ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Exo Fic] Before I Decay : KaiDo

    ลำดับตอนที่ #11 : ep.09

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 633
      1
      10 พ.ค. 56




    9







    “เซอร์ไพรส์”  สองเสียงประสานกันทันทีเมื่อคยองซูเปิดประตูห้อง     เจ้าของห้องยืนทำหน้าเหวอ

    เมื่อเพื่อนทั้งสองคนมายืนพร้อมหน้าแถมทำหน้าระรื่นใส่อีก

     

     

    “ไหงทำหน้างั้นอะคยองซู” เป็นแบคฮยอนที่เอ่ยปากขึ้นก่อน เมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองไม่เห็นจะทำหน้าดีใจเมื่อเจอเขาทั้งสองเลย  

     

     

    “เฮ้ยเปล่านะ  คือแบบยังไงอะ  คือมันงงอะ โทษที”  สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหัวขอโทษเพื่อน   แบคฮยอนบุ้ยปากใส่

    ส่วนชานยอลยิ้มแห้งๆให้

     

     

    “พวกเรามารบกวนคยองซูเปล่า” เมื่อเห็นเพื่อนไม่เซอร์ไพรส์ด้วย  ชานยอลก็รู้สึกกรงใจขึ้นมาทันที

    เพราะพวกเขาเห็นเพื่อนทำหน้าเหม่อ ไม่ก็ทำหน้าอมทุกข์ตลอด เลยอยากพาไปเที่ยวเล่นผ่อนคลายบ้าง

    แต่ดูท่า... จะผิดจังหวะไปหน่อย

     

     

    “ไม่นะ.. ไม่มีทางเป็นอย่างงั้นแน่นอน   อ่า... อะไรทำให้คิดแบบนั้น   เข้ามาในห้องก่อนนะ

    อย่าหนีไปไหนกันนะ  เราก็อยากเจอพวกนายเหมือนกัน”  ดึงแขนเพื่อนสองคนเข้ามาในห้อง

    ก่อนกุลีกุจอไปหาน้ำหาขนมมาเสริฟเพื่อนสองคน       แบคฮยอนกับชานยอลได้แต่นั่งมองตาปริบๆ

     

    แล้วของกินก็มาวางเต็มหน้า   ไม่รู้คยองซูขนมาหมดตู้เย็นยัง

     

     

     

    “นี่กะจะเลี้ยงให้อ้วนเลยใช่มั้ยเนี่ยยยย” แบคฮยอนเอ่ยติดตลก แต่ก็เอื้อมมือไปหยิบเค้กวนิลาชิ้นโตตรงหน้า

    คยองซูอมยิ้มน้อยๆ

     

     

    “มีอีกเยอะนะ พอดีช่วงว่างๆก็ทำขนมไปเรื่อย  ดีกว่าอยู่เฉยๆมันเบื่อ”  ว่าพลางหยิบคุกกี้เข้าปากตัวเอง

     

     

    “เบื่อแล้วทำไมไม่เที่ยวด้วยกันบ้าง  ช่วงนี้เลิกเรียนเสร็จคยองซูก็หายตัวไปเลย” ชานยอลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

    คยองซูมองก่อนหน้าเพื่อนสองคน ก่อนยิ้มบางๆให้

     

     

    ที่ว่าเบื่อเนี่ยคือเบื่อตัวเองที่มัวแต่คิดบ้าบอ  คิดอะไรที่เป็นไปไม่ได้  คิดในสิ่งที่ควรหยุดทำมากกว่า

     

     

    “เรานอยด์ตัวเองอะ    เลยไม่อยากอยู่กะพวกนาย เดี๋ยวมานอยด์ตามเรา เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ”

     

     

    “ก็เลยอยู่คนเดียว?” แบคฮยอนถาม  คยองซูพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนดูดน้ำหวานอึกใหญ่

     

     

