The Burmuda Triangle
ถ้าพูดถึงเรื่องลึกลับแล้ว คาดว่าคงจะไม่มีใครไม่เคยได้ยินเรื่องของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าซึ่งถูกกล่าวว่ามีเรือและเครื่องบินหายสาปสูญไปเป็นจำนวนมากเป็นแน่ ดังนั้นจะให้แนะนำเฉยๆก็กระไรอยู่ ผู้เขียนจึงขอใช้วิธีแนะนำตามหลักการมิสเทรี่ของบล๊อกนี้ค่ะ อย่าเชื่อ 100% โดยไม่มีเหตุผล

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาซึ่งเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า"สามเหลี่ยมปีศาจ"นี้หมายถึงพื้นที่รูปสามเหลี่ยมด้านไม่เท่าซึ่งอยู่ระหว่างหมู่เกาะเบอร์มิวดา ปลายแหลมฟลอริด้า และเปอร์โตริโก้ มีพื้นที่ประมาณ 283 ตารางกิโลเมตร
กล่าวกันว่าประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา มีผู้หายสาปสูญไปพร้อมกับเรือและเครื่องบินในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดากว่า 1000 คนเลยทีเดียว แต่หากจะพูดกันโดยความจริงแล้ว เรือและเครื่องบินส่วนใหญ่มักจะหายไประหว่างที่เกิดพายุหรือหมอกลงจัด และเมื่อดูจากจำนวนแล้วก็ไม่ได้แตกต่างไปจากสติถิอุบัติเหตุในย่านน้ำอื่นเท่าใดนัก
ถ้าเช่นนั้น ทำไมสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงกลายมาเป็นที่กล่าวขวัญเช่นนี้ได้ ? จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากหนังสือเล่มหนึ่ง
The Bermuda Triangle ของชาร์ลส เบอร์ลิซ ซึ่งตีพิมพ์ในช่วงปี 1950 เป็นตัวจุดชนวนนำชื่อของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาโด่งดังไปทั่วโลก มีการนำเรื่องในหนังสือแนะนำผ่านสื่อต่างๆทั้งโทรทัศน์และนิตยสาร ทั้งยังมีการนำมาทำเป็นภาพยนตร์อีกด้วย
หากในภายหลัง เมื่อนักวิจัยได้ทำการตรวจสอบเรื่องที่เขียนอยู่ในหนังสือก็พบว่าหนังสือเล่มดัวกล่าวเขียนขึ้นโดยประกอบด้วยความเท็จ การบิดเบือนและการประโคมเรื่องเป็นจำนวนมากจนยากที่จะเรียกได้ว่าเป็นข้อเท็จจริง
นี่เป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับคดีและข้อค้านเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
คดีเรือแมรี่เซเลสเต้
เคยเขียนไว้ในเอนทรี่ก่อนหน้านี้แล้ว อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ เมื่ออ่านแล้วก็จะรู้ได้ทันทีค่ะ คดีของแมรี่เซเลสเต้เกิดเหตุที่อ่าวโปรตุเกสซึ่งอยู่ห่างจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดากว่า 3000 กิโลเมตรเลยทีเดียว
คดีเรือเฟรย่า
"ตุลาคมปี 1902 เรือเฟรย่าออกเดินทางจากแมนซานีโจ้ ประเทศคิวบา เพื่อไปยังพุนดาอานาเลส ประเทศชิลี ภายหลังถูกพบอับปางที่มาซาโทรัน โดยที่ลูกเรือทั้งหมดหายตัวไป"
ในความจริงแล้ว เรือเฟรย่าออกจากท่าแมนซานีโจ้ ประเทศแมกซิโก และแล่นเรืออยู่ในฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งระหว่างเดินเรือได้พบกับแผ่นดินไหวใต้ทะเลในเขตน่านน้ำของแมกซิโก จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจเจอคลื่นยักษ์มาซัดเอาลูกเรือไปก็เป็นได้
