มารู้จักสวนคุณลีกันเถอะ“สวนคุณลี” จ.พิจิตร เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้แปลกและหายาก ตั้งอยู่ที่บริเวณ หมู่ 2 ต.คลองคะเชนทร์ อ.เมือง จ.พิจิตร(ห่างจากวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร ประมาณ 4กิโลเมตร)

สวนคุณลีได้รวบรวมพันธุ์ไม้ผลทั้งในไทยและต่างประเทศที่มีความแปลกและหายาก อาทิเช่น ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน ที่มีขนาดผลใหญ่ 3ผลต่อกิโลกรัมทีเดียว , ชมพู่ไต้หวันพันธ์สตรอเบอร์รี่ ผลสีแดงสด ผลใหญ่ รสชาติหวานกรอบ เป็นสวนเดียวในประเทศไทยที่ปลูกชมพู่สายพันธ์นี้เชิงการค้า , แปลงปลูกมะเดื่อฝรั่ง(Figs) ผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่ามีประวัติยาวนานมานับ1,000ปี สวนคุณลี น่าจะเป็นสวนบุกเบิกการปลูกมะเดื่อฝรั่งเชิงพานิชย์รายแรกๆในประเทศไทย , มันเทศ( sweet potato)สายพันธุ์จากต่างประเทศเกือบ 10สายพันธุ์ , ฝรั่งสายพันธุ์ พิจิตร1และพิจิตร2 สายพันธุ์ฝรั่งที่สวนคุณลีพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาและตั้งชื่อให้เกียติแก่จังหวัดพิจิตร , ลำไยยักษ์พันธุ์จัมโบ้ สุดยอดสายพันธุ์ลำไยที่มีขนาดผลใหญ่มาก รสชาติหวานทานอร่อย และที่สำคัญเมล็ดในลีบทุกเมล็ด , เป็นแหล่งรวบรวมมะม่วงสายพันธุ์จากต่างประเทศเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่เกษตรกร อาทิมะม่วงไต้หวันพันธุ์ T1 , T2 ,พันธุ์งาช้างแดง,พันธุ์อัลฟองโซ จากเม็กซิโก , พันธ์อาร์ทูอีทูจากออสเตรเลีย , แก้วขมิ้นจากเขมร เป็นต้น , พืชผัก เช่น มะระขี้นกยักษ์จากเกาะโอกินาวาประเทศญี่ปุ่น,ฟักยักษ์ไต้หวัน เป็นต้น













ติดต่อได้ที่เบอร์โทร. 0-5661-3021, 08-1901-3760 และ 08-1886-7398 หรือ ID Line : LEEFARM2 หรือติดตามข่าวสารได้ทาง Facebook : KhunLEEFarm
พืชผลที่มีมูลค่าสูงและคุณภาพสูง หมายถึงผลผลิตทางการเกษตรที่มีราคาทางการตลาดสูง มีตลาดผู้บริโภครองรับอยู่เสมอ และยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะกับผู้รักสุขภาพอีกด้วย จะมีอะไรบ้างไปชมกันเลย

มะเดื่อฝรั่ง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Common fig มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Ficus carica L. เป็นพืชสกุลเดียวกับต้นโพธิ์ ต้นไทร หรือมะเดื่อไทย (Ficus) และอยู่ในวงศ์เดียวกับมัลเบอร์รีหรือต้นหม่อน มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตกและประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำเมดิเตอร์เรเนียนของยุโรปและแอฟริกาเหนือ แต่ในปัจจุบันมะเดื่อฝรั่งมีการปลูกกันอย่างกว้างขวาง โดยในประเทศไทยก็มีมูลนิธิโครงการหลวงที่ได้ทำการวิจัยมะเดื่อฝรั่งมากกว่า 20 ปี ทั้งนี้ก็เพื่อจะนำมะเดื่อมาปลูกเป็นพืชที่สร้างรายได้ให้กับชาวไทยภูเขาทดแทนการปลูกฝิ่นแต่ดั้งเดิม

ต้นมะเดื่อฝรั่งหน้าตาเป็นยังไง
