ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Exo Fic] Before I Decay : KaiDo

    ลำดับตอนที่ #16 : ep. 14

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 329
      0
      15 พ.ย. 56

     

    14.

     

     
     

    คิมจงอินยืนมองบ้านที่เขาอาศัยอยู่มาร่วม 10 ปี ด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก  เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ที่ไม่ได้กลับมาบ้านหลังนี้  มันทำให้เขาทั้งคิดถึงและหวาดกลัว 

    คิดถึงเพราะมันคือบ้านของเขา    

    หวาดกลัวเพราะมีบางอย่างทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น 

    แต่ถ้าเขาวิ่งหนีก็เท่ากับว่าเขาแพ้    คิมจงอินคนนี้จะไม่มียอมแพ้ เขาต้องชนะ เขาต้องเชื่อมั่นในตนเอง

    เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนพ่นมันออกมาเพื่อระบายความอึดอัดที่มันอัดแน่นอยู่ข้างใน  ก่อนก้าวเดินเข้าไปในบ้านแต่ละก้าวอย่างมั่นคง

     

    เพียงแค่แว้บแรกที่เดินผ่านห้องนั่งเล่นจงอินก็ต้องหยุดชะงัก  ดวงตาที่มักง่วงปรือตลอดเวลามองไปที่บางสิ่งอย่างสนใจ

    รอยยิ้มถูกจุดที่ริมฝีปากอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานาน 

     

    จงอินมองโมเดลรถF1  ของแต่ละค่ายที่วางเรียงรายบนโต๊ะหน้าทีวี     เขาชอบดูแข่งรถ จริงๆจงอินชอบดูแข่งกีฬาหลายชนิด  แต่แทบไม่มีเด็กผู้ชายคนไหนที่ไม่ชื่นชอบรถ  ยิ่งโมเดลรถสวยๆแบบนี้ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่าไม่อยากได้เป็นเจ้าของ   

    เด็กหนุ่มค่อยๆย่อตัวลง พลางจ้องมองใกล้ๆ ก่อนหยิบรถสีแดงเพลิงที่เป็นโมเดลของรถ Ferrari

     

    “งานละเอียดชะมัด  สวยวะ” พูดพลางเอามือตัวรถอย่างหลงใหล  วินาทีนี้จงอินไม่ได้คิดหรอกว่ารถพวกนี้มาจากไหน

    เป็นของใคร  เพราะตอนนี้เขาหลงเจ้ารถคันจิ๋วนี้สุดๆ    

    พอลูบๆคลำๆเจ้ารถสีแดงอย่างพอใจ ก็หยิบรถสีน้ำเงินที่มีตราของกระทิงสีแดงสองตัวชนกัน  รถของทีม Red bull Renault ที่ตอนนี้กำลังพีคสุดๆ  จนมีแนวโน้มว่าปีนี้จะเป็นแชมป์การแข่งขันในปีนี้

     

    “สวยใช่มั้ยละ”  จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น     จงอินหันไปมองตามเสียงทันที แต่ดีที่เขาเอ็นดูเจ้ารถจิ๋วพวกนี้มาก เพราะถึงจะสะดุ้งด้วยความตกใจ เขาก็ไม่เผลอทำพวกมันหล่น

     

    “..................”เขาเลือกที่เงียบแทนคำตอบ   ก่อนค่อยๆวางรถลงที่โต๊ะเหมือนเดิม  

    อี้ฝานยืนมองน้องชายที่ตีหน้านิ่งได้เฉยชาจนน่ากลัว   ก่อนถอนหายใจทิ้งอย่างอ่อนแรง  เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนทำให้น้องเป็นแบบนี้ ด้วยความคิดโง่ๆและความกลัวผลมันเลยต้องลงเอยเช่นนี้   ในตอนนั้นทำไมเขาจะไม่อยากพูด หรืออยากบอกถึงเหตุผลให้น้องได้รู้ละ  เขาอยากอธิบาย แต่สถานการณ์ในตอนนั้นเหมือนน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง สุดท้ายเขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูด เกินกว่าจะกล้าเผชิญ  เขาเลยหนีจากมัน ทำให้ตัวเองไร้ตัวตน โดยหวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยา แต่มันกลับไม่ใช่  ทุกๆอย่างมันแย่มากเกินกว่าเวลาจะช่วยแก้ไขได้   ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งเป็นบาดแผลเรื้อรัง

     

    “ จงอินอา... พี่รู้ว่านายชอบ  ไม่ต้องคิดว่าใครซื้อมา รู้แค่ว่าตอนนี้มันเป็นของนายก็พอ” จงอินก้มหน้ามองโมเดลรถที่เขาชื่นชอบ พวกมันไม่มีความผิด เขาอยากได้ แต่.... ไม่มีเหตุผลที่เขาจะรับของจากคนที่เขาบอกว่าเกลียด   และเขาก็ไม่จำเป็นที่ต้องมายืนฟังอีกคนพล่าม เว้นเสียแต่...... มีบางอย่างสะกิดใจ  เหตุการณ์ที่ทำให้เขาไม่เข้าใจและต้องการคำตอบ

     

    “คุณกลับมาเกาหลีเมื่อไหร่”  อี้ฝานเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ  เขาไม่นึกว่าน้องชายจะยอมพูดกับเขา

     

