ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Exo Fic] Before I Decay : KaiDo

    ลำดับตอนที่ #13 : ep. 11

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 470
      1
      1 ก.ย. 56




    11.

     


     

    บางทีการใช้ชีวิตอยู่ในที่คุ้นเคยก็รังแต่ทำให้ตัวเองเจ็บปวด

    อยากไม่รู้สึกอะไร  อยากใช้ชีวิตโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา

     

    แต่....

     

    มันทำไม่ได้      เพราะมันเกินกว่าที่จะรับไว้  เกินกว่าจะทนได้

    แม้มันจะผ่านมานาน แต่มันกลับฝังรากลึกเกินจะแก้ไข

    เพราะไม่เคยคิดจะเปิดใจ ไม่อยากเปิดใจ  และไม่อยากยอมรับมัน

    เขาจึงต้องทนจมอยู่ในความรู้สึกอันมืดมิดในจิตใจของตัวเองต่อไป

     
     

    คิมจงอิน..........    นายจะไม่ยอมแพ้ให้กับแสงสว่าง

    จะลืมตาตื่นอยู่อย่างโดดเดี่ยว  ไม่มีใครให้ไว้ใจ  ไม่มีใครให้เห็นใจ  ไม่มีใครให้เชื่อใจ

    แม้แต่ตัวเอง.....

    ..

    .

     

     

     

    “จงอินกินข้าวเช้าก่อนดิวะ”  เป็นชานยอลที่เอ่ยเรียกน้องชายคนเล็ก  เมื่อเห็นจงอินเดินสะพายกระเป๋าลงมาจากชั้นบนของบ้าน   
    ชานยอลรู้ว่าถึงแม้จะเรียกสักแค่ไหน จงอินก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน มันเป็นอย่างนี้มาร่วมเดือนตั้งแต่พี่ชายคนโตกลับมาอยู่ที่บ้าน    
    แต่อย่างน้อยชานยอลก็ยังรู้สึกดีที่จงอินยอมมาค้างที่บ้านบ่อยมากขึ้น ถึงน้องจะไม่ยอมคุยดีๆด้วยก็ไม่เป็นไร  แค่ได้เห็นหน้าพี่ชายอย่างเขาก็มีพอใจแล้ว

     
     

    “จงอินอ่า...  ให้พี่ไปส่งมั้ย” เมื่อไม่เห็นท่าทีตอบสนอง ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องปกติ  ลู่หานที่แม้จะไม่ใช่คนในครอบครัว

    ก็อยากเห็นน้องชายของเพื่อนเปิดใจ จึงเดินเข้าไปหาก่อนเอ่ยถาม

     

    “ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณ”  ปฏิเสธเสียงแข็งก่อนปรายตามามองลู่หานอย่างไม่พอใจ  ก่อนเดินออกจากบ้านไป

    ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจจากคนสองคน นั่นก็คือชานยอลกับลู่หาน

     
     

    “เฮ้ออ  ดื้อจังนะน้องชายพวกนาย”  หันมาพูดกับพี่ชายของเด็กดื้อ   ชานยอลได้แต่กลอกตาไปมา  ส่วนคริสก็ทำแค่นั่งมองลู่หาน ก่อนยื่นมือไปสัมผัสหลังมือของลู่หานอย่างแผ่วเบาเมื่อทั้งคู่กลับมานั่งข้างกัน

    จนชานยอลต้องทำเป็นสนใจข้าวตรงหน้าแทน

     
     

    “อยู่เฉยๆก็ได้น๊า”

     

    “เหอะ ก็อยากช่วยนี่หว่า  ไม่งั้นจะถ่อสังขารตามนายมาถึงเกาหลีทำไม”  พอได้ยินคำพูด อี้ฝานก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ

    ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะดื้อไม่ต่างจากน้องชายเขานะ

     

    “ช่วยทำให้ยุ่งละสิไม่ว่า”  เอ็ดไม่จริงจัง แต่ลู่หานก็ทำหน้ามุ่ยใส่

     

    “ยุ่งบ้าไรวะ  นายไม่เห็นทำไรเลย วันๆเอาแต่ยืนมอง น้องมันคงเข้าใจหรอก 

    นายมันก็แค่ทำให้เสียเวลาแต่ละวันไปฟรีๆ  ยิ่งอยู่นานน้องยิ่งเกลียดขี้หน้าละไม่ว่า” ลู่หานใส่กลับเป็นชุดๆ

