คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : - Ankylose - Chapter.14
TALK ::
มาอัพอีกแล้วค่า^^~ เบื่อหน้ากันรึยังน้อ ฮ่าๆๆ
ไม่อยากให้รอกันนานจนเบื่อเรื่องนี้กันหมดแล้วเลยพยายามเอามาลงให้เร็วที่สุดค่ะ ><
อัพครั้งหน้า...จะพฤหัสหรือศุกร์ต้องขอดูอีกทีนะค้า~
ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากๆนะคะ มีกำลังใจมากเลยค่ะ^^
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะที่ติดตาม~
Chapter.14
“ปั๊มปัมป่าม~มม”
เสียงแหบหวานอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นภายในห้องแต่งตัวสีสะอาดตา ในขณะที่กำลังรออัดรายการ เหล่าสตาฟยังคงเดินไปเดินมาอย่างวุ่นวาย ทั้งยังมีเสียงพูดคุยให้ได้ยินไม่ขาด แต่ดูเหมือนเจ้าของเสียงนั้นก็ยังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นจุดสนใจเพียงใด เอาแต่ทำท่าเต้นประหลาดพร้อมๆกับร้องเพลงให้เข้าจังหวะอยู่กลางห้องอยู่อย่างนั้น
แม้ฟังดูแปลกหูและชวนให้หัวเราะเพราะน้ำเสียงน่ารักนั้นมากเพียงใด แต่ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องที่เหล่าสตาฟและผู้ร่วมงานอื่นๆชินตาและชินหูกันไปหมดแล้ว จึงมีเพียงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเล็กๆให้กับเจ้าของเสียงที่ทำท่าดุ๊กดิ๊กอยู่กลางห้องแต่งตัวนั้น
ดวงหน้าหวานสดใสยังคงมีรอยยิ้มน่ารักแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าในขณะที่ยังคงขยับแขนขาเต็มที่เพื่อเต้นอะไรต่อมิอะไรต่อไปโดยไม่ได้สนใจสายตารอบข้างที่มองตนเองอย่างเอ็นดูปนกับขำขันเท่าใดนัก
“พี่จุนซู หยุดสักทีเถอะฮะ ผมปวดหัวจะตายอยู่แล้วนะ”
น้องชายสุดท้องของวงทำหน้าเบ้ในขณะที่ยังคงหยิบของกินที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะสีสะอาดเข้าปากเคี้ยวตุ้ย จุนซูขมวดคิ้วก่อนที่จะหันมาเอ่ยตอบ
“ยุ่งอะไรด้วยเล่า! ปวดหัวก็อย่ามองสิ! ป๊ามปาม~ปั่ม~”
ดูเหมือนการที่เจ้าน้องชายตัวสูงพยายามบอกเป็นนัยว่าเห็นแล้ว ‘รำคาญสายตา’ จะไม่ได้เข้าไปอยู่ในห้วงความคิดและโสตประสาทของคนตัวเล็กนี้เลยแม้แต่นิดเดียว!
ชางมินยกมือขึ้นมาเท้าคางพร้อมกับถอนหายใจออกมากับท่าทีของรุ่นพี่ตัวเล็กในวง ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนหรืออะไร ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเลยสักนิดว่าร่างเล็กๆที่กำลังเต้นดุ๊กดิ๊กไปมาตรงหน้านี่อายุมากกว่าเขาตั้งเกือบสองปี
ก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ถึงแม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วพี่จุนซูเป็นคนสดใสร่าเริง
ถึงจะหัวรั้น แถมยังชอบทำตัวเอาแต่ใจเหมือนเด็กไม่มีผิด
แต่จริงๆแล้วก็มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่
ทั้งยังลึกซึ้งและบริสุทธิ์ไม่ใช่เหรอ
?
“พี่จุนซู ถ้าพี่ยังไม่หยุดเต้นแล้วร้องเพลงเหมือนคนบ้าแบบนี้ ผมจะกินไอ้นี่ให้หมดแล้วนะ!”
