เส้นทางแห่งการเป็นนักเขียน "พิชญ์อัปสร" # 2
แรงกดดันหลายๆทางพัดโหมเข้ามาในชีวิตที่กำลังมีท่าทีว่าจะรุ่งโรจน์ของฉัน รู้อะไรไหม ชีวิตนักเขียนมันก็ขึ้นอยู่ๆกับปัจจัยหลายๆอย่างนะ ทั้งสำนักพิมพ์ ทั้งนักเขียนร่วมงาน ไหนจะไอเดียที่จะใช้ในการแต่งแต้มสีสันให้กับวรรณกรรมของตนเองอีกล่ะ...เฮ้อ...!!!
พูดก็พูดเถอะนะ การได้เข้าไปในโลกแห่งวรรณกรรม ในคราแรกฉันคิดว่ามันจะสวยงามผู้คนคงจะต้อนรับเป็นอย่างดี สังคมคงจะไม่มีการแก่งแย่งหรือแดกดัน แข่งขันเหมือนที่ฉันกำลังเป็นอยู่ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
อันนี้ฉันไม่ได้จะกล่าวโทษหรือประจานสายสาขาวิชาดังกล่าวเลย ทว่าคนที่เป็นนักศิลปะเมื่อต้องมาอยู่ในสภาพที่ทุกคนต่างยอมรับเทิดทูนในวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี โดยในบางครั้งไม่เคยคิดถึงอารมณ์ความรู้สึกนั้นเลย มันทำให้ฉันอึดอัด
คนไข้ก็คนนะว้อยยย ไม่เห็นใจเขาบ้างเล่า(อันนี้พูดในฐานะพยาบาลจิตเวชที่ทนไม่ได้กับแพทย์พยาบาลสาขาอื่นที่ทำกับคนไข้เหมือนว่าเขาไม่มีหัวใจและอารมณ์)...มันเป็นสายวิชาชีพที่ดีนะหากคนผู้นั้นมีความรู้สึกดีดี
...และการได้ช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์คือความสุขเดียวที่หล่อเลี้ยงให้ร่างนี้ยังคงมีลมหายใจ
นอกนั้นคือยาพิษที่บั่นทอนจิตใจให้ฉันตายลงไปอย่างช้าๆ...
จึงได้ขอฝากบอกกล่าวพ่อแม่พี่น้องในที่นี้ว่า ถ้าลูกหลานไม่ได้อยากเรียนสายแพทย์ พยาบาล จนตัวสั่นก็อย่าบังคับให้เขาเรียนเลย เพราะมันหนักมาก...ย้ำว่า มากจริงๆ (แต่ถ้าเลือกตึกผ่าตัด ตึกที่มันสบาย ชาวบ้านก็ว่าดี ถ้าไปอยู่ตึกที่มันโหดสิ ไม่เกิน 5 ปีลาออกชัวร์ ฟันธง...! นอกจากเธอคนนั้นจะเป็นคนที่ อึดตัวแม่จริงๆ) อีกประการ การที่ให้ลูกเรียนสายสาขานี้ก็เหมือนส่งเสริมให้เท้าข้างหนึ่งของลูกหย่อนเข้าไปในคุกแล้วนะ...จะบอกให้ (อันตรายจริงๆ เพราะชีวิตคนมันไม่ใช่เศษกระดาษที่เขียนแล้วจะฉีกทิ้งได้ ดังนั้นถ้าคิดจะเรียนต้องคิดให้มากเข้าไว้)
แต่แล้ว ความหวังของฉันก็ต้องดับสลายเมื่อแรกเข้าในวงการ บทที่ฉันจะต้องได้รับนั่นก็คือ “นางเอกเจ้าน้ำตา” นางเอกที่ไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากคำว่า ไม่ทราบจริงๆ ขออภัยนะคะ เราทำอะไรไม่ได้จริงๆเพราะทางสำนักพิมพ์ได้เลือกแล้ว
ฉันรู้ดีว่านั่นคือทางออกที่ดีที่สุด ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนผิดและจะไม่พูดถึงด้วย หากแต่สิ่งที่ผู้มาใหม่ได้รับมันกลับเป็นคำกล่าวสวัสดีพร้อมคมมีดที่หยิบยื่น
“อันที่จริง ซีรีย์นี้ต้องเป็นของคนนั้น...สำนักพิมพ์ทำเช่นนี้มันไม่ถูก แต่เราก็ไม่ได้จะว่าอะไรเธอหรอกนะเพราะเรารู้ว่าเธอไม่เกี่ยว แต่ถ้าเราเป็นเธอ เราเองคงอายจนไม่กล้าที่จะ...”อะไรซักอย่าง ช่างมันเถอะก็เพราะว่าเธอไม่ใช่ฉันไงล่ะ...อีกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าจำเท่าไรนัก เพียงแค่นี้มันก็ทำให้ฉันถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว
โอ้โห...!!! ไม่เข้าใจว่านี่คือการรับน้องของวงการวรรณกรรมหรือนี่ แต่ก็อย่างว่า ฉันเองก็ยังคงทำหน้าที่นางเอกที่ดีต่อไปเพราะคิดไว้แต่เพียงว่า เราเองก็เป็นผู้น้อยและการที่หนังสือของเราได้ตีพิมพ์ก่อนรุ่นพี่ซึ่งมาก่อน เขาเองจะโมโหโกรธาก็คงไม่ผิดอะไร
ทว่าฉันเองก็ยังแอบมานั่งนึกน้อยใจอยู่ว่า ทำไมต้องเป็นฉัน...
