ เห่าออกมาเบาๆ หนึ่งทีก่อนหันหน้าแหลมๆ มองไปทางอื่น

     

                จะงอนทำไมกันเล่า ! ก็ถ้าอี๊ฮีกินช็อกโกแลต อี๊ฮีอาจจะป่วยได้นะ

     

                เข้าใจพี่ชายหน่อยสิ

     

                “โอ๋ๆ เดี๋ยวพี่ชายให้กินไก่ดีกว่าเนาะ อี๊ฮีกินไก่ได้ พี่ชายจะไม่ขัดอี๊ฮีเลย”

     

                และดูเหมือนว่าลูกสุนับในอ้อมแขนผมจะเข้าใจครับ หันมามองผมตาโตหวานเยิ้มเชียว ผมไม่ขัดอะไรก่อนจะเดินพาลูกสุนัขในอ้อมแขนไปที่โต๊ะที่วางของคาวที่ถูกจัดไว้ใกล้ๆ เอื้อมมือหยิบไก่ย่างไม้เล็กๆ ที่เหลือเพียงไม้เดียวหวังจะเอามาให้ลูกหมาในอ้อมแขน

     

                แต่ ...

     

                เหมือนกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วจะใจตรงกัน เอื้อมมือมาหยิบไก่ไม้นั้นพร้อมๆ กันกับผม

     

                แย่งหรือ ?

     

                ทั้งผมและเธอหันมองกัน แต่เพราะมีหน้ากากปกปิดใบหน้าของเราทั้งสองเอาไว้ จึงไม่เห็นว่าใบหน้าสวยที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากสวยนั้นคือใคร ?

     

                “นี่ ! เจ้าน่ะ ปล่อยมือออกจากไก่ของข้าเดี๋ยวนี้นะ !

     

                เสียงหวานแกมบังคับไม่ได้ทำให้ต้องยอมทำตามเลย ผมหลุบตามองมืออีกข้างก็เธอก็ต้องเห็นจานเซรามิกเนื้อดีใบโตที่เต็มไปด้วยสารพัดอาหารมากมายจนแทบไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับวางอาหารอื่นอีกแล้ว

     

                “ท่านนั้นแหละที่ต้องปล่อย ไม้นี้ข้าเห็นก่อนนะ อีกอย่าง อี๊ฮีของข้าก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน”

     

                “อี๊ฮี ?” แล้วเจ้าหล่อนก็หลุบตามองลูกสุนัขหน้าแหลมตาโตในอ้อมแขนของผม ริมฝีปากบางยกยิ้มก่อนจะเหลือบสายตาหวานมองผม “อีซึงฮุน เจ้าเป็นผู้ชายนะ ควรจะเสียสละให้ผู้หญิงก่อนสิ”

     

                หืม ? รู้จักผมหรือ ?

     

                “อ่อ ... ท่านพี่พัคบมนี่เองสินะ” ที่ผมรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าที่เปิดศึกแย่งไก่เป็นใครเพราะชุดเจ้าหล่อนที่แตกต่างจากชุดของเทพีอื่นๆ โดยสิ้นเชิง หญิงสาวอื่นๆ สวมเป็นชุดราตรียาวทรงสุ่มฟูฟ่อง ในขณะที่ท่านพี่พัคบมจะชอบสวมเดรสสั้นเพื่ออวดเรียวขางามของตัวเอง “แต่ว่าท่านอายุมากกว่า ท่านควรเสียสละให้ผู้ที่อายุน้อยกว่าสิถึงจะถูก”

     

                “ย่าห์ ! อีซึงฮุน !

     

                “ขึ้นเสียงใส่ข้าทำไม ?”

     

                เสียงคำรามของเธอแทบจะทำให้หูของผมแตกแล้วครับ ทำไมพระเจ้าต้องใจร้ายให้ผมต้องเถียงกับเทพีปากร้ายนิสัยชอบโวยวายแบบนี้ด้วยเนี้ย ?