    จนชานยอลที่ทำเหมือนไม่สนใจ แอบเงยหน้ามองพี่ชายสองคนเม็งใส่กัน   อืม.. เขาแอบเห็นด้วยกับพี่ลู่หานนะ

     

    “ตอนฉันทำนายไม่เห็นต่างหาก” อี้ฝานเองก็ดูท่าจะไม่ยอมแพ้  จนลู่หานต้องถลึงตาใส่ 

     

    “ไหน?  ตอนไหนวะ?  ตัวติดกันเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง ยังไม่เห็นนายทำอย่างที่พูดเลย”

     

    “ก็อยู่ห่างๆบ้างสิวะ เผื่อจะเห็น”

     

    “ปัง! ไอ้อี้ฝาน!”  เสียงทุบโต๊ะ ตามด้วยเสียงตะโกนเรียกชื่ออี้ฝานอย่างเหลืออดของลู่หาน  เรียกให้ชานยอลต้องรีบห้ามทัพ

    เพราะพี่ชายของเขาเริ่มทำหน้ายียวนใส่พี่ลู่หานแล้ว

     

    “อ่า...  โอเคครับพี่  ผมว่าวันนี้พี่คงต้องอยู่ห่างกันสักหน่อยแล้วละ” 

     

    “ก็ดี  แกห้ามเข้าใกล้ฉันเกินสองเมตร” เป็นลู่หานที่กำหนดระยะห่างระหว่างเขากับอี้ฝาน  เหม็นขี้หน้ามันชะมัด

    จนอยากจะต่อยให้จมูกโด่งๆนั้นหัก  กวนประสาทสิ้นดี

     

    “ได้ๆ อย่างลืมพกตลับเมตรด้วยละ”  ยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูลู่หาน ก่อนเดินหนีไป   ปล่อยให้ลู่หานยืนกำหมัดก่อนทุบโต๊ะทั้งปังอีกครั้ง    

     

    อ่า.... บทจะทะเลาะกันก็น่ากลัวจริงๆ  ชานยอลที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่สักพักก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อลู่หานหันมาเรียก

     

    “ชานยอล!” 

    “ครับๆ” รีบขานตอบพัลวัน กลัวองค์จะลงเพื่อนพี่ชายอีก

    “อยากกินไอติม  ร้านไหนอร่อยพาไปหน่อยสิ”

    “หะ.. ห๊ะ!”  ชานยอลได้แต่ขานรับอย่างตกใจ   


    “ตกใจไรวะ อยากกินไอติม ได้ยินชัดมั้ยวะเนี่ย”  เหมือนองค์จะกลับมาอีกรอบ ชานยอลได้แต่พยักหน้ารัวๆ

    ก่อนรีบวิ่งไปเอากุญแจรถ  แล้วพาลู่หานไปร้านเจ้าประจำ  แต่ไม่วายเขาก็แอบโทรเรียกกำลังเสริมมาช่วย

    อยู่กันสองคนกับพี่ลู่หานไม่ไหวจริงๆ  แบคฮยอนออกมาช่วยกูด้วยนะ   พลีส...

    .....

    .

    .

    .

     

     

     

    “คิมจงอิน ไอ้หน้าบูด เห็นหน้ามึงแล้วกูแดกข้าวไม่ลง” เซฮุนพูดขึ้นขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร


    “มึงก็อย่ามอง” ไม่ใช่แค่เซฮุนที่กินข้าวไม่ลง เขาก็กินข้าวไม่อร่อย  ไม่สิต้องบอกว่าไม่อยากกินอะไรมากกว่า

    มันเบื่อๆ มันเซ็ง  มันล่องลอย  จนไม่อยากทำอะไร เรียนไปก็ไม่เข้าหัว  จนจงอินกลัวว่าตัวเองจะมีปัญหากับคะแนนในการสอบปลายภาค


    “ไม่ให้มองหน้ามึง จะให้กูมองไอ้ตูบตัวนั้นหรือไง ก็มีกันอยู่แค่สองคน” พยักเพยิดให้จงอินหันไปมองเจ้าตูบที่มองเขาสองคนตาละห้อย  จนจงอินต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนวางตะเกียบ


    “โดดเหอะมึง” 


    “ห๊ะว่าไงนะ”  เซฮุนตะโกนขึ้นเสียงดัง  จนจงอินต้องยื่นมือไปตบกะบาลเพื่อนเพื่อลดโวลุ่ม


    “มึงจะตะโกนให้ผอ.ได้ยินรึไง  ไอ้บ้านี่” 


    “โอ้ยยย แล้วตบหัวกูทำไมเนี่ย   จะโดดไปไหน เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก” พูดไปงั้นแหละ จริงๆก็ไม่ได้กลัวหรอก

    แต่เซฮุนก็แค่สงสัยว่าจงอินมันจะโดดทำไม ไหนว่าเรียนไม่เข้าหัว ยิ่งโดดยิ่งไม่รู้เรื่องอะดิ


    “ไปเกะ  เดี๋ยวก็ไปเปลี่ยนชุดที่ห้องมึงก่อน แล้วค่อยไปร้องเพลง”   ร้องเพลง? 
    เดี๋ยวนะ เสียงเขากับจงอินนี่เข้าขั้นวิกฤตเลยนะ แย่ถึงแย่มากๆ  นี่มันยังกล้าจะชวนเขาไปร้องเพลง??


    “มึงแน่ใจนะ” ถามอย่างหวาดๆ   แต่จงอินก็หันมาย้ำความจริงที่ไม่น่าเชื่อ


    “ก็เอ้อดิ ลุกขึ้นได้แล้ว อย่าชักช้า”


    “คร๊าบๆ”  เซฮุนได้แต่ยอมจำนนต้องทำตามที่เพื่อนรักบอก   ช่วงนี้ต้องตามใจมันหน่อย
    เพราะเขาก็รู้ว่าสภาพจิตใจเพื่อนค่อนข้างย่ำแย่  สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่คอยยืนอยู่ข้างๆ 
    ถึงมันจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็ทำให้เพื่อนอุ่นใจ

    ว่ามันยังมีใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างกัน....

    .

    .

     

     

     


    “มึงมาทำไมเนี่ย” เซฮุนหันมาถามเพื่อนที่เอาแต่นอนเหยียดยาวที่โซฟาภายในห้องคาราโอเกะที่มีแสงสลัว

    แล้วปล่อยให้หน้าจอเล่นเพลงไปตามลิสโดยไม่มีเสียงคนร้อง


    “นอนเล่น”  คำตอบสุดแสนจะยียวน  จนเซฮุนถึงกับปวดหัวจี๊ดเลยทีเดียว


    “นอน? นอนเล่น  มึงกลับไปนอนที่ห้องกูไป ไม่ก็ที่บ้านมึง มานอนเสียค่าชั่วโมงทำเหี้ยไร

    มึงบ้าแล้วเหรอไง” เซฮุนได้ทีใส่เพื่อนเป็นชุดๆ  จนจงอินที่นอนคว่ำอยู่เปลี่ยนมาเป็นนอนหงาย

    ก่อนเงยหน้ามองดูเซฮุน

     

    “งั้นไปนอนโรงแรม”


    “เฮ้ย!  ไอ้บ้า  มึงไปคนเดียวเลยนะ  คิมจงอินมึงเพี้ยนไปแล้ว มึงบ้ามากจริงๆ” โอเซฮุนไม่รู้จะสรรหาคำใดมาว่าจงอิน

    ได้แต่สบถคำว่าบ้าๆ ใส่หน้าจงอิน  ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำแค่นอนมองเพื่อนด่าไปเรื่อยๆ


    “คงงั้น กูคงบ้าไปแล้ว”  เหมือนพูดลอยๆดูไร้ความคิด  จนเซฮุนต้องเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่


    “จงอิน...  มึงคงอยากอยู่คนเดียว” เซฮุนพูดตามที่เห็น   สภาพจงอินในตอนนี้ คงต้องให้นั่งคิดอะไรเงียบๆคนเดียว

    ให้ไตร่ตรองสิ่งที่ผ่านมาและกำลังเกิดขึ้นอยู่  เขารู้ว่าเพื่อนเครียด เครียดมากจนไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร

    คิมจงอินตอนนี้ดูล่องลอย และดูไร้ชีวิต

     

    “กูดูเป็นแบบนั้นเหรอ”  พอได้ยินคำพูดของจงอิน  เซฮุนก็ถอนหายใจอีก จนเขาคิดว่าอายุคงสั้นไปสักรอบสองรอบแล้ว


    “ใช่เลยไอ้เพื่อนบ้า”


    “อ่า...  งั้นกูต้องทำไง” เป็นคำถามที่ตอบยากเหลือเกิน  แต่เขาก็ต้องหาคำตอบมาให้เพื่อน

    “ทำอย่างที่ใจอยากทำ” เป็นคำพูดสุดท้ายที่เซฮุนทิ้งไว้  ก่อนจะเดินหายห้องจากห้องไป 

    จงอินนอนมองร่างของเพื่อนที่เดินจากไปก่อนสายตาจะหันขึ้นไปมองเพดาน  แล้วเปลือกตาก็ค่อยๆปิดลงอย่างเชื่องช้า

    ราวกับพยายามซึมซับความรู้สึกบางอย่างที่อบอวลอยู่  เขารู้ว่าเซฮุนไม่เคยทิ้งเขา  เซฮุนยังเป็นเพื่อนที่รักเขาเสมอ

    แต่อะไรละที่เขาขาดไป...   เขารู้แต่แกล้งทำเป็นลืม...  นั่นเพราะไม่อยากจำและไม่อยากนึกถึง

    อยากทิ้งมันให้ลอยเคว้งคว้างในส่วนลึกของจิตใจเขา  โหยหาแต่ไม่ตามหาและไม่ยอมจำนน

    เพราะเขามันดื้อด้านมากเกินไป   อ่า..... เขารู้ แต่ไม่ทำตาม    ได้แต่ปล่อยให้มันลอยวน หาจุดจบไม่ได้อยู่อย่างนี้..

    .............

    ..

     

    The first time I fell in love was long ago.

    เสียงเพลงลอยเข้ามากระทบโสตประสาท..  จงอินแน่ใจว่าเขาหลับลึกพอ แล้วอะไรที่ปลุกเขา

    I didn't know how to give my love at all. 

    The next time I settled for what felt so close.

    But without romance, you're never gonna fall.

    จะด้วยอะไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่จงอินตื่นมาฟังเพลงนี้แล้ว  เขาไม่รู้ว่าเป็นห้องไหนที่ร้อง

    แต่เสียงมันก็เล็ดลอดเข้ามาให้เขาได้ยิน....     ทุกอย่างมันดูคุ้นเคย น้ำเสียงที่ทรงพลังแต่อ่อนโยน...

    ใครสักคนที่เขาไม่เคยยอมรับว่าคิดถึง แต่เขากลับจดจำได้ตลอด....

    เสียงนี้ที่คุ้นเคย...  บทเพลงที่ไพเราะ  อ่า.....   เขาอยากเห็นหน้าคนๆนั้น  คนที่ปลุกเขาจากภวังค์ที่หลับใหล

    กระตุ้นให้เขาลืมตา และรับรู้ถึงความรู้สึกปั่นป่วนในก้นบึ้งของหัวใจ

    .

    .

    .

     

    “จงอิน!


    “สวัสดีครับพี่ชาย” 


    “เพลงเมื่อกี้พี่ร้องใช่มั้ยครับ”  เขาคงไม่ได้เสียมารยาทเกินไปที่มายืนดักพี่ชายคนดีอยู่หน้าห้องน้ำ

    อ่า... มันก็แค่ความบังเอิญที่ร้ายกาจ  เขาแค่มาที่นี้  และคยองซูก็มาที่นี้เช่นเดียวกัน

    มันก็แค่ความบังเอิญที่อีกฝ่ายคงไม่อยากให้เกิดขึ้น  แต่จงอินกลับรู้สึกยินดีในใจลึกๆที่ได้เห็นอีกฝ่ายมาเจอเขา

     

    “เพลงไหนละ” แม้จะมีความหวาดระแวงในท่าทาง คยองซูก็ยังกล้าที่ถามกลับ  เพราะเจ้าตัวรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