    “ผลมันก็ออกมาเป็นขนมพวกนี้แหละ”  พยายามฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อน  แม้จะยิ้มได้ไม่เต็มปากแต่มันก็รู้สึกดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน

     

     

    “กินแล้วชิมสินะ  ดูอ้วนขึ้นนะเรา” แบคฮยอนพูดแหย่พลางเอานิ้วแก้มที่เริ่มพองขึ้นตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

    คยองซูหัวเราะร่วน ก่อนเอ่ยตอบ

     

     

    “นี่แหละปัญหาใหญ่” แกล้งทำหน้าหนักอกหนักใจ    เรียกเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงให้กลับมาในห้องเล็กๆที่แสนว่างเปล่า      

    ห้องที่บันทึกทุกๆความทรงจำของคยองซู  ทำไมเวลาสั้นๆถึงได้มีเรื่องราวมากมายนักนะ

     

     “กินขนมกันจนอิ่มแล้ววะ  นี่ซื้อข้าวมาเยอะแยะจะกินหมดมั้ยเนี่ยย” แบคฮยอนเอ่ยขึ้นเพื่อนทั้งสามคนนั่งคุยกัน แล้วหยิบขนมนั่นโน้นนี่กินไปเรื่อยจนจะพุงกางกันหมดแล้ว

     

     

    “เอ้อวะ กินจนลืมว่ามาทำอะไรที่นี้  ฮ่าๆๆ”  เป็นชานยอลที่เอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงดัง   จนเพื่อนทั้งสองต้องประสานเสียงหัวเราะไปด้วย     แต่... เวลาแห่งความสุขจะได้อยู่ได้นานเท่าไหร่   คยองซูไม่สามารถรั้งมันไว้ได้

    แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีความสุขมากๆ  มากเสียจนทำให้ความเศร้าที่มีอยู่ใจลบเลือนไปบ้างในห้วงเวลาแห่งความสุขนี้

     

     

     

    .... ก๊อกๆ......   มวลความสุขเริ่มจางลงคยองซูสัมผัสได้

     

     

    “ใครมาเคาะประตูแต่เช้า”   แบคฮยอนหันไปมองต้นเสียง  ก่อนขมวดคิ้ว    

     

    รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าคยองซูพร้อมเสียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น

     

     

    “ชานยอลมึงไปเปิดสิ” เป็นแบคฮยอนที่ผลักภาระไปให้เพื่อนตัวสูง  ชานยอลชี้นิ้วใส่หน้าตัวเอง

    ประมาณว่าต้องเป็นเขาเหรอ.. 

     

    “ก็ใช่น่ะสิ”  แบคฮยอนย้ำคำเดิม   แต่ไม่ทันที่ชานยอลจะได้อ้าปากเถียง คยองซูก็พูดขึ้น

     

    “เดี๋ยวเราไปเปิดเอง” 

     

    “ไม่ต้องเลยคยองซู ให้ไอ้กางนี้ไป” แบคฮยอนหันมาบอกคยองซูที่ทำท่าจะลุกขึ้นยืน 

    คนตาโตหันมายิ้มจางๆให้เพื่อนเชิงว่าไม่เป็นไร  ก่อนค่อยๆเดินยังประตูช้าๆด้วยใจเต้นระทึก

     

     

    เขาไม่มีเพื่อนที่ไหนที่จะมาหาในเวลานี้  เพราะเพื่อนๆหรือญาติที่จะมาหาเขามักโทรมาก่อนเสมอ

    แต่ครั้งนี้  อาจเป็นใครสักคนที่คยองซูภาวนาว่าไม่อยากเจอ แต่ลึกๆแล้วกลับโหยหาอย่างช่วยไม่ได้

     

    อ่า.... หัวใจเจ้ากรรมเต้นช้าๆหน่อยได้มั้ย 

    ถ้าเขาเปิดประตูไปแล้วเป็นหน้าคนๆนั้น  เขาอาจจะเผลอเป็นลมล้มพับไปก็ได้

     

    ใจเย็นๆสิคยองซู

     

    ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว......

