คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : ปฐมบทแห่งรัก บทที่4
บทที่ 30 ปฐมบทแห่งรัก4
ตะวันรอนลาลับขอบฟ้า เหล่าสกุณาบินหลาคืนสู่รัง แสงริบหรี่ร่ำไรพาดผ่าน เข้ามาแทนที่ ดวงจันทราลอยเด่นสุกสกาววาววับอยู่บนเส้นขอบฟ้า หมู่ดาวพรายแสงพร่างแพรว ระยิบระยับ มองแล้วช่างสุกสว่างสดใส ฟ้าหลังฝนสวยงามจับใจ ลมพัดไกว พากิ่งไม้พัดปลิวว่อน เสียงจิ้งหรีดแข่งกันร้อง ระงมกังวาน แต่ไฉนเลยใจคนกลับมืดมิด มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมน ทั้งที่ดวงดาวก็สุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า แต่กลับทำให้ใจคนแห้งเหี่ยวไร้ความชุ่มชื้น เหมือนขาดน้ำมาเติมเต็มล่อเลี้ยงแก่นรากของหัวใจ ที่นับวันมันก็ยิ่งรวยริน แม้เสียงลมหายใจจะดังอยู่สม่ำเสมอ แต่กลับไม่มีชีวิตชีวาเหมือนอย่างเคย
หนึ่งเดือนเข้าไปแล้ว สำหรับการย้ายที่อยู่ของพริริสา หลังจากผลตรวจดีเอ็นเอออกมาอย่างชัดเจนว่าเธอมีเลือดของตระกุลสุริยะจักรอยู่เต็มตัว และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าสัวสายฟ้า ดูเหมือนหลังจากที่พริริสาย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ บ้านหลังใหญ่ดูมีสีสันขึ้นทันตา เสียงหัวเราะของคุณสายน้ำที่ขาดหายไปแสนนาน ก็กลับกลายเป็นเสียงที่ทุกคนได้ยินแทบจะทุกวัน ต้นน้ำกลับบ้านแทบทุกวัน ดูเขาจะเห่อน้องสาวจนออกหน้าออกตา ส่วนคนที่เป็นสุขที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้าสัวสายฟ้าประมูกของบ้านนั้นเอง
และก็เป็นหนึ่งเดือนที่พริริสายังคงนอนหลับไปพร้อมกับน้ำตาแทบทุกคืน พร้อมกับลูกน้อยในท้อง หนึ่งเดือนแล้วที่กลางวันเธอเป็นอีกคนที่ยิ้มหัวเราะได้อย่างร่าเริง เหมือนว่าเธอลืมเรื่องร้ายๆและชายหนุ่มไปจนหมดสิ้น เหมือนว่าเรื่องราวต่างๆมันเลือนหายไปจากความทรงจำ แต่ใครเลยจะรู้ว่าพอตกกลางคืนเธอก็มีสภาพไม่ต่างจากคนสิ้นไร้แล้วซึ่งหัวใจ
การข่มตานอนหลับในแต่ละค่ำคืนช่างยากเย็น เมื่อไม่มีสองแขนใหญ่ค่อยโอบรัดเธอเอาไว้เหมือนเคย เสียงลมหายใจฝืดเคือง เมื่อต้องนอนจมไปกับน้ำตาแทบทุกคืน ยามนอนหลับกลับฝันว่ามีคนตัวโตมาอยู่เคียงข้าง คอยโอบกอดปกป้องคุ้มภัยให้หายหนาว แต่เมื่อลืมตาตื่นกับพบแต่ความว่างเปล่า กับเงาของตนเอง ไม่มีสักคืนที่สองแขนของตน จะโอบกอดตนเองให้นอนอุ่น คงจะมีแต่ต้นน้ำเท่านั้นที่รู้ว่า เธอไม่ได้มีความสุขอย่างที่แสดงออก ดวงตาที่วาววับกลับมีรอยความเศร้าซ่อนไว้ ทุกครั้งที่เห็นพริริสายิ้มและหัวเราะ มันช่างเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าชอบกลในสายตาเขา