‘ไอ้นี่’ ที่ว่า ชางมินหมายถึงเค้กบราวนี่สีเข้มน่าทานก้อนกลมสวยที่นอนนิ่งอยู่บนจานสีสะอาดที่ราวกับกำลังเอ่ยชวนให้เขาลงไปลิ้มรสหอมหวานของมัน และแน่นอนว่าสำหรับคิม จุนซูนั้น
“อ๊า~! ไม่ได้นะ ฉันไม่ให้! ไม่ให้!”
เสียงโลมาคุ้นหูร้องก่อนที่เจ้าตัวจะรีบพุ่งมาป้องกันเค้กบราวนี่ของรักของหวงไว้แทบจะในทันทีอย่างรู้ทันนิสัยการกินของผู้เป็นน้องชาย
ก็ขึ้นชื่อว่า ชิม ชางมิน แล้ว
เรื่องของกินน่ะเผลอได้ซะที่ไหนกันล่ะ!
“นายกินมันไปตั้งสามชิ้นแล้วนะชางมิน! สามชิ้นนะ! สามชิ้น! นี่นายยังจะบอกว่าจะกินของฉันได้อีกเหรอ!?”
“อย่าพูดเหมือนชิ้นมันใหญ่นักสิพี่”
เจ้าเด็กแสบตัวสูงทำท่ายักไหล่ก่อนที่จะหันซ้ายหันขวามองหาของกินต่อจนจุนซูต้องเผลอถอนหายใจให้กับเจ้าของกระเพาะหลุมดำที่ดูเหมือนกินอะไรลงไปแล้วก็ไม่ทำให้อิ่มเสียที
“จะไปไหนก็ไปเลย! อย่ามายุ่งกับบราวนี่ของฉันนะ!”
คนตัวเล็กทำเสียงขู่ฟ่อพร้อมค้อนวงโตที่พยายามจะทำให้ดูน่ากลัวแต่ความจริงแล้วกลับน่ารักเสียจนชางมินต้องอมยิ้มขำ โรคชอบแกล้งพี่ชายหน้าหวานที่กลายเป็นนิสัยก็ทำให้ต้องเผลอตัวไปทุกครั้ง
เพราะจู่ๆมือของตนเองก็ไปดึงจานบราวนี่จากการป้องกันของคนร่างเล็กที่กำลังเผลอมาไว้ในมือตนเองเสียแล้ว
“อ๊า~!!”
เสียงร้องโลมาอันเป็นเอกลักษณ์ของคิม จุนซูสามารถเรียกร้องความสนใจจากเหล่าทีมงานทุกคนได้ไม่ยากเลย ภาพของน้องคนสุดท้องของวงที่กำลังยกจานบราวนี่ขึ้นสูงสุดมือกับคนตัวเล็กที่พยายามยื้อคอเสื้อน้องชายตัวสูงแล้วกระโดดเหยงๆอย่างไม่กล้ารุนแรงมากนักเพราะกลัวเค้กจะตก ทำให้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะปรากฏบนใบหน้าทุกคนที่มองเห็นภาพนั้น
แต่คงไม่ใช่กับใครคนหนึ่ง
“เอาคืนมานะ~ เอาบราวนี่เค้าคืนมาน้า~!”
เสียงง้องแง้งปนไม่พอใจดังขึ้นจนชางมินต้องหัวเราะออกมาก่อนที่จะแกล้งทำตัวโยกไปโยกมาให้คนตัวเล็กหวาดเสียวว่าเค้กจะตกอย่างจงใจ
“เรียกผมว่า ‘พี่’ ก่อนสิ แล้วจะคืนให้ ฮ่าๆ”
“ชิมชางมิน!!”
