คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เปิดใจ
บทที่9 เปิดใจ
“พริริสา เอกอรุณสวัสดิ์ อายุ21ปี นักศึกษาคณะมนุษย์ศาสตร์ ชั้นปีที่4 เอกภาคภาษาอังกฤษ ยัยนี่ยังเด็กอยู่เลยนี่นา ถึงว่าปากดีชะมัด” สกายเปรยขึ้นมากับตนเองในขณะที่อ่านประวัติของแม่ตัวดีที่เขาเพิ่งไปเจอมาเมื่อเช้าอย่างสนใจ ดูท่าเธอจะเรียนเก่งไปเบา ดูจากผลของเรียนของเธอที่อยู่ในมือเขา เดาได้เลยว่าถ้าเธอจบมา เกรียตินิยมหนึ่งในสามคงไม่หนีไม่ไปไหน แต่ทำไมเธอถึงดร๊อปเรียนล่ะ แล้วใช้วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายมาสมัครงานแทน แถมดูแม่สาวปากกล้าคนนี้ดูจะเสียดายงานนี้ที่เธอจะไปสัมภาษณ์อยู่มากโข
ชายหนุ่มไล่สายตาอ่านประวิติของพริริสาอย่างตั้งใจ แม่สาวคนนี้ทำให้เขาทึ่งในหลายๆด้านด้วยเฉพาะด้านภาษาเพราะเธอสามารถ อ่านออกเขียนได้ในหลายๆภาษา ที่เขาก็ไม่คิดว่าเธอจะทำได้
ซองเอกสารสีน้ำตาลที่พริริสาทำตกไว้ในห้องพักสุดหรูของวิน ถูกปิดผนึกไว้อย่างเดิม หลังจากที่ชายหนุ่มได้อ่านมันจนหมด มีอะไรหลายๆอย่างที่เขายังข้องใจ และมันก็ไม่ยากเกินความสามารถของเขาที่จะสืบค้น บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะมีประโยชน์ต่อเขาในภายภาคหน้าก็เป็นได้
สกายลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียด เพื่อคล้ายความเมื่อยล้า หลังจากที่นั่งอ่านประวิติของหญิงสาวอยู่นาน ดวงตาตู่คมทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจล้วงเอาสมาร์โฟนขนาดกะทัดรัดจากกระเป๋ากางตัวโปร่งแล้วกดเบอร์ของเพื่อนรักอีกคน รอเพียงไม่นาน ปลายสายก็กดรับสาย
“ภูเก็ต เพริล์ เฟคทรอรี่ สวัสดีครับ” น้ำเสียงสุขุมนุ่มลึกของนายหัวแห่งเมืองปักษ์ใต้เอ่ยขึ้น เมื่อกดรับโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานเลขาส่วนตัวและพ่วงตำแหน่งภรรยาของเขา
“สวัสดี ไม่คิดว่าตอนนี้ นายหัวชาร์ล จะเป็นทั้งผู้บริหารและพนักงานรับโทรศัพท์ไปในตัว “สกายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ก็แผงไปด้วยถ้อยคำยียวน เมื่อปลายสายที่รับคือคนที่เขาต้องการจะคุยด้วยพอดี แน่นอน ราชสีห์หนุ่มจำเสียงเพื่อนรักได้ไม่เคยลืม
“ว่าไงเจ้าพ่อเหมือง ได้ข่าวว่าจะถูกจับแต่งงานไม่ใช่รึ” น้ำเสียงจากปลายสายก็ยอกย้อนไม่เบา จนคนฟังแทบสำลักกาแฟที่กำลังจะยกให้มาจิบอยู่ เมื่อเขาล่วงรู้ถึงความลับที่มักไม่ลับในหมู่พ้วงเพื่อนสนิท
นายหัวชาร์ล วิริยะนนท์ จำได้อย่างแม่นยำว่าเสียงจากต้นสายคือใคร แน่นอนไม่มีใครจำเสียงราชสีห์หนุ่มแหล่งลุ่มแม่น้ำไนท์ไม่ได้หรอก ในเมื่อกิติศัพท์เรื่องผู้หญิงกระฉ่อนหูแบบนี้ โดยเฉพาะเรื่องการโดนมารดาบังคับแต่งงาน เพราะไม่กี่วันมานี่จาคอบเพิ่งโทรมาเล่าให้เขาฟัง
“พูดมากนะชาร์ล” น้ำเสียงราบเรียบเปลี่ยนเป็น เคร่งเครียดทันที เมื่อปลายสายที่คุยด้วยมามุขนี้
“ฉันไม่คิดว่าคนอย่างเจ้าพ่อเหมืองจะสิ้นลาย ถูกจับแต่งงานได้ง่ายๆ ก็อย่างว่าโบราญว่าเกลียดอะไรจะได้อย่างนั้น ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นายหัวแห่งเมืองไต้ ยังเย้าหยอกเจ้าพ่อเหมืองอย่างขบขัน พร้อมคำรามเสียงหัวเราะออกมาดงกึกก้อง
“พอๆหยุด...ฉันมีเรื่องให้แกช่วย” สกายตัดบทเมื่อชาร์ลยังหัวเราะขัน
“เรื่องอะไรกันที่ทำให้เจ้าเหมืองอย่างแก ถึงขั้นหมดหนทาง จนต้องลำบากต่อสายตรงโทรมาหาฉันถึงที่นี่”น้ำเสียงยอกย้อนสมชื่อนายหัวชาร์ล เพราะไม่บ่อยนักที่สกายจะโทรหาเขา
“ช่วยส่งนักสืบฝีมือดี ที่นายเคยใช้งานตอนสืบเรื่องเมียนายมาให้ฉันที” สกายไม่โยกโย้ รีบแจ้งเหตุผลของการโทรมาครั้งนี้ ให้ชาร์ลรู้ทันทีเพราะขืนพูดมากมีหวัง โดนเพื่อนล้อไม่หยุดปาก
“ใจเย็นๆเจ้าพ่อเหมือง เพิ่งจะได้คุยกันจะไม่ถามสาระทุกข์สุขดิบเพื่อนบ้างเลยหรือไร มาถึงก็ใช้งานปาวๆ “