    “ได้เกือบสองอาทิตย์ละ  มีอะไรหรือเปล่า”   สองอาทิตย์แล้วสินะ   เรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นในช่วงที่เข้าหมกหมุ่นกับการเตรียมสอบและการสอบ  เขาที่เหมือนถูกปิดหูปิดตา  แต่ที่จริงแล้วเป็นตัวเองต่างหากที่เลือกจะไม่มารับรู้อะไร แต่ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองควรจะรู้ได้แล้ว

     

    “เมื่อวันก่อนคุณไปไหน”  จงอินยิงคำถามใส่เขา  อี้ฝานได้แต่ขมวดคิ้วก่อนพยายามรำลึกเหตุการณ์ที่ผ่านมา

    .... ช่วงนี้เขาไปไหนมาไหนออกบ่อย บางครั้งวันหนึ่งก็ไปหลายที  จนบางทีก็เอาสับสนเสียเอง เอาเหตุการณ์วันโน้นนี้มาสลับกันบ้าง  แล้ว.... จงอินจะอยากรู้ไปทำไม?

     

    “วันก่อน?   หมายถึงเมื่อวันศุกร์” 

     

    “ใช่ วันศุกร์ตอนเย็น”  พอจงอินตีวงให้แคบลง   อี้ฝานก็คิดออกได้ไม่ยาก เขาเผลอยิ้มจนต้องเม้มปากไว้  ดวงตาคมของเขาแพรวพราวไปด้วยเลห์เหลี่ยมที่น้อยคนนักจะได้เห็น  ซึ่งถ้าหากจงอินหันมามองก็คงฟิวส์ขาดได้ง่ายๆ  แต่เด็กหนุ่มเลือกที่จ้องมองไปยังโมเดลรถแทน

     

    “ศุกร์ตอนเย็นเหรอ? ก็ไป........”

     

    “อ้าว!  นี่สองคนพี่น้องอยู่ด้วยกันเหรอ” ไม่ทันที่อี้ฝานจะได้พูดจบ  ลู่หานกับชานยอลที่กลับมาจากไปซื้อของด้วยกันก็เดินเข้ามา ก่อนลู่หานจะเอ่ยทัก จนอี้ฝานต้องหยุดพูด

     

    จงอินเงยหน้ามองลู่หานที่แสร้งทำหน้าใสซื่อใส่พี่ชายเขาอย่างไม่พอใจ  ก่อนเดินผ่านทั้งสามคนหนีขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน

     

    “อ้าว จงอินมากินข้าวก่อน  จงอินนนน”  เป็นชานยอลที่ตะโกนไล่หลังน้องชาย  แต่จงอินก็ไม่สนใจเดินเสียงดังปึงปังขึ้นไปชั้นบนทันที   

     

    “เออ.....  ฉันมาขัดจังหวะเหรอ”  ลู่หานเอ่ยด้วยสีหน้าสำนึกผิด  อี้ฝานยิ้มบางๆให้ก่อนส่ายหน้า

     

    “เปล่าหรอก  ว่าแต่ซื้อไรกันมากินบ้างละ” เอามือยีหัวลู่หานไปมา ก่อนหันไปถามน้องชายที่หอบหิ้วถุงใบใหญ่

     

    “เยอะเลยพี่  ไปถึงร้านพี่ลู่หานสั่งเอาๆจนผมกลัวจะกินไม่หมด แต่พี่ลู่หานบอกว่าเดี๋ยวพี่คริสจัดการเอง” อี้ฝานหันมองเพื่อนตัวแสบที่ยัดเยียดภาระนี้มาให้ตนด้วยสีหน้าเซ็งๆ

     

    “ตลอดเลย  กินไม่หมดก็แช่เก็บไว้กินวันหน้า” พออี้ฝานพูดจบ ลู่หานก็ร้องเสียงดัง

     

    “โอ้ยยย  ขี้งกวะ  อย่ามาใกล้เกลือจะกระเด็นใส่”  ลู่หานทำท่ารังเกียจ ก่อนเดินออกห่าง  อี้ฝานหัวเราะร่วนก่อนเดินตาม

    แล้วยื่นมือเข้าไปแตะปากลู่หานก่อนเอาออก 

     

    “เค็มปะ?”  ยื่นมือไปแตะปากเขาไม่พอยังมีหน้าพูดแบบนี้อีก 

     

    “แหวะ  อี๊เล่นสกปรก ไม่ยุ่งด้วยแล้ว” ว่าแล้วก็เดินหนีหายไปทางห้องน้ำ  ปล่อยให้อี้ฝานหัวเราะอย่างมีความสุขทีได้แกล้งเพื่อนตัวแสบของตัวเอง

     

    “พวกพี่นี่สนิทกันดีจัง”  ชานยอลที่กำลังหยิบถ้วยชามออกมาจากชั้น  หันไปพูดกับพี่ชายที่ยืนหัวเราะอยู่

    อี้ฝานมองชานยอลก่อนยักไหล่ให้

     

    “นายไม่สนิทกับแบคฮยอนหรือไง ก็เหมือนๆกันแหละ เป็นเพื่อนกันมานานก็แบบนี้”  

     

    “อืม.... นั่นสินะ”  ชานยอลเอ่ยพร้อมพยักหน้ารับ

     

    “แบ่งไว้ให้จงอินมันด้วย  เดี๋ยวน้องมันหิวจะได้ลงมากิน” อี้ฝานบอกชานยอลที่กำลังจัดอาหารใส่จาน

     

     

    “ได้พี่...”  ถึงพี่ชายไม่บอกเขาก็ทำอยู่แล้ว    แต่พอพี่ชายพูดแบบนี้เขารู้สึกดีไม่น้อย  แม้ตอนที่พี่คริสอยู่ในห้องนั่งเล่นกับจงอิน เขาจะมาช้าจนไม่รู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกัน  แต่ดูท่าจะไม่ได้ทะเลาะกันเขาก็เบาใจ    ได้แต่หวังว่าสักวันพี่น้องของเขาจะเข้าใจกันและกลับมาเป็นเหมือนเดิม  ชานยอลได้แต่หวัง  หวังว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นจริงๆ

    .

