ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ ๖ การทดสอบแรก

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.18K
      64
      4 มิ.ย. 59


    ตอนที่ ๖ การทดสอบแรก



    กิจกรรมแสนน่าเบื่ออันหลีกหนีไม่พ้นของมนุษย์ทั่วไปในทุกโลก...ซักผ้า


    ฉันนั่งขยำขยี้คราบสกปรกออกจากชุดสีดำอย่างมุ่งมั่น ที่ตรงนี้ยังมียี่สิบเจ็ด สิบหกแล้วก็สามสิบห้านั่งซักอยู่ด้วย


    “เจ้า ตักน้ำให้มันดีๆ ตักทิ้งตักขว้างเช่นนี้ไม่เห็นแก่ข้าที่แบกมาตั้งไกลให้พวกเจ้าใช้หรืออย่างไร!” สิบหกชี้หน้าสามสิบห้าโวยวาย


    “สี่สิบสามก็ไปตักมาด้วยกันกับเจ้า ไม่เห็นเรื่องมากโวยวายสิ่งใด” สามสิบห้าวางถังลงแล้วนั่งซักด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย


    “สี่สิบสามมาใหม่ ไหนเลยจะกล้ามีปากเสียงกับพวกแล้งน้ำใจเช่นพวกเจ้า”


    “ผู้ใดแล้งน้ำใจ พวกเจ้าวิ่งขึ้นเขามาไม่ทันเวลาถึงต้องไปตักน้ำ มีเหตุย่อมมีผล มีสิ่งใดไม่ถูกกัน”


    “ชิ” สิบหกทำเสียงไม่พอใจ “หลักการเช่นนี้ ไม่ต้องให้บุรุษที่นั่งซักผ้าให้สตรีสอนหรอก”


    “สิบหก!” สามสิบห้าลุกพรวด


    “พวกเจ้าพอได้แล้ว มัวทะเลาะเมื่อไหร่จะซักเสร็จ” ยี่สิบเจ็ดลุกขึ้นปราม


    สิบหกอ้าปากทำท่าจะเถียงกลับหากไม่ติดว่าในตอนนั้นมีร่างหนึ่งเดินผ่านมาทางพวกเราเข้าเสียก่อน  ฝีเท้าแผ่วเบาแต่หนักแน่น แม้ว่าร่างนั้นจะไม่ได้สูงใหญ่เท่ากับเจ้าหกกลับดูมีสง่าราศีอย่างมาก สิบหกอ้าปากค้างนิ่งไปเหมือนกลั้นหายใจ ยี่สิบเจ็ดกับสามสิบห้าเองก็ยืนแข็งทื่อ ฉันมองตามคนผ่านมาที่ผ่านไปเงียบๆก่อนจะหันมองพวกเขาทั้งสามคน


    “เขางดงามจนทำพวกเจ้าตะลึงตาค้างกันไปหมด ช่างไม่ธรรมดา” พูดขึ้นด้วยความทึ่ง


    “เจ้าบ้า!” สิบหกขว้างไม้ขัดผ้าในมือเฉียดหัวฉันไปเพียงสองนิ้ว “นั่นหมายเลขหนึ่ง เจ้ามาใหม่จะไปรู้อะไร”


    “เจ้ารู้สิ่งใดก็คายออกมา เขวี้ยงไม้ใส่หัวข้าก็ใช่ว่าข้าจะรู้เรื่อง” ฉันตอบกลับ แอบเอื้อมไปหยิบไม้ขัดผ้าของสิบหก อาศัยจังหวะตอนเขากำลังนั่งลงโยนทิ้งเข้าพงหญ้าไป


    “เขาเป็นคนแรกในหมู่พวกเราที่เข้ามา เก่งกาจลึกลับ ไม่สุงสิงกับผู้ใด ลือว่าหมายเลขสี่ที่ตายไปนั่นก็เป็นฝีมือเขา” สิบหกพูด


    “ฝีมือเขานับว่าเป็นที่หนึ่งเหมือนหมายเลขแทบทุกแขนง ยังจำวันก่อนที่มีทดสอบมีดสั้นได้หรือไม่ เป้านิ่งเป้าบิน หมายเลขหนึ่งผู้นี้ล้วนไม่มีพลาด” สามสิบห้าเสริม


