ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ ๑๑ สู่จันทรา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.31K
      101
      4 มิ.ย. 59


    ตอนที่ ๑๑ สู่จันทรา




    “ข้าอยากเป็นจอมยุทธ์ผู้เก่งกล้าเกรียงไกรเหนือผู้ใดในโลกหล้า แล้วเจ้าเล่า”


    เงาร่างหนึ่งหันมาเอ่ยถาม หากแต่ม่านหมอกพร่ามัวปกคลุมเขาหนาทึบจนไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบสิ่งใด ภาพกลับเลือนหายไปดั่งถูกม่านน้ำชะล้างก่อนแปรเปลี่ยน


    “หยกชิ้นนี้แบ่งให้พวกเจ้าคนละครึ่ง”


    ม่านหมอกยังคงบดบังทุกสิ่งจนรางเลือน ม่านน้ำเองก็ยังคงทำหน้าที่ชะล้างแปรเปลี่ยนภาพรางเลือนนั้น


    “ข้าขอสัญญา จะปกป้องเจ้าตลอดไป”


    ภาพเงาจางๆไม่ว่าจะเพ่งมองเท่าไหร่กลับไม่อาจฝ่าผ่านหมอกหนาได้ หมอกสีขาวเข้าปกคลุมหนาทึบมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งเงาร่างนั้นถูกกลืนหายไป


    ฉั่วะ                                 

                

    ม่านหมอกแตกกระจาย เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นย้อมสีขาวให้เต็มไปด้วยสีแห่งหยาดโลหิต ไม่หลงเหลือสิ่งใด


    เฮือก!


    ฉันสะดุ้งลืมตาโพลง เหงื่อผุดซึมทั่วใบหน้าหอบหายใจอย่างหนัก เสียงปิดประตูทำให้หันขวับไปแต่ไม่ทันได้เห็นผู้ใด ได้แต่กวาดตามองรอบๆแล้วพบว่าที่นี่เป็นห้องพักขนาดเล็ก นอกจากเตียงที่นอนอยู่ตรงนี้แล้วมีเพียงตู้ไม้วางอยู่ชิดกำแพงกับโต๊ะน้ำชาตรงกลางห้องเท่านั้น สำรวจตนเอง ฉันในตอนนี้มีผ้าพันอยู่รอบหน้าผาก รู้สึกเจ็บที่หลังกับขาซ้าย คงเป็นเพราะสองที่นี้ได้รับแผลมาค่อนข้างใหญ่ ส่วนบาดแผลยิบย่อยอื่นๆไม่มีอะไรให้ต้องใส่ใจ เวลาสามปีที่เป็นเด็กฝึกมานั้นเคี่ยวกรำให้ความอดทนสูงขึ้นเกินกว่าจะสนใจอาการบาดเจ็บเล็กน้อยเหล่านี้แล้ว


    ประตูเปิด หญิงสาวชุดขาวผู้หนึ่งส่งยิ้มให้ ดวงตาเรียวที่โค้งขึ้นปิดมิดเวลาส่งยิ้มมานั้นทำให้ดูเป็นมิตรอย่างมาก


    “ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นเสียที” นางเดินมานั่งลงข้างๆฉันบนเตียง “เจ้าหลับไปถึงสามวันเต็มๆรู้หรือไม่ ราวกับจำศีลอย่างไรอย่างนั้น ไหนให้ข้าตรวจดูร่างกายเจ้าหน่อย”


    ฉันมองหญิงสาวผู้นี้ตรวจชีพจรเงียบๆ หน้าตาแม้ไม่ได้ถึงขั้นล้ำเลิศสะเทือนฟ้าสะเทือนดินแต่ก็สบายตาน่ามองไม่น้อย อีกทั้งภายใต้ท่าทางเป็นมิตรร่าเริงนี้กลับเหมือนซ่อนประกายสูงส่งบางอย่างอยู่


    “ร่างกายเจ้าน่าทึ่งมาก” นางพูด มือก็ตรวจสอบแผลฉันไปด้วย “สามารถต้านพิษได้เกือบทุกชนิดที่ข้ารู้จักทั้งยังแข็งแรงอย่างมาก การฟื้นตัวก็ยอดเยี่ยม แม่นางน้อย เจ้ารู้หรือไม่การฟื้นตัวของร่างกายนี้จิตวิญญาณภายในนั้นมีผลอย่างมาก ในศาสตร์การรักษาที่ศึกษาอย่างลึกซึ้งนั้นบอกไว้ว่าจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งส่งเสริมร่างกายให้แข็งแกร่ง จิตวิญญาณเจ้านั้นแข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”