คราวนี้เสียงแหลมเล็กร้องแหวขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองชัดเจน แก้มกลมขึ้นสีเข้มเพราะความไม่พอใจที่ถูกแกล้งจากเจ้าน้องชายตัวดีไม่เลิก ไม่ว่าจะมองมุมไหนมันก็ช่างเป็นเรื่องน่าหัวเราะของชิม ชางมินไปซะหมดจริงๆ
“เสียงดังชะมัดเลยจุนซู”
เสียงทุ้มพร่าอันคุ้นเคยที่ดังมาจากฝั่งด้านข้าง ร่างโปร่งของยูชอนที่เดินผละออกมาจากการนั่งคุยอะไรเรื่อยเปื่อยกับเหล่าสตาฟบนโซฟาบุนวมสีเข้มที่มุมห้องแต่งตัวปรายสายตาจ้องตรงไปที่น้องชายและเพื่อนสนิทที่หยุดชะงักอยู่อย่างนั้น
“ก
ก็ชางมินแกล้งฉันอีกแล้วนี่!”
ร่างเล็กๆเอ่ยแก้ก่อนที่จะหันมาส่งสายตาดุๆให้กับเจ้าน้องชายที่ทำยักไหล่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างน่ากวนประสาท ยูชอนถอนหายใจยิ้มๆกับ ‘คู่กัด’ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สามารถหาเรื่องมาเย้าแหย่
กัดกันได้แทบตลอดเวลา
น่าหงุดหงิดชะมัด
นายรักฉันไม่ใช่เหรอจุนซู?
“ก็ใครใช้ให้พี่เต้นไปเต้นมาจนน่าปวดหัวอย่างนั้นเล่า เมารึไง?”
“เด็กบ้า!!”
ก่อนที่การทะเลาะขนาดย่อมๆจะเกิดขึ้นระหว่างจุนซูและชางมินอีกครั้ง ยูชอนที่เป็นคนยืนอยู่ตรงกลางจึงต้องห้ามทัพอย่างไม่เข้าใจในตนเองเช่นกัน
ถ้าเป็นปกติ เขาคงจะหัวเราะชอบใจ แล้วก็ร่วมมือกับน้องชายตัวสูงแกล้งคนตัวเล็กตรงหน้านี้แน่ๆ
แต่ทำไมตอนนี้ถึงไม่อยากให้ชางมินมาสัมผัสตัวจุนซูมากเกินไปเลยนะ?
มันหงุดหงิด
ที่ร่างเล็กตรงหน้าทำตัวสนิทสนมมากเกินไปกับใครคนอื่นที่ไม่ใช่เขา
“พอแล้วน่า ทั้งสองคนนั่นแหละ จุนซู
ฉันอยากกินบ้าง”
นัยน์ตาใสของคนตัวเล็กปรายมองใบหน้าคมคายของเพื่อนสนิท ก่อนที่จะหันไปทำหน้างอนกับน้องชายตัวสูง ก่อนที่จะหันกลับมาเอ่ยบอกร่างโปร่งอีกครั้งหนึ่งด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ก็นั่งสิยูชอน”
ยูชอนยกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้สีสะอาดตาข้างๆคนตัวเล็กที่หยิบช้อนพลาสติกสีขาวคันกะทัดรัดยื่นให้ ดวงตาคมปรายขึ้นมองใบหน้าเข้มของผู้เป็นน้องชายพอเหมาะพอเจาะกับที่ชางมินจ้องมาที่เขาพอดิบพอดี
“ไม่กินเหรอชางมิน?”
“ชางมินกินไปตั้งสามก้อนแล้วนะยูชอน!”
คนตัวเล็กแย้งก่อนที่จะทำหน้าเบ้ใส่น้องชายตัวสูงที่ยืนยิ้มขำกับท่าทีของคนตรงหน้า ก่อนที่ชางมินจะยักไหล่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“ผมไม่กินแล้วล่ะพี่ ใครอยากจะไปกินกับพี่จุนซูกัน”
“ชางมิน!”