ลำต้นของมะเดื่อฝรั่งเป็นเนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนที่แยกหลุดออกได้ง่าย ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวขอบหยักลึก หนาและแข็ง แต่บางใบก็มีลักษณะตรง ไม่หยัก ทำให้ภายในต้นเดียวกันมีได้ทั้งใบแบบหยักและไม่หยัก สีของก้านใบจะมีสีเดียวกับสีของผลและตายอด ส่วนรูปทรงและขนาดของผลมะเดื่อมีหลายแบบขึ้นอยู่กับพันธุ์ เช่น ผลกลวงโบ๋ (hallow) ผลทรงกลม (globular) หรือผลทรงระฆังคล้ายผลสาลี่ฝรั่ง (pear-shaped) ส่วนมากเมล็ดภายในมีลักษณะแบน สีเหลืองถึงน้ำตาลอ่อน มีผนังผลชั้นใน (endocarp) ห่อหุ้มอยู่ เมล็ดจึงมีความแข็งเล็กน้อย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพืชชนิดนี้

ส่วนมะเดื่อไทยจะเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เป็นใบเดี่ยวเช่นกันแต่ต่างจากมะเดื่อฝรั่งที่ลักษณะใบมะเดื่อไทยจะเป็นใบบาง ขอบตรง ไม่หยัก ผิวใบเกลี้ยงหรือมีขนเล็กน้อย และมีผลเป็นลักษณะรูปทรงกลมแป้นหรือรูปไข่ มีขนอยู่ทั่วทั้งผล ภายในผลมีเกสรเล็ก ๆ อยู่
1. ไฟเบอร์สูง
มะเดื่อฝรั่งมีประโยชน์อยู่ที่ไฟเบอร์สูง ดีต่อกระบวนการกำจัดของเสียในร่างกาย โดยในผลมะเดื่อสดจะมีเส้นใยอาหารอยู่ราว ๆ 1.2% ส่วนในผลมะเดื่อฝรั่งอบแห้งมีเส้นใยอาหารสูงถึง 5.6% เลยทีเดียว ฉะนั้นคนที่มีปัญหาท้องผูกหายห่วงได้เลย
2. คุณค่าทางโภชนาการสูง
มะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก แคลเซียม โพแตสเซียม โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด ที่สำคัญมะเดื่อฝรั่งยังปราศจากไขมันและคอเลสเตอรอล นับได้ว่ามะเดื่อฝรั่งจัดอยู่ในกลุ่มผลไม้เพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูงสุดใน 10 อันดับแรกของโลก
3. สร้างความสมดุลความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย
เกลือโพแตสเซียมในกรดอินทรีย์ของมะเดื่อฝรั่งช่วยสร้างสมดุลความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่เกิดความเป็นกรดมากจนเกินไป
4. มีน้ำตาลธรรมชาติมากถึง 83%
มะเดื่อฝรั่งมีน้ำตาลธรรมชาติในตัวเองสูง ได้แก่ น้ำตาลกลูโคส 50% น้ำตาลฟรุกโตส 35% และน้ำตาลซูโครส 10%
มะเดื่อฝรั่ง สรรพคุณทางยามีอะไรบ้าง
ได้ทราบกันไปแล้วว่า มะเดื่อฝรั่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากจริง ๆ โดยเฉพาะสรรพคุณที่ช่วยกำจัดของเสียในร่างกายและช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ดี ฉะนั้นถ้าจะบอกว่า มะเดื่อฝรั่งป้องกันโรคนิ่วได้ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งลำไส้ ที่สำคัญมีสารป้องกันการเกิดมะเร็ง
มะเดื่อฝรั่งกว่า 90% จากผลผลิตทั้งหมดส่วนมากจะถูกนำไปแปรรูปเป็นมะเดื่อฝรั่งอบแห้ง แยมมะเดื่อฝรั่ง น้ำมะเดื่อฝรั่ง แต่ก็มีบ้างที่นำผลมะเดื่อฝรั่งสด ๆ มากิน ทว่าภายหลังการเก็บเกี่ยวจากต้นสด ๆ ต้องคัดเลือกลูกมะเดื่อฝรั่งที่มีคุณภาพ บรรจุลงภาชนะอย่างระมัดระวัง และเก็บไว้ในที่ที่มีความเย็นก่อนถึงตลาดหรือผู้บริโภค