    นางส่งยิ้มให้ฉันที่ยังคงไม่พูดสิ่งใด หากจะพูดให้ถูกคือหาช่องพูดไม่ได้เลย


    “กินยาถ้วยนี้หน่อยดีหรือไม่”


    ฉันถูกประคองให้ลุกขึ้นนั่ง มองถ้วยยาที่ยกมาจ่ออยู่ปากแล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ หากยังไม่ทันได้ตอบก็ยกมาจ่อปากเช่นนี้แล้วไม่ต้องถามก็ได้กระมัง


    “พวกเจ้าอีกสองคนนั้นตอนนี้เข้าสู่หน่วยของจันทราแล้วเรียบร้อย มีเพียงเจ้าที่บาดเจ็บหนักจึงไม่ได้เข้าพิธีการต้อนรับ” หมอหญิงปริศนาผู้นี้ยังคงพูดต่อ “ครั้งนี้หอจันทราได้คนเพิ่มเพียงสามคนเท่านั้น เป็นหอเดียวที่จนครบกำหนดเจ็ดวันแล้วไม่ได้คนตามจำนวนที่กำหนด ช่างน่าเสียดาย”


    อีกสองคนนั้นเป็นผู้ใดบ้างฉันไม่รู้ จะให้เอ่ยปากถามตอนนี้ก็เกรงว่าจะเป็นการขัดจังหวะการพูดอย่างเพลินเพลินของท่านหมอจึงนิ่งเสีย


    “เจ้าไม่ได้เข้าพิธีเช่นนี้ข้าคงต้องบอกถึงโครงสร้างขอหออย่างคร่าวๆให้ฟังเอง หอจันทราแบ่งเป็น 6 หน่วยย่อย แต่ละหน่วยมีหัวหน้าซึ่งคอยรับคำสั่งและมอบภารกิจให้พวกเจ้า เหนือจากหัวหน้าหน่วยทั้งหกเป็นรองประมุขซ้ายขวา สูงสุดคือประมุขจันทรา”


    “แล้วท่าน” ฉันอาศัยจังหวะตอนนางเว้นวรรคหายใจหาช่องแทรกถามไปจนได้


    “ข้าอย่างนั้นรึ ข้าคือไป๋เสวี่ย” นางส่งยิ้มตอบสดใส


    “ขอบคุณท่านไป๋เสวี่ยมากที่ดูแลช่วยเหลือ” ฉันก้มหัว


    “ดีจริง ในที่สุดก็มีผู้ที่ยอมเรียกชื่อข้าเสียที” ฉันที่ก้มหัวอยู่พลันแข็งค้างอยู่ท่านั้น นางว่าอย่างไรนะ “นอกจากท่านประมุขกับหานเจี้ยแล้วคนในหอนี้กลับไม่มีใครยอมเอ่ยนามข้าแม้แต่ผู้เดียว ใจร้ายกันเสียจริง” นางหัวเราะเสียงเริงร่าในขณะที่ฉันกะพริบตาปริบๆทั้งก้มหน้า ชื่อนางมีสิ่งใดผิดปกติกัน


    “เหตุใดจึงมีเพียงท่านประมุขกับหานเจี้ยเล่า” ฉันเงยหน้าขึ้นถาม ไม่คาดจบคำถามนี้นางกลับหัวเราะดังลั่นขึ้นไปอีก


    “เจ้าไม่เพียงเรียกชื่อข้า ยังเรียกชื่อหานเจี้ยห้วนๆอีกด้วย” ท่านหมอหญิงผู้นี้เสียสติไปเสียแล้ว หัวเราะจนตัวคดตัวงอ “หากเจอหน้าเขาแล้ว ลองเรียกชื่อเขาห้วนๆเช่นนี้ให้ข้าเห็นสักครั้งได้หรือไม่” นางหัวเราะไม่หยุด “ข้าอยากเห็นว่าเขาจะทำหน้าอย่างไร”


    ฉันกลืนน้ำลายเอื้อก ใจคอชักไม่ค่อยดี


    “ไม่ทราบว่าท่านมีตำแหน่งใดในหอจันทราหรือ”


    “ข้ารึ” นางชี้ตนเองก่อนจะตอบด้วยท่าทีเบื่อหน่าย “ทุกคนต่างเรียกข้าว่ารองประมุขซ้าย ส่วนรองประมุขขวาคือหานเจี้ยที่ข้าพูดถึงนั่นอย่างไร”