    บางอย่างที่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกล้าพูดคุยกับอีกฝ่ายแบบนี้

     

    The last time”  จงอินเคยได้ยินเพลงนี้ผ่านหูมาบ้าง  แต่เขากลับจำได้แม่นยำ 

    มันเพราะอะไรกัน  เขาเองก็หาเหตุผลให้มันไม่ได้

    “อ่า.... ใช่  พี่ร้องเอง  มีอะไรหรือเปล่า”  จงอินเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำหน้าแบบไหน คยองซูถึงถามเขาแบบนั้น

    ดวงตากลมโตของคนตรงหน้าจ้องมองเขาอย่างที่ไม่เคยกล้าทำ  แต่เขากลับไม่ได้นึกอยากให้อีกฝ่ายหวาดกลัวเขาอย่างที่เคย 

     

    “ไม่มีไร แค่เพราะดี”

    “อ่า.. ขอบคุณ”  ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้จงอินเป็นแบบที่เขาไม่เคยเห็น  แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามคยองซูก็อยากจดจำเอาไว้  ด้วยแกล้งหลงลืมสิ่งที่เจ็บปวดและเก็บเกี่ยวเอาแต่มวลความสุขเอาไว้ 

     

     

     The first time I fell in love was long ago.

    ครั้งแรกที่ตกหลุมรักนั่นก็นานละนะ

    I didn't know how to give my love at all.

    ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าจะรักกันเนี่ย มันทำยังไง

    The next time I settled for what felt so close.

    และเป็นอีกครั้งที่ยอมรับว่า มันรู้สึกใกล้เคียงกับสิ่งนั้น.....

     

    สิ่งนั้นที่หลงลืมไปนาน..... และไม่คิดว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้อีก...

    ...

    .

    สิ่งนั้นคือ

    .

    .........

     

    .

     

    .

    .

     

    คยองซูไม่รู้ว่าปีศาจตนใดที่ร่ายมนต์ให้เขาเคลิบเคลิ้มและหลงตามมา   แต่สุดท้ายเขาก็มายืนอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง

    ห้องในโรงแรมที่เขาไม่เคยคิดจะเดินเข้ามา

     

    “พี่ว่าสวยมั้ย”  ทันที่ก้าวเดินเข้ามาในห้อง จงอินก็เอ่ยถามคยองซู 

    อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนตอบ


    “ก็สวยดี”  จงอินมองคนที่มากับเขา  ยังคงยืนแข็งทื่อที่ประตูห้อง   แต่เขาก็ไม่ได้เรียกอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ 

    จงอินทิ้งตัวลงนอนที่เตียงกว้าง

     

    “ทำไมพี่กล้าตามผมมา”  คยองซูเม้มริมฝีปากทันทีที่ได้ยินคำถาม  จะให้ตอบอย่างไรละ เขาเองก็ไม่รู้


    “นั่นสินะ” เหมือนคุยกับตัวเองกลายๆ  จงอินเงยหน้ามองเพดาน ก่อนพลิกตัวมามองคยองซู


    “ผมไม่ได้พาพี่มามีเซ็กส์”  จงอินก็ยังเป็นจงอิน ยังพูดตรงได้น่าตกใจ


    “นั่นพี่ก็คิดว่าไม่ ถึงได้มากับนาย” เป็นคำตอบที่จงอินคาดไม่ถึง  เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนอมยิ้ม


    “แต่พี่ก็ยังกลัว” จงอินลองพูดแหย่อีกฝ่าย ซึ่งคยองซูก็ตอบสวนขึ้นมาในทันที


    “พี่ก็ควรกลัวไม่ใช่เหรอ”  นั่นคือเรื่องจริง คนที่ทำร้ายอีกฝ่ายคือเขา คยองซูจะยังรู้สึกแบบนั้นก็ไม่แปลก


    “แต่พี่ก็ตามผมมา” 


    “เพราะพี่รู้ว่าไม่เหมือนเดิม” คำตอบกำกวมของคยองซูทำให้จงอินขมวดคิ้ว  เขายอมรับว่าไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด อะไร?ยังไง? ที่ว่าไม่เหมือนเดิม