     

    มือบางเอื้อมมือไปจับที่กลอนประตู  แต่......

     

    “เขาคงกลับไปแล้ว”  จู่ๆคยองซูก็หันหลังให้ประตู ก่อนบอกเพื่อนทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงโซฟาไม่ไกลนัก

    แบคฮยอนและชานยอลขมวดคิ้ว  มันแปลกเกินไปนะ

     

    ก๊อกๆ    เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกสองที  คยองซูถึงกับสะดุ้ง  

    เป็นชานยอลที่ทนไม่ไหวต้องลุกเดินมาประจันหน้ากับคยองซูแทน

     

     

    “มีใครที่ไม่อยากให้เจอหรือไง” ถามตรงประเด็นไปหรือเปล่า   คยองซูหลับตาก่อนถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

    ใช่! เขายอมรับว่ามีคนที่ไม่อยากให้เพื่อนสองคนเจอจริงๆ แล้วคนนั้นก็คือน้องชายของคนตรงหน้าเขาเอง

     

    “เปล่า”  ถึงแม้จะจนมุม แต่คยองซูก็ยังคงโกหกคำโตอยู่ดี  ชานยอลถอนหายใจทิ้ง

    ก่อนยื่นแขนยาวๆของเขาออกไปที่ประตู  ก่อนใช้นิ้วเลื่อนกลอน ประตูห้องเปิดออกในทันที

    พร้อมร่างคยองซูที่หงายหลังตามไป  แต่ชานยอลก็คว้าเพื่อนของเขาไว้ได้ทัน

    ก่อนที่คยองซูล้มลงไปกองกับพื้น

     

     

    “เซฮุน?”   ชานยอลเอ่ยชื่อเพื่อนน้องชาย  เมื่อเห็นเด็กตัวสูงยืนยิ้มแหยๆให้เขา

     

    “เออ.... หวัดดีพี่” เซฮุนพยายามหลบตาชานยอลที่จ้องเขาเขม็ง  เลยหันไปมองหน้าคยองซูแทน

     

    “อ่า... หวัดดีเซฮุน   เข้ามาข้างในก่อนสิ”  แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนเดินนำอีกสองคนเข้ามาในห้อง

     

    แบคฮยอนเห็นเซฮุนเดินตามเพื่อนสองคนมา ก็มองอย่างงงๆ

     

    “มาทำไม?” แบคฮยอนเอ่ยถามทันที ที่ก้นเซฮุนแตะลงโซฟา  จนคนที่เด็กสุดอยากจะร้องไห้ออกมา

    ไม่น่าเลย... เขาไม่น่าสงสัยแล้วมาที่นี้เลย...

     

    “โอ้ยยพี่  ถ้ารู้ว่าพวกพี่มา ผมก็ไม่มาหรอก”

     

    “กวนตีนนะมึง”  เป็นชานยอลที่พูดขึ้นก่อนผลักหัวเซฮุนทีนึงเพื่อเป็นการลงโทษ

     

    “เจ็บนะพี่ชานยอล  ทำไมชอบรังแกน้องแบบนี้” เซฮุนพยายามทำเสียงง๊องแง๊งใส่

    เพื่อให้พี่ชายสองคนเลิกจับผิดเขาเสียที

     

    “ยังไม่ตอบเลยว่ามาทำไม” แต่ก็ไม่สำเร็จ  แบคฮยอนยังคงถามแบบเดิม  

     

    “ผมมาหาพี่ชายผมบ้างไม่ได้เหรอไง   พี่คยองซูกับผมอยู่คอนโดเดียวกันนะ จะมาหากันบ้างแปลกตรงไหน

    ทำไมพวกพี่ต้องถามเหมือนจับผิดกันด้วย”

     