    ฉันฟังจบปุ๊บก็หันไปหยิบถ้วยยาที่ยังคงมียาเหลืออยู่ที่ก้นถ้วยเล็กน้อยขึ้นยกซดปั๊บ ดื่มให้ความบรรลัยนี้ รองประมุขที่ไหนมานั่งเม้ามอยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับเด็กใหม่เช่นนี้กันเล่า งานนี้ไม่ใช่ว่าฉันจะถูกเตะออกจากหอโทษฐานที่ไปลบหลู่เกียรติรองประมุขทีเดียวสองคนรวดหรอกหรือ


    “เจ้ารู้หรือไม่ สมัยข้าเป็นเด็กฝึกข้าเองก็ได้หมายเลขสี่สิบสามเช่นกัน” ท่านรองประมุขซ้ายยังคงพูดไม่หยุด “พวกเราสายรหัสหมายเลขสี่สิบสามนี้ล้วนพิเศษทั้งสิ้น”


    “ข้าหาได้มีสิ่งใดพิเศษ” ฉันพูดอย่างนอบน้อม กระทั่งวางถ้วยยาก็ยังวางลงอย่างนอบน้อม


    “เรื่องที่เจ้าเลือดท่วมตัวลากแขนข้างหนึ่งออกจากสนามสอบนั้นข้าได้ฟังมาหมดแล้ว เจ้าอย่าถ่อมตัวไปเลย เสียดายที่ข้าไม่อาจไปดูการทดสอบได้ ดูท่าปีนี้พวกเจ้าแต่ละคนล้วนน่าตื่นตาตื่นใจทั้งสิ้น”


    ในใจปวดแปล่บ ฉันเม้มปากเข้าหากัน แม้จะสังหารสามสิบแปดไปกลับไม่สามารถลบล้างความเจ็บปวดที่ว่ายี่สิบเจ็ดจากไปแล้วได้ ความจริงที่ว่าไม่มีเขาอยู่ข้างๆฉันอีกแล้วยังคงไม่เปลี่ยนแปลง


    “อีกทั้งครั้งนี้หานเจี้ยผู้นั้นออกปากขอตัวเจ้ากับท่านประมุขด้วยตนเอง จะไม่พิเศษได้อย่างไร”


    ฉันเงยหน้ามองรองประมุขซ้ายในตอนที่ได้ยินนางพูดประโยคนี้


    “ขอตัวข้า”


    “ถูกแล้ว เขาขอตัวเจ้าไป ให้เหตุผลว่าต้องการเจ้าเป็นผู้ช่วยคนใหม่”


    “แต่ข้าเป็นเพียง...”


    “เจ้าเป็นเพียงเด็กใหม่เท่านั้น ข้อนี้ไม่ใช่เพียงเจ้าที่รู้สึกคลางแคลงใจ หากแต่หานเจี้ยนั้นเขาคิดสิ่งใดอยู่มิอาจมีผู้ใดคาดเดาได้ หลายปีก่อนหน้านี้คนสนิทของเขาตายไปในภารกิจ หลายฝ่ายต่างกังวลเรื่องที่เขาไม่แต่งตั้งผู้ใดขึ้นแทน มาวันนี้คงตั้งใจว่าจะฝึกเด็กใหม่เช่นเจ้าด้วยตนเองกระมัง เพียงแต่ด้วยนิสัยของเขา การลงมาสนใจเด็กใหม่เช่นนี้นั้นออกจะแปลกอยู่สักหน่อย คาดว่าคงเป็นเพราะเจ้ามีบางอย่างที่พิเศษจริงๆ”


    “ข้ามีตรงไหนพิเศษกัน” ฉันพูดกึ่งทอดถอน หากพูดถึงความพิเศษแล้วเป็นแบบหมายเลขหนึ่งยังดูเหมาะเสียกว่า ว่าไปนายท่านผู้ล้ำเลิศผู้นั้นสุดท้ายแล้วไปเลือกลงที่หอใดหนอ


    “ข้อนี้นั้นเจ้าคงต้องถามหานเจี้ยด้วยตนเองเสียแล้ว”


    “ท่านรองประมุข ขออภัยเจ้าค่ะ!” เสียงตะโกนดังมาจากหน้าประตู “ของที่ท่านสั่งไว้ได้มาถึงแล้ว!