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวัน หลังจากที่ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านสุริยะจักร พริริสากลับมาที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนภาพต่างๆจะแล่นเข้ามาในความรู้สึก ทุกมุมบ้าน ทุกๆที่ ที่เธอกับเขาเคยอยู่ กลับมาเล่นงานให้หัวใจเธอบอบช้ำอีกครั้ง มันคงไม่มีทางหายขาดใช่มั้ย อาการที่เรียกว่าเจ็บจนกรีดลึกเข้าไปจนฝั่งรากฝั่งโคลนแบบนี้ ทางเดียวที่มันจะหาย คือให้ใครคนเดิมที่ใจโหยหากลับมาอีกครั้ง หรือจะต้องใช้เวลาเพื่อที่จะลืม แล้วมันจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน กว่าที่เธอจะลืมเรื่องราวความเจ็บปวดที่ผ่านมา
พริริสานั่งลงบนเตียงที่เธอและเขาเคยใช้ร่วมกัน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ของใช้ทุกอย่างยังวางที่เดิม เสื้อผ้าของเธอและเขายังอยู่ในตู้ สร้อยข้อมือและแหวนเพชรที่เขาเคยซื้อให้ยังคงวางอยู่บนชั้นวางของติดกับหัวเตียง ที่เธอถอดคืนไว้ให้ พริริสาใช้มือตนเองลูบไปกับผ้าปูที่นอน ก่อนที่น้ำตาเม็ดโตที่เก็บกลั้นไว้จะไหลออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้อีก
เขาใจร้าย ใจร้ายกับเธอเหลือเกินทั้งที่เธอกำลังตั้งท้อง แต่เขาก็ไม่เคยจะโทรมาถามข่าว ไม่มีเยื้อใย ไม่มีแม้แต่ความผูกพัน ไม่เคยแม้แต่จะติดต่อกลับมา หรือเขาจะลืมเธอกับลูกไปแล้วจริงๆ
อีกฟากหนึ่งของท้องฟ้ายามค่ำคืน ราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ยังคงนั่งทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้าแสนกว้างไกล ภายใต้อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของตน ดวงดาวที่พราวระยิบระยับ เปรียบเหมือนดวงหน้าของคนไกลอีกฟากหนึ่งที่คิดถึง ไม่ว่าจะพยายามข่มตานอนหลับสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจข่มตาให้หลับได้เลย เมื่อภาพของเธอที่ร้องไห้โฮ กับสายตาตัดพ้อต่อว่า ยังกลับมาเล่นงานอยู่เสมอ
หนึ่งเดือนแล้ว ที่ต้องตื่นมาพบว่าตนเองนอนกอดขวดเหล้า แทนร่างกายนุ่มนิ่มที่เคยโหยหา หนึ่งเดือนแล้วที่ต้องตื่นมาแล้วไม่เห็นหน้าคลาดตา แม้จะเคยประชดประชันโดยการหนีหน้า แต่ก็ยังรู้ว่าเธออยู่ใกล้ไม่ไปไหน แต่ตอนนี้กลับไม่มีแม้เงาของคนตัวเล็ก ที่เคยห่วงใย หัวใจที่เคยชุ่มฉ่ำกับห่อเหี่ยว ลงอย่างน่าใจหาย แต่จะให้กลับไปหา เพื่อให้เธอโกหกหลอกลวง แบบซ้ำๆ ก็ขอแบกรับความเจ็บปวดตรงนี้ซะดีกว่า
หนึ่งเดือนแล้วที่ต้องชาชินตื่นมาแล้วมีอาการพะอึดพะอม คลื่นเอียน อาเจียนแทบทุกเช้า ทุกครั้งที่โหยหาร่างกายอันนุ่มนิ่ม เพื่อสนองความต้องการของบุรุษเพศ ไม่ว่าจะมีหญิงผ่านเข้ามาให้เชยชม แต่ทุกครั้งมันก็ล่มไม่เป็นท่า เพราะภาพของเธอลอยเด่นอยู่ตรงหน้าอยู่ร่ำไป ไม่มีสักครั้งที่เขาจะพบกับความสุข แค่เพียงเล้าโลม โรมรันให้กายได้ผ่อนคลาย ภาพใบหน้าเคล้าน้ำตากลับโผล่เข้ามา จนไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับคู่ขา สุดท้ายก็ได้แต่เก็บกลืนความต้องการ แล้วนอนหลับลงได้เพราะสุราช่วยขับกล่อม