    วันทดสอบมีดสั้นนั่น เป้านิ่งเป้าบินฉันล้วนไม่มีเป้าไหนไม่พลาด ไหนเลยจะมีเวลาไปสนใจพวกหัวกะทิของรุ่น


    “วิชาตัวเบาของเขาก็ก้าวหน้ากว่าใคร” แม้แต่ยี่สิบเจ็ดเองก็ยังออกปาก


    “ลือว่าเขารู้วรยุทธตั้งแต่ก่อนมาที่นี่ใช่หรือไม่” สามสิบห้าหันมาถาม


    “ผู้ใดลือ สิบเก้าอย่างนั้นรึ”


    “นอกจากเจ้าสิบเก้าแล้วจะมีผู้ใดลืออีกเล่า”


    แล้วเจ้าพวกนั้นก็พูดคุยนินทาหมายเลขหนึ่งเสียยกใหญ่ ฉันนั่งฟังเก็บข้อมูลเงียบๆ แอบจดไว้ในหัวสมองว่าหมายเลขหนึ่งผู้นี้คือตัวอันตรายที่หากเป็นไปได้ ไม่ควรยุ่งเกี่ยวเป็นอย่างยิ่ง


    “ไม้ขัดผ้าข้าหายไปไหนแล้ววะ!” สิบหกตะโกนขึ้นมาในที่สุด ความรู้สึกช้าเสียจนฉันที่เป็นคนโยนทิ้งไปเกือบลืมเสียเอง







     

    ชั่วโมงเรียนกับอาจารย์เหลียงนั้นเป็นไปอย่างผ่อนคลาย นักเรียนส่วนใหญ่นั่งเหม่อมองไปด้านนอก ยี่สิบล้มฟุบหลับไปแล้ว สิบเก้าแอบปั้นกระดาษโยนใส่ผมฟูฟ่องของสักหมายเลขที่นั่งอยู่ข้างหน้า เจ้ายักษ์หมายเลขหกนั่งนิ่งกอดอก ไม่แน่ว่าหลับในไปถึงวิมานไหน ฉันหันมองยี่สิบเจ็ดที่นั่งฟังอาจารย์เหลียงกล่าวหลักคำสอนอะไรสักอย่างก่อนจะเบนสายตาไปมองด้านนอกเรือนบ้าง จากตรงนี้มองเห็นหอสุริยันที่อยู่ขึ้นไปบนเนินได้อย่างชัดเจนหากแต่รอบหอนั้นมีกำแพงหินกั้น ทำให้มองเห็นเพียงตัวอาคารของหอเท่านั้น


    ในบรรดาการฝึกฝนทุกสิ่งอย่างนี้ ที่ฉันพอจะทำได้ดีก็มีวิชาคำนวณกับวิชายุทธพื้นฐานอย่างวิชาตัวเบาเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเรียกได้ว่าห่วยแตก ด้วยความที่มาทีหลังทักษะร่างกายและอาวุธต่างๆของฉันจึงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน มีเพียงลมปราณกับวิชาตัวเบาที่กระทั่งอาจารย์ผู้สอนยังชมเชยว่าก้าวหน้าได้รวดเร็วมาก


    หลังจากอยู่ที่นี่จนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ฉันก็กำหนดเป้าหมายให้ตัวเองว่าจะต้องเข้าเป็นสมาชิกหนึ่งในสี่หอของพรรคให้จงได้ จากนั้นค่อยอาศัยเครือข่ายพรรคตามหาผู้หญิงชุดขาว ทำทุกอย่างไปทีละขั้นละตอนอย่างรอบคอบ แม้ต้องใช้เวลาแต่หากประสพผลสำเร็จก็นับว่าเยี่ยมยอด


    ตกดึกฉันย่องออกมาจากโรงนอนเดินเข้าป่าที่อยู่ด้านหลังไปตรงที่ประจำ จุดไฟกับไม้ที่แอบเอาไว้แล้วเริ่มฝึกปามีดเหมือนทุกคืนก่อนหน้านี้ หลังจากปาได้สักพักก็หยิบท่อนไม้มาทำเป็นกระบี่ ทำท่าตามที่จดจำมาจากการสังเกตหมายเลขอื่นๆในช่วงฝึกอาวุธ จากที่เห็นแต่ละหมายเลขล้วนมีอาวุธที่ถนัดแตกต่างกัน มีจุดเด่นจุดด้อย บ้างทำได้ดีในการต่อสู้ระยะประชิด บ้างทำได้ดีในการต่อสู้ระยะไกล ส่วนฉันนั้นใกล้ไกลล้วนห่วยแตกไม่ต่าง จะอย่างไรก็ควรค้นหาแนวทางของตนเอาไว้