    รอยยิ้มตาปิดหายไปจากใบหน้า ดวงตาเรียวที่ทอแววจริงจังให้เห็นวูบหนึ่งนั้นทำเอาฉันตัวเกร็งขึ้นมาทันที บรรยากาศเป็นมิตรไร้พิษสงที่แผ่อยู่รอบตัวหายไปฉับพลันราวกับมีคนมากระตุกดึงออก แต่เพียงฉันกะพริบตารองประมุขซ้ายก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ บรรยากาศสดใสไร้พิษสงกลับมาอีกครั้ง


    “ร่างกายเจ้านั้นขอเพียงพักผ่อนให้มากก็จะหายดีในเร็ววัน ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน ไว้วันหน้าว่างๆหากหานเจี้ยไม่ว่าจะแวะมาพูดคุยกับเจ้าใหม่”


    “น้อมส่งรองประมุขซ้าย” ฉันก้มหัวแทบลงไปจิ้มกับผ้าห่มบนตัว รอจนได้ยินเสียงประตูปิดลงอีกครั้งถึงได้เงยขึ้นมา มองประตูที่ปิดสนิทแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือก รองประมุขผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เห็นยิ้มๆเช่นนั้นเกรงว่าเวลาเชือดคงเชือดทั้งยิ้มๆเช่นกัน


    หลังจากนั้นฉันก็แทบไม่ได้เจอผู้ใดอีกนอกจากสาวใช้ที่เอายามาให้ในตอนแรก และเมื่อฉันพอเดินได้แล้วก็ต้องลุกไปเอายาเองที่ครัว หอจันทราแห่งนี้เมื่อมองจากฝั่งเด็กฝึกนั้นจะมองไม่เห็นแม้แต่หลังคาเนื่องด้วยทางเข้าเป็นถ้ำซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก ภายนอกดูซับซ้อนถึงเพียงนั้นภายในกลับดูเรียบง่ายไม่หรูหรา มีเรือนทำการหลักสามชั้น ด้านหน้าเรือนทำการหลักมีสวนหย่อมเล็กๆกับสระบัวตกแต่ง ด้านหลังแบ่งเป็นโรงครัว เรือนพักของสาวใช้และคนงาน เรือนพักของสมาชิกแยกฝั่งชายหญิง ที่เหลือเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเหล่าหัวหน้าหน่วยและผู้ที่ตำแหน่งสูงขึ้นไป แต่ละที่ล้วนตกแต่งเพียงเล็กน้อย อาจด้วยตกแต่งไปก็ไม่มีผู้ใดอยู่ดู เป็นหอที่เงียบสงบวังเวงเป็นอย่างยิ่ง

     





    “รองประมุขขวาต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”


    คือสิ่งที่สาวใช้แจ้งแก่ฉันในวันหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ฉันจึงต้องตามนางไปพบรองประมุขขวาผู้นั้น ชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนที่ใส่อยู่นี้ดูเรียบร้อยดีอยู่แล้ว ฉันจึงเพียงรวบผมเกล้าขึ้นครึ่งหนึ่งแล้วปักด้วยไม้ ไปพบรองประมุขเช่นนี้อย่างน้อยก็ควรแต่งตัวเสียหน่อย จะปล่อยให้หัวกระเซอะกระเซิงเช่นปกติคงดูไม่เข้าทีนัก แม้ไม่ได้มีเครื่องประดับใดติดตัวก็ยังดีที่หอจันทราใจกว้างมอบชุดกระโปรงให้หลายชุดอยู่


    สาวใช้พาฉันเดินออกจากเรือนพักของสมาชิกหญิงผ่านอาคารใหญ่ที่เป็นเรือนทำการหลัก ผ่านสระบัวที่ฉันทำรู้สึกผวาเล็กน้อยไม่กล้าเดินไปเฉียดทะลุไปด้านหลังจนเห็นแนวกำแพงหิน ก้าวผ่านประตูของกำแพงเข้าไปก็พบกับสวนไผ่ ต้นไผ่สีเขียวขจีเอนลู่ไปตามแรงลม ใบไผ่ปลิวผ่าน ทิวทัศน์รอบข้างของทางเดินหินที่ปูลาดยาวไปนี้งดงามไม่ธรรมดาเลย ฉันเดินไปมองไปอย่างเพลิดเพลินจนเกือบชนสาวใช้เข้าตอนที่นางหยุด


    “ข้าน้อยพาท่านผู้มาใหม่มาแล้วเจ้าค่ะ ท่านรองประมุข” สาวใช้ย่อกายแจ้ง


    ตอนนี้ฉันถึงได้เขยิบออกจากด้านหลังนางมองไปเบื้องหน้า ที่ตรงนั้นมีบุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้มผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงชุดโต๊ะหิน สายลมพัดผ่านพาเอาใบไผ่ร่วงหล่นปลิวพลิ้วไปพร้อมกับเส้นผมสีดำสนิทนั้น ดั่งภาพวาดที่จิตกรเอกรังสรรค์ บุรุษผู้นั้นวางพู่กันลงหันกายมา