การปลูกมะเดื่อฝรั่ง
การปลูกมะเดื่อฝรั่งในประเทศไทยจะนิยมปลูกมะเดื่อฝรั่งสายพันธุ์ญี่ปุ่น เพราะเป็นพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพอากาศในบ้านเรา โดยการขยายพันธุ์มะเดื่อฝรั่งจะใช้วิธีการตอนกิ่ง รอจนรากขึ้นเต็มแล้วจึงย้ายลงกระถางขนาดประมาณ 5 นิ้ว ผสมกาบมะพร้าว 1 ส่วน ขุยมะพร้าว 2 ส่วน ให้เข้ากันแล้วลงกิ่งตอนปลูกในกระถาง จากนั้นรดน้ำพอชุ่มทุกวันและหมั่นดูว่ารากขึ้นเต็มกระถางแล้วหรือยัง ถ้ารากขึ้นเต็มแล้วให้ย้ายกิ่งตอนมะเดื่อฝรั่งมาปลูกลงในบ่อปูนขนาด 80 เซนติเมตร โดยผสมกาบมะพร้าว 1 กระสอบ ขุยมะพร้าวครึ่งกระสอบ และมูลวัว 1 ส่วน ผสมให้เข้ากันเพื่อเป็นวัสดุสำหรับการปลูกมะเดื่อฝรั่ง
มะม่วงชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไต้หวันแล้วกระจายพันธุ์ปลูกในเขตร้อนไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่และประเทศอียิปต์นิยมรับประทานผลสุกมาแต่โบราณแล้ว ในประเทศไทยบ้านเราถูกนำเข้ามาปลูกเติบโตได้ดีมีดอกและติดผลดกทุกพื้นที่ และเป็นที่นิยมปลูกอย่างแพร่หลายจนกระทั่งปัจจุบันยังครองใจผู้ปลูกอยู่ โดย “มะม่วงงาช้างแดง” มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ผลมีขนาดใหญ่ โตเต็มที่มีน้ำหนัก 3.5–4.2 กิโลกรัมต่อผล รูปทรงของผลสวย ปลายผลงอนเหมือนกับงาช้างเลยถูกตั้งชื่อเป็นไทยว่า “มะม่วงงาช้างแดง” ตามสีสันของผลและลักษณะผลดังกล่าว ผลขณะยังดิบจะเป็นสีเขียวอมม่วงแล้วจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มตลอดทั้งผลจนผลสุกตามภาพประกอบคอลัมน์สวยงามน่าชมยิ่งนัก
ผลอ่อน รสชาติเปรี้ยวกรอบฉ่ำน้ำ ผลแก่จัดยังไม่ถึงสุกมีรส หวานปนมันเหมือนกับเนื้อของมะม่วงเขียวเสวยของไทยทุกอย่าง ผลสุกเนื้อใน เป็นสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานหอมเนื้อไม่เละแม้สุกงอม ไม่มีเสี้ยน วัดความหวานของผลสุกได้ประมาณ 15–18 องศาบริกซ์ ไม่มีกลิ่นขี้ไต้เหมือนกับมะม่วงต่างประเทศทั่วไป เมล็ดลีบบางและเล็ก รับประทานอร่อยมาก และที่สำคัญ “มะม่วงงาช้างแดง” จะแก่หรือสุกในช่วงที่มะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ได้สุกหรือวายไปจากต้นและจากตลาดผลไม้หมดแล้ว จึงทำให้คนปลูกเก็บผลขายได้ราคาดี ตลาดผลไม้ต้องการสูง เวลาติดผลจะเป็นพวง 5-7 ผล มีดอกและติดผลดกแบบไม่ขาดต้นหรือเกือบทั้งปี ต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน 2.5-3 เมตรเท่านั้น แตกกิ่งก้านแผ่ออกทางด้านข้างเป็นพุ่มกว้างโดยธรรมชาติของสายพันธุ์ ทำให้ผู้ปลูกเก็บผลได้ง่ายขึ้น ให้ผลผลิตหลังปลูกเพียง 3-4 ปีหลังปลูกแค่นั้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด
อันดับที่ 3 ชมพู่พันธุ์สตรอเบอรี่