ยังไม่ทันที่เสียงแหลมจะร้องแหวกับคำพูดของร่างสูง เจ้าน้องชายตัวดีก็เดินหนีไปอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ซึ่งมีหัวหน้าวงและนักร้องนำหน้าสวยอย่างยุนโฮและแจจุงกำลังให้สัมภาษณ์หลังเวทีอยู่หน้ากล้องอย่างอารมณ์ดี
“ชางมินนะชางมิน ทำไมชอบแกล้งฉันอยู่เรื่อยเลย”
จุนซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่พึงใจเท่าใดนักในขณะที่ตักบราวนี่สีเข้มคำเล็กเข้าปาก หน้ามุ่ยๆยิ่งเสริมให้แก้มป่องๆดูพองลมมากขึ้นไปอีก ไหนเลยจะเสียงที่บ่นอุบอิบๆนั่นอีกล่ะ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจุนซูถึงได้เป็นที่รักของทุกคน
“ก็ดูนายทำหน้าเข้าสิ มันน่าแกล้งมั้ยล่ะ?”
“ยูชอน!”
คราวที่แก้มป่องๆที่ชอบพองลมเวลาหงุดหงิดยิ่งกลมป๊องขึ้นไปอีกจนในใจนึกอยากที่จะยื่นมือไปหยิกแรงๆซะทีสองทีจริงๆ แต่ก่อนที่เขาจะได้ยื่นมือออกไปทำอะไรตามใจชอบนั้น ความคิดบางอย่างที่แล่นปราดเข้ามาในสมองก็ทำให้ต้องหยุดชะงัก
“พี่ผิดเองต่างหาก
ฮึก
ที่ไปรักยูชอน
ทั้งๆที่ยูชอนไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นกับพี่เลย
”
มือหนาของตัวเองค่อยๆถูกบังคับให้ลดลงไปวางบนโต๊ะพลาสติกสีสะอาดเช่นเดิม แววตาคมทอดมองใบหน้าหวานที่ดูเหมือนจะหมกมุ่นอยู่กับการกินด้วยสายตาที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร..
“เป็นอะไรไปน่ะยูชอน? ทำไมไม่กินล่ะ ไหนว่าอยากกินไง?”
เสียงหวานๆรั้งร่างโปร่งให้กลับเข้ามาจากความครุ่นคิด ยูชอนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะแย้มยิ้มให้กับเพื่อนตัวเล็กข้างๆ พร้อมทั้งตักเค้กสีเข้มเข้าปากในขณะที่เอ่ยตอบ
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่ ก็เห็นนายกินซะเหมือนกลัวใครมาแย่งแบบนั้น ใครมันจะกินลงกันล่ะ”
“ยูชอน!”
ร่างสูงหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งให้คนร่างเล็กเคียงข้างทำหน้ามุ่ยได้อีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะจุนซูไม่เคยโกรธจริงๆจังๆเวลาถูกแกล้งเลยสักครั้ง แถมปฏิกิริยาที่ตอบรับออกมาก็น่าสนุกน้อยเสียเมื่อไหร่ แบบนี้น่ะสิทั้งเขาแล้วก็คนอื่นๆถึงได้ชอบแกล้งจุนซูกันนัก
“ฉันไม่กินแล้วก็ได้! กินไปเลยนะ!”
เสียงเล็กสะบัดบอกว่ากำลังงอนเต็มที่พร้อมๆกับลุกพรวดจากเก้าอี้สีสะอาดจนยูชอนหน้าเหวอไปเล็กน้อยก่อนที่จะรั้งข้อแขนเล็กเอาไว้
“ล้อเล่นน่า รู้แล้วว่าอยากกิน กินด้วยกันสิจุนซู”
คนตัวเล็กปรายสายตากลับมามองหน้ามุ่ย ก่อนที่จะกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้เคียงข้างร่างโปร่งเช่นเดิม ยูชอนขมวดคิ้วน้อยๆก่อนที่จะเอ่ยถาม
“งอนจริงเหรอเนี่ย?”
“ใครว่าล่ะ! อิยะฮะฮ่าฮ่า~”
จุนซูยิ้มเผล่ออกมากว้างพร้อมกับเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ ก่อนที่จะตักบราวนี่คำโตเข้าปาก ทำให้ยูชอนรับรู้ว่าตัวเองถูกคนเคียงข้างแกล้งเข้าให้เสียแล้ว ร่างโปร่งหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนที่จะนั่งมองใบหน้ากลมด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ไม่ว่าอะไรที่จุนซูทำ มันก็ออกมาน่ารักเสมอๆเลยรึเปล่านะ?