    “เจ้าไปได้” เอ่ยบอกสาวใช้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


    สาวใช้ย่อกายก่อนจากไปในขณะที่ฉันยืนนิ่ง มองใบหน้าที่ราวกับรูปสลักแข็งค้างดั่งตนเองกลายเป็นหิน ไม่คิดว่ารองประมุขหานเจี้ยผู้นี้กลับเป็นผู้เดียวกับที่บอกให้ฉันมาที่จันทรา ผู้เดียวกับคนชุดดำที่หิ้วฉันเข้ามา จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งในชีวิตชาตินี้ของฉัน


    “ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เขาเอ่ยถาม แม้น้ำเสียงจะนุ่มนวลหากแต่ไม่ได้อ่อนโยนอย่างยี่สิบเจ็ด


    “หายดีแล้ว...เจ้าค่ะ” ฉันตอบตะกุกตะกัก ย่อกายทำความเคารพอย่างตะกุกตะกัก ธรรมเนียมต่างๆไม่สันทัดเลยสักนิด


    “เข้ามาใกล้ๆข้า”


    ฉันเดินเข้าไปใกล้ตามคำสั่ง ยามเงยขึ้นมองสบกับดวงตาดั่งทะเลลึกคู่นั้นก็ไม่อาจยืนอยู่ได้ต้องทรุดตัวคุกเข่าลง เขาผู้นี้รัศมีไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดสิ่งใดให้มากความฉันก็รับรู้ได้ นั่งก้มหน้านิ่งอยู่พักหนึ่งเขาก็เอ่ยถาม


    “สามปีมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”


    ไม่คาดกลับเป็นคำถามที่กระทบใจฉันอย่างแรงจนหากตอนนี้ยืนอยู่คงซวนเซ ทั้งที่เป็นคำถามเรียบง่ายดั่งเช่นผู้ใหญ่ถามสารทุกข์สุขดิบของผู้น้อย แต่เมื่อออกมาจากปากเขาแล้วภายในใจฉันกลับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง น้ำตาก็พาลจะเอ่อขึ้นมาจนสองมือต้องกำแน่นบังคับให้มันกลับลงไป


    “เจ้าคงลำบากมาก”


    “นั่น...นั่นเป็นเพราะท่าน...ไม่ใช่หรือ” ฉันเค้นเสียงพูด หากไม่ใช่เพราะเขาหิ้วฉันมา ฉันไหนเลยจะต้องลำบากถึงเพียงนี้ สูญเสียถึงเพียงนี้ เปื้อนเลือดถึงเพียงนี้


    “ด้วยสิ่งที่เจ้ามีอยู่ ไม่อาจหลีกเลี่ยงหนทางลำบากได้” เขาตอบ น้ำเสียงเรียบเรื่อย “สิ่งนี้เจ้าได้มาจากผู้ใด”


    ฉันเงยหน้าขึ้นตอนได้ยินคำถาม ในมือของรองประมุขผู้นี้มีหยกขาวรูปร่างบิดเบี้ยวอยู่ หยกขาวที่ฉันไม่คิดว่ามันจะมาอยู่ที่นี่ ด้วยเพราะมอบให้เทพบุตรในโลกวิญญาณไปแล้ว


    “มันติดตัวเจ้าอยู่ เจ้าได้มันมาอย่างไร”


    “คนผู้หนึ่งมอบให้ข้า” ฉันตอบ ในใจคิดอย่างสับสน หรือตอนเขาผลักฉันตกบ่อจะโยนหยกให้มาด้วยเป็นที่ระลึก


    “ผู้ใด”


    “ท่านพูดราวกับรู้จักหยกชิ้นนี้” ฉันไม่ตอบหากแต่เลือกที่จะลองเสี่ยงเอาข้อมูลจากอีกฝ่ายแทน


    รองประมุขขวาหานเจี้ยจ้องมองฉัน มองด้วยดวงตายากหยั่งถึงคู่นั้น ฉันแข็งใจมองกลับไม่หลบสายตา สายลมพัดพาใบไผ่ปลิวมาอีกหอบหนึ่งผ่านระหว่างพวกเราก่อนจะร่วงลงสู่พื้นดิน


    “นี่ไม่ใช่หยกธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรมีไว้ในครอบครอง” เขาพูดในที่สุด