“ดึกแล้วนายยังไม่นอนอีกรึครับ” เจฟฟ์คนสนิทถามขึ้น เมื่อเดินออกมาสำรวจเหมือง แล้วยังเห็นเจ้าพ่อเหมืองยังนั่งอยู่ตรงข้อนไม้ถือขวดเหล้าราคาแพง กระดกดื่มอย่างกับมันเป็นน้ำเปล่าๆเสียอย่างนั้น
“ฉันนอนไม่ค่อยหลับ” เขาตอบเสียงราบเรียบ พร้อมเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ากว้างไกล สุดลูกหูลูกตา อาณาเขตเหมืองอันกว้างไกลบนป่าเขา มองไปทางไหนก็มืดมิด แม้ภายในอุโมงค์ จะสว่างไสวด้วยหลอดไฟนีออนนับสิบ แต่ข้างนอกกลับมืดสลัว ทำให้เห็นดวงดาวที่พราวระยับได้อย่างชัดเจนและสวยงาม
“นายยังไม่ลืมเธออีกหรือครับ” เจฟฟ์นั่งลงข้างๆเอ่ยถามขึ้น อันนี้ที่จริงคราวนี้ดูเจ้าพ่อเหมืองจะเป็นหนักกว่าครั้งที่แล้วด้วยซ้ำ เพราะเขาเห็นผู้หญิงหลายรายที่เขาทุ้มเงินซื้อมา กระเด็นกระดอนออกมาจากเต็นท์แทบทุกราย ไม่เว้นแม้แต่โซเฟีย แม่สะโพกสาวเทอร์นาโด ที่เขามักเรียกใช้งานอยู่เป็นประจำ
สกายเพียงหันไปมองหน้าคนถาม เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา นอกจากยกเหล้าในขวดขึ้นมากระดกจนหมดขวด แล้วล้มตัวลงนอนไปกับข้อนไม้ใหญ่
“ทำไม? นายไม่กลับไปหาเธอละครับ” เจฟฟ์พูดขึ้นอีกครั้ง จะว่าไปเจฟฟ์เพียงคนเดียวละมั้งที่กล้าจะต่อปากต่อคำกับเจ้าพ่อเหมือง ด้วยความสนิทสนมเลยทำให้เจฟฟ์กล้าที่จะหยิบยกเรื่องส่วนตัวของเขาขึ้นมาพูด
“ไม่จำเป็น นายจะไปไหนก็ไปเจฟฟ์ ฉันอยู่คนเดียวได้”เขาเอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมส่งสายตาแกมดุไปให้ เมื่อเจฟฟ์พูดเรื่องที่ทำให้เขาต้องออกมารับลมข้างนอก แทนที่จะได้นอนหลับพักผ่อนเหมือนคนอื่นทำกัน
หึหึ! เจฟฟ์หัวเราะอยู่ในลำคอ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วใช้มือใหญ่ของตน ตบไปที่บ่าของคนที่นอนพิงหลังกับข้อนไม้ใหญ่อยู่
“หนีอะไรก็หนีได้นะครับนาย แต่หนีหัวใจตนเองยังไงก็หนีไม่พ้น” เขากล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินหายเข้าไปในความมืดทิ้งให้เจ้าพ่อเหมือง ปลายตามองหัวไหล่ที่เขาตบลงมา ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาในที่สุด หรือว่าเขาจะพ่ายแพ้แก่หัวใจตนเองอีกครั้ง.....
“คุณแม่คะพริมอยากไปหาพี่กายที่ออสเตรเลียค่ะ” ในที่สุดพริริสาก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตนเองนึกตรึกตรองอยู่นานร่วมอาทิตย์
“หนูว่ายังไงนะลูก หนูจะไปหาพี่เขาจริงๆใช่มั้ย แม่ได้หูฝาดไปเองใช่มั้ยจ๊ะ!!”