ไม่เข้าใจคนตัวเล็กนี่จริงๆ
แล้วยูชอนจะมีโอกาสรับรู้บ้างไหม
ว่าอากัปกิริยาและสายตาของตนเองกำลังถูกใครบางคนจดจ้องมองอาการมาตั้งแต่แรกเริ่มที่เขาเข้ามา ‘แทรกกลาง’ อยู่ที่อีกฝั่งฟากหนึ่งของห้อง
ชางมินกระตุกยิ้มออกมาที่มุมปากก่อนที่จะส่ายหน้า ไม่รู้จะทำยังไงดีกับสองคนนี้เพราะดูเหมือนว่าคนนึงก็ยังไม่ยอมพูดออกไป ส่วนอีกคนนึงก็ยึดติดกับคำว่าเพื่อนสนิทมากเกินจนมองไม่เห็น แต่อาการที่ปาร์ค ยูชอนกำลังแสดงออกมาตอนนี้
มันช่างคาใจเขาเหลือเกิน
สายตาที่มองคิม จุนซูของยูชอนเปลี่ยนไป นอกจากจะเต็มไปด้วยความอบอุ่นตามปกติ แต่กลับมีความลังเลใจและความอึดอัดใจปนเปอยู่ด้วย ไหนเลยจะท่าทางเก้ๆกังๆไม่สัมผัสตัวกันเหมือนตามปกติเพราะร่างโปร่งเป็นคนฝืนนั้นทำให้เขาไม่สบายใจเอาเสียเลย
อย่าบอกนะว่าพี่ยูชอนจะรู้แล้ว
?
ชิม ชางมินครุ่นคิดอย่างไม่สบายใจ ถึงจะเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ว่ามันอาจเรียกได้ว่าแทบไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขาเลยก็ตามทีเถอะ แต่สองคนนั้นก็เป็น ‘ครอบครัว’ ของเขาคนหนึ่งเหมือนกัน
คงจะต้องถาม
“ทงบังชินกิ แสตนด์บายได้เลยครับ!”
เสียงของทีมงามทำให้น้องสุดท้องของวงหยุดชะงักความคิดที่จะก้าวเท้าไปถามร่างโปร่งนั้น เมื่อเห็นว่าพวกพี่ๆในวงกำลังจะมารวมตัวกัน น้องเล็กเลยได้แต่ปล่อยโอกาสนี้ให้ลอยไปก่อน
ช่างเถอะ
เรื่องนั้นไว้ก่อนก็ได้นี่
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ทำไมอ้ะ!! ทำไม~”
เสียงแหบหวานบ่นกระปอดกระแปดไม่เลิกตั้งแต่เลิกอัดรายการสุดท้ายของเวลาเย็น ทั้งๆที่นั่งอยู่บนรถตู้สีขาวเตรียมที่จะกลับบ้านและวันพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่มีเพียงการซ้อมแค่รอบดึกเท่านั้น เรียกได้ว่าตลอดทั้งวันของพรุ่งนี้สามารถที่จะพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
“นายบ่นมาตั้งแต่รายการเลิกแล้วนะจุนซู ” แจจุงที่นั่งอยู่เบาะหน้ากับหัวหน้าวงเอ่ยยิ้มก่อนที่จะส่ายหน้าไปมา
“ก็พี่แจจุงดูสิ! ผมออกจะเท่ห์ขนาดนี้ ทำไมต้องมีแต่คนบอกว่าน่ารักด้วยล่ะ!”
“แฟนๆเขาชม ไม่ดีใจรึไง?”
“ม
ไม่ใช่ไม่ดีใจ ตะ
แต่ว่าผู้ชายก็ต้องอยากได้ยินคำชมว่า เท่ห์ หล่อ แบบนี้ไม่ใช่เหรอ บางทีผมยังไม่ทันทำอะไรเลยก็มาบอกว่าน่ารัก มันแปลกจะตายไป!”