    “ท่านหมายความว่าอย่างไร” ฉันถาม


    “ผู้ใดมอบมันให้เจ้า” เขากลับถามย้ำ


    ฉันมองตาเขาแล้วคราวนี้ไม่อาจต้านได้แต่เบนหลบ รองประมุขหานเจี้ยผู้นี้แน่นอนว่าคงรู้ถึงความสำคัญหรือกระทั่งความเป็นมาของหยกชิ้นนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่ฉันไม่อาจมั่นใจว่าจะสามารถไว้ใจคนที่หิ้วฉันมาโยนไว้ในพรรคโจรแห่งนี้ได้ แต่หากฉันตั้งป้อมปิดบังทุกสิ่งต่อเขา เขาก็คงไม่บอกสิ่งใดต่อฉันอีกเช่นกัน หลังจากคิดทบทวนทุกอย่างแล้วฉันจึงเลื่อนสายตากลับไปสบตาเขาอีกครั้ง


    “ท่านจะทำร้ายข้าหรือไม่” คำถามนี้สร้างความประหลาดใจเล็กน้อยบนใบหน้าเขา “หากท่านสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายข้า ข้าจะบอกท่าน”


    เขามองฉันด้วยความนิ่งสงบ สักพักจึงเอ่ยถามออกมาด้วยท่าทางนิ่งสงบเช่นกัน


    “เจ้าคิดว่าอยู่ในฐานะที่สามารถต่อรองได้อย่างนั้นหรือ”


    “รองประมุขซ้ายบอกว่าข้าพิเศษ และเพราะความพิเศษนั้นท่านจึงจำเพาะเจาะจงเลือกข้าแทนที่จะเป็นคนอื่นใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้วหากข้าซึ่งไม่มีสิ่งใดให้นำมาต่อรองจะขอเดิมพันใช้ความพิเศษนี้ต่อรองกับท่าน ก็คงเรียกได้ว่าเป็นทางรอดที่ดีที่สุดกระมัง”


    รองประมุขขวามองฉันนิ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองต้นไผ่สูงยาว


    “นับว่าไม่เลว” เขาเอ่ย “ข้าไม่คิดทำร้ายเจ้า แต่ข้าซึ่งตั้งใจจะเป็นอาจารย์ของเจ้าไม่อาจให้สัญญาได้ว่าจะไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บ การฝึกฝนวิชายุทธ์คงไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องบาดเจ็บได้”


    ฉันเงยหน้าพรึ่บขึ้นมา เขาว่าอย่างไรนะ อาจารย์อย่างนั้นรึ!


    “หยกชิ้นนี้ไม่ใช่ของธรรมดา ไม่ว่าผู้ใดมอบมันให้เจ้าย่อมต้องไม่ได้ให้เปล่า เจ้ามีภารกิจที่ต้องทำใช่หรือไม่”


    “คงเป็นเช่นนั้น” ฉันตอบ ในใจยังตกตะลึงกับการที่เขาผู้นี้จะมาเป็นอาจารย์ให้อยู่


    “คงเป็นเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร เจ้าไม่รู้ถึงภารกิจอย่างนั้นรึ”


    ฉันเผลอยกมือขึ้นเกาแก้มขวายิ้มแห้งๆให้อย่างลืมตัว


    “ความจริงแล้วตอนที่ได้รับหยกชิ้นนี้มา ข้าสิ้นสติไปก่อนจะได้ยินว่านางต้องการให้ข้าทำสิ่งใด”


    “นาง?


    “หญิงชุดขาว ข้าไม่ทราบอย่างแท้จริงว่านางเป็นใครมาจากที่ไหนหรือต้องการให้ข้าทำสิ่งใด”


    “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้สูญเสียความทรงจำอย่างที่บอกกับทุกคน” ได้ยินคำพูดนี้ฉันก็แอบสะดุ้งเล็กๆ ไม่คาดว่าเขาจะติดตามข่าวฉันช่วงที่ฝึกอยู่ด้วย


    “ข้าจดจำได้พียงแค่นี้ นอกเหนือจากนั้น ข้า...เอ่อ” ฉันพูดไม่ออก ต่อหน้าคนผู้นี้ไหนเลยจะกล้าโกหกได้ ถึงต่อให้โกหกไปก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อ “เอ่อ...เรื่องนี้ออกจะพูดยากอยู่สักหน่อย ความเป็นมาของข้านั้นออกจะ เอ่อ...พิสดาร” แบบว่าตายไปแล้วก็ข้ามภพมา โดดบ่อสามบ่อ ตายแล้วตายอีกจนได้มาพบท่าน ไม่ทราบว่าพูดอย่างนี้ไปแล้วท่านรองประมุขผู้นี้จะเอาแท่นหมึกโขกหัวฉันจนตายได้ไปเฝ้าบ่อให้เทพบุตรหรือไม่