คดีเครื่องบินอังกฤษหายสาปสูญ
"กุมภาพันธ์ปี 1953 เครื่องบินโดยสารของอังกฤษซึ่งบรรทุกพลทหารจำนวน 39 คนหายสาปสูญไม่พบร่องรอย"
จากการตรวจสอบจุดที่เครื่องบินดังกล่าวหายไปอยู่ห่างไปทางเหนือจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาถึง 1400 กิโลเมตร และสภาพอากาศขณะที่หายไปก็มีฝนหนักและลมแรง
คดีเรือดำน้ำสกอร์เปี้ยน
"พฤษภาคมปี 1968 เรือดำน้ำพลังงานปรมาณูสกอร์เปี้ยนพร้อมลูกเรือ 99 คนอัปปางลงในน่านน้ำทางตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะอาโซเลส มีการสำรวจแล้วแต่ไม่สามารถค้นพบซากเรือ"
ในความจริงนั้น 5 เดือนให้หลังจากการอัปปาง เรือสำรวจก้นสมุทรไมเซอร์พบซากเรือสกอร์เปี้ยนที่ก้นทะเลซึ่งอยู่ห่างจากหมู่เกาะอาโซเลสไปทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะทางประมาณ 640 กิโลเมตรในสภาพถูกทำลายยับเยิน การตรวจสอบพบว่าถูกยิงด้วยมิสไซล์ และน่านน้ำตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะอาโซเลสก็อยู่ห่างจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาถึง 1000 กิโลเมตร
คดีเรือเอเลนออสติน
"ปี 1881 ระหว่างที่เรือเอเลนออสตินสัญชาติอังกฤษกำลังแล่นเรืออยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้พบกับเรือสคูเนอร์ (เรือที่มี 2 เสากระโดง) ลอยลำอยู่โดยไม่มีลูกเรือ กัปตันจึงแบ่งลูกเรือ 2-3 คนขึ้นเรือลำดังกล่าวเพื่อนำเรือเข้าเทียบท่าเซนต์จอห์นด้วยกัน หากระหว่างนั้นก็พบกับพายุฝนและหมอกจนพลัดหลงจากกัน เมื่อพายุสงบและพบเรือสคูเนอร์อีกครั้ง ลูกเรือที่อยู่บนเรือก็หายสาปสูญไปอีกเสียแล้ว
กัปตันเรือเอเลนออสตินจึงแบ่งลูกเรือขึ้นเรือลำดังกล่าวอีกครั้ง หากระหว่างทางก้พบกับพายุฝนอีก และคราวนี้ พวกเขาก็ไม่ได้พบเรือลำนั้นอีกเลย"
มีการตรวจสอบย้อนหลังถึงที่มาของคดีนี้ หากนอกจากที่บันทึกอยู่ในหนังสือ"เรื่องเล่าของนักฝัน"ของลูเพิร์ต กูลด์ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1944 แล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องนี้บันทึกอยู่ในเอกสารหรือหนังสือพิมพ์ใดๆเลย จึงมีความเป็นไปได้สูงว่านี่เป็นเรื่องที่กูลด์แต่งขึ้นเอง และในหนังสือของกูลด์ เรือสกูเนอร์หายไปเพียงครั้งเดียว แต่เมื่อมีการแปลและตีพิมพ์หลายครั้งก็ถูกเพิ่มกลายมาเป็น 2 ครั้ง
คดีกองเครื่องบินรบที่ 19 หายสาปสูญ
เป็นคดีที่ถูกเรียกว่า"แมรี่เซเลสเต้ของน่านฟ้า"และเป็นคดีที่มีชื่อเสียงที่สุดเมื่อพูดถึงสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาค่ะ รายละเอียดจะเยอะหน่อย