    .

     

     

     

     

     

     

    “แต่งตัวหล่อแต่เช้าเชียว  จะออกไปไหนเหรอ?” ลู่หานที่กำลังนั่งพักเหนื่อยกินน้ำในห้องครัว เอ่ยถามชานยอลที่เดินเข้าในห้องครัว

     

    “ไปฟังเกรดครับ  แล้วนี่พี่ลู่หานออกไปไหนมาแต่เช้า”  ตอบคำถามพร้อมถามลู่หานกลับ  เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วไม่น่าจะเพิ่งตื่นลงมาหาอะไรกินในครัวตอนนี้

     

    “ไปจ็อกกิ้งมาน่ะ  เช้าๆอากาศดี” ไม่พูดเปล่ายังทำท่าวิ่งเหยาะๆประกอบอีก

     

    “ไปคนเดียวเหรอพี่  พี่คริสไม่ไปด้วยละ”

     

    “โอ๊ะ  รายนั้นปล่อยให้เขานอนไปเถอะ เมื่อคืนก็เห็นนั่งเคลียร์งานจนดึกดื่น ทั้งๆที่พี่บอกให้นอนเหอะ

    เดี๋ยวค่อยมาช่วยกันทำวันนี้ก็ไม่ยอม  ดื้อจังพี่ชายใครก็ไม่รู้” ว่าพลางบุ่ยปากใส่เมื่อเอ่ยถึงพี่ชายเขา

    ชานยอลได้แต่หัวเราะเบาๆรับ

     

    “เดี๋ยวผมไปก่อนนะพี่  บ่ายๆเดี๋ยวเจอกัน” 

     

    “ได้ๆ  ขอให้เกรดสูงๆ น๊า”  โบกมือให้ชานยอลก่อนอวยพรเสียงดัง

     

    “ฮ่าๆ   ไม่ทันแล้วมั้งพี่”

     

    “ทันดิ ยังไม่เห็นผลเลย” 

     

    “ครับๆ  ทันก็ทัน  ไปละนะพี่”

     

    “โชคดีๆ”  โบกมือให้ชานยอลที่ปิดประตูบ้าน  ก่อนลู่หานจะได้ยินเสียงสตาร์ทรถแล้วเสียงเครื่องยนต์ก็ดังห่างออกไปเรื่อยๆ

    ลู่หานนั่งแกว่งขาไปมาในห้องครัวพลางหยิบมือถือส่วนตัวก่อนกดเช็คนั่นนี่ตามประสา  มีข้อความจากเลขาคนสนิทส่งมาให้สองฉบับเมื่อคืน   ลู่หานจึงเปิดอ่าน ฉบับที่หนึ่งเป็นเรื่องงานที่บอกว่าคริสได้ส่งงานที่ตรวจทั้งหมดมาให้แล้ว และเขาก็ได้ดูแล้วว่าทุกอย่างมันสมบูรณ์ พนักงานที่รับผิดชอบได้รับงานไปทำต่อแล้ว   ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นข้อความถึงงานที่ได้ฝากเลขาให้ติดตามให้  และดูเหมือนเลขาของเขาจะทำงานดีเกินคาด แม้ว่าเจ้าตัวจะอยู่ถึงเมืองจีนก็เถอะ

    ลู่หานยิ้มอย่างพอใจ ก่อนรีบสาวเท้าขึ้นไปรายงานข่าวให้กับคนที่กำลังหลับอยู่ชั้นบนให้มารับรู้ด้วย

     

    ....

    .

     

    ..

     

     

    ร่างของเพื่อนรักนอนเหยียดยาวหน้าโซฟาห้องของเซฮุนในอีกวัน  จนดูเหมือนเรื่องปกติไปแล้วที่ห้องของเขาจะต้องมีไอ้เพื่อนคนนี้มาอยู่ด้วย   เพราะถึงแม้เขาจะไล่มันแค่ไหนมันเคยสนใจเขาที่ไหน อยากมาก็มา ไม่อยากมาก็หายไปยาว  จะทำไงได้ก็ไอ้เพื่อนคนนี้ดันมีทั้งคีย์การ์ดเข้าห้องทั้งคีย์การ์ดขึ้นตึกแบบนี้

     

    “ปิดเทอมนี่มึงไม่คิดจะกลับบ้านเลยเหรอไง”  เซฮุนถามพลางหย่อนตัวลงโซฟาที่ว่างอีกตัว  โทรทัศน์ฉายช่องสารคดีทิ้งไว้ โดยที่คนนอนอยู่ไม่คิดจะหันไปดูมัน

     

    จงอินเงยหน้าที่ฟุบอยู่ ก่อนพลิกตัวไปทางหน้าทีวี

     