    เงียบกันอยู่พักหนึ่งเขาก็พูดขึ้นมา


    “เช่นนั้นเรื่องความเป็นมาของเจ้าพักไว้ก่อน” ฉันรีบพยักหน้า นับว่ายังดีที่เขายังพอเห็นใจฉันอยู่บ้าง “ส่วนหยกชิ้นนี้ข้ายังไม่อาจคืนให้เจ้าได้ตอนนี้”


    “อ้าว” ฉันอ้าปากหวอ พอเห็นเขามองมาก็รีบหุบอย่างรวดเร็ว


    “เจ้ามีชื่อใดที่อยากใช้หรือไม่”


    การเปลี่ยนเรื่องอย่างปุบปับนี้ทำฉันมองกลับไปอย่างงุนงง


    “เจ้าไม่อาจใช้ชื่อสี่สิบสามได้ตลอด ในหอจันทราเองก็ใช่ว่ามีเพียงเจ้าที่มีหมายเลขเป็นสี่สิบสามในตอนฝึก” เขาอธิบายในขณะที่ฉันพยักหน้ารับ รองประมุขซ้ายเองก็สายรหัสสี่สิบสามเช่นกัน


    “จริงๆแล้ว” ฉันพึมพำอย่างไม่แน่ใจนัก “ก่อนหน้านี้มีชื่อว่าเฟิร์น”


    “เฟย?


    “ไม่ใช่ๆ” ฉันส่ายหัว เริ่มเคยชินกับดวงตาดั่งทะเลลึกนั่นของเขาแล้วจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวมากนัก “เฟิร์น เนตรนภา”


    “ข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูด” ท่านรองประมุขขมวดคิ้วเล็กน้อย


    ฉันเงยหน้าไปยิ้มหงอยๆให้เขา ในเมื่อมันเป็นภาษาไทยเขาจะเข้าใจได้อย่างไร ความจริงแล้วชาติภพที่เป็นเนตรนภานั้นไม่อาจย้อน ฉันกลับตัดบ่วงนี้ไม่ได้เสียที


    “ได้ฟังมาว่าในตอนฝึกอยู่นั้นเจ้าโดดเด่นเรื่องความเร็ว เคลื่อนไหวดุจสายลม เช่นนั้นชื่อหลิ่งเฟยเป็นอย่างไร”


    “หลิ่งเฟย” ฉันทวนคำ รองประมุขผู้นี้กลับนำคำว่าเฟยที่เขาคิดว่าฉันพึมพำเป็นชื่อตนเองเข้ามาอยู่ในชื่อให้ด้วย


    ร่างสูงสง่าลุกขึ้นสองมือไพล่หลัง เดินไปหยุดยืนอยู่ระหว่างต้นไผ่สองต้น พูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ


    “จงโบยบินดั่งเช่นสายลม หลิ่งเฟย”


    ฉันตกตะลึงนั่งอึ้ง มองเบื้องหลังอันสง่างามนั้นก่อนจะนึกขึ้นได้รีบขยับตัวหันตามทั้งคุกเข่า ตั้งใจจะก้มกราบกลับลนลานจนกลายเป็นเอาหัวโขกพื้นดินดังตุ้บ


    “หลิ่งเฟยกราบคาราวะอาจารย์ จากนี้ขออาจารย์โปรดชี้แนะด้วย!


    ท่านอาจารย์หมาดๆของฉันหันกายกลับมา มองฉันที่ยังคงหมอบต่ำ


    “กราบเป็นศิษย์ข้านั้นความจริงแล้วมีธรรมเนียมอยู่” พูดแล้วก็กระแอมเล็กน้อย “เจ้าต้องยกน้ำชามาเสียก่อนจึงค่อยกราบได้”