ชมพู่ชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 แล้ว โดยผู้นำเข้าได้ทดสอบปลูกทั้งในพื้นที่สูงและพื้นที่ราบต่ำอยู่เป็นเวลานานและหลายปี ปรากฏว่าสามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกพื้นที่ที่ปลูกและมีดอกติดผลหลังปลูกเพียงปีกว่าๆเท่านั้น ขนาดของต้นไม่สูงใหญ่นัก ผลเมื่อโตเต็มที่จะเป็นรูประฆัง ผลมีขนาดใหญ่ ติดผลเป็นพวง 5–7 ผล ขณะผลยังอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อผลแก่หรือสุกสีของผลจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใสตลอดทั้งผล ทำให้ดูงดงามมาก น้ำหนักผลโตเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง 200 กรัมต่อผล เนื้อผลหนากลวงน้อยเกือบตัน มีเมล็ดขนาดเล็ก 2-3 เมล็ดต่อผล รสชาติของเนื้อหวานกรอบ เนื้อละเอียดรับประทานอร่อยมาก ที่สำคัญผลจะติดอยู่บนต้นได้นานโดยไม่เน่าเสีย หรือร่วงได้ง่ายๆ เหมือน กับชมพู่สายพันธุ์อื่น ติดผลดกตามฤดูกาล ผู้นำเข้าจึงตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ชมพู่สตรอเบอรี่” ดังกล่าว

ชมพู่สตรอเบอรี่ มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับต้นชมพู่ทั่วไปเกือบทุกอย่าง อยู่ในวงศ์ MYRTACEAE ต้นเตี้ยกว่าต้นชมพู่ทั่วไปอย่างชัดเจน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบมีขนาดใหญ่ปลายใบแหลมโคนมน ดอก ออกตามกิ่งก้าน เป็นสีแดง เกสรตัวผู้จำนวนมาก “ผล” รูประฆัง ติดผลเป็นพวง ผลเมื่อแก่จัดหรือสุกเป็นสีแดงสดใสตามภาพประกอบคอลัมน์ มีดอกและติดผลช่วงเดือนตุลาคม–พฤศจิกายนของทุกปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด ป้องกันโรคแมลง ด้วยการห่อผลด้วยถุงพลาสติกใส ช่วงผลโตเท่าปลายนิ้วหัวแม่มือผู้ใหญ่ หลังจากนั้น 30–40 วัน เก็บผลกินและขายได้ราคาดีมาก

อันดับที่ 4 ชมพู่ยักษ์พันธุ์ไต้หวัน
ชมพู่ชนิดนี้ มีกิ่งพันธุ์วางขาย มีป้ายชื่อเขียนติดไว้ว่า “ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน” พร้อมมีภาพถ่ายของผลแขวนโชว์ให้ชมด้วย ซึ่งดูจากภาพแล้วผลมีขนาดใหญ่มาก ผู้ขายกิ่งพันธุ์บอกว่า เป็นชมพู่พันธุ์ใหม่จากประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกจนต้นโตติดผลดกและผลมีขนาดใหญ่ตามภาพที่เสนอประกอบคอลัมน์นานกว่า 2-3 ปี แล้ว มีความโดดเด่น นอกจากผลมีขนาดใหญ่ตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังเป็นชมพู่สายพันธุ์ที่ไม่มีเมล็ดด้วย ในประเทศไต้หวันทางการเขารณรงค์ให้เกษตรกรปลูกเก็บผลส่งขายทั้งในประเทศและส่งออก ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากรสชาติหวานกรอบอร่อยมาก มีความหวานประมาณ 10–14 บริกซ์ มีปริมาณกรดต่ำจึงทำให้ไม่มีรสเปรี้ยวปนเลย