คนตัวเล็กยังบ่นอุบอิบต่อไปทั้งๆที่แก้มใสขึ้นสีระเรื่ออย่างน่ารัก เอาเถอะ ก็เจ้าตัวดันไม่รู้ว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำ คนรอบข้างและเหล่าแฟนคลับเห็นว่ามันน่ารักขนาดไหนนี่นะ
“ผมว่าพี่อย่าพยายามเลย
แมนไม่ขึ้นหรอก”
“ชิมชางมิน!!!”
เป็นอีกครั้งที่จุนซูต้องแว้ดใส่เจ้าน้องชายปากดีที่ชอบกวนประสาทอยู่เรื่อย ครั้งนี้ชางมินสามารถเบาะหลังนั่งตรงกลางระหว่างจุนซูและยูชอนโดยที่ร่างโปร่งที่นั่งติดกระจกรถด้านขวาจะไม่ส่งสัญญาณ ‘หงุดหงิด’ มาให้เห็นเหมือนครั้งก่อน
ซึ่งมันก็ยิ่งตอกย้ำให้เขามั่นใจ ว่าพี่ชายเสียงพร่าคนนี้ ‘รู้’ แล้วจริงๆ
น้องคนสุดท้องอยากจะตะโกนออกมาเหลือเกินว่าเขาไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ความจริงก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่ทำไมพี่ชายทั้งสองคนถึงได้ให้ความสำคัญกับมิตรภาพจนกลายเป็นการยึดติดกันแบบนี้ ทำไมไม่เปิดใจ ไม่พูดกันให้ตรงๆมากกว่านี้
จะไปโทษใครก็ไม่ถูกทั้งนั้น เพราะในแง่ของความรู้สึกแล้ว
ถ้าคำว่า ‘เพื่อน’ กับ ‘คนรัก’ อยู่ห่างกันแค่ 1 เซนติเมตรอย่างที่ใครๆชอบพูดกัน
เจ้าหนึ่งเซนติเมตรที่ว่า
คงจะถูกสร้างขึ้นด้วยกำแพงที่ยากจะทำลายกระมัง
แท้จริงแล้วความรู้สึกของคนเรา
มันก็คือความคลุมเครือดีๆนี่เอง
ยูชอนปรายสายตามองเพื่อนตัวเล็กที่กำลังมีสงครามน้ำลายย่อยๆกับน้องคนสุดท้องเหมือนอย่างปกติที่แทบจะกลายเป็นชีวิตประจำวันให้เขากับรุ่นพี่อีกสองคนต้องส่ายหน้ายิ้มๆกับการที่เถียงกันไปเถียงกันมาเหมือนเด็กๆของทั้งสองคนนี้
ยูชอนยังคงเหม่อลอย ครุ่นคิดอะไรไปต่างๆนานา แต่สุดท้ายก็ยังไม่พ้นเรื่องของจุนซูที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวสมองจนรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ
ถ้าหากเป็นคนอื่น
เขาคงจะสามารถเอ่ยถามและปฏิเสธไปได้โดยไม่ลังเลใจเท่านี้
แต่เพราะนี่เป็นจุนซู
‘เพื่อนคนสำคัญ’ ที่เขารักมากที่สุด
เขารักมิตรภาพนี้
เขารักความสัมพันธ์นี้
และเขาก็เชื่อว่าจุนซูก็ให้ความสำคัญกับมันมากเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงจะไม่เก็บความรู้สึกของตัวเองไว้จนถึงป่านนี้
ใช่
เพราะว่า ‘สำคัญ’
สำคัญมากจนตัวเขาเองก็อยากที่จะละเลยต่อความรักที่เกินขอบเขตนั้นของอีกฝ่าย
เพื่อรักษามิตรภาพนี้ให้คงอยู่ต่อไป..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
To Be Continued...
ความคิดเห็น