    “แปลก!”  สองเสียงที่คอยจับผิดเขาประสานกัน

     

    “นี่วันหยุด  แล้วก็เพิ่งเก้าโมงเช้า  กูไม่เคยเห็นมึงตื่นก่อนเที่ยงสักที  แล้วนี่ดูสภาพน่าจะตื่นมาตั้งแต่เช้ากว่านั้น

    มึงไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”  เออ........  เซฮุนลืมไปว่าเขาเป็นเพื่อนกับจงอินมานาน

    นานเสียจนเขาจะสนิทกับครอบครัวจงอิน  และสนิทกับพี่ชายของจงอินจนรู้นิสัยใจคอของเขา 

     

    อ่า.... นี่มันพลาดสุดๆ

     

     

    “โหยยพี่   ใกล้สอบบบ พี่รู้ม้ายยย จนอย่างโอเซฮุนก็ต้องตื่นแต่เช้ามาอ่านหนังสือบ้างไรบ้าง” แถไป

    แถจนเลือดซิบ   แต่สายตาจับผิดของสองคู่ยังคงทำท่าไม่เชื่อเขาอยู่ดี

     

     

    “เอ้อเหรอ?  นี่ตื่นมาแต่เช้ามากใช่ปะ จะอ่านหนังสือใช่มะ? แต่ใส่รองผ้าใบคู่เก่งเลยนะ

    แน่ใจนะว่าตื่นมาอ่านหนังสือ  ไม่ได้กลับมาจากข้างนอกน่ะ” เซฮุนจะร้องไห้จริงๆละ  นี่มันยิ่งกว่าฝ่ายสืบสวนสอบสวน

    เขาสู้ไม่ได้  สู้พี่ชายสองคนนี่ไม่ได้จริงๆ

     

     

    “ฮ่าๆๆ   ตลกหน้ามึงชิบหาย โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้วะ” ชานยอลเผลอหัวเราะเสียงดังออกมา

    เมื่อเห็นใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเซฮุน

     

    “กูกำลังสนุกเลย  มึงเฉลยทำไมวะ  ”   แบคฮยอนแสร้งเอ่ยอย่างหงุดหงิด แต่กลับหัวเราะเสียงดังต่อท้าย

    จนเซฮุนทำหน้าบูด

    แต่ก็แอบโล่งใจหน่อยๆที่ไม่โดนซักไซ้ต่อ

     

    คยองซูส่ายหน้าไปมาอย่างระอา  ดูเพื่อนสองคนเขาสิ แกล้งน้องเสียจนหน้าเสีย

    แล้วก็พากันหัวเราะเยาะใส่  นิสัยเด็กทั้งคู่จริงๆ

     

     

    “จริงๆเลยนะพวกนาย  เซฮุนกินขนมมั้ย?   หรือว่าจะกินข้าวเช้า เดี๋ยวพี่ไปทำมาให้กินเอามั้ย?”

    หันไปถามน้องชายที่ทำหน้าบูดใส่เพื่อนสองคนของเขา

     

    “พี่คยองซูไม่ต้องลำบากหรอก ผมกินข้าวเช้ามาแล้ว”

     

    “นั่นไงมันเผยไต๋ออกมาแล้ว  บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าแกไปไหนมาเมื่อคืน!” โอ้ยยยย โอเซฮุนอยากตบปากตัวเองล้านรอบ

    ทำไมเป็นคนแบบนี้ ทำไมถึงตอบแบบน้านนน    แต่ก่อนจะโวยวายมากกว่านี้ สายตาก็เหลือบไปเห็นหน้าพี่ชายใจดี

    ที่อมยิ้มน้อยๆให้เขา    

     

    อ่า..... นี่พี่คยองซูหลอกถามผมเหรอครับ

     

    ทำไมพี่กลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้ว......