“ค่ะพริมตัดสินใจแล้ว ทางบ้านโน้นก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ พริมปรึกษาคุณแม่กับพี่ต้นน้ำแล้วทั้งสองคนเห็นด้วย”
ก่อนที่เธอจะมาที่นี้วันนี้ หญิงสาวได้พูดคุยเรื่องนี้กับต้นน้ำและคุณสายน้ำแล้ว เธออยากไปเจอสกายอีกครั้งเพื่อขอโทษและบอกความจริงทุกอย่างให้ชายหนุ่มรับรู้ว่า เธอรักเขา ต้นน้ำนั้นเองที่เป็นคนแนะนำให้เธอไปปรับความเข้าใจกับสกาย
“แค่ครั้งเดียวมันไม่ได้เสียหายอะไรหรอกนะ ทำตามที่หัวใจตนเองเรียกร้องดีกว่าปล่อยให้ตนเองทุกข์ทรมานเพราะความไม่เข้าใจอย่างนี้ไปตลอดนะ แต่ถ้าไปแล้ว เขายังยืนว่าไม่ได้รักและต้องการพริมแล้ว พริมก็กลับมา บ้านหลังนี้ยังมีความรักและความอบอุ่นให้น้องสาวของพี่เสมอ” ต้นน้ำกล่าวอีกครั้ง ก่อนจะรั้งศีรษะคนตัวเล็กมาซบลงที่บ่าใหญ่ นี่ละมั้งความห่วงใยที่มากล้น ที่เกิดขึ้นในหัวใจดวงโต โดยที่ไม่ทราบสาเหตุ เขาถึงว่ากันว่า สายเลือดเดียวกัน มันจะผูกพันกันโดยที่เราไม่รู้ตัว แม้จะอยู่ที่ไหน เพียงแค่แรกเจอ มันก็จะสัมผัสถึงกันได้
“ค่ะพี่ต้น พริมจะไปหาเขา พริมจะไปทำตามที่หัวใจตนเองเรียกร้อง” เธอจะไปหาเขา ไปสารภาพความในใจกับเขา แต่ถ้าคำตอบที่ได้คือเขาไม่รักและไม่ได้ต้องการเธอกับลูก เธอก็จะไม่ยื้อ แล้วจะขอกลับมาใช้ชีวิตของตนเองต่อไปโดยที่ไม่มีเขา
“แม่ดีใจ ที่หนูพริมตัดสินใจแบบนี้ แม่จะโทรไปบอกสกายเดียวนี้แหละ” นางพูดขึ้นอย่างดีใจ พร้อมหุนหันจะลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์โทรห้ามทวีปไปบอกข่าวดีให้บุตรชายนางรับรู้
“อย่าเพิ่งค่ะคุณแม่ พริมอยากจะไปเซอร์ไพร์พี่เขา” เธอว่า
“เอาอย่างนั้นเหรอจ๊ะ โอเคจ๊ะ ไม่บอก ก็ไม่บอก แต่..แม่ว่ายังไงก็ต้องโทรไปบอกพ่อเขานะ เขาจะได้จัดที่จัดทางให้หนูอยู่ ยิ่งท้องไส้แบบนี้ ไปไหนมาไหนยิ่งลำบาก”
“ได้ค่ะคุณแม่”
“แล้วหนูพริมจะไปเมื่อไหร่จ๊ะ แม่จะได้โทรบอกทางนั้นให้เตรียมที่อยู่ไว้ให้”
“อาทิตย์หน้าคะคุณแม่ พริมขอไปเคลียร์ เรื่องพี่ลินให้เรียบร้อยก่อน”
“พี่สาวหนู ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วหรือจ๊ะ” นางถามอย่างสงสัย เพราะนางแค่รู้ว่าลินลณีไม่สบายมีอาการทางจิต จะเนื่องด้วยเหตุผลอะไรนางไม่อาจรู้ได้ เพราะดูเหมือนเจ้าพ่อเหมืองกับพริริสาจะปกปิดนางไว้ ร่วมถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับพริริสานางก็ไม่ได้รับรู้ด้วยเช่นกัน