    “ผมหรือพี่ที่ไม่เหมือนเดิม”  คยองซูเม้มริมฝีปากทันทีที่ได้ยินคำถาม  แต่ไม่นานนักเขาก็คลายมันออก

    ก่อนเอ่ยตอบเด็กหนุ่มที่เหมือนเจนโลกแต่กลับไม่เข้าใจแม้แต่ตัวเอง



    “คำตอบมันอยู่ในใจนาย พี่รู้ว่าสักวันนายจะเข้าใจมัน”  เป็นอีกครั้งที่จงอินต้องขมวดคิ้วและไม่เข้าใจกับคำพูดทำนองนี้ 

    เขามองพี่ชายตัวเล็กที่ยังคงจ้องมองเขาอยู่  ในดวงตากลมโตที่เขาเคยคิดว่าใสซื่อบริสุทธิ์กลับดำมืดและยากหยั่งถึง

    เวลาเพียงไม่นานเปลี่ยนคนไปได้ถึงขนาดนี้ หรือว่าเป็นเพราะเขาไม่เคยรับรู้ถึงด้านนี้ของอีกฝ่าย

    เขาที่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเหยื่อที่เต้นบนฝ่ามือเขา  แต่.... มันไม่ใช่สินะ  ที่อีกฝ่ายยอมเต้นบนฝ่ามือเขา

    อาจมีเหตุผลอื่นที่เขาไม่รู้และไม่เข้าใจก็เป็นได้

     


    “ผมไม่เข้าใจหรอกคำพูดสวยหรูแบบนั้น  ผมอยู่กับความจริง  ตอนนี้ผมยืนอยู่ตรงหน้าพี่คือความจริง

    ผมไม่ละลายหายไป พี่จับต้องผมได้ นี่คือความจริง” จงอินที่ลุกขึ้นมายืนตรงหน้าคยองซูเมื่อไหร่ไม่รู้

    ยืนกางแขนตรงหน้าคยองซู  ก่อนกระซิบบอกที่ข้างหู

     

    “กอดผมสิ  ผมนี่แหละความจริง  พี่มาแบ่งเบาความเจ็บปวดไปจากผมที  พี่ทำได้ ผมคิดอย่างนั้น” จงอินที่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเห็นสีหน้าที่อ่อนแอของตัวเองเลื่อนตัวเข้าไปชิดร่างของคยองซู  ซึ่งอีกฝ่ายยินดีที่โอบกอดเขาตามคำร้องขอ

     

    “จงอิน... พี่เจ็บมากกว่าที่นายรู้  นายไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าพี่เจ็บปวดมากขนาดไหน นายไม่รู้หรอก ไม่มีวัน” อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นแต่ร้าวราน  เหมือนมีหนามสักพันเล่มมาคอยทิ่มแทงแต่ทั้งคู่ก็ยินดี  หากมันจะต้องเจ็บก็ขอมีใครสักคนร่วมเจ็บไปกับเรา  ถึงมันจะแทบตายแต่ก็ดีกว่าเจ็บปวดอย่างเดียวดายเพียงคนเดียว

     

    “นั่นแหละใช่.... มีแค่พี่ที่เจ็บปวดมากกว่าผม  ทรมานมากกว่าผม  ดีแล้วครับ ดีแล้ว” เหมือนเสียงปีศาจร้ายกระซิบอยู่ข้างหู  แต่คยองซูยังคงรับฟัง...   และร่างกายยังคงโอบกอดกัน....  

     

    เพราะอย่างน้อยจงอินก็คือความจริงที่เขาสัมผัสได้

    ไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันที่คิดถึงอย่างลมๆแล้งๆ

    และถึงแม้มันจะเป็นความจริงที่เจ็บปวด....

    แต่ยังไงมันก็คือความจริง  ที่เขายินดียอมรับมัน

    .....

    ..

    .

    .

    .

    .

     
     

     

     END 11

     

     
     

     

    *สั้น  #โดนตรบบ

    *สำนึกผิดวันละหลายหนจนแบบ....   T____T

    *ไม่เมนต์ไม่ว่า แค่บอกมาว่า “มาลงชื่อนะจ๊ะ” ก็เป็นพระคุณอย่างสูง    #ไหว้ย่อขา
    *อย่าลืมกดฟังเพลงนี้เพื่อความละมุน 55555555555


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×