     

    “โหยยย พี่ใจร้ายวะ  นี่รวมหัวแกล้งน้องเหรอ  ผมคือเหยื่อใช่ม้ายเนี่ยยยยย”   ยิ่งเซฮุนโวยวาย

    เสียงหัวเราะของพี่ชายสามคนก็ดังเท่านั้น

     

     

    “ฮ่าๆ  ดูมันงอน  โอ้ยย ตลกสัด โอเคๆแกกินมาแล้วแต่พวกพี่ยังไม่กินนี่หว่า  ไปเร็วชานยอล

    มึงมาช่วยกูเวฟข้าวหน่อยสิ ซื้อมาตั้งนานมันคงเย็นละ” แบคฮยอนไม่พูดเปล่า ยังลากร่างของชานยอลที่เอาแต่หัวเราะ

    ติดมือไปด้วย 

     

    “เดี๋ยวเราไปช่วย”  คยองซูรีบออกตัวทันทีที่เห็นเพื่อนสองคนเดินไปที่ห้องครัว

     

     

    “ไม่ต้องๆ คยองซูง้อไอ้เด็กหน้าบูดนั่นไปก่อน  เสร็จแล้วจะเรียกมากินเอง”  แบคฮยอนโบกมือไปมาเชิงไม่เป็นไร

    ก่อนจะหายเข้าไปในห้องครัว    คยองซูเลยจำใจต้องนั่งตามคำสั่งเพื่อนอย่างช่วยไม่ได้

     

    ก่อนหันมามองน้องชาย   โอเซฮุน......  เพื่อนสนิทของคิมจงอิน  คนที่คยองซูไม่อยากเจอและอยากเจอในเวลาเดียวกัน

     

    อ่า..... เซฮุน    พี่ก็แปลกใจไปไม่น้อยกว่าเพื่อนพี่หรอก  ว่าทำไมพี่ถึงเห็นนายอยู่หลังประตูห้องในตอนเช้าของวันนี้

    นายมีอะไรจะคุยกับพี่สินะ

     

     

    “พี่คยองซู...  คือผม.....”  เซฮุนทำท่าอึกอักเมื่อเห็นพี่ชายใจดีของเขา มองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย

    จนเขาเองไม่รู้จะเริ่มต้นพูดกับคยองซูยังไง    ที่จริงวันนี้เขาไม่ได้ตั้งใจมาหาคยองซู

    แต่มาหาใครบางคน   ใครคนนั้นที่เห็นหลังไวๆแต่ไม่เจอตัว

     

    ใครคนนั้นคือ.... เพื่อนของเขาเอง  คิมจงอิน

     

    “พี่สบายดีนะ...  พี่ไม่เป็นไรใช่มั้ย” เมื่อไม่เห็นจงอิน เขาก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงมัน

    เลยถามพี่ชายคนดีเขาอ้อมๆ  เพราะเขาเองก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่ารูปถ่ายพวกนั้น

    และหวังว่าจงอินจะไม่ทำอะไรเลวร้ายมากไปกว่าสิ่งที่เขาได้พอเจอ

     

    “ไม่เป็นไรนะเซฮุน   พี่สบายดี”  แม้ปากจะตอบเขาแบบนั้น แต่ในแววตาของคยองซูช่างชมขื่นและหม่นหมอง

    สีหน้าเรียบเฉยไม่ได้ช่วยยืนยันว่าสบายดีอย่างปากว่า

     

    คิมจงอิน  ไอ้ตัวร้ายกาจ แกทำอะไรพี่ชายคนดีของกู

     

     

    “ไม่จริงหรอก.... พี่ไม่ได้เป็นอย่างที่พี่บอก ผมมองตาพี่ก็รู้แล้วว่าไม่ใช่

    พี่คยองซูครับ.....  ผมรักพี่นะ  พี่เป็นพี่ชายคนดีของผมเสมอ”  เซฮุนเอื้อมมือไปจับมือเล็กของคยองซู