     

                ท่านพี่พัคบมวางจานอาหารลงกับโต๊ะ และกำไม้ไก่ย่างที่กำลังเยื้อแย่งกับผมอยู่มากขึ้น

     

                เปิดศึกชิงไก่ย่างในงานเต้นรำหรูหรา มันใช่เรื่องไหมเนี้ย ?

     

                “ปล่อย !

     

                “ข้าไม่ปล่อย ! อี๊ฮีก็หิวเป็นนะ”

     

                “อีซึงฮุน เจ้าไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย”

     

                “ท่านพี่พัคบมก็ไม่น้ำใจเหมือนกัน !

     

                “ย่าห์ ! อีซึงฮุน !

     

                ยังไม่ทันที่ผมกับท่านพี่พัคบมจะเถียงกันจบเรื่องจบราว เสียงเพลงในโถงก็เงียบลงก่อนที่เสียงเครื่องเป่าจะดังอยู่นอกตัวปราสาทมุก ถ้าผมจำไม่ผิด มันคือเสียงแตรสังข์รับขบวนเจ้าชายไม่ใช่หรือ ?

     

                “เจ้าชาย ?”

     

                แย่จัง เวลานี้ผมกลับลืมดาบเอาไว้ที่บ้าน นี่ผมต้องกลับไปเอาดาบใช่ไหมเนี้ย ?

     

                ผมโยนอี๊ฮีสุดที่รักให้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของท่านพี่พัคบม

     

                “เฮ้ !

     

                “ฝากอี๊ฮีสุดที่รักของข้าด้วย ส่วนไก่ข้ายกให้ท่านแต่แบ่งให้อี๊ฮีด้วยจะดีมาก”

     

                “เจ้าจะไปไหน ?”

     

                ไปเอาดาบอยู่ที่บ้าน คืนนี้เป็นคืนจันทราสีเงินด้วย ข้าหวั่นใจอย่างไรบอกไม่ถูก”

     

                ผมหมุนตัวเตรียมจะวิ่งออกไปทางด้านข้างของปราสาทมุก เพราะถ้าไปทางด้านหน้าคงติดขบวนเจ้าชายแน่ๆ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้า เสียงของหญิงสาวที่ผมมอบหมายให้ดูแลอี๊ฮีก็ดังขึ้นเรียกความสนใจให้ผมหันไปยิ้มให้

     

                “อีซึงฮุน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี เข้าใจไหม ?”

     

                “ท่านเป็นห่วงข้าหรือไง ?”

     

                “ย่าห์ ! อย่าเข้าข้างตัวเองนักเลย”

     

                ผมยิ่งยิ้มกว้างเมื่อเห็นดวงตากลมโตราวกับดวงตาของตุ๊กตาหลุบลงต่ำ หลบความเขินใช่ไหม ? ท่านพี่พัคบม

     

                “ข้าก็เป็นห่วงท่าน” ถ้าไม่มีหน้ากากปกปิดใบหน้าของหญิงสาวผมคงได้เห็นใบหน้าสีแดงเรื่อบนใบหน้าเนียนสวยนั้นแน่ๆ “ท่านพี่ก็ดูแลตัวเองและอี๊ฮีให้ดีนะ โดยเฉพาะ ... ตัวของท่าน”

     

                เอาเป็นว่า ผมค่อยมาถามเอาทีหลังแล้วกันว่าท่านพี่พัคบมเป็นห่วงผมแบบไหน ...

     

                แล้วคุณล่ะ ? เดาว่าอย่างไร ?

     

    XXXXX

     

    เป็นสเปเชี่ยลที่จบแบบไม่รู้เรื่อง มึนๆ งงๆ เอ๋อๆ 555555555555

    ขอบคุณมากๆ นะคะที่ติดตามกันจนถึงสเปเชี่ยล ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ (^/l\^)

     

    PS. หลังจากที่จินอูทะลุมิติมาหาซึงยูน กลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้วนั้น

    ขอเชิญรีดเดอร์มโน หรือจิ้นกันตามอัธยาศัยค่ะ

    เพราะถ้าให้เจ๊ตีบเขียน มีหวังหมดภาพลักษณ์ของฟิคใสๆ เป็นแน่ 5555555555555


    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×