    “มึงก็ไม่เห็นกลับ” มีย้อน  มันย้อนเขา

     

    “แต่นี่ห้องกูเว้ยย กูจะอยู่จะไปก็สิทธิ์กูปะ”

     

    “กูก็เหมือนกัน”  เอิ่ม..... เหมือนกันตรงไหนวะ  ไอ้เพื่อนนี่กวนประสาทชิบหาย

     

    “คุยกับมึงแล้วปวดหัวชิบหาย  เอ้อ ลืมบอก มะรืนนี้กูจะไปทัวส์ยุโรป มึงอยู่ห้องกูก็ดูแลความสะอาดด้วย”

     

    “ไปกับใคร” จงอินเงยหน้าขึ้นมาถามตาปรือ ก่อนฟุบหน้าลงไปอีกครั้ง  นี่มันง่วงหรืออะไรกันแน่

     

    “กับพ่อแม่กูดิ  เอ้อมีพี่สาวกูไปด้วยอีกคน” 

     

    “อืม..... ก็ดี   เฮ้ออยากสูบบุหรี่ชะมัด”  จู่ๆจงอินก็กระเด้งตัวขึ้นมานั่ง ก่อนไถลตัวให้หัวพิงกับโซฟา

     

    “กูไม่มีเสียใจด้วย” 

     

    “เหรอ....  เอานมสดก็ได้ในตู้เย็นมีมั้ย”  อะไรของมัน  บุหรี่กับนมสดมันแทนกันได้ที่ไหนวะ งงโว้ยยย

     

    “มึงมีสติปะจงอิน สองอย่างนี้มันแทนกันได้ตรงไหน” 

     

    “ไม่รู้สิ   บางอย่างก็ไม่เหมือนกันสักนิด แต่มันเสือกแทนที่กันได้อย่างน่าประหลาด  จนบางครั้งกูยังอดแปลกใจไม่ได้”

    เซฮุนมองเพื่อนตัวเองที่กำลังพึมพำอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ   นี่เขาโง่หรือเพื่อนเขาฉลาดเกินไป

    หรือเพราะอะไรที่ทำให้จงอินพูดออกมาแบบนั้น

     

    “กูว่ามึงเครียดเกินไปแล้วนะ มึงไปเที่ยวกับกูมั้ย? ผ่อนคลายสักหน่อย เผื่อสมองมึงจะกลับมาเข้าที่”

     

    “โอ้ ไม่    ไม่เป็นไร มึงไปกับครอบครัวมึงเถอะ  กูสบายดี  กูโอเค”   โอเคแต่ไม่โอเคสินะ  สภาพเพื่อนเขาตอนนี้

    ภายนอกดูดีแต่ข้างในนี่สิ ไม่รู้มันช้ำมากขนาดไหน

     

    “กูเป็นห่วงมึงจริงๆวะจงอิน  มึงกลับบ้านมั้ย? อย่างน้อยก็มีพี่ชานยอลที่อยู่กับมึงได้” เซฮุนยื่นข้อเสนอให้จงอิน

    เพราะเขารู้ยิ่งกว่ารู้ว่าจงอินเพื่อนน้อยเสียยิ่งกว่าอะไร  ไม่ใช่เพราะมันมนุษยสัมพันธ์ไม่ดี แต่เป็นเพราะมันไม่ต้องการเปิดใจให้ใคร  ไม่มีใครหน้าไหนที่ฝ่ากำแพงหนาที่มันสร้างเอาไว้ได้  ทุกๆคนที่รู้จักหรือแม้แต่เพื่อนๆในห้องก็คือคนนอกสำหรับมัน    ซึ่งถ้าเขาไม่อยู่แล้วใครละจะอยู่กับมันได้ถ้าไม่ใช่พี่ชายของมันเอง

     

    “เขาไม่อยู่กับกูหรอก พี่ชายเขามาแล้ว” เซฮุนได้แต่ถอนหายใจทิ้งหนักๆ   น้ำเสียงที่จงอินเปล่งออกมาเจ้าตัวไม่มีวันรู้หรอกว่ามันอ้างว้างขนาดไหน  โหยหาสักเพียงใด    โอเค...คนภายนอกจะมองว่าจงอินคือตัวปัญหาดีๆนี่เอง ซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธ

    แต่ถ้าลองใครเปิดใจแล้วเข้ามาอยู่ข้างๆมันจะรู้ว่ามันน่าสงสารขนาดไหน    มันน่าสงสารจนเขาไม่กล้าที่จะปล่อยมือหรือทิ้งมันไปได้  แม้มันจะทำเรื่องเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม

     

    “งั้นกูไม่ไปละยุโรป  เราไปเที่ยวที่อื่นกัน ญี่ปุ่นมั้ย? หรือไปฮาวายเลย” 

     

    “เฮ้ยๆ  ไม่ขนาดนั้น...   มึงไปเหอะ กูอยู่ได้ บอลยังไม่จบฤดูกาลเลย พื้นที่หน้าทีวีเป็นของกูเสมอ”

     

    “งั้นไปอังกฤษ” เหมือนที่พูดไปจะไม่เข้าหูเซฮุน  จงอินจึงเป็นฝ่ายที่ต้องถอนหายใจแทน

     

    “ฤดูกาลหน้าละกัน  ฤดูกาลนี้กูขอหน้าทีวีพอ”