"5 ธันวาคม 1945 เครื่องบินจู่โจมแอดเวนเชอร์จำนวน 5 ลำบินออกจากฐานทัพกองทัพอากาศในฟลอริด้าเพื่อลาดตระเวณพื้นที่ฝั่งทะเลทางตะวันออกของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เครื่องบินทั้ง 5 ลำถูกตรวจเช็คก่อนออกตัวอย่างละเอียดว่าไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนักบินต่างก็มีประสบการณ์ในระดับผู้เชี่ยวชาญ สภาพอากาศในวันนั้นแจ่มใส และมีกำหนดการว่าการลาดตระเวณจะเสร็จสิ้นใน 2 ชั่วโมง
1 ชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้นในเวลา 15.45น. นักบินแจ้งมาว่ากองเครื่องบินหลงจากคอสที่กำหนดไว้ และพวกเขามองไม่เห็นแผ่นดิน ศูนย์บังคับการออกคำสั่งให้นักบินหันหัวเครื่องไปทางทิศตะวันตก หากนักบินก็ตอบว่าพวกเขาไม่สามารถรู้ได้ว่าทิศไหนคือทิศตะวันตก
ผู้บังคับการสันนิษฐานว่าอุปกรณ์นำทางอาจจะเสียหาย นักบินจึงหาเส้นทางบินไม่เจอ แต่หากในเวลานี้ ถ้าบินหันหัวไปตามดวงอาทิตย์ก็จะพบฝั่งในเวลาไม่ช้า แต่จากคำพูดของนักบินแล้ว ฟังราวกับว่าพวกเขามองไม่เห็นกระทั่งดวงอาทิตย์
ในไม่ช้า การติดต่อจากนักบินก็ขาดตอนไป ศูนย์จึงส่งเครื่องบินมาร์ตินมารีเนอร์ไปเพื่อค้นหาและช่วยเหลือ แต่เครื่องบินช่วยเหลือก็หายสาปสูญไปเช่นกัน"
เรื่องข้างบนกล่าวว่า นักบินทั้ง 5 คนเป็นผู้มีประสบการณ์ก็จริงแต่ในความเป็นจริงนั้น นอกจากชารล์ส แครอล เทย์เลอร์ซึ่งเป็นหัวหน้ากองบินและผู้ช่วยอีกคนแล้ว นักบินอีก 3 คนยังเป็นเพียงนักเรียนฝึกหัดการบินอยู่ หนำซ้ำตัวเทย์เลอร์เองก็เพิ่งจะย้ายมายังฟลอริด้าเพียง 2 อาทิตย์ก่อนที่เหตุการณนี้จะเกิดขึ้นจึงยังไม่มีความชำนาญด้านเส้นทางบินนัก
ในด้านสภาพอากาศนั้น จริงอยู่ที่ขณะที่ออกเครื่องไป ท้องฟ้ายังแจ่มใสและมองเห็นพระอาทิตย์ได้อย่างชัดเจน แต่หลังจากนั้นสภาพอากาศก็แย่ลงอย่างกะทันหันและในตอนค่ำก็มีลมแรงถึง 16 เมตร
เป็นความจริงที่อุปกรณ์การนำทางเสียหาย หากโดยการตรวบสอบภายหลัง เทย์เล่อร์บินอยู่ในเส้นทางการบินที่ถูกต้องแล้วอยู่แล้ว แต่เนื่องจากสับสนกับเข็มทิศที่พัง พวกเขาจึงเข้าใจผิดว่าตนเองหลุดออกมานอกเส้นทาง และมีการหันหัวเปลี่ยนทิศทางหลายครั้งจนเกิดอาการสับสนทิศขึ้นมาจริงๆ
พวกเขาบินเปะปะไปมาอย่างไม่รู้เหนือใต้เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมงก่อนที่น้ำมันจะหมดและต้องลงจอดบนทะเลด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ต้องสงสัยว่าตัวเลขนี้มีความหมายเดียวกับคำว่าตายนั่นเอง
ส่วนเครื่องบินมาร์ตินมารีเนอร์นั้น เป็นที่รู้จักกันดีว่าไม่ได้มาตราฐานและมีน้ำมันรั่วบ่อยๆ ซึ่งถ้านักบินเผลอจุดบุหรี่สูบเมื่อไหร่ก็จะเกิดการระเบิดได้ง่ายๆ ซึ่งในความจริงนั้น กล่าวว่ามีผู้เห็นการระเบิดกลางอากาศใรทิศทางที่มาร์ตินมารีเนอร์บินไปหลังจากออกจากฐานไปได้ไม่นานนัก (ที่จริงแล้วยังมีเครื่องบินช่วยเหลือลำอื่นหลายลำที่บินออกไปด้วยและกลับมาโดยปลอดภัย)