“ฉันรู้ว่าแกกำลังมีความสุข แต่ฉันกำลังทุกข์ แกอย่ามาลีลาหน่อยเลยไอ้ชาร์ล ตกลงแกจะช่วยไม่ช่วย “เมื่ออีกฝ่ายยังโยกโย้ เอ่ยวาจาไม่ชวนฟัง สกายก็รู้สึกเดือดขึ้นมา ผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งโลกคิดว่า อบอุ่นยามอยู่ใกล้ แต่อยู่ในหมูเพื่อนฝูง กลับกวนปราสาทได้ทุกเวลา
“เออ.. ช่วย ฉันเคยปฏิเสธแกหรือไง แซวนิดแซวหน่อย ทำเป็นโวยวาย ฉันอยากรู้จริงๆ ผู้หญิงคนไหนจะโชคร้ายมาเป็นเมียแกวะ
“ไอ้ชาร์ล ช่วยหุบปากแกซะ “
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไว้ฉันจะให้นิพนธ์ติดต่อไปหาแกเอง” ชาร์ลหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้ปะทะคารมกับเจ้าพ่อเหมือง ที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสพบปะกันนักในระยะหลังนี้
“อืม!! ขอบใจ รับปากตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ต้องให้โมโห” สกายบุนอุบอิบ
“เออ..นะ นานๆทีแกจะโทรมาหาฉัน ว่าแต่แกจะจ้างนักสืบไปตามสืบประวิติใคร แกเพิ่งมาถึงเมืองไทยไม่ใช่รึ”
“มันเรื่องของฉัน” สกายพูดอย่างขอไปที
“อย่าบอกนะว่า แกเพิ่งลงเครื่องมาถึงแค่วันเดียวแกก็เจอเนื้อคู่ซะแล้ว” นายหัวปักษ์ใต้พูดได้ถูกเพล่ง แต่ดันไม่ถูกใจคนฟัง
“เยอะไปละไอ้ชาร์ล เปิดโอกาสให้หน่อยใส่ไม่ยั้งเลยนะ” สกายพูดเสียงแข็ง ที่นายหัวเริ่มอ่านเกมตัวเองออก
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แกก็เลิกอคติกับผู้หญิงสิ ผู้หญิงทั้งโลกมันไม่ได้เหมือนกับแม่ลิซ่านั้นทั้งหมดหรอกนะ แกก็อายุป่านแล้วนี้ จะมั่วมาทิฐิทำไมวะ” ชาร์ลพูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงานหลังจากที่ยียวนกวนปราสาทเจ้าพ่อเหมืองอยู่นาน ทำไมเค้าจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าพ่อเหมืองถึงได้ดูแคลนผู้หญิงนัก
“ถ้าผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูกฉันมันหาง่ายหนัก ฉันจะโทรมาปรึกษาพวกแกทำไมวะ” สกายบอกอย่างเนื่อยๆ นึกหงุดหงิดเพื่อนรักของตนเอง มันดันมารู้เรื่องราวของเขาดีกว่าเพื่อนคนไหน บางอย่างสวรรค์ก็ไม่ได้สร้างสรรค์มาให้ได้ทุกอย่างเหมือนหน้าตา มันอยู่ที่โชคชะตาและวาสนาของแต่ละคน อันนี้เจ้าพ่อเหมืองเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจ คือทำไมต้องเป็นเค้าที่โดนมารดาบังคับแบบนี้
ระหว่างที่เขาจะกลับมาเมืองไทย คนแรกที่เขาโทรปรึกษาคือจาคอบ แต่คำตอบที่ได้ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ คนที่สองก็คือวิน คำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากจาคอบเท่าไหร่ ในเมื่อทั้งจาคอบและวินต่างให้คำตอบที่เหมือนกันคือ อุปโลกน์ผู้หญิงสักคนเพื่อมาหลอกมารดา ส่วนคนสุดท้ายก็คือชาร์ล ฟังๆดูมันก็ดูเข้าท่ากว่าไอ้สองคนนั้น ที่ให้เขาปล่อยวางและเลิกอคติกับผู้หญิง แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อหลายปีที่ผ่านมาเข้าได้เชื่อไปแล้ว ว่าผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาเห็นแก่เงินแค่ไหน ไม่เว้นแม้กระทั้งเด็กสาวที่เข้าเพิ่งพบเจอเมื่อเช้านี่ เธอก็ประกาศอยู่ทนโท่ ว่าอยากได้เงินสิบล้าน แล้วอย่างนี้จะให้เขาเลิกอคติกับผู้หญิงได้ยังไง
“ฉันรู้ว่าคนอย่างแกฉลาดพอสกาย ไม่อย่างนั้นแกไม่นำพาธุรกิจเหมืองของแกเจริญรุ่งเรืองได้อย่างทุกวันนี้หรอก ฉันรู้ว่าแกมีวิธีที่จะพิสูจน์ว่าใครที่รักในตัวตนของแก และฉันก็เชื่อว่าแกทำได้” ชาร์ลเอ่ยให้กำลังใจเพื่อนรัก เพราะเขารู้ว่าสกายเป็นคนแข็งนอกแต่อ่อนใน ไม่แปลกเมื่อคนที่บูชาความรักอย่างสกาย จะโดนหลอกเพราะความไว้ใจ
“ขอบใจวะชาร์ล แล้วเมียแกเมื่อไหร่จะคลอด ฉันจะได้บินไปรับขวัญหลาน” สกายมีน้ำเสียงอ่อนลง อย่างเห็นได้ชัด เมื่อพูดถึงเมียรักของชาร์ลกับเจ้าตัวเล็กที่กำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
“ยังๆ อีกหลายเดือนกว่าจะคลอด แกคงหาอาหญิงมาให้ลูกฉันทันก่อนที่เขาจะคลอด” สุดท้ายแล้ว ชาร์ลก็ไม่วายพูดกระเซ้าเย้าแหย่สกายขึ้นมาอีกครั้ง
“อืมแค่นี้แหละ อย่าลืมเรื่องที่ฉันขอให้แกช่วยล่ะ.”