     

    “มึงไหวแน่นะ”  เซฮุนที่เห็นเพื่อนปฏิเสธตลอดจึงถามขึ้นเพื่อยืนยันความแน่ใจที่เจ้าตัวบอกว่าอยู่คนเดียวไหว

     

    “แน่ดิ  มึงเห็นกูเป็นเด็กอนุบาลหรือไง”   โอเค กวนตีนได้ละ   อาการน่าจะดีขึ้น

     

    “ได้  งั้นเดี๋ยวกูจะซื้อของมาฝาก อยากได้อะไรพิเศษมั้ย” 

     

    “สาวแหม่มอึ๋มๆ”  พูดพลางยิ้มกะหลิ่มกะเหลี่ย   

     

    “ไอ้เหี้ยนั่นต้องเสร็จกูก่อนโว้ยยย” เป็นจงอินที่หัวเราะร่วนเมื่อได้ยินคำตอบจากเซฮุน  ก่อนเพื่อนของเขาจะหายเข้าไปในห้องนอนส่วนตัว   ต่อมาก็ได้ยินเสียงตึงตัง  จนจงอินจึงเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    “ทำไรวะเสียงดัง”

     

    “เก็บของดิ วันนี้กูต้องกลับบ้านไปเตรียมตัว  มะรืนเครื่องออกเจ็ดโมงเช้ามึงจะไปส่งกุปะ” เซฮุนว่าพลางลากกระเป๋าเดินทางใบโตออกมา ก่อนเริ่มค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาข้าวของ

     

    “ไม่อะ เช้าไป” จงอินตอบแบบไม่ต้องคิด

     

    “กูว่าแล้ว  สมเป็นเพื่อนรักกูจริงๆ”  เซฮุนแกล้งเอ่ยประชดประชัน

     

    “ฮ่าๆ  มึงเก็บของไปนะ กูไม่ช่วยนะ “

     

    “รู้อยู่แล้วเว้ย  ไม่ต้องบอก” เซฮุนตะโกนไล่หลังจงอินที่เดินออกไปจากห้องเพื่อกลับไปนอนที่เดิมต่อ 

     

    เวลาผ่านไปร่วมๆสองชั่วโมง เซฮุนก็ลากกระเป๋าออกมาจากห้อง ก็เห็นเพื่อนหลับไปอีกแล้ว เรียกเท่าไหร่ก็ได้ยินแต่เสียงอืออาแบบรำคาญ  เขาจึงเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้เพื่อนอยู่ในห้องคนเดียว

    ...

    ..

     

     

     

    จงอินรู้สึกกดดันเหมือนที่เคยรู้สึกมาก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน    บ้านหลังเดิมที่เขาอยู่มานานมันก็ยังเหมือนเดิม....

    ไม่ได้เปลี่ยนไป   เขายังคงต้องอยู่ที่นี้แม้ว่าจะรู้สึกว่าพื้นที่ที่เขาสามารถยืนอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ จะน้อยลงก็ตามที

     

    “อ้าวจงอินกลับมาพอดีเลย   ทุกคนจงอินมา” เพียงแค่จงอินเปิดประตูบ้านเขาไป ก็ต้องพบกับเพื่อนพี่ชายที่เขาไม่ถูกชะตา ยืนอยู่ที่หน้าประตู   รอยยิ้มแว้บแรกที่มอบให้เขาช่างร้ายกาจสมกับเป็นคนๆนี้จริงๆ 

     

    “จงอินมาๆ  พวกพี่กำลังทำหม้อไฟมากินกันเถอะ ถือว่าพี่ขอร้อง” ชานยอลที่รีบวิ่งออกมาจากห้องครัว เมื่อได้ยินเสียงลู่หาน   พูดกึ่งขอร้องน้องชายที่ทำหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ     เขารู้ว่าน้องชายไม่ชอบใจเขามากขนาดไหน

    แต่อย่างน้อยการที่ได้ทำเพื่อน้องบ้างแม้จะเล็กน้อย มันก็เป็นเรื่องที่เขาควรจะกระทำ

     

    “ผมไม่......”

     

    “อย่าปฏิเสธเลยนะ ”  ยังไม่ที่จงอินจะได้ปฏิเสธ ขานยอลก็พูดสวนขึ้นมา  

     

    “ชานยอลเกรดออกมาดีจนมีสิทธิ์จะได้เกียรตินิยมเลยนะ  แสดงความยินดีกับพี่เขาหน่อยสิ” ลู่หานยังคงพยายามพูดโน้มน้าวจงอิน   แต่จงอินไม่คิดอยากจะได้ยินเสียงคนนี้เลยสักนิด 

     

    “ยินดีด้วยพี่”  จงอินเอ่ยยินดีแก่ชานยอล     เขารู้อยู่ว่าพี่ชายเรียนดี  ซึ่งเขาก็ดีใจที่พี่ชายยังคงได้เกรดดีๆแม้ว่าจะต้องมาคอยปวดหัวกับเขาอยู่เรื่อยๆก็ตาม

     

    “ยินดีแต่ปากไม่ได้นะ ต้องมากินหม้อไฟด้วยกัน”  ชานยอลเอ่ยอย่างร่าเริงเพื่อชักชวนน้องชาย  ก่อนจับแขนจงอินเพื่อดึงน้องให้เดินตามเข้าไป

     