    ก่อนออกแรงบีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจ   คยองซูยิ้มให้น้องชายตรงหน้าบางๆ 

     

     

    เซฮุนเด็กดี   นายเป็นห่วงพี่สินะ  แต่ไม่เป็นไร พี่ยังไหว.. พี่ยังยืนได้ด้วยขาของพี่เองได้

     

    “นายก็เป็นน้องชายที่รักเสมอเหมือนกัน....” เอื้อมมือไปลูบศีรษะของน้องชายตรงหน้าอย่างแผ่วเบา

     

     

    “คยองซูอ่า....  ผมอยากช่วยพี่.... ผมขอโทษที่ทำอะไรให้พี่ไม่ได้ ผมขอโทษ” เซฮุนก้มหน้าลงอย่างละอายใจ

    เขาช่วยอะไรพี่ชายคนนี้ไมได้เลย  ทำไมเขาต้องปล่อยให้พี่ชายคนดีของเขาต้องเจ็บปวดด้วย

    โอเซฮุน  แกมันห่วยแตก  แกทำอะไรไม่ได้เลย

     

     

    “ไม่หรอกเซฮุน......  ไม่ว่านายจะรู้อะไรมา  ทุกอย่างมันเป็นเพราะพี่เอง  นายไม่ผิดหรอก

    พี่รับมันมาเอง พี่ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้   ตราบเท่าที่พี่จะชดใช้เวรกรรมหมด” 

     

     

    “ไม่พี่   มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ   พี่จะทนไปทำไม” เซฮุน เงยหน้าขึ้นมองคยองซูอย่างไม่เข้าใจ

    ทำไมละครับ  ทำไมพี่ต้องทนแบกรับอะไรคนเดียว  ทำไมพี่ไม่ยอมเอ่ยปากให้ใครช่วยเหลือเลย

     

     

    “พี่ไม่ได้ทน.....  พี่แค่อยู่กับมัน..  มันเป็นบาปของพี่คนเดียว  นายเป็นคนนอก เข้าใจใช่มั้ยเซฮุน”

     

     

    “พี่คยองซู........”  เป็นเซฮุนที่ครางออกมา 

     

    “แต่นายยังเป็นน้องชายที่พี่รักเสมอนะ     ปะ  ไปกินข้าวกันสองคนนั้นคงจัดโต๊ะเสร็จแล้ว

    ลุกสิ อย่านั่งนิ่งนะ  มากินด้วยกัน”  คยองซูที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่มีแม้น้ำตาสักหยด 

    กระตุ้นให้เซฮุนที่เอาแต่นั่งมองคยองซูอย่างไม่เข้าใจให้ลุกตามเขา 

     

    “เซฮุน    พี่ชายนายเข้มแข็งนะ”  เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม  ก่อนฉุดแขนน้องชายให้เดินตามเข้าไปในครัว

     

    คยองซูยิ้มบางๆให้เพื่อนสองคนที่นั่งประจำอยู่พร้อมหน้าสำรับ

     

    แบคฮยอนผายมือเชื้อเชิญให้สองพี่น้องนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างตรงข้ามเขา

     

     

    ภายใต้รอยยิ้มของเพื่อนสามคน   มีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่

     

     

    คยองซูรับรู้ได้ว่าเสียงวุ่นวายในครัวเงียบลงเมื่อเขาเริ่มพูดกับเซฮุน

     

    ชานยอลและแบคฮยอนรู้ว่า  คยองซูรู้ว่าเขาสองคนแอบฟังอยู่

    แต่มีเหตุผลอะไรที่สมควรจะถามคยองซูว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยินมันคืออะไรกันแน่

    เมื่อคยองซูไม่ต้องการจะให้ใครยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนั้น

     

    เรื่องที่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าคืออะไร

     

    เรื่องที่ทำให้เพื่อนของเขาต้องทุกข์ทนเพียงใดก็ไม่ยอมเอ่ยปากออกมา

     

    พวกเขาจึงทำได้เพียงอยู่เป็นเพื่อน และคอยให้กำลังใจ

    แม้จะไม่รู้อะไรเลยก็ตาม

     

     

     

     

     

     

    ..