ที่สำคัญ “ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน” ยังเป็นพันธุ์ที่มีผลขนาดใหญ่มาก ผลเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักถึง 800 กรัมต่อผล แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ระหว่าง 350-500 กรัมต่อผล ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ “ชมพู่ทับทิมจันทร์” ที่ว่ามีขนาดใหญ่แล้ว ยังมีน้ำหนักเพียง 150 กรัมต่อผลเท่านั้น ขนาดกว้างและยาวประมาณ 12×8.6 ซม. สีผลเมื่อสุกส่วนบนจะเป็นสีเขียวอ่อนปลายผลเป็นสีชมพูปนน้ำตาลสวยงามมาก “ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน” เป็นสายพันธุ์ที่ติดผลดกเกือบตลอดปี จึงทำให้คุ้มค่าเป็นอย่างมากในการปลูกเพื่อรับประทานผลในครัวเรือนและปลูกเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ ใบจะมีขนาดใหญ่ จึงให้ร่มเงาดีมาก ใบไม่ร่วงง่าย เป็นชมพู่ ที่มีความทนต่อการถูกน้ำท่วมขังด้วย ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง และติดตา
อันดับที่ 5 มะระขี้นกยักษ์
เนื่องจากสายพันธุ์แรกที่สวนคุณลีนำเข้ามาปลูกและเผยแพร่ออกไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นสายพันธุ์มะระขี้นกดั้งเดิมของเกาะโอกินาวา มีชื่อว่า “Okinawa Abashi Gouya” (โอกินาวา “อะบาชิ” โกยะ) ซึ่งมีลักษณะผลสีเขียว เนื้อหนา ผลใหญ่ รสขมไม่มาก และต่อมาก็นำเข้าสายพันธุ์มะระขี้นกจากโอกินาวามาปลูกอีกหลายสายพันธุ์ เพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ในการปลูกและการจำหน่ายให้ผู้บริโภค ซึ่งตอนนี้ก็มีอีก 2 สายพันธุ์ใหม่ คือ มะระขี้นกยักษ์พันธุ์ “Okinawa Shimayutaka Gouya” (โอกินาวา “ชิมะยูทากะ” โกยะ) มะระพันธุ์ให้ผลใหญ่สีเขียวเข้ม ผิวเป็นมันสวยงาม เนื้อหนา มีรสขมไม่มาก ผลยาว (ทรงผลนุ่น) และ มะระขี้นกยักษ์พันธุ์ “Okinawa Chuunaga Gouya”(โอกินาวา “จูนางะ” โกยะ)ซึ่งมีลักษณะผลสีเขียว เนื้อหนา ผลใหญ่ รสขมไม่มาก ผลยาว (ทรงกระบอก)

ปัจจุบัน “สวนคุณลี” สามารถผลิตและจำหน่ายผลมะระขี้นกยักษ์โอกินาวา ส่งขายร้านอาหารในกรุงเทพฯ และขายปลีกที่สวน ได้กิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งได้การตอบรับจากคนรับประทานเป็นอย่างดี ซึ่งตอนมีการวางแผนการปลูกมีผลผลิตขายตลอดทั้งปี และยังคัดเลือกพันธุ์มะระขี้นกยักษ์โอกินาวาเพื่อผลิตเมล็ดจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจนำไปปลูก


การปลูก “มะระขี้นกยักษ์” โอกินาวา เริ่มต้นจากเพาะกล้ามะระโอกินาวา โดยการเพาะเมล็ดมะระนั้นทำได้ 3 วิธีดังนี้
- วิธีเพาะในแปลง การเพาะด้วยวิธีนี้ต้องพรวนดินให้ร่วนซุยผสมปุ๋ยมูลสัตว์ เพื่อให้ดินร่วนซุยยิ่งขึ้น นำเมล็ดมะระมาเรียงห่างกัน ประมาณ 3 เซนติเมตร กลบด้วยดินหนา 2-3 เซนติเมตร เอาฟางคลุมรดน้ำ 3-4 วัน รอจนต้นกล้ามีใบจริง 2 ใบ หรืออายุประมาณ 8-10 วัน ก็ย้ายแปลงปลูก โดยก่อนการถอนกล้าควรรดน้ำให้ชุ่มเสียก่อน เพื่อต้นกล้าไม่บอบช้ำมากนัก