    “ไม่พี่  ปล่อยผม” จงอินพยายามบิดแขนออกจากมือของพี่ชาย แล้วก็ทำสำเร็จ

     

    “จงอินอ่า.......  ทำไม”  ชานยอลหันมามองน้องชายด้วยสายตาวิงวอน   แต่จงอินกลับก้มหน้าไม่ยอมสบตา

     

    “เออ.... ชานยอล โอเค นายอาจจะหาว่าพี่ยุ่งแต่ตอนนี้ปล่อยน้องไปก่อนนะ  นายเข้าไปในครัวเถอะ ทุกคนรอนายอยู่

    เดี๋ยวพี่ดูน้องให้”  ชานยอลมองหน้าจงอินก่อนหันไปมองหน้าลู่หาน  แล้วต้องจำใจพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้

    ก่อนเดินกลับเข้าไปให้ครัว 

     

    จงอินพอเห็นพี่ชายเดินไป เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมายืนอยู่กับเพื่อนพี่คนนี้   จงอินรีบสาวเท้าหนีเพื่อเดินขึ้นไปยังชั้นบน แต่ไม่ทันเขาจะเหยียบบันไดขั้นแรกก็โดนลู่หานฉุดแขนเอาไว้

     

    “หนีอะไร...  ขี้ขลาดชะมัด กล้าๆหน่อยสิ” 

     

    “อย่ามายุ  มันไม่ได้ผลหรอก  ผมไม่ได้โง่ขนาดไหน”  จงอินหันมามองลู่หานที่คิดจะเอาแผนหลอกล่อเขา   ก็แค่แผนศักดิ์ศรีโง่ๆทำไมเขาต้องทำตาม

     

    “ก็ไม่ได้ว่านายโง่  แค่ว่านายขี้ขลาด” 

     

    “จะอะไรก็ตาม  ผมจะไม่เต้นตามคุณ”  ลู่หานมองเด็กหนุ่มที่ดูท่าทางเอาจริงด้วยความแปลกใจ  เข้มแข็งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ  แต่ก็นั่นแหละใช่ว่าจะเล่นยาก

     

    “ว้าว.....  ท่าทางแบบนี้มันมาจากไหนกันน๊า.... ดีละ อย่างนี้ค่อยน่าสนุกหน่อย”  พูดพลางยิ้มหวานเคลือบยาพิษให้คนตรงหน้า

     

    “ผมไม่ใช่ของเล่นของคุณ!” จงอินกระแทกเสียงใส่อย่างหงุดหงิด  ยิ่งเห็นหน้ายียวนของลู่หานยิ่งเพิ่มดีกรีความพอใจกันไปใหญ่ 

    หงุดหงิด  หงุดหงิดจนไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้ อยากไปให้พ้นๆ  ไม่อยากยืนอยู่กับคนๆนี้แม้แต่เสี้ยววินาที

     

     

    “แต่คนอื่นเป็นของเล่นของนายได้สินะ”  น้ำเสียงเย็นเฉียบที่ออกมาจากริมฝีปากบางนั้น ตรึงให้ร่างของเขาไม่กล้าขยับไปไหน  อะไรที่ทำให้คนๆนี้พูดแบบนี้ออกมา  จงอินสบสายตากับลู่หานอย่างหวาดหวั่น  เขาจงอินรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย  หรือเพราะเขามีชนักปักหลังถึงทำให้เขารู้สึกอย่างนั้น

     

    “พูดไปเรื่อย..  ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัว”  ไม่ทันที่จะหันหลังกลับ  ร่างของจงอินก็เหมือนโดนน้ำเย็นสาดเข้าทั่วร่างอีกครั้ง จนปวดหนึบทั่วร่าง เหมือนไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจ

     

    “เขาคนนั้นอยู่ในห้องครัวด้วยนะ ไม่อยากไปเจอหน้าเขาหน่อยเหรอ  ของเล่นของนายน่ะ”  รอยยิ้มที่จงอินจะไม่มีวันลืมปรากฏขึ้นบนใบหน้าดูไร้เดียงสานั้น   อ่า......สิ่งที่เขาเหยียบมันให้จมลึกทำไมคนๆนี้ถึงขุดมันขึ้นมาได้.....    ทำไม........

    ทำไมกัน........

    ...

    .

    .

     

     

    “จงอิน..  มาๆมานั่งตรงนี้”  ทันทีที่ร่างของจงอินปรากฏขึ้น  ทุกๆอย่างในห้องครัวนิ่งไปครู่หนึ่ง ยกเว้นอี้ฝานที่ยังคงคีบเนื้อเข้าปากโดยไม่ได้สนอะไร     ส่วนชานยอลที่ตั้งสติได้รีบเรียกน้องชายมานั่งที่ว่างข้างๆตัว

     

    “ผมกินข้าวมาแล้ว”  จงอินเอ่ยขึ้นเมื่อชานยอลตักเนื้อในหม้อใส่ชามให้

     

    “ไม่เป็นไร กินแล้วก็กินอีก อร่อยนะเว้ย   คยองซูลงมือปรุงเอง” พอได้ยินชื่ออีกคน จงอินก็เงยหน้ามองพี่ชายคนดีที่นั่งอยู่ข้างๆอี้ฝาน ถัดไปก็เป็นลู่หาน    คยองซูหลบตาทันทีที่จงอินจ้องมองไป  จะกลัวทำไม ไม่รู้หรือไงว่ามีอีกคนหนึ่งที่รู้มากจนไม่น่าให้อภัยนั่งอยู่ในนี้