“ขอครับเจ้าพ่อเหมือง แล้วกระผมจะบอกให้นิพนธ์ติดต่อหาแกแล้วกัน แค่นี้นะฉันกับเมียมีธุระข้างนอก”
“อืม..แล้วเจอกัน ฉันฝากความระลึกถึงน้องฟ้าด้วย” หลังจากวางสายจากนายหัวชาร์ล สกายก็ทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟาตัวใหญ่ พร้อมกับการถอนหายใจเฮือกใหญ่ บางครั้งเรื่องที่คิดไว้ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ กลับไม่เป็นอย่างที่คิด อย่างเช่นเรื่องความรัก มีคนเคยบอกไว้ว่ามนุษย์คือสิ่งที่สวยงามในยามที่มีความรัก แต่ความรักก็มักจะชอบวกกลับมาทำร้ายความสวยงามนั้นลงเหมือนอย่างที่เขาเคยเจอ
หลายวันมานี้ พริริสาออกไปหางานทำหลายต่อหลายที แต่ทุกทีก็ปฎิเสธเธอหมดโดยให้เหตุผลว่า เธอไม่มีวุฒิการศึกษาที่ทางบริษัทกำหนดจึงรับเธอเข้าทำงานไม่ได้ หรือบางที่ที่รับเธอเข้าทำงาน ส่วนใหญ่ก็อยู่ตามผับตามบาร์ แน่นอนหัวเด็ดตีนขาดยังไงเธอไม่มีวันขายเรือนร่างกินเด็ดขาด
วันนี้ก็เป็นอีกวัน ที่เธอต้องเดินคอตกกลับบ้าน หลังจากกลับมาจากสอนพิเศษให้กับเด็กๆ ถึงแม้การสอนพิเศษในแต่ละวันมันจะได้เงินน้อยนิด ไม่สมกับการที่เธอต้องเดินไปเดินกลับเป็นหลายกิโล แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยพอถูไถ่ให้เธอมีเงินใช้ได้อย่างไม่ขาดมือ ถ้าครอบครัวผู้มีพระคุณของเธอไม่ตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ เธอคงจะไม่ลำบาก และหยุดเรียนลงกะทันหันเช่นนี้
หลังจากเดินเข้ามาในซอยได้ครึ่งทางพริริสาก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามเธออยู่ วันนี้เธอกลับบ้านดึกว่าปกติ เพราะมั่วแต่เดินหางาน กว่าจะไปถึงบ้านที่สอนพิเศษให้ก็ล่วงเลยกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง เธอเลยไม่อยากเอาเปรียบเด็กๆ จึงสอนพิเศษให้เด็กๆตามที่เคยตกลงกับผู้ปกครองของพวกเขาไว้ว่า ไว้ละสองชั่วโมง
เมื่อมาช้ากว่าปกติ เธอจึงต้องสอนให้ครบชั่วโมงเรียน ทำให้วันนี้หญิงสาวต้องเดินเข้าบ้านตามลำพัง แทนที่จะมีคนแถวบ้านเดินเข้ามาด้วย เหมือนอย่างทุกวัน
“ทำไมวันนี้มันมืดจัง” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง พร้อมกับการ กวาดสายตาไปทั่วบริเวณเพราะรู้สึกเหมือนมีใครเดินตามหลังมา แต่พอหันกลับไปกับไม่พบเจออะไร เธอคงจะระแวงไปเองแน่ๆ พริริสาเพียรคิดไปในแง่ดี
แสงไฟที่สาดส่องลงมาจากตัวอาคารบ้านเรือนยิ่งดึกก็ยิ่งจะริบหรี่ ทำให้หญิงสาวต้องกวดฝีเท้าเดินอย่างเร่งรีบ เพื่อที่จะได้ถึงที่บ้าน ความมืดทำให้เธอมองอะไรไม่ค่อยชัด บวกกับความเร่งรีบที่จะกลับให้ถึงบ้านโดยเร็ว ทำให้เธอชนกับร่างใหญ่ของผู้ชายอีกคนที่มายืนรอดักเธออยู่ตรงหัวโค้งก่อนจะถึงบ้าน เข้าอย่างจัง
โอ้ย!!! เมื่อรู้สึกตัว ก็ล้มไปกองอยู่กับพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชายรูปร่างใหญ่หน้าตาออกไปทางเหี้ยมเกรียม แสยะยิ้มขึ้นอย่างเหี้ยมโหด เมื่อเหยื่ออันโอชะ ที่เฝ้ารอมานานนับเดือนติดกับ เพราะวันนี้เธอเดินกลับคนเดียวไม่มีเพื่อนเดินทางอย่างทุกวัน
พริริสาปรือตามองหน้าชายหน้าโหด อย่างยากลำบากเพราะความมืดเป็นอุปสรรค แต่เธอก็รู้โดยสัญชาตญาณว่า คนตรงหน้าเธอตอนนี้ไม่ใช่คนดีๆแน่ ครั้นจะลุกเดินกลับไปข้างหลัง ก็มีเด็กวัยรุ่นสองคนดักทางเธออยู่ ความกลัวจึงวิ่งเข้าสู่หัวใจโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อรับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอต่อนี้ไป เพราะพวกมันคงไม่คิดจะมาดักคุยกับเธอในยามวิกาลเช่นนี้ โดยไม่คิดเรื่องร้ายๆไว้ในหัว
“ไงน้องสาว เรามาสนุกกันหน่อยมั้ย” ชายหน้าโหดท่าทางเมายา พูดขึ้นพร้อมๆกับรอยยิ้มที่น่าขยะแขยงนั้น ก่อนจะเดินเข้ามาประชิดตัวแล้วใช้มือหยาบกระด้างจับลำแขนของเธอไว้แน่น
“พวกนายต้องการอะไร” คนขวัญหนีทำใจสู้เสือ เอ่ยออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ พยายามแกะท่อนแขนใหญ่ที่เหนียวหนืดน่าเกลียดนั้นออก
“แหมน้องพริมคนสวย ถามเหมือนไม่รู้พวกพี่ต้องการอะไร” วัยรุ่นอีกคนที่อยู่ด้านหลังเธอเอ่ยขึ้น ก่อนจะจ้องมองเธอด้วยสายตากรุ่มกริ้ม แทะโลมอย่างปิดไม่มิด
“พวกนายเป็นใครทำไมรู้จักชื่อฉัน” ถามขึ้นด้วยบังคับพื้นเสียงให้คงอยู่ในระดับปกติ ขืนเสียงสั่นให้มันได้ยิน พวกมันคงได้ใจไปกันใหญ่
“พวกพี่ก็อยากพาน้องพริมไปขึ้นสวรรค์ไงจ๊ะ มากับพวกพี่ซะดีๆถ้าไม่เจ็บตัว” ชายร่างใหญ่หน้าโหดคนเดิมพูดขึ้น พร้อมกับการชักมีดพกจากเอวใหญ่มาขู่เธอ
พริริสาหน้าตื่นขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่ากำลังจะมีภัยมาถึงตัว ความหวาดกลัว เริ่มมามีบทบาทให้เธอคิดหนี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถหลุดพ้น จากเนื้อมือชายโฉดที่กำลังเกาะกุมท่อนแขนเธอไว้อย่างเหนียวแน่น นาทีนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการร้องตะโกนดังๆให้คนช่วย แม้จะเสี่ยงต่อการ ถูกมีดแหลมแทงไปตามร่างกาย แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พวกขี้ยาย้ำยี่เธอ
“ช่วยด้วย!! ช่วยด้วย!! หญิงสาวตัดสินใจตะโกนออกไปสุดเสียง หวังจะมีใครสักคนได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเธอ ในยามวิกาลเช่นนี้
เพี๊ย!!! ฝ่ามือใหญ่ ฟาดไปตรงใบหน้าของเธออย่างแรง จนเป็นปื้นแดงๆ พร้อมๆกับวัยรุ่นสองเข้าที่เข้ามาล็อคแขนเธอจากด้านหลัง เพื่อไม่ให้เธอขัดขัน
“ปล่อย.. ฉันนะไอ้พวกบ้า ช่วยด้วย! ช่วยด้วยค่ะ”
เงียบ!! กูบอกให้มึงเงียบ !