- วิธีการเพาะกล้าในถุงดำเล็ก นำดินผสมปุ๋ยคอกและวัสดุปลูกที่หาได้ใส่ถุงดำ ขนาด 7×8 เซนติเมตร แช่เมล็ดมะระในน้ำ ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำเมล็ดเพาะใส่ถุง ถุงละ 1 เมล็ดรดน้ำให้พอชุ่ม เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ จึงย้ายลงแปลงปลูก
- วิธีการเพาะกล้างอกวิธีเพาะกล้ามะระโอกินาวา นำเมล็ดพันธุ์มะระโอกินาวา มาแช่น้ำอุ่นไว้ ประมาณ 1 คืน หรือราว 5-8 ชั่วโมง เช้าอีกวันก็นำเมล็ดมาห่อกับผ้าเปียกน้ำหมาดๆ นำไปบ่มไว้ในกระติกน้ำหรือกล่องโฟม หรือใช้ถุงร้อนคลุมอบก็ได้ เพื่อให้เมล็ดมะระออกรากเร็วและงอกดีขึ้น ประมาณ 2 วัน เมื่อเปิดดูจะเห็นรากสีขาวๆ โผล่ออกมา เลือกเมล็ดที่รากงอกนั้น แล้วนำไปปลูกในถาดเพาะกล้าหรือถุงดำขนาดเล็ก เพื่อให้ง่ายในการดูแลรักษาต้นกล้า ดังนั้น แนะนำให้เพาะกล้าเสียก่อน การย้ายเมล็ดต้องทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้รากอ่อนที่งอกจากเมล็ดหัก ควรใช้ไม้กดจิ้มวัสดุปลูกให้เป็นหลุมเสียก่อน แล้วนำเมล็ดหยอดลงไป ใช้ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งบีบดิน หรือวัสดุปลูกกลบเมล็ดเบาๆ
จากนั้นรดน้ำอย่างสม่ำเสมออย่าให้แฉะ จนต้นมะระโอกินาวามีใบจริง 2-3 ใบ ก็สามารถย้ายปลูกในแปลงหรือถุงดำขนาดใหญ่ได้ ในช่วงที่เลี้ยงกล้าต้องหมั่นระวังแมลงที่จะมากัดกินยอด เช่น ตั๊กแตน และแมลงปีกแข็ง เป็นต้น
- วิธีหยอดลงหลุมปลูกในแปลง นำเมล็ดมะระแช่น้ำอุ่นไว้อย่างน้อย 5-8 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอกและทำให้เปลือกมะระขี้นกยักษ์โอกินาวานิ่มก่อน แล้วนำไปหยอดกลบที่หลุมปลูก หลุมละ 1-2 เมล็ด ในแปลงปลูกได้เลย
หลังการย้ายปลูกกล้ามะระขี้นกยักษ์โอกินาวาลงแปลง แนะนำใช้สารไดโนทีฟูแรน เช่น สารสตาร์เกิล จี อัตรา 2 กรัม ต่อหลุมปลูก หรือต่อต้น ใช้รองก้นหลุม ทั้งแบบย้ายจากกระบะ หรือย้ายจากแปลงเพาะกล้า หยอดพร้อมเมล็ดพันธุ์ โรยรอบโคนต้นหลังปลูกสามารถป้องกันแมลงศัตรูได้หลายชนิด ซึ่งอยู่ในกลุ่มนีโอนิโคตินอยด์ ที่พบในยาสูบทั่วไป มีความเป็นพิษต่ำมากต่อมนุษย์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก ปลา และสิ่งแวดล้อม ออกฤทธิ์ดูดซึมเข้าทางระบบราก สามารถป้องกันกำจัดแมลงที่หลบซ่อนอยู่บนต้นพืชและใต้ดินได้ดี มีประสิทธิภาพออกฤทธิ์ควบคุม และกำจัดแมลงได้ยาวนาน 30-45 วัน ป้องกันกำจัดแมลงบนดิน เช่น เพลี้ยจักจั่นฝ้าย เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาว เพลี้ยไฟ หนอนแมลงวันชอนใบ หนอนแมลงวันเจาะลำต้น ด้วงเต่าแตง และแมลงใต้ดิน เหมาะสำหรับพืชผัก โดยเฉพาะพืชผักส่งออก
กล้ามะระโอกินาวา มีใบจริง 3-5 ใบ หรือหลังเพาะเมล็ดราวๆ 30-45 วัน ก็สามารถย้ายปลูกลงแปลงได้ หรือปลูกลงถุงดำใบใหญ่ ในกรณีที่ดินปลูกไม่ดีต้องการปรุงดินปลูกเอง หรือมีพื้นที่ปลูกน้อย ระยะปลูก ระหว่างหลุมปลูกให้ห่างกัน ประมาณ 30 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถว ประมาณ 1-1.50 เมตร ในกรณีทำค้างแบบกระโจม แต่ถ้าทำแบบขึ้นค้างแบบสี่เหลี่ยมก็เลือกขนาดค้างได้ตามความเหมาะสม