    .

     

    จงอินมองถุงกับข้าวในมือ  ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่   เขานี่ท่าจะบ้าซื้อมาทำไมตั้งเยอะแยะ

    กินแค่คนเดียว.......

     

     

    ไม่สิ..  กินสองคนต่างหาก      แต่ดูท่าคนที่เขาซื้อมาเพื่อหวังจะกินด้วยคงไม่แสแยมันแล้ว

    จงอินจึงสาวเท้าเพื่อเดินกลับไปยังห้องของเซฮุน  แต่ไม่ทันที่เขาจะเดินไปถึงลิฟท์ดี 

     

    ลิฟท์ก็เปิดออกมา  จงอินเบิกตากว้างก่อนรีบหลบที่ข้างเสา  ซึ่งคนที่บึ่งออกมาจากลิฟท์ดูท่าจะรีบมากจริงๆ

    จนไม่ทันได้สังเกตเขา

     

    โอเซฮุนมาทำอะไรที่ห้องของคยองซู?

     

    สงสัยได้ไม่นานเขาก็ต้องรีบออกไปจากที่นี้ก่อนเพื่อนตัวดีของเขาจะหันมาเห็น 

    จงอินสบถอย่างไม่พอใจเมื่อขายาวพาร่างของตัวเองมาถึงห้องของเซฮุนโดยที่ไม่มีใครเห็น

     

    ใช่! วันนี้เขารอดพ้นการปะทะกับคนที่เขาไม่อยากเจอ  แบคฮยอนกับชานยอลที่หวิดประทะกันหน้าลิฟท์

    ถ้าเขาไม่ตาไวเห็นเสียก่อน คงได้ไปยืนรอลิฟท์ด้วยกันแน่ๆ   แต่เขาก็ยังบ้าพอที่จะพาตัวเองไปวนเวียนอยู่ที่ชั้นเดียวกับห้องคยองซู  แม้ว่าจะเสี่ยงโดนเห็นมากก็เหอะ  โดยหวังว่าสองคนนั่นจะรีบกลับออกมา

     

    แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นสองคนนั้น จนกระทั่งเห็นโอเซฮุนอีกคน

     

    จงอินเลยเลิกที่จะรอ  ทั้งๆที่วันนี้เขารู้สึกอารมณ์ดีแท้ๆ แต่กลับมาถูกทำให้ขุ่นมัว

    อาหารที่ซื้อมาก็ไม่อยากกิน   จงอินเดินไปหยิบซองบุหรี่อันโปรด เคาะเอามวนพิษร้ายออกมา

    ก่อนมีแสงสว่างวาบที่ปลายม้วน

    ริมฝีปากหน้าคาบบุหรี่ไว้อย่าหมิ่นเหม่  แล้วสูดควันพิษเข้าไปลึกๆ ก่อนพ่นควันออกมาราวกับถอนหายใจหนักๆ

     

     

    ...... วันเวลาไม่รั้งรอ นี่มันใกล้สอบแล้วแท้ๆ เขาแค่อยากเคลียร์สมองให้โล่ง  อยากไปนั่งกินข้าวพร้อมกวนประสาทพี่ชายคนดีให้วุ่นวายสักหน่อย    ไม่ได้หวังเซ็กส์หรืออะไรทำนองนั้น   แต่อยากไปหยอดให้คนตัวขาวสั่นระริกด้วยความโกรธ

    แต่ทำอะไรเขาไม่ได้  แบบนี้มันก็สนุกดีไม่ใช่เหรอ?    นั่งมองอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้ใครสักเต้นอยู่บนมือเรา

    จะกำก็ตายจะคลายก็รอด   ได้เห็นใบหน้าที่อาบยิ้มเสมอ บิดเบี้ยวเมื่อไม่พอใจ  

     

    แตกต่าง.......