แต่มันก็จางหายไป เพราะฉันเจอสภาพที่รุนแรงกว่านี้ในสังคมที่เป็นอยู่มามากแล้ว
เมื่องานเขียนของฉันออกมาเป็นเล่ม มันก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควร (ในบางที่) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเล่มอื่น มันก็คงจะได้รายได้ไม่ดีเท่าไรนัก ฉันจึงเงียบหายไปอีกครั้งพร้อมฝุ่นควัน จากบทนางเอกสู่ตัวประกอบรายทางอีกคราว...
...และเป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าไฟที่กำลังจะสว่างมันได้หรี่ลงอีกครั้ง
นั่นไม่สำคัญหรอก สำหรับฉันผู้เป็นศิลปิน ฉันยังคงดำเนินงานต่อไปภายใต้ความฝันว่าฉันจะต้องไปไกลกว่านี้ โดยที่จะไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นฉันได้อีก... ฉันเลือกสร้างภารกิจลับของฉันอีกครั้ง
การสร้างภารกิจลับเป็นไปหลายเดือน ระหว่างทางมันช่างทุลักทุเลติดขัดอันโน้น อันนี้ เดี๋ยวก็คิดพล็อตไม่ออก เดี๋ยวก็ถูกแก้ไข ยิ่งเมื่อถูกเพื่อนติเรื่องนิยายที่อุตส่ารังสรรค์มากับมือ ฉันเองก็รู้สึกน้อยใจเพื่อนซี้ที่คอยคอมเม้นให้และอดคิดในใจไม่ได้ว่าฉันอุตส่าทำการบ้านมาอย่างดี แต่ท้ายที่สุดแกก็กลับมาต่อว่างานของฉันจนพังยับเยิน...
ฉันร้องไห้ด้วยความอ่อนแอจมกองงานที่อุตส่าสร้างสรรค์ขึ้นจากหัวใจด้วยคิดว่ามันจะเป็นการเปิดตัวอันแสนงดงามในนามปากกาใหม่นาม “พิชญ์อัปสร”
แต่แล้ว สติผู้รู้ที่ยังมีอยู่ มันก็ได้เตือนฉันว่า...ก็เพราะว่าเป็นเพื่อนรักไง เธอจึงต้องคอมเม้นไปอย่างนั้น เพราะไม่ต้องการให้งานของเพื่อนถูกผู้อ่านประณาม
...อย่างน้อยการถูกเพื่อนซี้ตำหนิ มันก็ยังดีกว่าการปล่อยให้ผลงานถูกตีแผ่ออกไปแล้วถูกแบนจากสังคมไม่ใช่เหรอ
ฉันจึงเดินเข้าหาเพื่อนรักของฉันอีกคราและกล่าวขอโทษพร้อมขอบคุณที่เธอได้ช่วยเหลือฉัน ส่วนแม่เพื่อนตัวดีเองก็ได้กล่าวว่า พวกเราเองเป็นเพื่อนรักกันแกช่วยฉัน ฉันช่วยแก เพราะฉะนั้นเธอเองก็อยากที่จะให้งานของฉันมีคุณภาพที่สูงกว่ามาตรฐานของตลาด มากกว่าที่จะเทียบเท่ามาตรฐานของตลาด
นั่นสินะ เพราะศิลปินคงอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ มันต้องมีเรื่องของสังคม เรื่องของตลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันยอมรับและต้องขอขอบคุณเพื่อนซี้ของฉันคนนี้จริงๆที่คอยอยู่ช่วยฉันเสมอมา