การย้ายกล้าก็จะเหมือนพืชผักทั่วไป คือนิยมย้ายปลูกในช่วงเวลาเย็นที่แสงแดดไม่ร้อนมากนัก เพื่อไม่ให้ต้นกล้าเ่ยว มะระเป็นไม้เถามีมือเกาะ จำเป็นต้องทำค้างเพื่อให้มะระเลื้อยขึ้นไปได้ ซึ่งการทำค้างต้องใช้ไม้ไผ่ ยาวประมาณ 2.50-3.0 เมตร ปักลงข้างๆ หลุมปลูกหรือข้างๆ ถุง แล้วรวบปลายไม้ทำเป็นจั่วหรือกระโจม มัดให้เหลือปลายไม้ไว้ หรือทำค้างแบบสี่เหลี่ยมตามความต้องการ แล้วใช้ตาข่ายไนล่อนขึงให้ต้นมะระเลื้อยเกาะขึ้นไป
เริ่มต้นในขณะที่เตรียมดินปลูก ควรใส่ปุ๋ยคอกเก่าคลุกเคล้าลงไปในดินด้วย เพื่อช่วยให้ดินร่วน อุ้มน้ำให้อยู่ในดินได้นาน และช่วยรักษาสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดินให้อยู่ในระดับเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช หลังปลูกมะระได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็จะเริ่มให้ปุ๋ยเคมี ใส่ปุ๋ยทุก 7 วันครั้ง โดยจะเน้นใส่ปุ๋ยเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 หลักการคือ เน้นการให้ปุ๋ยบ่อย แต่ให้ครั้งละไม่มาก ให้มะระได้กินปุ๋ยอย่างต่อเนื่อง ถ้าสังเกตว่าต้นมะระยอดแตกไม่ค่อยดี ยอดไม่เดิน ก็อาจจะเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยสูตรตัวหน้า (ไนโตรเจน) สูง อย่าง 25-7-7 พอยอดมะระเดินดีแล้วก็ค่อยกลับมาใช้ 16-16-16 ยืนพื้นตามเดิมวิธีการใส่ปุ๋ย
หรือในบางพื้นที่อาจจะหาซื้อปุ๋ยสูตร 25-7-7 ไม่ค่อยมี จะสามารถผสมปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 อัตรา 1 ส่วน กับปุ๋ยที่มีสูตรตัวหน้า (ไนโตเจน) สูง เช่น ยูเรีย (สูตร 46-0-0) หรือแคลเซียมไนเตรต (สูตร 15-0-0) เลือกใช้ตามความเหมาะสม อัตรา 1 ส่วน นำมาผสมกัน ส่วนการให้ปุ๋ยทางใบ ฮอร์โมน สารป้องกันกำจัดโรคและแมลง จะฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน ตั้งแต่ช่วงปลูกแรกๆ พอมะระแตกใบมา 4-5 ใบ ก็เริ่มฉีดพ่นแล้ว เพื่อเร่งต้นให้โตเร็ว แตกยอดเลื้อยขึ้นค้างได้เร็ว โดยจะฉีดพ่นทั้งฮอร์โมนสลับกันไป เช่น สาหร่ายสกัด เร่งการแตกยอด แตกใบ แคลเซียม-โบรอนอี เสริมให้ต้นแข็งแรง ช่วยให้ดอกดี ผสมเกสรดีติดผลได้ดี, แมกนีเซียมเดี่ยว ช่วยทำให้ใบเขียว ขยายลูก สร้างเนื้อ

เมื่อได้น้ำสม่ำเสมอทุกวัน ระยะนี้มะระจะติดดอกติดผล สังเกตต้นมะระถ้าสมบูรณ์ดี ยอดพุ่งดี มันจะติดดอกติดผลดีมากช่วงมะระขี้นกยักษ์โอกินาวา อายุได้ 30 วัน หรือพบว่าเริ่มเห็นดอกของมะระ ให้รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ตามความเหมาะสม การให้น้ำวันละกี่ครั้ง หรือให้ปริมาณเท่าไร ต้องดูความชื้นดินและสภาพอากาศประกอบ ช่วงที่มะระออกดอกตลอดระยะเวลาที่เลี้ยงผลจะขาดน้ำไม่ได้เลยในช่วงนี้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ต้นมะระไม่ค่อยอยากจะโต ใบดูไม่สดชื่น
รายละเอียดเพิ่มเติม
ความคิดเห็น