    เพล้ง


    ฉันรู้สึกเหมือนเห็นเศษหน้าตนเองร่วงกระจายอยู่บนพื้น


    “ศิษย์ เอ้อ ข้า” ฉันพูดตะกุกตะกัก เงยหน้ามองเขาทั้งหน้าแดงก่ำ


    เขากระแอมอีกครั้ง


    “จะอย่างไรก็ไปยกน้ำชามาก่อนเถิด” พูดแล้วก็กลับไปนั่งที่


    ฉันค่อยๆคลานถอยออกมาพอได้ระยะแล้วจึงลุกขึ้น เดินหน้าร้อนฉ่าออกจากสวนไผ่ อยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆ ว่าที่อาจารย์ของฉันท่านนั้นไม่ใช่ที่กระแอมหลายรอบนั่นเพราะกำลังหัวเราะฉันอยู่ในใจหรอกนะ ชีวิตฉันเวลาจะเริ่มต้นสิ่งใดไยต้องเริ่มด้วยความบัดซบเสียทุกที


    เดินผ่านหน้าเรือนทำการหลักตั้งใจจะไปขอชุดน้ำชาจากครัวสักชุดกลับได้เจอคนที่ไม่คาดจะได้เจอเสียได้ ตาเรียวดุ หน้าตาราวกับโมโหใครอยู่ตลอดเวลา เจ้าคนที่ฉันเกือบจะเดินชนนี้ชะงักหันมองแว้บหนึ่ง ทำท่าเหมือนจะเดินผ่านไปขากลับชะงักอีกรอบ เจ้ายี่สิบหันขวับกลับมา


    “นี่เจ้า! สี่สิบสามไม่ใช่รึ!” ชี้หน้าฉันถามเสียงดังด้วยใบหน้าตื่นตระหนก


    “เจ้า ที่แท้มาอยู่จันทราเองหรอกหรือนี่” ฉันพูดอึ้งๆ หันมองหมายเลขหนึ่งที่ใส่ชุดสีดำสนิทยืนอยู่ข้างๆ “เจ้าเองก็ด้วย”


    “เหตุ เหตุใดเจ้าจึงใส่ชุดสตรีเล่า!” เจ้ายี่สิบตะกุกตะกักถามเสียงดังลั่น


    ฉันมองหน้าหมายเลขหนึ่ง เห็นเขาหันไปอีกทางลอบถอนหายใจด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย


    “เจ้า เจ้า เจ้า!” เจ้าสัตว์ประหลาดติดอ่างขึ้นมาเสียอย่างนั้น กระทั่งนิ้วที่ชี้อยู่ยังสั่นขึ้นลง


    “ยี่สิบ ความจริงแล้วข้า” ฉันตั้งท่าจะอธิบาย ไม่คาดเขากลับตระหนกมาก ตะโกนแทรกฉันขึ้นมาดั่งคนยอมรับความจริงไม่ได้


    “หัวกระแทกมาหรืออย่างไรไยเลือกเดินทางนี้ สี่สิบสาม!!!


    นับว่าปัญญานิ่มได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายเป็นอย่างยิ่ง



    ------------------------------------------------------------------------------

    ยี่สิบผู้น่าสงสาร ลักษณะจะอยู่ผิดหอซะแล้ว หมายเลขหนึ่งก็ไร้มนุษยสัมพันธ์ นางเอกเองก็สายเรื่อยเฉื่อยเอ๋อๆบ้างบางที พวกบ้าพลังไฟแรงสูงอย่างยี่สิบต่อๆไปข้างหน้าเลยกลายเป็นเหมือนถูกแกล้งไปกลายๆเลย ฮ่าๆๆ

    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นแล้วก็กำลังใจค่า ตอนเริ่มแต่งด้วยเนื้อหาที่นางเอกค่อนข้างสมบุกสมบันไม่สมหญิงสักเท่าไหร่ไม่คิดว่าจะมีคนอ่านขนาดนี้ ขอบคุณมากค่ะ > <


    (รีไรท์)

    ข้าย้อนกลับมารีไรท์ตอนเก่าๆก็อดทอดถอนออกมาไม่ได้ว่า ทั้งข้าทั้งแม่บ้านและพ่อบ้านตอนแรกนั้น ล้วนแล้วแต่ใสๆกันเป็นอย่างมาก หาได้มีวี่แววว่าในภายภาคหน้า พวกเจ้าจะสร้างกองทัพ ไล่ลวนลามผู้คุมสาม ขว้างปาทุเรียน เอาระเบิดฝังตามลานดิน หรือกระทั่งจับคู่พ่อบ้าน(ที่มีอยู่น้อยนิด)มาจิ้นเลยแม้แต่น้อย กาลเวลาช่างผ่านมานานจริงๆ แม่บ้านพ่อบ้านที่เข้ามาใหม่ ขอให้เจ้าคงความดีงามไว้ อย่าได้ถูกโน้มน้าวไปในภายภาคหน้าเชียว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×