     

    “ครับ”  จงอินรับครับ  ก่อนคีบเนื้อออกจากชาม

     

     

    “เรียบร้อยผิดปกติแหะ” แบคฮยอนที่นั่งข้างชานยอลอีกฝั่ง เอ่ยขึ้นเบาๆกับชานยอล  จนอีกฝ่ายต้องถอกศอกใส่

     

    “น้องชายกูก็เป็นเด็กดีแบบนี้แหละ” คนพี่ตอบเพื่อนอย่างภาคภูมิใจ  จนแบคฮยอนเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้

    สองคนนี้คุยกันแบบนี้เหมือนตะโกนใส่หน้าเขาชัดๆ  แต่ช่างเหอะ จงอินไม่มีอารมณ์จะวีนเหวี่ยงใส่ใครทั้งนั้น

     

    จงอินได้แต่คีบเนื้อกินเงียบๆ  ปล่อยให้คนอื่นพูดไปเรื่อยๆ  แม้เขาไม่สนใจที่ฟัง แต่ก็ต้องได้ยิน เมื่อเรื่องลู่หานโม้ถึงเรื่องที่ทำงาน โดยมีแบคฮยอนที่คอยถามอย่างตั้งใจราวกับว่าลงไปร่วมหุ้นทำบริษัทด้วยกัน   ส่วนอี้ฝานยังคงตั้งหน้าตั้งตากินโดยที่ไม่ต้องลุกขึ้นไปตักเองในหม้อแม้แต่น้อย   เพราะมีคยองซู...พี่ชายคนดีที่คอยบริการตักโน้นหยิบนี่ให้เสมอ   แต่กับเขา  คยองซูไม่ยอมแม้แต่จะมองมา  ชวนหงุดหงิดชะมัด  ไหนสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเป็นคนของเขาไง!

    กล้าดียังไงมาทำแบบนี้ต่อหน้าเขา คิดจะเมินเขาเรอะ  แล้วเราจะได้เห็นดีกัน

     

    “พี่คยองซูน้ำผมหมดแล้วเติมให้หน่อย”  เพียงแค่จงอินเอ่ยขึ้นมา ลู่หานที่พูดแจ้วๆอยู่ก็หยุดพูดทันที ก่อนหันมามองหน้าจงอิน  

     

    “มีอะไรเหรอครับ ก็พี่เขานั่งใกล้ตู้เย็น”  พอทุกคนได้ยินคำพูดจงอิน ก็ทำท่าเหมือนไม่ติดใจอะไร ก็ไปพูดกันต่อ

     

    “เอาแก้วมานี่สิ พี่ก็อยู่ใกล้ตู้เย็นเหมือนกัน”  เป็นอี้ฝานที่ยื่นมือมารับแก้วกับจงอิน   

     

    “ผมไม่ได้พูดกับคุณ”  แค่นั่งร่วมวงด้วยก็เต็มกลืนละ  ทำไมต้องมาเสวนาด้วยวะ

     

    “ไม่เป็นไรครับพี่คริส  เดี๋ยวผมรินให้น้องเอง”  คยองซูที่ไม่อยากให้เรื่องราวบานปลาย รีบหยิบแก้วน้ำจากจงอิน

    แต่ก็โดนอี้ฝานฉวยแก้วไปจากมือ

     

    “คยองซูนั่งลงเถอะ  นายกินน้อยไปแล้วนะ กินให้อิ่มเถอะ พี่ทำให้เองไม่เป็นไร” อี้ฝานที่บังคับทั้งสายตาและคำพูด

    ให้คยองซูนั่งลง 

     

    “นั่นสิคยองซูกินเหอะ นี่ทั้งหม้อมีแต่อี้ฝานกินเอาๆ จนจะหมดหม้ออยู่ละ” ลู่หานรีบเสริมเพื่อนในทันที  ทำให้คยองซูต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้    สร้างความไม่พอใจให้แก่จงอิน

     

    “เอาน้ำอะไรจงอิน”  อี้ฝานที่ทำให้คยองซูต้องนั่งลงตามคำสั่งแล้ว  ก็หันมาถามจงอินที่กำลังจ้อมองคยองซูอย่างไม่พอใจ

    ทำไมต้องทำตาม ทำไมไม่ฟังเขา ห๊ะ!    จงอินได้แต่คิดอย่างไม่พอใจ

     

    “ไม่เอาน้ำอะไรทั้งนั้น!” 

     

    “ผมขอตัว”  ลุกพรวดออกจากเก้าอี้ทันทีที่พูดจบ  ก่อนสาวเท้าออกจากห้องครัวไปในทันที  ชานยอลได้แต่ถอนหายใจ

    ส่วนแบคฮยอนก็ได้แต่พึมพำว่าดีแตกซะแหละ   

     

    “ผม... ขอโทษ”  คยองซูเอ่ยขึ้น เมื่อทุกอย่างในห้องครัวเงียบลง

     

    “ทำไมคยองซูต้องขอโทษ” อี้ฝานถามขึ้น เมื่อเห็นหน้าของเพื่อนน้องชายดูสำนึกผิดเหลือเกิน  ทั้งๆเรื่องทั้งหมดเขาต่างหากที่ทำให้มันแย่

     

    “ก็ถ้าผมรินน้ำให้จงอิน  จงอินจะได้ไม่ต้องโมโห จนเป็นแบบนี้”

     

    “คยองซู  นี่ไม่ใช่ความผิดของใครเลยนะ จงอินก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ไม่เคยมีใครทำอะไรถูกใจหรอก” แบคฮยอนที่อดไม่ได้จนต้องพูดออกมา   ก็แน่ละ น้องสุดประเสริฐของขานยอลนิสัยแย่แบบนี้จนเป็นเรื่องปกติ  ถ้าจะโทษก็คงเป็น.....