    เสียงสวบสาบดังมาจากด้านหลัง ฉันหันขวับชี้ท่อนไม้ในมือไปหา ผู้ที่เดินออกมาคือยี่สิบสุดบ้าบิ่น ยี่สิบหันมองฉัน ไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินผ่านไป มีเลือดหยดติ๋งๆจากแขนเสื้อไปตามทาง ไม่ใช่ว่านอนไม่หลับจึงออกไปฆ่าหมีสักตัวเล่นหรอกนะ ฉันถอนหายใจเฮือก แต่ละคนล้วนเป็นปีศาจทั้งสิ้น หากฉันไม่รีบนอกจากจะไล่ตามพวกเขาไม่ทันแล้ว คงเอาชีวิตไม่รอดในการทดสอบครั้งสุดท้ายที่สิบเก้าขู่ว่าโหดแสนโหดนั่นเป็นแน่

     






    "โฮ่ วันนี้เจ้ามาเร็วขึ้นนี่" ผู้คุมสามส่งเสียงแซวฉันที่นั่งแหม่ะลงบนพื้นหญ้าหมดสภาพ "แต่อย่างไรก็ช้าไปอยู่ดี พวกเจ้า หลังจากนี้ไปยกอาวุธทั้งหลายในโรงเก็บของไปที่ลานดิน"


    บรรดาผู้อ่อนด้อยที่วิ่งขึ้นเขากลับมาช้ากว่ากำหนดล้วนมีสีหน้าสุดเซ็ง ข้าวเช้าก็ไม่ได้กินแถมยังต้องขนอุปกรณ์อีก


    "สี่สิบสาม เจ้าได้กินเพียงข้าวเที่ยงทุกวันเช่นนี้เห็นทีคงหมดโอกาสโตเสียแล้ว"


    ฉันหันมองสิบหกที่นั่งอยู่ข้างๆ


    "ทำอย่างกับเจ้าได้กินมากกว่าข้า"


    สิบหกชะเง้อมองผู้คุมสามพอเห็นว่าไปไกลแล้วก็คว้าคอฉันดึงไปกระซิบ


    "เจ้าจงไปหายี่สิบสอง หากมีของแลกเปลี่ยน นางมีทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ"


    "แม้แต่ข้าวอย่างนั้นรึ" ฉันถามกลับ


    "แม้แต่ข้าวก็มี"




    ฉันรอจนพักกินข้าวเที่ยง หลังจากยี่สิบเจ็ดชี้ให้ดูว่ายี่สิบสองคือคนไหนก็เดินถือชามข้าวไปนั่งลงข้างๆ เด็กหญิงตัวเล็กพอๆกับฉัน ม้วนผมขึ้นสูงลวกๆ หน้าตาท่าทางดูเป็นพวกมั่นใจในตัวเอง


    "เจ้าคือยี่สิบสองใช่หรือไม่" ฉันถาม ถามแล้วก็กินข้าวไปด้วยท่าทีสบายๆไม่รีบร้อนนัก


    "ใช่" ยี่สิบสองตอบสั้นๆ


    "ได้ยินว่าเจ้ามีทุกสิ่ง หากมีของแลกเปลี่ยน"


    "ไม่ทุกสิ่ง แต่หากไม่ยากเกินไปนักก็หาให้ได้"


    ฉันยั้งตัวเองไว้ไม่ให้ถามออกไปว่าหาจากที่ไหน สำหรับคนจำพวกพ่อค้าแม่ค้าแล้วการถามถึงแหล่งหาของคงไม่ใช่มารยาทที่ดีนัก


    "หากข้าต้องการอาวุธเจ้าหาได้หรือไม่" ลองถามหยั่งเชิงดู


    "อาวุธชนิดไหนที่เจ้าต้องการ" ยี่สิบสองถามกลับ น้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนฉันถามว่ามีเศษผ้าไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่ ขอแบ่งหน่อย