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วย......
ผลั่ว!!เสียงร้องขอความช่วยเหลือ เงียบลงทันที มือกำปั้นหนาจากมือหยาบกระด้าง ชกไปตรงหน้าท้องบางของเธออย่างแรง หญิงสาวหดตัวลงเพราะความจุกเสียด ก่อนร่างบางจะหมดแรงลงไปกองอยู่กับพื้น
“บอกให้เงียบ ไม่เงียบ อยากเล่นแรงๆก็ไม่บอกพี่จะได้จัดให้ตั้งแต่แรก” ชายหน้าโหดพูดในขณะที่ ฉุดกระชากหญิงสาวออกไปตรงป่ารกร้างที่อยู่ข้างทาง
“ปล่อยฉันไปเถอะ ฮื้อ ...ฮื้อ ....แม้จะรู้สึกจุกตรงหน้าท้องอย่างแรง แต่พริริสาก็ยังกัดฟันขอความเมตตาจากคนโฉด ด้วยเสียงปนสะอื้น เธอพยายามฝืนตัวไม่ให้พวกคนชั่วพาตัวไปได้ง่ายๆ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อพวกมันทั้งสามคนเขาลากถูเธอไปตามทาง
เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มที่ขับรถมาดักรออยู่แถวนั้นตื่นมาจากภวังค์ความคิด ว่าทำไมเพราะอะไร เขาต้องขับรถมาดักเธอเธอทันที ที่ได้รับข้อมูลจากนิพนธ์ นักสืบที่นายหัวชาร์ลส่งมาให้
ชายหนุ่มเงี่ยหูฟังอีกครั้ง ว่าเขาได้ยินไปผิด ก่อนจะหยิบปืนจากชิ้นชักหน้ารถ แล้วก้าวขาลงจากรถคู่ใจ วิ่งไปตามทางที่ได้ยินเสียง ภาวนาในใจอย่าให้เสียงนั้นเป็นผู้หญิงคนที่เขามาดักรอเลย แล้วเธอไปไหนมาจะเที่ยงคืนแล้วยังไม่กลับ
อ๊าก!! เสียงวัยรุ่นคนหนึ่งร้องขึ้น เมื่อแผ่นหลัง โดนแรงปะทะจากฝาเท้าของชายหนุ่มที่วิ่งมาถึง จนถลาล้มไปกองอยู่อีกด้านหนึ่ง
เฮ๊ย!!! หยุด เสียงคำรามลั่นพร้อมหันปากกระปืนสีดำไปทางเจ้าหน้าโหดกับวัยรุ่นอีกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาลวนลามผู้หญิงที่เขามาดักรออยู่
แล้วใยนี่ทำไมกลับบ้านดึกๆดื่นๆ ชายหนุ่มนึกตำหนิเธออยู่ในใจ
“ยุ่งอะไรวะ ไอ้หน้าจืด” ชายหน้าโหดเอ่ยวาจาสามห้าว โดยที่ไม่ทันสังเกตว่าในมือชายหนุ่มถืออะไรอยู่
“เห็นทีจะไม่ยุ่งไม่ได้วะ เพราะผู้หญิงที่พวกมึงกำลังฉุดนี่ เธอเป็นของกู” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดุดัน จนหนึ่งในนั้นถึงกลับกลัวหงอ เพราะมองเห็นปลายกระบอกปืนจากความมืดที่เล็งเป้ามายังมัน
“ไปซะ!!! ถ้าพวกแก่ยังไม่อยากเป็นผีเฝ้าป่าแห่งนี้” สกายเอ่ยขึ้น พร้อมเล็งปากกระบอกปืนหาเป้าหมาย
“แกต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายหลบไป” เสียงตวาดจากด้านหลังเอ่ยขึ้น พร้อมกับการกรูเข้ามาหาชายหนุ่ม พร้อมมีดเล่มใหญ่
“คุณ!!ระวังค่ะ เสียงอ่อนระทวยของหญิงสาวที่เพิ่งจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งได้ร้องตะโกนบอกชายหนุ่มผู้เข้ามาช่วยเธอไว้ได้ทันท่วงที แต่ถึงอย่างนั้นปลายมีดแหลมก็ยังเฉียดโดนสีข้างของเขา
โอย!!! เสียงโอดครวญดังมาจากปากหยักแต่นั้นก็เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้น ฝ่ายนั้นต่างหากที่ต้องเป็นคนรองรับ ทั้งฝ่ามือ และฝ่าเท้าของชายหนุ่ม
สามรุมหนึ่ง ไม่คณาเมื่อเจ้าพ่อเหมืองสักนิด แม้จะบาดเจ็บจากการโดนแทง แต่ด้วยลีลาและชั้นเชิงที่เหนือกว่า ชายหนุ่มเลยล้มคู่ต่อสู่ได้ไม่ยาก เขาลั่นไกลปืนไปหนึ่งนัด เพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้ จนพวกมัน หนีหัวซุกหัวซุน เข้าป่าไป จึงได้เดินเข้ามาดูอาการหญิงสาวที่นั่งหน้าซีดเผือดอยู่ เพราะความหวาดกลัว
“เธอลุกไหวมั้ย” สกายนั่งลงถามคนที่กำลังจัดเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อยอยู่
“ไหวค่ะ ฉันไม่เป็นอะไร ขอบคุณคุณมากนะคะที่เข้ามาช่วย ไม่งั้นฉันคงเป็นเหยื่อของไอ้บ้ากามพวกนั้นไปแล้ว” เธอเอ่ยขอบคุณชายหนุ่ม ในขณะที่ม่านตายังเต็มไปด้วยหยดน้ำ ที่ยังคงปริ่มๆแม้ว่ามันจะถูกเช็คไปบ้างแล้วก่อนหน้านี้