ถ้าพูดถึงเรื่องลึกลับแล้ว คาดว่าคงจะไม่มีใครไม่เคยได้ยินเรื่องของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าซึ่งถูกกล่าวว่ามีเรือและเครื่องบินหายสาปสูญไปเป็นจำนวนมากเป็นแน่ ดังนั้นจะให้แนะนำเฉยๆก็กระไรอยู่ ผู้เขียนจึงขอใช้วิธีแนะนำตามหลักการมิสเทรี่ของบล๊อกนี้ค่ะ อย่าเชื่อ 100% โดยไม่มีเหตุผล

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาซึ่งเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า"สามเหลี่ยมปีศาจ"นี้หมายถึงพื้นที่รูปสามเหลี่ยมด้านไม่เท่าซึ่งอยู่ระหว่างหมู่เกาะเบอร์มิวดา ปลายแหลมฟลอริด้า และเปอร์โตริโก้ มีพื้นที่ประมาณ 283 ตารางกิโลเมตร
กล่าวกันว่าประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา มีผู้หายสาปสูญไปพร้อมกับเรือและเครื่องบินในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดากว่า 1000 คนเลยทีเดียว แต่หากจะพูดกันโดยความจริงแล้ว เรือและเครื่องบินส่วนใหญ่มักจะหายไประหว่างที่เกิดพายุหรือหมอกลงจัด และเมื่อดูจากจำนวนแล้วก็ไม่ได้แตกต่างไปจากสติถิอุบัติเหตุในย่านน้ำอื่นเท่าใดนัก
ถ้าเช่นนั้น ทำไมสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงกลายมาเป็นที่กล่าวขวัญเช่นนี้ได้ ? จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากหนังสือเล่มหนึ่ง
The Bermuda Triangle ของชาร์ลส เบอร์ลิซ ซึ่งตีพิมพ์ในช่วงปี 1950 เป็นตัวจุดชนวนนำชื่อของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาโด่งดังไปทั่วโลก มีการนำเรื่องในหนังสือแนะนำผ่านสื่อต่างๆทั้งโทรทัศน์และนิตยสาร ทั้งยังมีการนำมาทำเป็นภาพยนตร์อีกด้วย
หากในภายหลัง เมื่อนักวิจัยได้ทำการตรวจสอบเรื่องที่เขียนอยู่ในหนังสือก็พบว่าหนังสือเล่มดัวกล่าวเขียนขึ้นโดยประกอบด้วยความเท็จ การบิดเบือนและการประโคมเรื่องเป็นจำนวนมากจนยากที่จะเรียกได้ว่าเป็นข้อเท็จจริง
นี่เป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับคดีและข้อค้านเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
คดีเรือแมรี่เซเลสเต้
เคยเขียนไว้ในเอนทรี่ก่อนหน้านี้แล้ว อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ เมื่ออ่านแล้วก็จะรู้ได้ทันทีค่ะ คดีของแมรี่เซเลสเต้เกิดเหตุที่อ่าวโปรตุเกสซึ่งอยู่ห่างจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดากว่า 3000 กิโลเมตรเลยทีเดียว
คดีเรือเฟรย่า
"ตุลาคมปี 1902 เรือเฟรย่าออกเดินทางจากแมนซานีโจ้ ประเทศคิวบา เพื่อไปยังพุนดาอานาเลส ประเทศชิลี ภายหลังถูกพบอับปางที่มาซาโทรัน โดยที่ลูกเรือทั้งหมดหายตัวไป"
ในความจริงแล้ว เรือเฟรย่าออกจากท่าแมนซานีโจ้ ประเทศแมกซิโก และแล่นเรืออยู่ในฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งระหว่างเดินเรือได้พบกับแผ่นดินไหวใต้ทะเลในเขตน่านน้ำของแมกซิโก จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจเจอคลื่นยักษ์มาซัดเอาลูกเรือไปก็เป็นได้