    "หากข้าต้องต้องการกระบี่สักเล่ม เจ้าหาได้หรือไม่"


    "ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเอาสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน" ดวงตาที่มองมาไม่มีแววลังเล นางหาได้จริงๆ


    ฉันนึกทึ่ง แต่ถึงจะทึ่งมากเท่าไหร่ภายนอกกลับเพียงส่งยิ้ม


    "เข้าใจแล้ว ไว้ข้ามีของแลกเปลี่ยนที่คิดว่าเพียงพอจะมาหาเจ้า" พูดจบก็ลุกขึ้นเดินถือชามไปล้างเก็บ


    ได้รู้จักแหล่งซื้อของดีๆแล้ว




     


    วันนี้มีการทดสอบการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ที่ลานดินแห่งนี้นอกจากผู้คุมสามแล้วยังมีชายแปลกหน้าอีกสองคนยืนอยู่ด้วย คนหนึ่งยืนอยู่ในชุดสีฟ้าอ่อน ใบหน้าสงบหากแต่ดวงตากลับทอแววเย็นชาน่ากลัว อีกคนใส่ชุดสีน้ำตาลเข้มนั่งชันเข่าข้างหนึ่งบนโต๊ะไม้ไผ่ ใบหน้าดุดัน


    "เห็นว่าเป็นคนจากหอสุริยันกับจันทรา" ใครสักคนกระซิบกันอยู่ด้านหลังฉัน


    "หมายเลขหกกับหมายเลขสิบออกมา" คู่แรกเปิดสนามคือพี่ยักษ์ใหญ่หมายเลขหกกับหมายเลขสิบที่ขนาดตัวเป็นรองนิดหน่อย


    ฉันที่นั่งรวมกลุ่มกับคนอื่นๆอยู่ข้างเส้นที่ทำเป็นสนามพยายามสงบจิตสงบใจตั้งใจสังเกตวิธีต่อสู้ของทั้งสอง การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสีแต่สุดท้ายหมายเลขหกก็อาศัยความได้เปรียบของร่างกายเอาชนะไป


    คู่ต่อมาคือหมายเลขหนึ่ง อย่าได้พูดถึงหมายเลขที่น่าสงสารที่ได้คู่เขานั่นเลย ไม่ทันได้ออกหมัดก็ล้มคว่ำหน้าจิ้มดินไปเสียแล้ว ฉันกลืนน้ำลายเอื้อก ไม่ทราบเป็นโชคดีหรืออะไรถึงได้บังเอิญมองการเคลื่อนไหวของนายท่านหมายเลขหนึ่งผู้นั้นทัน พรึ่บเดียวถึงตัว ฟันมือเข้าท้ายทอย เจ้าหมายเลขที่น่าสงสารนั่นสลบกลางอากาศไปในพริบตา รู้สึกเสียวแว้บขึ้นมาที่หลังคอเลย


    หมายเลขสิบสองกับคู่ต่อสู้ที่เป็นเด็กหญิงเหมือนกันนั้นสนุกสนานกว่าหน่อย ในตอนแรกหญิงงามตกเป็นรองอย่างมาก ทำได้แค่ปัดป้องหมัดทิ้งแล้วถอยวนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจังหวะที่นางหมุนตัวแล้วคู่ต่อสู้พุ่งเข้าไปคว้าได้แต่อากาศนั่นแหล่ะ อยู่ๆเด็กหญิงที่คว้าอากาศผู้นั้นก็ล้มตึงไปเลย


    ผู้คุมสามขมวดคิ้วเดินเข้ามาตรวจสอบ


    "สิบสอง ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าใช้พิษ" หันมาถามเสียงเข้ม


    "ตั้งแต่เริ่มก็หาได้มีกฏห้ามไว้ว่าไม่ให้ใช้พิษ ตัวข้าที่เดินเข้าสนามมือเปล่า มีสิ่งใดผิดกฏกันเจ้าคะ ผู้คุมสาม" สิบสองถามกลับเสียงหวาน เอียงคอส่งยิ้มให้


    "หึ" ผู้คุมสามหัวเราะในลำคอก่อนจะหันไปสั่งให้คนที่ทดสอบแล้วหามหมายเลขที่โดนพิษนี้ไปเรือนพยาบาล