“ฉันว่าเธอเจ็บอยู่นะ มาฉันช่วย” พูดพร้อมเข้าไปพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” เธอยอมให้ชายหนุ่มเข้ามาประคอง แต่โดยดี
“แล้วนี่เธอมาทำอะไรดึกๆดื่นๆ บ้านช่องไม่กลับ” เสียงตำหนิที่คุ้นหูเหมือนเพิ่งเคยเจอที่ไหน ทำให้หญิงสาว ปรือตาขึ้นมามองคนที่เข้ามาช่วยเล็กน้อย พยายามคิดว่าเธอเอ่ยได้ยินน้ำเสียงนี้จากที่ไหน
“คือฉัน.. ฉัน ยังไม่ทันที่จะตอบคำถามชายหนุ่ม ดวงตากลมโตของเธอก็ต้องเบิกโพรงด้วยความตกใจอีกครั้ง เมื่อมองเห็นใบหน้าของคนที่เข้ามาช่วยเธอชัดขึ้น จากเสาไฟต้นใหญ่ที่สาดส่องเข้ามา ในระหว่างเดินออกมาจากพงหญ้า
“คุณ!!! คุณ มาที่นี่ได้ยังไง”
“อย่าถามมากเลยนะ รีบๆเข้าบ้านก่อนเถอะ” ชายหนุ่มเอ็ด
“ปล่อยฉันนะ นี่อย่าบอกนะว่าคุณจ้างคนพวกนั้นมาดักทำร้ายฉัน เพราะต้องการจะเอาคืนที่ฉันด่าคุณไปวันนั้น” คนเจ็บยังไม่วางใจเมื่อคนที่เข้ามาช่วยเธอคือคนที่เธอมีปากเสียงด้วยเมื่อสองสามวันก่อน ใครจะไปรู้ละ เขาอาจจะฉัดฉากก็ได้ คยสมัยนี่เชื่อใจได้ซะที่ไหน
“ยัยเด็กบ้านี่ สมองคิดได้แค่นี้ใช่มั้ย ถ้าฉันจ้างพวกมันมา ฉันจะเอาสีข้างตนเองไปรับมีดจากพวกมันทำไม พูดไม่คิด หรือสมองวันๆคิดได้เท่านี้” จากที่ห่วงใยอยู่ในตอนแรกก็กลายเป็นดุด่าแทน ผู้หญิงบ้า แทนที่จะกล่าวขอบคุณที่เขาอุตส่าห์ช่วยเหลือ แต่กลับมาใส่ร้ายเขาแทนซะนี่
“แล้วนี่โดนซะขนาดนี่ยังจะมาอวดดีอีก หรือจะรอให้มันมาลากตัวเธอเข้าป่าอีกรอบหะ ถึงจะยอมกลับบ้านกับฉันดีๆ” คนถูกดุหน้าจ๋อยลงนิดหนึ่งแล้วทำแก้มป่องอย่างขัดใจ ก่อนจะยอมให้ชายหนุ่มเดินประคองกลับบ้านแต่โดยดี เพราะยังไม่อยากจะโดนลากเข้าป่าอีกครั้ง ที่สำคัญดูแล้วชายหนุ่มคนที่เข้ามาช่วยเธอก็บาดเจ็บไปด้วยอีกคน
เมื่อเธอและเขาเดินมาถึงหน้าบ้านของหญิงสาว พริริสามีท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัดว่าควรจะชวนชายหนุ่มเข้าไปในบ้านเพื่อทำแผลไหม เพราะนี่มันก็เที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว หรือจะปล่อยให้ชายหนุ่มกลับไป ทั้งๆที่เลือดโชกแบบนี้ มันคงจะดูไร้มารยาทและไร้มนุษยธรรมเกินไปแน่ๆ หากต้องปล่อยให้ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยเธอกลับไปทั้งที่เป็นแบบนี้
คนที่โดนมีดบาด ก็ยืนมองหญิงสาวอยู่พักใหญ่ หลังจากที่เขาเดินประคองเธอกลับมาถึงบ้าน ดูเหมือนเธอยังเคลือบแคลงในตัวเขา แถมยังไม่เอ่ยบอกอะไรออกมา นอกจากยืนส่งสายตาหวาดๆ เหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรบ้างอย่างอยู่
“เธอกลับเข้าไปในบ้านเถอะ ฉันจะกลับ” สกายพูดทำลายความเงียบเมือต่างฝ่ายต่างจ้องหน้าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด เขายืนเอาหลังพิงกับรถคันหรุของตนเองเพราะรู้สึกแปลบๆที่สีข้าง แม้มันจะโดนแค่เฉียดๆ แต่ตอนที่เข้าใช้แรงอัดกับไอ้สามตัวนั้น แผลมันก็เลยปริบขึ้นมา
“ดะ ดะ เดี๋ยวสิ!! เข้าไปในบ้านก่อน เดี๋ยวฉันทำแผลให้” คนที่ยืนนิงอยู่นานเอ่ยขึ้น หลังจากที่สกายเอ่ยลา เธอก็ไม่รู้ว่าทำไม รู้แค่ว่าเธอควรจะขอบคุณเขาบ้างที่เข้ามาช่วยเธอ
สกายเหลือบเปลือกตาขึ้นมามองหญิงสาวตรงหน้าที่เอ่ยชวนเขาเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะเอียงคอเอี้ยวตัวมองเข้าไปในบ้านสีขาว เหมือนกำลังจะถามแต่เธอดันเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ไปเถอะ ไม่มีใครอยู่หรอกฉันอยู่กับพี่สาวแค่สองคน” พริริสาเข้ามาช้อนแขนประคองชายหนุ่ม แล้วดึงคนตัวใหญ่เข้าบ้าน
ถ้าเธอเดาไม่ผิด ลินลณีคงไม่กลับบ้านอีกตามเคย เพราะวันสองวันนี้เธอแทบจะไม่เห็นคาดตาพี่สาวนอกไส้ของตนเอง จะมีก็แต่เสื้อผ้าของใช้เท่านั้นที่เธอเห็นหล่อนโยนมาให้เธอซักอยู่ในตะกร้าหน้าห้องนอนของตนเอง