คดีเครื่องบินอังกฤษหายสาปสูญ
"กุมภาพันธ์ปี 1953 เครื่องบินโดยสารของอังกฤษซึ่งบรรทุกพลทหารจำนวน 39 คนหายสาปสูญไม่พบร่องรอย"
จากการตรวจสอบจุดที่เครื่องบินดังกล่าวหายไปอยู่ห่างไปทางเหนือจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาถึง 1400 กิโลเมตร และสภาพอากาศขณะที่หายไปก็มีฝนหนักและลมแรง
คดีเรือดำน้ำสกอร์เปี้ยน
"พฤษภาคมปี 1968 เรือดำน้ำพลังงานปรมาณูสกอร์เปี้ยนพร้อมลูกเรือ 99 คนอัปปางลงในน่านน้ำทางตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะอาโซเลส มีการสำรวจแล้วแต่ไม่สามารถค้นพบซากเรือ"
ในความจริงนั้น 5 เดือนให้หลังจากการอัปปาง เรือสำรวจก้นสมุทรไมเซอร์พบซากเรือสกอร์เปี้ยนที่ก้นทะเลซึ่งอยู่ห่างจากหมู่เกาะอาโซเลสไปทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะทางประมาณ 640 กิโลเมตรในสภาพถูกทำลายยับเยิน การตรวจสอบพบว่าถูกยิงด้วยมิสไซล์ และน่านน้ำตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะอาโซเลสก็อยู่ห่างจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาถึง 1000 กิโลเมตร
คดีเรือเอเลนออสติน
"ปี 1881 ระหว่างที่เรือเอเลนออสตินสัญชาติอังกฤษกำลังแล่นเรืออยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้พบกับเรือสคูเนอร์ (เรือที่มี 2 เสากระโดง) ลอยลำอยู่โดยไม่มีลูกเรือ กัปตันจึงแบ่งลูกเรือ 2-3 คนขึ้นเรือลำดังกล่าวเพื่อนำเรือเข้าเทียบท่าเซนต์จอห์นด้วยกัน หากระหว่างนั้นก็พบกับพายุฝนและหมอกจนพลัดหลงจากกัน เมื่อพายุสงบและพบเรือสคูเนอร์อีกครั้ง ลูกเรือที่อยู่บนเรือก็หายสาปสูญไปอีกเสียแล้ว
กัปตันเรือเอเลนออสตินจึงแบ่งลูกเรือขึ้นเรือลำดังกล่าวอีกครั้ง หากระหว่างทางก้พบกับพายุฝนอีก และคราวนี้ พวกเขาก็ไม่ได้พบเรือลำนั้นอีกเลย"
มีการตรวจสอบย้อนหลังถึงที่มาของคดีนี้ หากนอกจากที่บันทึกอยู่ในหนังสือ"เรื่องเล่าของนักฝัน"ของลูเพิร์ต กูลด์ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1944 แล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องนี้บันทึกอยู่ในเอกสารหรือหนังสือพิมพ์ใดๆเลย จึงมีความเป็นไปได้สูงว่านี่เป็นเรื่องที่กูลด์แต่งขึ้นเอง และในหนังสือของกูลด์ เรือสกูเนอร์หายไปเพียงครั้งเดียว แต่เมื่อมีการแปลและตีพิมพ์หลายครั้งก็ถูกเพิ่มกลายมาเป็น 2 ครั้ง
คดีกองเครื่องบินรบที่ 19 หายสาปสูญ
เป็นคดีที่ถูกเรียกว่า"แมรี่เซเลสเต้ของน่านฟ้า"และเป็นคดีที่มีชื่อเสียงที่สุดเมื่อพูดถึงสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาค่ะ รายละเอียดจะเยอะหน่อย