    ยี่สิบจบการทดสอบอย่างโหดเหี้ยม ผู้คุมสามต้องบอกให้หยุดถึงสองครั้งเจ้าตัวถึงยอมรามือ ฉันมองตามสามสิบเจ็ดผู้โชคร้าย หัวปูด หน้าช้ำ เลือดกลบปาก แขนแลดูชี้ผิดทิศทางแล้วกลืนน้ำลายอีกเอื้อก นับว่าชาติที่แล้วฉันยังพอมีบุญอยู่บ้างที่ไม่ต้องเจอกับเจ้านี่


    สิบเก้ากระโดดไปรอบๆสนาม ปากร้องขู่หมายเลขเจ็ดว่าจะเอาข้อมูลน่าอับอายมาแฉ ฝ่ายหนึ่งไล่ซัด อีกฝ่ายหนีไปรอบๆทั้งยังตะโกนเรื่องน่าอายต่างๆไปด้วย ตะโกนได้สามเรื่องหมายเลขเจ็ดก็ตะโกนขอยอมแพ้ทั้งหน้าแดงก่ำ ไม่ทราบโกรธหรืออายมากกว่ากัน


    ยี่สิบเจ็ดนั้นฉันออกจะเอาใจช่วยมากกว่าผู้อื่นหน่อย เพราะอย่างน้อยในตอนแรกก็ดีกับฉันมาก ซึ่งแรกๆก็สู้สูสีอยู่หรอกเพราะสิบสี่ที่เป็นคู่ต่อสู้เองก็ดูไม่ถนัดการต่อสู้แบบมือเปล่านัก แต่ยี่สิบเจ็ดกลับยืนระยะได้ไม่นาน สุดท้ายโดนซัดล้มกลิ้งออกจากเส้นสนามพ่ายแพ้ไป


    ยี่สิบสองเป็นอีกคนที่ฉันตั้งตารอ แม่ค้าผู้นี้ไม่ถนัดในศาสตร์ต่อสู้มือเปล่าเป็นอย่างยิ่ง ไม่คาดว่าพอเข้าสนามปุ๊บนางกลับยอมแพ้ปั๊บ ผู้คุมสามถามว่าแน่ใจแล้วหรือนางก็ตอบว่าแน่ใจแล้วอย่างไม่ลังเล


    ในที่สุดก็ถึงตาฉัน ตามคาดคู่ต่อสู้เป็นเด็กผู้ชายขนาดไม่ห่างกันนัก หมายเลขสามสิบหก ฉันเหล่มองไปทางผู้คุมสามนิดหนึ่ง เขากลับยกยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้


    "สี่สิบสามสู้ๆ!" เจ้าบ้าสิบเก้า พูดอย่างนี้แล้วฉันก็หมดสิทธิ์ยอมแพ้น่ะสิ


    "สี่สิบสามอัดให้คว่ำไปเลย!" สิบหกที่หน้าบวมปูดไปข้างตะโกนบ้าง "กู้ศักดิ์ศรีให้พวกเราชาวอดข้าวด้วย"


    กู้ศักดิ์ศรีน้องยายเจ้าสิ แล้วชาวอดข้าวนั่นใครมันเป็นคนตั้งกัน


    "สี่สิบสาม ข้าคาดหวังในตัวเจ้ามากกว่าผู้ใดเชียว" กระทั่งสิบสองยังเป็นไปด้วย ส่งยิ้มหวานอันน่าสะพรึงกลัวให้ฉันทำเอาฉันถูกสายตาเย็นชาจากเด็กชายหลายคนทิ่มแทงตัวแทบพรุน ภายใต้รอยยิ้มนั่นฉันเห็นหรอก แววตาเจ้าเล่ห์นั่น หญิงงามผู้นี้ถนัดในการปลุกปั่นคนเสียจริง


    "โฮ่ มาได้ไม่นานพรรคพวกเจ้าเยอะน่าดูนี่” ผู้คุมสามแซว "เริ่ม!"