“แล้วอย่าคิดทำอะไรไม่ดีกับฉันนะ ฉันเอามีดเฉาะหัวคุณแน่ๆ” พริริสาหันมาเอ่ยขึ้นอย่างดุ ก่อนจะหันกลับไปไขกุญแจเข้าบ้าน
“ฉันไม่ปล้ำเธอหรอกนะ”ชายหนุ่มไหวไหล่ไม่สนใจคำพูดออกหญิงสาว แล้วเอ่ยขึ้นเพียงเบาๆ
“ก็ลองคุณทำอย่างที่พูดสิ คุณไม่มีชีวิตออกไปจากบ้านหลังนี้แน่ๆ” พริริสาทำใจดีสู้เสือ พูดขู่ออกไป ทั้งที่ความจริงถ้าเขาจะทำอะไรเธอจริงๆ เธอคงจะแหลกคามือเข้าไปก่อน ที่เธอจะทันได้ทำอะไรเขาแน่ๆแต่ความรู้สึกอะไรบางอย่างบอกเธอว่า ผู้ชายคนนี้จะไม่ทำอะไรเธอ เธอถึงกล้าเอ่ยปากชวนเขาเข้ามา
สกายหย่อนสะโพกลงนั่งบนโซฟาสีดำ แล้วเอนหลังพิงไปกับเบาะ รู้สึกหนักๆตรงสีข้างจากบาดแผล ส่วนพริริสาก็เดินหายเข้าไปในตัวบ้าน จากนั้นเธอก็เดินกลับมาพร้อม อ่างน้ำที่มีผ้าเช็ดตัวลอยอยู่ พร้อมถาดน้ำและกระเป๋ายาอยู่ในมือ เธอนั่งตรงข้างๆชายหนุ่ม ก่อนจะเอาทุกอย่างที่ถือมาว่างอยู่บนโต๊ะ แล้วหยิบแก้วน้ำพร้อมยายื่นให้เขา
“คุณทานยาแก้ปวดก่อน ฉันจะทำแผลให้”
“ขอบใจ” สกายเหลือบเปลือกตาขึ้นมาสบตากับหญิงสาวก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นมารับยาและแก้วน้ำจากมือของเธอ
“ทานยาเสร็จแล้วฉันขอดูแผลของคุณหน่อยนะคะ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแม้ไม่อ่อนโยนแต่ก็ไม่ได้ห้วนห้าวจนชายหนุ่มต้องปรือตามองหน้าหญิงสาวอีกครั้ง ในขนาดที่มือยังถือแก้วที่ยังดื่มไม่หมด เขารู้สึกประหลาดใจในน้ำเสียงของเธอ เพราะปกติที่เขาได้ยินคือคำพูดและวาจาเฉือนเฉือดไม่มีคะขา เป็นมะนาวไม่มีน้ำ
“คุณมองหน้าฉันทำไมคะ” พริริสาเอ่ยถามขึ้น เมื่อชายหนุ่มเอาแต่จ้องเธอ จนเธอทำอะไรไม่ถูก
“เปล่าแค่ฉันไม่คิดว่าเธอจะพูดจาไพเราะกับเขาเป็น” น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับยอกย้อน จนพริริสาอย่างจะเอามีดปลายแหลมแทงซ้ำที่แผลเดิม ในคำพูดกวนปราสาทของเขา แต่หญิงสาวไม่ได้เอ่ยอะไรโต้ตอบเพราะเกรงว่า ถ้าเธออดรนทนไม่ไหว จากที่คิดจะช่วยทำแผล จะเป็นทำให้แผลมันเปิดใหญ่กว่าเก่า ก็เลยหันมาสนใจอุปกรณ์ทำแผลกับอ่างน้ำเช็ดตัวแทน
สกายถึงกับอึ้ง!! เพราะคราวนี้ เธอไม่ต่อปากต่อคำกับเขา แถมยังทำกับว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดแขวะ กับก้มหน้าก้มตาสนใจอุปกรณ์ทำแผล ยัยนี่เก็บอารมณ์เก่งชะมัด แล้วทำไมวันนั้นถึงได้ต่อปากต่อคำกับเขาละ
“ถอดเสื้อสิคะ เดี๋ยวฉันเช็ดตัวกับทำแผลให้ คุณจะได้กลับๆไปซะที”
“เห็นมั้ยว่าถอดยาก” สกายว่าแล้วเหลือบตามองเสื้อตัวเองก่อนจะช้อนตาขึ้นมองหน้าพริริสา
“มาค่ะฉันช่วย คุณยกแขนขึ้นสิ” คนที่นั่งทำหน้าไร้อารมณ์อยู่เอ่บขึ้นอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ แต่ก็ยังออกปากที่จะช่วย
“เบาๆหน่อยสิ คนนะไม่ใช่หุ่นยนต์ เจ็บเป็นเหมือนกัน” สกายบ่นอุบอิบเพราะพริริสาดึงเสื้อของเขาออกจากศีรษะอย่างรวดเร็ว
สกายกลับมาเอนหลังกับเบาะตามเดิมแล้ววางท่าสบาย แต่กับอีกคนกับรู้สึกร้อนๆหนาวๆเมื่อมองเห็นร่างกายกำยำที่เปลื่อยเปล่า ไม่มีเสื้อสวมทับ หญิงสาวถึงกับกลืนน้ำลายลงคอแล้วพยายามเบี่ยงหน้าหนี ไม่กล้ามองร่างใหญ่กำยำที่ชวนให้ผู้หญิงเคลิ้มฝัน เมื่อเห็นกล้ามเนื้อหัวไหล่ที่เป็นหมัดๆ กับซิคแพ็คที่อยู่ตรงหน้าท้องและอกแกร่ง ผิวที่ขาวโผลนอย่างหยวกกล้วย ไม่น่าเชื่อว่าไอ้คนที่หนวดเครารุงรัง จะซ่อนความความแข็งแกร่งไว้ภายใน จนเธอรู้สึกร้อนวาบที่ใบหน้า
