ความฝันอันสูงสุด
‘ขอฝันใฝ่ ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึกทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟัน ผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่ แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติ จนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตาย หมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทอง หลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอย คอยสร้างสิ่งที่ควร
ไม่เรรวน พะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตา
ไม่เสียดาย ชีวา ถ้าสิ้นไป
นี่คือ ปณิธานที่หาญมุ่ง
หมายผดุงยุติธรรม อันสดใส
ถึงทนทุกข์ ทรมาน นานเท่าใด
ยังมั่นใจรักชาติ องอาจครัน
โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่
เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน
จงยืนหยัด สู้ไป ใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทิดผองไทย’
จำได้ว่าเพลงนี้ มักจะเปิดบ่อยตามวิทยุ คลื่น ตชด
จำท่อนแรกและร้องได้ขึ้นใจ
เคยถามพ่อ พ่อบอกว่าเพลงนี้
เป็นเพลงที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เคยฝันไว้ ราชาศัพท์เรียกว่า ทรงสุบินหรือเปล่าไม่แน่ใจ
ทรงสุบินตอนใกล้รุ่ง เป็นเหตุการณ์พระนเรศวรยกทัพใหญ่
ทรงเล่าความฝันนั้นให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พ่อบอกว่า ในหลวงท่านทรงแต่งทำนอง ประทานชื่อ ความฝันอันสูงสุด
พระบรมราชินีนาถ พระราชทานแก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือน
เตือนสติมิให้ท้อถอยในการทำความดี
มักจะได้ยินเพลงนี้ตามคลื่นวิทยุตำรวจตะเวนชายแดน
วันนี้เกิดอยากฟังเพลงนี้ขึ้นมา เพราะเข้าไปเยี่ยมเพื่อนนักเขียนในสเปช
เจอบทความที่กล่าวชื่นชมผู้เสียสละสามชายแดน
วันก่อนเคยเปิดไปเจอข่าวหมวดตี๋ ได้อ่านไดอารี่แล้วถึงกับน้ำตาซึม
คิดไปถึงเพื่อนที่อยู่ที่โน้นสามคน คนนึงทำงานเป็นหน่วยอาสา ทหารพลร่ม และตำรวจ
จำได้ว่ามีอยู่คืนนึงเพื่อนโทรมา น้ำเสียงเค้าดูปกติดี
เหมือนกะชาชินไปแล้ว แต่ตอนที่คุยกันนั้น เสียงดังมาก
ถามไปว่าทำอะไรอยู่ แล้วอยู่ไหนเนี่ย
เค้าตะโกนบอกมาว่า
อยู่ค่าย กำลังยืนดูเค้าฝึกยิงปืนอยู่
ซักซ้อมกันทุกวัน
เสียงปืนดังมาก รัวได้อีก
เขาเคยบอกว่า เกิดมาตายหนเดียว ทำใจไว้แล้ว
จำได้ว่าสมัยเรียน เพื่อนคนนี้ตลกฮา ไม่ค่อยสาระเท่าไหร่
แต่เดี๋ยวนี้ไม่เลย ชุดเขียวรั้วของชาติ ทำให้ภาพเก่าๆเปลี่ยนไป
เดี๋ยวนี้เพื่อนคนนี้ เข้าวัดเข้าวา มีพระเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวอยู่ในใจ
เทิดทูนและดำรงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ความคิดเห็น