“ค่ะ มีลินหายเกือบจะเป็นปกติแล้ว หมออนุญาตให้กลับมาอยู่บ้านได้ พริมคงจะรับไปอยู่กับพริมที่บ้านค่ะ พริมยังไม่อยากให้พี่ลินเธอกลับไปอยู่คนเดียวที่บ้าน” เธอว่าและคิดอย่างนั้นจริงๆ และดูเหมือนคุณสายน้ำจะตามใจเธอทุกอย่างคนที่ค้านหัวชนฝาคงจะมีแต่ต้นน้ำ เพราะยังไงเขาก็ไม่ไว้ใจลินลณีอยู่ดี ถึงแม้ครั้งสุดท้ายที่เขาไปเยี่ยมกับพริริสา เธอจะดูอ่อนลงมากก็ตาม
“ดีแล้วละลูก ยังไงเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวเรา”
“ค่ะคุณแม่ พริมก็หวังว่าอย่างนั้น” พริริสาใช้เวลาคุยกับคุณหญิงต่อสักพัก กว่าที่ต้นน้ำจะมารับเธอกลับบ้าน เธอเชื่ออย่างหนึ่งว่า ความดีจะสามารถเอาชนะใจของลินลณีได้ในที่สุด แต่ใครเลยจะรู้ว่า บางครั้งความดีก็ไม่สามารถเอาชนะไฟร้อนที่กัดกินหัวใจของคนที่มีแต่ความอิจฉาริษยาอย่างลินลณีได้
“พี่ต้นเร็วๆสิคะ เดี๋ยวพี่ลินรอนาน” เสียงของพริริสาดังขึ้น เมื่อต้นน้ำเอาแต่เดินเอื่อยเฉื่อย ไม่ได้รีบร้อนเดินเหมือนเธอ ในการมารับลินลณีกลับบ้าน
“เรานั้นแหละ หัดเดินให้มันช้าลงหน่อย ยิ่งท้องไส้อยู่ เดี๋ยวหกล้มหัวฟาดไป เกิดหลานพี่เป็นอะไรขึ้นมา มันจะยุ่ง” ต้นน้ำดุแบบไม่จริงจังหนัก
“เอ๊ะ!! ตกลงพี่ต้นห่วงพริม หรือห่วงหลานกันแน่คะเนี้ย”
“ก็ห่วงทั้งแม่ทั้งลูกนั้นแหละ เราไม่ใช่ตัวคนเดียวเหมือนก่อนแล้วนะ จะเดินจะเหินหัดระวังตัวหน่อย” คำบ่นที่ไม่ได้จริงจังนักถูกเปล่งออกมาจากปากของพ่อคลาสโนว่าตัวพ่อ นับตั้งแต่รู้ว่า พริริสาคือน้องดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นไปตามระดับ พริริสากล้าพูดกล้าคุยกับต้นน้ำ อย่างเปิดเผยและไม่ต้องมีความรู้สึกผิด มากั้นตรงกลาง และดูเหมือนต้นน้ำเองก็จะรักและเอ็นดูพริริสาเป็นพิเศษ จนทั้งเจ้าสัวและอาของเขา หยอกว่าเห่อน้องสาวจนออกนอหน้า เพราะไม่ว่าพริริสาจะไปไหน ต้นน้ำก็อาสาเป็นสารถีขับรถไปให้เธอแทบทุกที ไม่เว้นแม้แต่การมารับ ลินลณีผู้หญิงที่เคยคิดร้ายกับเธอ
“อย่าบ่นพริมมากเลยคะ ดูนี้สิหน้าแก่หมดแล้ว” เธอหยุดเดิน แล้วใช้สองมือของตนเองขึ้นมาขยี้แก้มของต้นน้ำพร้อมยู่หน้าอย่างหมั่นไส้
“แกล้งพี่เหรอ ใยตัวดี มานี่เลยนะ” พูดจบมือใหญ่ของต้นน้ำ ก็ยกขึ้นมาขยี้แก้มของเธอเช่นกัน ก่อนจะรีบสาวเท้าแล้วเดินออกไป
ภายในห้องผู้ป่วย ลินลณีเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บของรออยู่แล้ว หนึ่งเดือนที่ผ่านมา หล่อนถูกเยียวยาจากผู้เชียวชาญด้านสุขภาพจิต และหน่วยงานหลายๆที่ ที่เกี่ยวข้อง พริริสาไม่ได้เอาเรื่องแต่ยังไงหล่อนก็ยังต้องได้รับโทษตามประมวลกฎหมายที่เคยทำไว้ เพียงแต่ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการส่งฟ้องต่อศาล พริริสาจัดการเรื่องประกันตัวออกมา เพื่อไม่ให้เธอต้องถูกจองจับอยู่ในตาราง ส่วนที่เหลือคงแล้วแต่การตัดสินของชั้นศาล และการให้ปากคำของหล่อน