หญิงสาวนั่งหน้าร้อนผ่าวทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเจอกับหุ่นกระชากใจ มือเล็กที่กำลังหยิบผ้าเช็ดตัวไปเช็ดให้ชายหนุ่มสั่นไหว จังหวะการเต้นของหัวใจเริ่มไม่เป็นปกติ เกิดมาเพิ่งจะเคยใกล้ชิดกับผู้ชายสองต่อสอง แต่ถึงอย่างนั้นพริริสาก็ยังรวบรวมความกล้ายื่นมือเข้าไปเช็คตัวให้ แต่สายตากับเสมองไปทางอื่น
สกายเหลือบขึ้นมองท่าทางประหม่าของหญิงสาวแล้วอมยิ้ม ก่อนจะใช้มือใหญ่ดึงผ้าเช็ดตัวมาเช็คเอง ไม่รู้ที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้คือตัวตนจริงๆของเธอ หรือแค่ละครฉากใหญ่ ที่เอาไว้หลอกผู้ชาย
“เอามานี่ฉันเช็คเอง”
“คะ.. คุณว่าอะไรนะ” คนหน้าแดงยังอื้ออึง ฟังไม่ได้ศัพท์เพราะความอาย
“ฉันบอกว่า เดี๋ยวฉันเช็คเอง เธอไปเตรียมอุปกรณ์ทำแผลโน้นไป”
“ออ.. ค่ะ ค่ะ” เมื่อเริ่มรู้ตัวว่ากำลัง ทำให้ชายหนุ่มขบขันกับท่าทางของตน คนหน้าแดงก็เริ่มเรียกสติตนเองให้กลับมา
พริริสาเธอเป็นอะไรเนี๊ย เห็นแค่นี้ทำเป็นเขินอาย ทีวริชถอดเสื้อเล่นบาสทุกวันเธอยังไม่เคยจะอายเลย หน้าเขกกบาลตนเองจริงๆทำไมเธอถึงเก็บอาการไม่อยู่ หญิงสาวกัดฟันหลับตาปี้ ตำหนิตนเองอยู่ในใจ
“คุณเอนตัวไปกับโซฟาเลยค่ะ เดี๋ยวขอฉันดูแผลคุณก่อนถ้ามันลึกมากคุณควรจะไปเย็บนะ” บอกพร้อมให้ความสนใจกับแผลของชายหนุ่ม
“แผลไม่ลึกนะคุณ คงจะโดนแค่เฉียดๆ” พูดในขนาดที่มือก็ยังใช้ลำสีชุบแอลกอฮอล์เช็ดไปตามแผล
“โอ๊ย!! เบาๆสิ” ชายหนุ่มร้องครวญเมื่อพริริสาใช้ยาฆ่าเชื่อเช็ดไปที่แผล
“อยู่นิ่งๆสิคุณแล้วคืนนี้จะเสร็จไหม มันดึกมากแล้ว แล้วฉันก็ง่วงมากด้วย” พริริสาบ่นอุบ เมื่อชายหนุ่มเอาแต่เบี่ยงตัวหลบ
“ก็มันแสบนี่”
“แสบคุณก็ต้องทน ถ้ายังไม่อยากจะเป็นบาดทะยักตาย” คราวนี้หญิงสาวไม่พูดเปล่า กดข้อมือทีมีลำสี แรงๆไปกับแผล ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งโหย่งแหกปากร้องเพราะความเจ็บ
“โอ๊ย!! ยัยบ้านี่ฉันบอกให้เบาๆ ฟังไม่รู้เรื่องหรือไงเล่า” ว่าเสียงดุ จนพริริสาแอบหัวเราะที่ได้แกล้งชายหนุ่มตรงหน้า สมน้ำหน้าอยากจะปากเสียกับเธอนัก
“เธอขำอะไร? ชายหนุ่มถามขึ้น เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวกลั้นขำ
“เปล่านี่ คุณนั่งอยู่เฉยๆได้ไหม ฉันทำแผลไม่สะดวก เดี๋ยวก็แผลก็เน่าหรอก”
“ฉันไม่ใช่เด็กนะ!! เธอถึงใช่มุขนี่มาขู่ฉัน “ สกายทำเสียงเข้ม
“ฉันรู้ค่ะ ว่าคุณไม่ใช่เด็กแต่กรุณานั่งนิ่งๆสักพักได้ไหมคะ ฉันจะได้ทำแผลให้เสร็จซักที” คราวนี้ น้ำเสียงดูจริงจังเกมขอร้อง จนชายหนุ่มที่กำลังจะอ้าปากเถียงต้องหุบปากลง
พริริสากุมๆเงยๆทำแผลให้ชายหนุ่ม จนไม่ได้สังเกตมามีใครกำลังแอบมองทุกอากัปกิริยาของเธออยู่ สกายใช้สายตาจ้องมองไปตามใบหน้าหวานของหญิงสาว ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้เขาอย่างตั้งใจ วันนี้หน้าตาเธอดุอ่อนเยาว์กว่าวันนั้นที่เขาเจอ อาจเพราะการแต่งตัวแล้วก็แต่งหน้าด้วยกระมัง แต่เขาชอบลุคนี้ของเธอมากกว่ามันดูสบายตาดี เสื้อเชิ้ตที่พับแขนไว้ครึ่งศอก บวกกับกางยีนรัดรูป พร้อมปล่อยผมยาวสยายไปถึงเอว แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีโอรสเพียงบางเบา ใบหน้ารูปไข่กับขนตาที่เรียงกันเป็นแพ ยิ่งดูก็ยิ่งน่ามอง
พริริสาเริ่มรู้สึกว่าชายหนุ่มกำลังจ้องมองเธออยู่ หลังจากที่เธอทำแผลเสร็จ หญิงสาวเลยใช้มือที่ถือพลาสเตอร์ติดแผลกดลงไปที่แผลของชายหนุ่มแรงๆ
“โอ้ย!!ยัยเด็กบ้าเธอทำอะไรฉัน”คนที่กำลังอยู่ในความคิดของตนเอง ร้องโวยวายขึ้นอีกรอบ พร้อมทำหน้าเหย่
“ก็ทำแผลให้คุณไง เสร็จแล้วเนี๊ย ที่นี่คุณก็กลับไปได้แล้ว ฉันจะได้พักผ่อนสักที” คนขี้แกล้งร้องบอกพร้อมกับลุกขึ้นเอาของเข้าไปเก็บ แต่พอกลับออกมาก็ยังเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่ที่เดิม