    ความผิดที่ทุกๆคนที่ร่วมก่อกันมานี่แหละ

     

    “พอเถอะ ผมว่าเรื่องนี้ควรจะจบลงตรงนี้  กินกันต่อเถอะ เดี๋ยวผมขึ้นไปคุยกับน้องเอง” ชานยอลที่นั่งเงียบอยู่นาน

    พูดขึ้นเพื่อตัดปัญหา  เป็นเขาเองที่ดันทุรังพาน้องมานั่งอยู่ตรงนี้  โดยที่รู้ๆกันอยู่ว่าต้องเกิดปัญหาตามมา

    เขาก็ควรเป็นคนรับผิดชอบมัน

     

     

    “พูดไปสักเท่าไหร่ถ้าคนมันไม่สนใจจะฟังก็แค่นั้นแหละชานยอล...  เดี๋ยวถึงเวลาพี่จะจัดการเอง”  ชานยอลทีได้ยินพี่ชายพูดถึงการแก้ปัญหาในอนาคตของตัวเองก็ส่ายหน้าในทันที  เมื่อไหร่ละจะถึงเวลานั้น อีกกี่วันกี่ปี ผมถึงจะกอบกู้หัวใจของน้องชายผมกลับมาได้  พี่จะให้ผมรอถึงเมื่อไหร่

     

    “ผมจะไม่รอจนถึงวันนั้นหรอกพี่  เพราะน้องผมคงทนไม่ไหวเหมือนกัน” พูดจบชานยอลก็เดินตามจงอินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน    อี้ฝานได้แต่ยักไหล่ก่อนพึมพำ

     

    “ใจร้อนซะจริงเด็กบ้านนี้”    

     

    ลู่หานได้แต่มองหน้าเพื่อนก่อนหันมามองหน้าน้องอีกสองคน ก่อนยิ้มเจื่อนๆให้

     

    “ถ้าอิ่มของคาวแล้วมากินของหวานกันเหอะ  เค้กกับไอติมอร่อยๆอยู่ในตู้เย็น” ว่าพลางโดดเหย็งๆอย่างเริงร่าไปที่ตู้เย็น

    เพื่อเรียกบรรยากาศอึมครึมให้กลับมาสดใสสักนิดก็ยังดี

     

    “อ่าของหวานๆ  คยองซูหยิบชามเล็กมาเร็ว”  แบคฮยอนที่ไม่อยากหดหู่ ก็รีบตามน้ำกับลู่หานไปในทันที

    คยองซูที่เอาแต่มองไปนอกประตู ต้องละความสนใจมาช่วยเพื่อนเตรียมของหวาน  เขาพยายามทำเป็นลืมสายตาของจงอินที่มองมาที่เขา...  คยองซูไม่อยากให้ใครมารับรู้และสนใจเขากับจงอิน  แต่นั่นแหละทุกๆอย่างที่พยายามปิดกลับมีคนมองเห็น   เขาไม่อยากเป็นตัวปัญหาที่ทำให้พี่น้องต้องทะเลาะกันมากขึ้น ไม่เลย.... เขาไม่ต้องการ  แต่เขาก็เกรงใจพี่คริสยิ่งกว่าอะไร  พี่ชายตัวโตที่มีแววตาเศร้าเสมอเมื่อมองไปที่น้องชาย   คยองซูรู้สึกถึงความรักมากมายที่สื่ออกมาจากแววตานั่น   แต่คนๆนี้กลับไม่สามารถแสดงออกถึงทุกๆความรู้สึกออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้   เพราะอะไรกัน.....    เขาเองก็หาเหตุผลมาตอบแทนอีกฝ่ายไม่ได้เหมือนกัน  คงต้องให้อีกฝ่ายแก้ปัญหาเมื่อเวลานั้นมาถึงตามที่พูดละมั้ง

     

    แล้วเมื่อไหร่ละ

     

    นั่นสิ

     

    อีกนานเท่าไหร่กัน

     

    ทุกๆอย่างถึงจะได้รับการเยียวยา   ต้องรอไปถึงเมื่อไหร่กัน.....

    ...

    .

     

     

     

     

     

    END 14

     

     

     

    *ฟิกบ้าอะไรก็ไม่รู้ ใช้พลังงานในการแต่งมากๆ   ใครใครอ่านก็อ่านนะก๊ะ  ใครใคร่เมนต์ก็เมนต์ด้วยเถอะพลีสสส

    ถือว่าเยียวยาคนแต่งให้มีแรงใช้ชีวิตต่อไป เวอร์ละๆ  55555555    /// อย่างน้อยต้องต่อเดือนละครั้งนะ เราจะพามันจบให้ได้ รอเราด้วยนะ (อยากลงได้ทุกๆวีคจัง อยากทำได้ เราจะพยายาม)   -0- 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×