    เขาได้เห็นคยองซูในมุมที่ทุกๆคนไม่รู้จัก  ได้เห็นนางฟ้าปีกหักกลายเป็นอะไรสักอย่างที่เขากำหนดได้

    มันก็ตื่นตาตื่นใจดี

     

    แต่สุดท้ายสิ่งเขาหวังกลับพังทลาย  มันน่าหงุดหงิดไม่น้อย...

     

    อีกสักพักเขาถึงไปทำอะไรแบบนั้นได้  เพราะคำว่าสอบแท้ๆ 

     

    จงอินไม่ใช่พวกไร้สมองที่ไม่ใส่ใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร     เขาตั้งใจเสมอ ในทุกๆเรื่อง

    เขาคิดว่าตัวเองฉลาดมากกว่าโง่

    เขาทะนงตัวมากกว่าถ่อมตัว

    เขาอารมณ์ร้ายมากกว่าใจดี

    และเขาก็เชื่อใจตัวเองเสียจนไม่เชื่อใจใคร    

     

    แม้ปากคยองซูจะเคยเอ่ยคำว่ารักให้เขาฟัง    แต่มันจะมีอะไรยืนยันว่าสิ่งนั่นคือความจริง

     

    จงอินจะไม่เชื่อลมปากพล่อยๆของใคร  ที่ทำให้เขาดูเหมือนคนโง่

     

     

    คนโง่ที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนวันนั้น  คนโง่ที่ยังคงเฝ้าคิดถึงคนที่ทำร้ายจิตใจเขาอย่างเลือดเย็น

    คนโง่ที่เฝ้าปฏิเสธว่าเกลียดเหลือเกินทั้งๆที่รอใครคนนั้นกลับมา

     

    .....

     

    ..   อู๋อี้ฝาน..........

     

    ผมเกลียดพี่..................

    ............

    ...

    .

    .

    .

    ใช่หรือเปล่า

    ...

    .

     

     

     

     

    TBC








    *ยืดใช่ปะ? เปล่านะเฮ้ยยย จริงๆนะ  55555  ตอนหน้าตัวละครใหม่จะมาแหละจริงๆนะ
    มาเป็นคู่ด้วยนะ ไม่ได้ฉายเดียว เรื่องเดินกว่านี้แน่นอน สัญญาๆ

    ** จริงๆตอนเก้ามีอีกเวอร์ชั่น แต่งเกือบจบละ แต่เรารู้สึกแปลกๆเลยแต่งใหม่เลย
    ซึ่งมันก็ไม่ได้ดีกว่าเก่าเลยวะ แต่ก็นะ  ปัญญามีเพียงแค่นี้ -0-

    *** อีกเรื่องจะสารภาพ ไรท์เตอร์อะทำงานแล้วใช่ปะ แล้วงานแบบมีเวรมีกรรมอะ
    หยุดไม่เหมือนชาวบ่้าน โอทีเพียบ เลิกงานมาก็แทบตายแล้วอะ  แต่เราคิดถึงตลอดนะ
    แต่สมองไม่ว่างพอที่จะลงมืออะ  ต้องขอโทษจริงๆที่ดองเหลือเกิน  แต่เราคิดว่า
    ฟิกดีๆคงมีให้อ่านเยอะเนอะ  ฟิกเราเป็นฟิกทางเลือกอะ เรารู้ว่าเราเป็นไรท์เตอร์ที่ไม่ดี
    เราอยากแต่งได้แบบคนอื่นนะ แต่เราได้แค่นี้อะ เราขอโทษษษ งื้อออ

    เรารู้ว่าตอนนี้ไม่หนุก แต่เมนต์ได้นะ  ขอบคุณคระ (ไม่กล้าเรียกร้องมากละอายแก่ใจ) -0-

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×