“พี่ลิน รอนานมั้ยคะ”ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาพริริสาก็ถามขึ้นทันที เมื่อเห็นลินลณีนั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลารอเธออยู่
“อ้าวพริม..... ไม่จ๊ะ พี่เพิ่งเก็บของเสร็จ” ลินลณีส่งยิ้มที่เป็นมิตรไปให้
“กลับบ้านกันเถอะคะ พริมให้ที่บ้านจัดห้องไว้รอพี่ลินแล้ว” พริริสาเข้ามาช่วยถือกระเป๋า แต่กลับถูกต้นน้ำเข้ามาแย่งไปถือซะเอง
“มาพี่ช่วย ท้องไส้อยู่ จะถือของหนักได้ยังไง” ต้นน้ำเอ่ยขึ้น แต่นั้นกลับทำให้อีกคนหูผึ่งทันที ที่ชายหนุ่มพูดจบ
“เมื่อกี้คุณต้น ว่ายัยพริมเป็นอะไรนะคะ! ลินลณีถามขึ้นด้วยความสงสัย และเพื่อยืนยันว่าหูหล่อนไม่ได้ฝาดไป
“น้องพริมเธอกำลังตั้งท้องนะ ตอนนี้ย่างสี่เดือนแล้ว” ต้นน้ำหันมาตอบ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น ที่ยอมมารับกลับบ้าน เพราะยัยตัวเล็กที่ยืนแก้มป่องอยู่นั้นแหละ
“ยัยพริมท้อง!! หล่อนโพลงออกมา อย่าตกใจ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “ ขอโทษจ๊ะ พี่แค่ไม่คิดว่าพริมจะตั้งท้อง” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครคือพ่อของเด็กในท้องของเธอ
“ไม่เห็นพริมบอกพี่เลย ว่าท้อง” หล่อนหันมาถามพริริสา ที่ยืนยิ้มอยู่ด้วยสายตาตัดพ้อแกมน้อยใจ ครั้งแรกที่เห็นเธอมากับต้นน้ำ ลินลณียังนึกสงสัยว่าเจ้าพ่อเหมืองไปไหน แต่ได้รับคำตอบว่าเขากลับไปดูงานที่เหมืองหล่อนจึงไม่นึกสงสัยอะไรอีก
“พริมคิดว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรนะค่ะ พริมเลยยังไม่ได้บอกพี่ลิน” เธอเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้ามาจับมือลินลณีให้ลูบไปที่หน้าท้องของตนเอง “พี่ลินกำลังจะได้เป็นป้าแล้วนะคะ ดีใจมั้ย”
“ดีใจสิจ๊ะ ดีใจมากๆด้วย แล้วนี่คุณสกายเขารู้หรือยังจ๊ะ”
“ค่ะทราบแล้วค่ะ อีกสองวันพริมก็จะเดินทางไปพบเขาที่เหมือง พี่ลินอยู่ทางนี้ดูแลตนเองดีๆนะคะ แล้วพริมจะรีบกลับมา ระหว่างนี้คนที่บ้านสุริยะจักรจะดูแลพี่อย่างดี” เธอว่า
“อะไรนะจ๊ะ พริมจะไปออสเตรเลียหรอ”
“ค่ะ เรากลับกันเถอะ พริมจะได้พาพี่ลินกลับไปพักผ่อนด้วย” เธอว่า ก่อนจะเดินนำจูงแขนลินลณีออกไป
ลินลณีมองตามร่างที่เริ่มอวบอั๋นของพริริสา ด้วยสายตาชิงชัง หล่อนต้องทำให้ทุกคนตายใจ แม้มันอาจจะใช้เวลายาวนานก็ตาม ก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าและแววตาเมื่อต้นน้ำมองมา
ความคิดเห็น