“อ้าวคุณ แผลฉันก็ทำให้เสร็จแล้ว ทำไมคุณยังไม่กลับ” พริริสาเอ่ยถาม
“เธอจะให้ฉันกลับในสภาพนี้จริงเหรอ” ชายหนุ่มเอนตัวกับโซฟาแล้วหลับตาเอ่ยถาม
“ก็ ก็ แผลฉันก็ทำให้คุณแล้ว คุณยังจะเอาอะไรอีก”
“ฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้น จะขึ้นไปนอนก็ไป ฉันขอพักสายตาแปป” สกายยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมาพูดกับเธอ เขารู้สึกหนักๆที่หนังตาอาจจะเป็นเพราะยาแก้ปวดที่เธอให้ทานก็เป็นได้
“แต่ว่า นี่มันดึกแล้วนะ” หญิงสาวยังแย้ง และไม่เห็นด้วย
“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกนะ แรงจะลุกฉันยังไม่มีเลย เธอเองก็ควรจะขึ้นไปพักผ่อนและทานยาซะ โดนมันเล่นงานมาเหมือนกันไม่ใช่ไง” คราวนี้น้ำเสียงหนักแน่นและดุขึ้นมาเล็กน้อย จนพริริสาต้องคิดหนัก
“หรือเธอจะนอนเป็นเพื่อนฉันข้างล่างนี่” เมื่อรู้สึกว่าหญิงสาวยังไม่ไปไหน คนหน้ามึนที่เอาแต่ใจก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“บ้า!! ใครจะนอนเป็นเพื่อนคุณ “
“ถ้าไม่นอนก็ขึ้นไปพักผ่อนซะ”
“ก็ได้! ออกไปแล้วปิดประตูให้ฉันด้วย”
“อืม!!
เมื่อเห็นว่า ค้านไปก็ไม่มีประโยชน์ หญิงสาวจึงยอมให้สกายนอนอยู่ตรงโซฟาแต่โดยดี แล้วก็รีบก้าวเท้าขึ้นบันไดห้องไป เพราะกลัวชายหนุ่มเปลี่ยนใจกลับมาทำมิดีมิร้ายเธอแทน
หลังจากอาบน้ำและหายาทานเสร็จเกือบชั่วโมง พริริสาจึงตัดสินใจเดินลงมาชั้นล่างอีกครั้ง เพื่อมาดูว่าชายหนุ่มออกไปหรือยังและสำรวจดูบ้านช่อง แต่เมื่อเดินมาถึงห้องรับแขกเธอก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อสกายยังนั่งหลับตาอยู่ที่เดิม ไม่ไปไหน
พริริสาแหงนหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสอง แล้วก็ยืนใช้ความคิดอยู่ตรงนั้น ว่าควรจะทำยังไงกับชายหนุ่มตรงหน้าเธอดี ถ้าพรุ่งนี้เช้าลินลณีมาเห็นเขา มีหวังเธอโดนหล่อนด่าเละแน่ ๆ ข้อหาที่พาผู้ชายเข้าบ้าน แค่วริชคนเดียวที่เข้าออกบ้านเธอ ก็โดนกระแหนะกระเหน่อยู่ทุกวันแล้ว
ดังนั้นปลุกชายหนุ่มให้กลับบ้านดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของเธอด้วย เผื่อชายหนุ่มลุกขึ้นมากลางดึกแล้วเกิดหน้ามืดปล้ำเธอขึ้นมาใครจะช่วย
“คุณ คุณ กลับบ้านได้แล้ว” พริริสายืนเรียกชายหนุ่มที่นอนหลับสนิท ไม่หื้อไม่อื้อ กับเสียงเรียกของเธอ
“คุณ คุณ ฉันบอกว่ากลับบ้านได้แล้ว” เมื่อยืนรียกเฉยๆแล้วไม่ตื่น พรริริสาจึงโน้มตัวใช้นิ้วชี้ไปสะกิดหัวไหล่ชายหนุ่ม แต่ก็ไม่มีการตอบรับเหมือนเคย
“นี่คุณ ฉันบอกว่าตื่นกลับบ้านได้แล้ว” คราวนี้เริ่มเสียงเขียวและดังขึ้น ก่อนจะนั่งลงกับโซฟาตัวเดียวกับชายหนุ่มและเข้าไปเขย่าแขน แต่ก็ต้องรีบชักมือกลับ เมื่อสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่มาจากร่างกายของเขา
“คุณทำไมตัวร้อนอย่างนี้ล่ะ” เธอใช้มือเล็กอังไปที่หน้าผากชายหนุ่ม นี่บาดแผลที่สีข้างคงทำพิษเข้าให้แล้ว
“คุณ ลุกไหวไหมคุณ คุณจะนอนอยู่ตรงนี้ไม่ได้นะ พรุ่งนี้ถ้าพี่สาวฉันมาเห็นเข้า บ้านแตกแน่ๆ “ พริริสาเอ่ยเสียงสั่น เธอกลัวลินลณีมากกว่า ถ้าเกิดมาเห็นว่าเธอเอาผู้ชายสภาพนี้มานอนที่บ้าน คราวนี้ลินลณีคงไม่แค่ดุด่า คงลงมือทำร้ายร่างกายเธออย่างแน่นอน
หือ!! สกายขานรับน้ำเสียงแหบพร่า สมองสั่งการได้แค่นั้น เพราะพิษของบาดแผล
ทำยังไงดีพริริสา คิดสิคิด จะให้เขากลับในสภาพนี้ก็กะไรอยู่ครั้นจะให้อยู่ ถ้าพรุ่งนี้พี่ลินมาเห็นเธอต้องโดนเล่นงานแน่ๆ แล้วแบบนี้ เธอจะทำยังไงดี พริริสากุมมือตนเอง ทั้งสองข้าง และเดินไปเดินมาในห้องรับแขก อย่างใช้ความคิด
ความคิดเห็น