    สามสิบหกง้างหมัดพุ่งเข้าใส่ด้วยใบหน้าถมึงทึง ฉันตกใจกับการโจมตีแบบปุบปับพุ่งหลบกลิ้งไปอีกทางแบบเฉียดฉิว เท้าสามสิบหกตามมาซ้ำแทบจะในทันทีแต่ฉันก็พลิกตัวหนีทัน คลานกึ่งวิ่งล้มลุกไปอยู่อีกมุมสนาม ยังไม่ทันได้ตั้งท่าหมัดลุ่นๆก็พุ่งตามมาอีกแล้ว เคราะห์ดีที่ฉันตาไวมองเห็นหมัดนั่นถึงได้ก้มหลบทัน แต่เคราะห์ร้ายที่หน้าแข้งสามสิบหกฟาดเข้าบั้นเอวในทันทีที่ต่อยพลาด ฉันล้มตุ้บไปกองบนพื้น กัดฟันรีบพลิกตัวหนีฝ่าเท้าที่ตามมา จากการนั่งสังเกตมาหลายคู่ สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้คือฝ่ายที่ล้มลงมักเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ และหากล้มลงแล้วยังคงนอนเป็นเป้านิ่งยิ่งหมดทางชนะ


    ฉันรีบลุกทันทีที่มีโอกาส พยายามกวาดตามองหาช่องโหว่ของอีกฝ่าย สามสิบหกพุ่งเข้าประชิดท่าเดียวกับหมายเลขหนึ่งเพียงแต่ช้ากว่า ฉันที่เห็นดังนั้นรีบเบี่ยงหลบตั้งใจจะจับแขนที่ยื่นมานั่นดึง ก้มลงฟันศอกใส่เหมือนนักมวยไทยที่เคยดูเสียหน่อย แต่จังหวะเบี่ยงตัวหนีขาดันพันกันหงายหลังล้ม ล้มไม่ล้มเปล่าดึงเอาสามสิบหกล้มมาด้วยกันด้วย สามสิบหกตกใจ ฉันก็ตกใจ เหวี่ยงขาเตะเสยคางสามสิบหกไปตามสัญชาตญาณเต็มแรง อาศัยจังหวะตอนอีกฝ่ายมึนงงรีบลุกหวังจะไปกระทืบซ้ำแต่สามสิบหกก็ไว พลิกตัวยื่นมือมาจะคว้าขาฉันที่ชะงักทันพอดี หันหลังรีบวิ่งหนีกลับนึกได้ไม่ควรหันหลัง สามสิบหกพุ่งมาแล้ว ฉันตกใจใช้วิชาตัวเบากระโดดเลี้ยวหลบอ้อมกลับมาด้านหลังสามสิบหก  ตั้งใจจะทิ้งตัวทุ่มแรงเตะหัว ปรากฏว่ากะระยะไม่ถูก กว่าจะง้างขาฟาดก็เลยหัวมาแล้ว


    ป้าบ


    ฉันเตะก้นสามสิบหกเต็มแรงก่อนจะหน้าคว่ำลงพื้นได้ยินเสียงคนฮาครืน สามสิบหกกลับไม่ฮาด้วย อาศัยจังหวะตอนฉันกำลังจะลุกเตะเสยเข้าใต้ท้อง ฉันล้มลงไปนอนจุก หลังเท้านั่นกลับฟาดเข้าหน้า รสฝาดของเลือดขมปร่าอยู่ปาก คาดว่าโดนเตะก้นไปทีหนึ่งนี้สามสิบหกคงคับแค้นใจมาก เตะฉันอีกทีกระเด็นกระดอนออกนอกเส้นไปเลย ผู้คุมประกาศว่าอะไรฉันไม่รู้ หูอื้อตาลายไปหมด ภายในเจ็บปวดอย่างแรง รู้เพียงตนเองถูกยกขึ้นแล้วสติก็ดับวูบไปเลย

     






    มาฟื้นอีกทีที่เรือนพยาบาล หันมองรอบตัว นอกจากฉันแล้วยังมีอีกแปดคนนอนเป็นเพื่อน สภาพน่วมมากน่วมน้อยคละกันไป ส่วนใหญ่จะน่วมมากเสียมากกว่า เพราะน่วมน้อยคงกลับโรงนอนกันไปหมดแล้ว


    "สามสิบเจ็ดจนบัดนี้ยังไม่ฟื้น" เสียงจากคนที่นอนอยู่เตียงข้างๆดังขึ้น วันนี้ฟ้าสว่าง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจนเห็นหน้าค่าตากันได้พอประมาณ "ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วหรอกหรือ"