เพราะฉันเป็นคนศิลปะยังไงล่ะ มิหนำซ้ำยังเป็นศิลปะเพื่อความบริสุทธิ์ที่ในหัวไม่เคยคิดถึงเรื่องกำไร ขาดทุน หรือเหตุผลนานา...ขอเพียงว่าฉันได้ทำงานที่อยากทำก็พอ
ท้ายที่สุดวันแห่งการตัดสินก็มาถึง ฉันกำลังนั่งทำภารกิจลับฉบับนางฟ้า(ผ่า)อยู่ที่หน้าจอต่อไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาพร้อมพูดกับฉันว่า
“สวัสดีครับ พี่จากสำนักพิมพ์... พี่สนใจงานเขียนของน้องมาก และพี่เองอยากได้น้องมาร่วมงานกับเรา บลาๆๆๆๆๆ...”อะไรต่างๆอีกมากมายจำไม่ได้หรอก แต่สรุปเอาเป็นว่าฉันก็รับข้อเสนอนั้นไป พี่บก.ที่โทรมาก็น่ารักนะ ดูมีอัธยาศัยดีจนทำให้ฉันคิดว่า อืม...โลกใบใหม่ในสังคมเดิมๆจะมีให้ฉันค้นหาอีกแล้วล่ะสินะ
ในเมื่อยังมีลมหายใจ พวกเราเองก็คงต้องดิ้นต่อไป ก็พอเข้าใจถึงภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ฟองแฟ๊บที่เข้ามาทำร้ายชาวโลก แต่ชีวิตคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ต่อไปชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไรยังไม่รู้ แล้วจะมุมานะหาแต่เงินโดยทำให้ตัวเองทุกข์ทรมานไปทำไม ดีไม่ดีทุกข์ตอนสิ้นใจไปเกิดในภพเปรตอสุรกายก็ซวยอีก
ช่วงนี้ก็ทำงานที่รักไปพร้อมกับงานที่หาเงิน ว่างๆก็ทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรมกล่อมเกลาจิตใจ รักษาศีลห้าเอาไว้ยังไง๊ยังไงก็ต้องได้เกิดเป็นคนอีกชาติล่ะ (อย่างน้อยนะ)
...หรือมีใครจะเถียงว่าหนูจะขอเกิดเป็นแมวค่ะ หรือผมจะขอเกิดเป็นเปรตครับ...ถ้ามีก็น่ากลัวกันเลยทีเดียวน่ะนะ
แต่เอ๊ะ...!!! พูดไปพูดมาทำไมมันมาออกเรื่องนี้ได้หว่า ถ้างั้นยังไงคราวหน้าอาจจะมีเรื่องราวดีดีของอานิสงค์การทำบุญ ทำทานทางพระพุทธศาสนามาฝากแล้วกัน
สำหรับวันนี้ สวัสดีครับผม ^^
ความคิดเห็น
= = นี่คือขบวนการแฉหมดเปลือกสินะ 555+
(ข่าวว่าข้าพเจ้าก็ถูกพาดพิงนิ)
ตอนนั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะที่เม้นท์ตรงแบบขวานผ่าซากไปหน่อย ทำให้แกเสียใจเลย
แต่ฉันพูดไม่ค่อยเก่งจริงๆ โทษทีนะ = /\ = (อโหสิให้หนูเถอะ)ต่อไปจะปรับปรุงตัวเรื่องการพูด
แต่ในใจหวังดีจริงๆนะ อยากให้งานแกขายดีๆ เป็นนักเขียนดังจริงๆ
แกเองก็เม้นท์นิยายชั้นได้เต็มที่เหมือนกันนะ (ได้เวลาแก้แค้นแล้วล่ะ 555+)
สับให้ละเอียดเป็นหมูบะช่อก่อนโพสเลย เราจะแทคทีมกันนี่ ใช่มั้ยเพื่อนรัก
เป็นกำลังใจให้เพื่อนนักเขียนคนเก่งนะจ๊ะ ^^