"5 ธันวาคม 1945 เครื่องบินจู่โจมแอดเวนเชอร์จำนวน 5 ลำบินออกจากฐานทัพกองทัพอากาศในฟลอริด้าเพื่อลาดตระเวณพื้นที่ฝั่งทะเลทางตะวันออกของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เครื่องบินทั้ง 5 ลำถูกตรวจเช็คก่อนออกตัวอย่างละเอียดว่าไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนักบินต่างก็มีประสบการณ์ในระดับผู้เชี่ยวชาญ สภาพอากาศในวันนั้นแจ่มใส และมีกำหนดการว่าการลาดตระเวณจะเสร็จสิ้นใน 2 ชั่วโมง
1 ชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้นในเวลา 15.45น. นักบินแจ้งมาว่ากองเครื่องบินหลงจากคอสที่กำหนดไว้ และพวกเขามองไม่เห็นแผ่นดิน ศูนย์บังคับการออกคำสั่งให้นักบินหันหัวเครื่องไปทางทิศตะวันตก หากนักบินก็ตอบว่าพวกเขาไม่สามารถรู้ได้ว่าทิศไหนคือทิศตะวันตก
ผู้บังคับการสันนิษฐานว่าอุปกรณ์นำทางอาจจะเสียหาย นักบินจึงหาเส้นทางบินไม่เจอ แต่หากในเวลานี้ ถ้าบินหันหัวไปตามดวงอาทิตย์ก็จะพบฝั่งในเวลาไม่ช้า แต่จากคำพูดของนักบินแล้ว ฟังราวกับว่าพวกเขามองไม่เห็นกระทั่งดวงอาทิตย์
ในไม่ช้า การติดต่อจากนักบินก็ขาดตอนไป ศูนย์จึงส่งเครื่องบินมาร์ตินมารีเนอร์ไปเพื่อค้นหาและช่วยเหลือ แต่เครื่องบินช่วยเหลือก็หายสาปสูญไปเช่นกัน"
เรื่องข้างบนกล่าวว่า นักบินทั้ง 5 คนเป็นผู้มีประสบการณ์ก็จริงแต่ในความเป็นจริงนั้น นอกจากชารล์ส แครอล เทย์เลอร์ซึ่งเป็นหัวหน้ากองบินและผู้ช่วยอีกคนแล้ว นักบินอีก 3 คนยังเป็นเพียงนักเรียนฝึกหัดการบินอยู่ หนำซ้ำตัวเทย์เลอร์เองก็เพิ่งจะย้ายมายังฟลอริด้าเพียง 2 อาทิตย์ก่อนที่เหตุการณนี้จะเกิดขึ้นจึงยังไม่มีความชำนาญด้านเส้นทางบินนัก
ในด้านสภาพอากาศนั้น จริงอยู่ที่ขณะที่ออกเครื่องไป ท้องฟ้ายังแจ่มใสและมองเห็นพระอาทิตย์ได้อย่างชัดเจน แต่หลังจากนั้นสภาพอากาศก็แย่ลงอย่างกะทันหันและในตอนค่ำก็มีลมแรงถึง 16 เมตร
เป็นความจริงที่อุปกรณ์การนำทางเสียหาย หากโดยการตรวบสอบภายหลัง เทย์เล่อร์บินอยู่ในเส้นทางการบินที่ถูกต้องแล้วอยู่แล้ว แต่เนื่องจากสับสนกับเข็มทิศที่พัง พวกเขาจึงเข้าใจผิดว่าตนเองหลุดออกมานอกเส้นทาง และมีการหันหัวเปลี่ยนทิศทางหลายครั้งจนเกิดอาการสับสนทิศขึ้นมาจริงๆ
พวกเขาบินเปะปะไปมาอย่างไม่รู้เหนือใต้เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมงก่อนที่น้ำมันจะหมดและต้องลงจอดบนทะเลด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ต้องสงสัยว่าตัวเลขนี้มีความหมายเดียวกับคำว่าตายนั่นเอง
ส่วนเครื่องบินมาร์ตินมารีเนอร์นั้น เป็นที่รู้จักกันดีว่าไม่ได้มาตราฐานและมีน้ำมันรั่วบ่อยๆ ซึ่งถ้านักบินเผลอจุดบุหรี่สูบเมื่อไหร่ก็จะเกิดการระเบิดได้ง่ายๆ ซึ่งในความจริงนั้น กล่าวว่ามีผู้เห็นการระเบิดกลางอากาศใรทิศทางที่มาร์ตินมารีเนอร์บินไปหลังจากออกจากฐานไปได้ไม่นานนัก (ที่จริงแล้วยังมีเครื่องบินช่วยเหลือลำอื่นหลายลำที่บินออกไปด้วยและกลับมาโดยปลอดภัย)
ความคิดเห็น