    ฉันมองตามสายตาคนพูดไปยังสามสิบเจ็ดที่ยังนอนนิ่ง ลองโดนเจ้าสัตว์ประหลาดยี่สิบอัดเสียขนาดนั้น ถึงไม่ตายเกรงว่าฟื้นมาคราวนี้คงจำใครไม่ได้แล้ว


    "เจ้ารู้หรือไม่ ผู้ใดพาเจ้ามาส่งที่นี่" คนชวนคุยที่ฉันเพิ่งจำได้ว่าคือหมายเลขสิบเอ็ดถาม


    "ผู้ใดกัน"


    "หมายเลขหนึ่งผู้นั้นอย่างไรเล่า ตอนเขาเข้ามาข้าหัวใจเกือบวาย นึกว่าเขาฆ่าเจ้าแล้วเอาศพมาส่ง"


    แก้มขวาบวมเป่งของฉันปวดจี๊ดขึ้นมาทันที


    "เหตุใดเขาถึงพาข้ามา ผู้คุมสั่งรึ"


    "ข้านอนอยู่นี่ตั้งแต่ก่อนเจ้าไหนเลยจะรู้ได้ ข้าเห็นเขามองเจ้าอยู่ชั่วครู่ก่อนเดินออกไปด้วย"


    "มองด้วยสีหน้าอย่างไร" ฉันรีบถาม ไม่ใช่ว่าเห็นฉันเลือดกลบปาก สภาพสะบักสะบอมแล้วท่านผู้นั้นเกิดคันมืออยากช่วยส่งไปปรโลกจะได้ไม่ทรมานอีกหรอกนะ


    "มองนิ่งเฉย เพียงแค่มองไม่ได้มีรังสีฆ่าฟัน ไยเจ้าต้องทำหน้าตื่นถึงเพียงนั้น" สิบเอ็ดถลึงตาถามกลับ


    "แล้วเจ้ามาทำหน้าตื่นตามข้าทำไมเล่า ใครๆต่างบอกว่าเขาโหดเหี้ยมน่ากลัว เจ้าบอกเขามองข้า จะไม่ให้ข้ากลัวว่าเขามองแล้วเกิดคันมือขึ้นมาฆ่าข้าตายได้อย่างไร"


    "หากเขาจะฆ่าเจ้าจริง เจ้าคงตายตั้งแต่ไม่ทันได้ฟื้นกระมัง"


    เออจริง


    สิบเอ็ดพลิกหนีห่มผ้านอนไปแล้วในขณะที่ฉันออกจะกังวลใจนิดๆ หรือเขาจะแค่สมเพชเวทนา ใช่แล้ว นายท่านผู้ล้ำเลิศนั้นคงสมเพชเวทนาสภาพสะบักสะบอมของฉันเป็นแน่ คิดอย่างนี้แล้วค่อยคลายกังวล ฉันจึงหลับตาลงอีกครั้ง


    คืนนั้นฉันไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหมายเลขหนึ่งผู้นั้นนอกจากจะยืนมองฉันอย่างพิจารณาแล้วเขายังไปหาผู้คุมสามอีกด้วย พูดบางอย่างกับผู้คุมสามที่หัวเราะขันแล้วตอบกลับมาว่า


    “ข้ารู้แล้ว”



    ---------------------------------------------------

    เผื่อมีคนสับสนหมายเลข เราพิมพ์หมายเลขเด่นๆไว้ตรงนี้นะคะ


    หมายเลข 1 ลึกลับ เก่งกาจ ล้ำเลิศ (ช)

    หมายเลข 6 อายุมากสุด ทำตัวเหมือนเป็นพี่ใหญ่ (ช)

    หมายเลข 12 หญิงงาม เชี่ยวชาญการใช้พิษ (ญ)

    หมายเลข 16 อยู่แก๊งอดข้าวเหมือนกับนางเอก (ช)

    หมายเลข 19 รอบรู้เรื่องชาวบ้าน (ช)

    หมายเลข 20 บ้าพลัง (ช)

    หมายเลข 22 แม่ค้าประจำรุ่น หาของมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ (ญ)

    หมายเลข 27 ลูกชายบัณฑิต (ช)

    หมายเลข 43 นางเอก (ลูกหมา ไม่ใช่! ญ ต่างหาก)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×